ภูเก็ต มาเที่ยวกี่ทีก็ไม่มีเบื่อ การมาเที่ยวภูเก็ตในครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกของผม แต่เป็นรอบที่เท่าไรนะเหรอ ขอบอกเลยว่า นิ้วมือที่มีอยู่ไม่พอนับอย่างแน่นอน สำหรับการมาภูเก็ตในครั้งนี้ผมประหยัดค่าใช้จ่ายเรื่องที่พักไปได้ 2 คืน เนื่องจากผมได้ร่วมสนุกทาง FB กับเพจBig Stopper / Travel Photography แล้วได้ที่พักฟรีที่ Eastin Yama Hotel Phuket และยังโชคดีจากการร่วมสนุกกับเพจ Paksabuy แล้วได้ที่พักฟรีที่ Swissotel Resort Phuketสำหรับค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าเดินทาง ค่าเช่ารถ ค่าอาหาร Package tour ผมออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดครับ (ห้องพักทั้ง 2 ที่ จะฟรีเฉพาะในส่วนของผม ส่วนของเพื่อนที่ไปด้วยต้องเสียเงินเปิดห้องเพิ่ม ในราคาลูกค้าทั่วไปครับ)

อย่างที่บอกครับ ผมมาเที่ยวภูเก็ตหลายครั้งมาก การมาเที่ยวครั้งนี้เลยพยายามเสาะหาสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ๆ สำหรับผม (ใหม่สำหรับผม แต่อาจเก่าสำหรับคนอื่น) เพราะว่าสถานที่ที่ผมนำมารีวิว อาจเป็นสถานที่ที่หลายคนเคยไปมาแล้วก็ได้ ทริปนี้มีสมาชิกร่วมทริป 3 คน (ไม่รวมผม) ทั้ง 3 เคยมาภูเก็ตเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ดังนั้นการวางโปรแกรมผมจึงพยายามหาที่เที่ยวใหม่ๆ (สำหรับผม) และสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดเมื่อมาภูเก็ต (สำหรับสมาชิกทั้ง 3) ครับ

ปล. ติดตามบันทึกการท่องเที่ยวทริปของผมได้อีกช่องทางที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt ครับ

การเดินทางไปภูเก็ต ผมเลือกโดยสารกับสายการบิน Thai Lion Air เนื่องจากตอนจองนั้น ราคาของ Thai Lion Air ถูกที่สุดแล้ว และครั้งนี้ถือเป็นการใช้บริการกับสายการบิน Thai Lion Air ครั้งแรกของผม

ทุกๆ ครั้งที่เดินทางโดยเครื่องบิน ถ้าเป็นไปได้ผมจะพยายามเลือกที่นั่งติดหน้าต่างเสมอ (กรณีที่จองตั๋วเครื่องบินเอง และสามารถเลือกที่นั่งผ่านเว็บไซด์ได้) และครั้งนี้ก็เช่นกัน ผมเลือกที่นั่งติดหน้าต่าง การเลือกที่นั่งของ Thai Lion Air จะสามารถทำได้พร้อมๆ กับการ Check in ผ่านทางเว็บไซต์ของ Thai Lion Air ก่อนเดินทาง 24 ชั่วโมง และผมรู้มาอีกว่า หากต้องการนั่งสบายๆ แบบยืดขาได้เต็มที่ ให้เลือกที่นั่ง 32 A ดังนั้นเพื่อไม่ให้เสียของ ผมเลยเลือกที่นั่ง 32A ครับ

ช่วงที่ผมเดินทางเป็นช่วงที่การท่าอากาศยานออกกฎใหม่คือ กระเป๋าทุกใบที่จะนำติดตัวไปด้วยนั้นต้องผ่านการสแกนทุกใบ จึงทำให้กว่าจะเข้าไปเช็คอินได้ ต้องรอต่อแถวสแกนกระเป๋ากันอยู่นานพอสมควร ดีที่ผมเผื่อเวลาไว้เยอะ จึงไม่มีปัญหาครับ

ก็ยังแอบสงสัยอยู่นะครับว่า ทำไม 32A ถึงยืดขาได้ หรือเป็นเพราะที่นั่ง 31A ไม่มี ตอนที่ผมแวะโหลดกระเป๋าหน้าเคาเตอร์เช็คอินก็แอบถามเจ้าหน้าที่ดู เจ้าหน้าที่เองก็ไม่รู้ บอกแต่เพียงว่า เครื่องบินของ Lion Air มีขนาดใหญ่กว่าของนกแอร์และแอร์เอเซียครับ

จนเมื่อได้เข้ามานั่งประจำที่นั่นแหล่ะ ถึงได้รู้ว่า บริเวณที่นั่ง 31A ไม่มีจริงๆ เพราะบริเวณแถวที่ 31 เป็นประตูทางออกฉุกเฉิน Thai Lion Air จะมีทางออกฉุกเฉินมากกว่าของนกแอร์หรือแอร์เอเชีย 2 ประตู แล้วจริงๆ ไม่ใช่เพียง 31A เท่านั้นที่เป็นประตูทางออกฉุกเฉิน แต่ที่นั่ง 30F และ 31F (ผมไม่แน่ใจว่าแถวที่นั่งติดหน้าต่างทางด้านขวาใช้สัญลักษณ์ F หรือไม่) ก็เป็นประตูทางออกฉุกเฉินเช่นกัน แต่ 30F จะเป็นที่นั่งของแอร์โฮสเตสครับ

ถึงแม้ว่าที่นั่ง 32A หรือ 32F จะกว้างกว่าที่นั่งอื่นๆ ก็ตาม แต่ผู้ที่นั่งแถวนี้ ห้าม!! มีสัมภาระติดตัวในระหว่างที่นั่ง เนื่องจากจะเป็นอุปสรรคในขณะที่มีการใช้ประตูทางออกฉุกเฉิน ผมเองที่คล้องกล้องไว้กับคอ ยังโดนให้เอากล้องเก็บไว้ในช่องเก็บสัมภาระเลย แต่ผมเลือกที่จะฝากกล้องไว้กับเพื่อนร่วมทริปที่นั่งอยู่ด้านหลังผมครับ

เมื่อเครื่องบิน Take off สู่ฟากฟ้า ผมมองลงเบื้องล่าง เห็นมุมสูงของกรุงเทพมหานคร แล้วรู้สึกคันไม้คันมือเป็นอย่างมาก เพราะอดถ่ายรูปมุมสูง จนเมื่อเครื่องบินเริ่มลดระดับเพดานบินลงเพื่อเตรียมลงสู่สนามบินภูเก็ต ผมอดรนทนไม่ไหว ขอให้เพื่อนส่งกล้องมาให้ผม แล้วแอบกดชัตเตอร์ไปนิดหน่อย จากนั้นรีบส่งกล้องคืนให้กับเพื่อนทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นครับ

ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง ก็มาถึงสนามบินภูเก็ต ทุกๆ ครั้งที่ผมเดินทางมาภูเก็ตโดยเครื่องบิน เครื่องจะบินไปกลับตัวบริเวณทะเล แล้วจะลงสู่สนามบิน แต่รอบนี้เหมือนท่าอากาศยานภูเก็ตจะเปลี่ยนทิศทางการขึ้นลง ทำให้การลงรอบนี้ บินลงจากฝั่งตัวเมืองครับ

หลังจากรอรับสัมภาระและรอรถที่ผมเช่าไว้ มารับเรียบร้อยแล้ว ก็ออกท่องเที่ยวกันเลยครับ รอบนี้ผมยังคงใช้บริการรถเช่าของ Blue Beetle car rent ถือเป็นรอบที่ 3 แล้วที่ผมใช้บริการของที่นี่ครับ

จุดหมายแรกของทริปนี้ ผมขอเริ่มที่ประตูด่านแรกของภูเก็ต ผู้ที่เดินทางมาภูเก็ตทางรถยนต์จะต้องผ่านจุดนี้กันทุกคน สถานที่ที่ผมพูดถึง นั่นก็คือ บริเวณสะพานสารสินครับ ผมเองก็อยากให้เพื่อนร่วมทริปได้รับรู้สัมผัสแรกของการมาภูเก็ต ณ สถานที่แห่งนี้ครับ

ทุกครั้งที่ผมมาที่สะพานสารสิน มองออกไปฝั่งทะเลอันดามัน จะมองเห็นหาดทรายแก้ว มารอบนี้ผมเลยอยากจะลองไปสัมผัสที่หาดทรายแก้วดูบ้าง เลยเดินไปเรื่อยๆ จนถึงหาดทรายแก้ว แล้วมองกลับมายังสะพานสารสิน ถือเป็นมุมมองใหม่ของการเที่ยวสะพานสารสินของผมครับ น้ำบริเวณหาดทรายแก้วเป็นสีฟ้าครามมากๆ ครับ

จากสะพานสารสิน เราเดินทางกันต่อ โดยการขับรถต่อไปอีกนิดหน่อย มุ่งหน้าไปยังเมืองภูเก็ต ก่อนที่จะถึงด่านตรวจภูเก็ต จะมองเห็นประตูเมืองภูเก็ตอยู่ทางขวามือ จุดนี้ผมผ่านมาหลายครั้งมาก แต่ยังไม่เคยแวะเที่ยวเลย รอบนี้เลยไม่พลาดที่จะขอเข้าไปเยี่ยมชมครับ

ประตูเมืองภูเก็ตแห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อต้องการใช้เป็นห้องรับแขกสำหรับผู้ที่จะเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตครับ ประตูเมืองภูเก็ตจะบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ของภูเก็ต ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่ รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยว ผ่านเสาประติมากรรมที่เรียงรายเป็นแนวยาว 29 ต้น ทำไมถึงต้อง 29 ต้น? มันมีที่มาที่ไปครับ เลข 2 หมายถึง ท้าวเทพกระษัตรี-ท้าวศรีสุนทรสองวีรสตรีของชาวภูเก็ต สำหรับเลข 9 หมายถึง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9

และอีกสิ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กับเสาประติมากรรม นั่นก็คือประติมากรรมเต่าทะเลกับไข่เต่าขนาดใหญ่ด้านหน้าอาคาร ทำไมต้องเป็นเต่าทะเล? ก็เพราะบริเวณที่ตั้งของประตูเมืองภูเก็ต อยู่ที่ตำบลไม้ขาว ซึ่งมีชื่อเสียงในเรื่องหาดไม้ขาว หาดแห่งนี้เป็นสถานที่วางไข่ของเต่ามะเฟืองนั่นเองครับ

ประตูเมืองภูเก็ตยังใช้เป็นศูนย์บริการข้อมูลด้านการท่องเที่ยว มี mini theatre สำหรับให้นักท่องเที่ยวเยี่ยมชมวีดีทัศน์แนะนำภูเก็ต มีร้านกาแฟ ร้านขายของฝาก มีห้องสมุด ห้องน้ำไว้บริการ แต่ดูเหมือนไม่ค่อยได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวสักเท่าไรครับ

จากนั้นผมมุ่งหน้าสู่เมืองภูเก็ต เพื่อพาเพื่อนร่วมทริปทั้ง 3 มาสัมผัสกับวัฒนธรรมที่เคยรุ่งเรืองจากหลากหลายเชื้อชาติ ไม่ว่าจะเป็นไทย จีน มุสลิม ยุโรป อินเดีย ที่ถนนดีบุกครับ ถนนดีบุกเป็นถนนที่เก่าแก่เส้นหนึ่งของภูเก็ต สองข้างทางจะเต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันเก่าแก่ สวยงาม ของอาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีสครับ

สถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีส เป็นสถาปัตยกรรมที่อยู่คู่เกาะภูเก็ตมาอย่างยืนยาวมากกว่าร้อยปี เริ่มตั้งแต่ยุค ค.ศ.1850 ซึ่งเป็นยุคที่รุ่งเรืองของการทำเหมืองแร่ในภาคใต้ของไทย ภูเก็ตก็เป็นจุดศูนย์กลางสำคัญในยุคนั้น บ้านหลายหลังเป็นของนายเหมือง บ้านเจ้าเมืองและตระกูลใหญ่ๆ ซึ่งจะตั้งอยู่ในถนนเส้นเดียวกัน สถาปัตยกรรมแบบชิโนโปรตุกีสเป็นการผสมผสานเอาศิลปะตะวันตกและตะวันออกเข้าไว้ด้วยกันอย่างลงตัว จนเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของเมืองภูเก็ตไปเลยครับ

บริเวณซอยรมณีย์ก็เป็นอีกย่านหนึ่งที่สามารถชมสถาปัตยกรรมแบบชิโนโปตุกีสได้ ปัจจุบันตึกรูปแบบนี้ได้ถูกปรับปรุงให้ดูใหม่ ทาสีสันสดใส ตกแต่งให้เป็นร้านค้า เป็นเกสเฮาส์ ไว้รอต้อนรับนักท่องเที่ยวครับ

จากนั้นเดินทางกันต่อสู่จุดหมายต่อไป ผมพาเพื่อนร่วมทริปไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับการชมวิวไปในตัวที่จุดชมวิวเขานาคเกิดครับ

เส้นทางที่จะขึ้นไปยังเขานาคเกิดอยู่ไม่ไกลกับทางเข้าวัดฉลอง แต่จะอยู่ฝั่งตรงข้ามกัน เส้นทางขึ้นค่อนข้างแคบและสูงชัน ควรขับรถด้วยความระมัดระวัง สองข้างทางที่ขึ้นไปจะมีคล้ายๆ กับเนอสเซอรี่ลูกช้าง ให้นักท่องเที่ยวได้แวะให้อาหารลูกช้าง รวมถึงมีกิจกรรมขับรถ ATV ด้วยครับ

ด้านบนเขานาคเกิดเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี หรือ พระใหญ่ องค์พระเป็นปางมารวิชัยศิลปะแบบร่วมสมัยขนาดใหญ่ ประดับด้วยหินอ่อนหยกขาว “สุริยกันต" จากพม่า เห็นว่าน้ำหนักเฉพาะหินอ่อนหยกขาวประมาณ 135 ตันเลยครับ

ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 สำหรับผมที่ขึ้นมาบนจุดชมวิวเขานาคเกิด ครั้งแรกผมมาเมื่อเดือน ตุลาคม 2557 เวลาผ่านไปเกือบ 1 ปี แต่ความคืบหน้าในการก่อสร้าง ผมว่ายังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร แต่นักท่องเที่ยวก็สามารถไปสักการะพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี หรือพระใหญ่ได้ แต่คงต้องระมัดระวัง อย่าฝืนเข้าไปในเขตก่อสร้างครับ

บริเวณลานที่ประดิษฐานของพระใหญ่ สามารถชมวิวมุมสูงของเมืองภูเก็ตได้อย่างสวยงาม มองเห็นเจดีย์วัดฉลอง รวมถึงอ่าวฉลองได้ด้วยครับ

ไหว้พระเป็นสิริมงคลกับตัวแล้ว ก็เดินทางสู่จุดหมายต่อไป ผมปักหมุดไว้ที่หาดยะนุ้ย ซึ่งเป็นหาดใหม่สำหรับผม เพราะผมยังไม่เคยมาที่หาดแห่งนี้เลย

สำหรับการมาหาดยะนุ้ยนั้นอาจต้องสังเกตป้ายกันสักนิด จากวงเวียนห้าแยกฉลอง ให้มาทางหาดราไวย์ ทำทีท่าว่าจะไปแหลมพรหมเทพครับ ระหว่างทางที่ผ่านหาดราไวย์ มองเห็นฟ้าสวยๆ แถมน้ำใสๆ เลยอดที่จะขอจอดถ่ายภาพไม่ได้ บริเวณหาดราไวย์ จะมีเรือจอดอยู่เยอะมากเลย ดูจากสายตาแล้ว น่าจะเป็นทั้งเรือประมงและเรือที่ไว้คอยบริการนักท่องเที่ยวครับ

หลุดจากหาดราไวย์เล็กน้อย จะเห็นแยกทางขวามือ ป้ายบอกมาหาดยะนุ้ย ขับรถมาเรื่อยๆ ก็จะมาถึงหาดยะนุ้ยครับ

หาดยะนุ้ยเป็นอ่าวเล็กๆ ที่ผมว่าเงียบสงบดีครับ นักท่องเที่ยวไม่ค่อยเยอะ เหมาะกับการมานอนเล่นพักผ่อนมาก บริเวณหาดจะมีแนวชายหาดที่ไม่ยาวนัก ทรายถือว่าละเอียดแต่ไม่ขาวครับ บริเวณปลายชายหาดทั้งซ้ายและขวาเป็นแนวโขดหิน ที่เตะตาผมที่สุดเห็นจะเป็นเกาะเล็กๆ ที่อยู่ทางซ้ายของหาด จะมีชายหาดทอดตัวไปยังเกาะเล็กแห่งนี้ ให้อารมณ์คล้ายๆ กับทะเลแหวกที่กระบี่ หรือเกาะนางยวน ที่สุราษฎร์ธานีเลยครับ

ที่หาดยะนุ้ย ผมเห็นน้ำเสียที่ปล่อยลงมาที่หาดยะนุ้ยด้วย น้ำเสียที่เห็นเป็นสีน้ำตาลเข้มตามภาพเลย อยากให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเข้ามาดูแลจังเลย เพราะชายหาดสวยๆ จะได้อยู่คู่กับภูเก็ตไปนานๆ ครับ

เส้นทางการเดินทางมาหาดยะนุ้ยถือว่าค่อนข้างสะดวกสำหรับผู้มีรถนะครับ มีที่จอดรถค่อนข้างน้อย

จากหาดยะนุ้ย ผมเลือกเดินทางต่อไปทางซ้ายมือ เพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิวบริเวณกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้าครับ

บริเวณกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า ถือเป็นอีกจุดชมวิวหนึ่งที่ไม่ควรพลาด จากจุดชมวิวนี้ สามารถมองเห็นกังหันลม และหาดในหานได้ด้วยครับ

นอกจากนี้ยังเห็นหาดยะนุ้ยมุมสูง และเส้นทางที่จะไปยังแหลมพรหมเทพครับ

เกาะเล็กๆ บริเวณหาดยะนุ้ย ที่มีหาดทรายเชื่อมบริเวณชายหาดกับเกาะเล็กนั้น อารมณ์คล้ายๆ กับเกาะนางยวนเลยครับ

ต้นตาล พบเห็นได้ง่ายแถวๆ บริเวณแหลมพรหมเทพครับ

ออกจากจุดชมวิวบริเวณกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า ผมมุ่งหน้าสู่หาดกะตะ ซึ่งจะเป็นที่พักในคืนแรกของผม ระหว่างทางแวะชมวิวที่จุดชมวิว KARON View Point กันก่อนครับ

จากจุดชมวิว สามารถมองเห็นหาดกะตะน้อย หาดกะตะ และหาดกะรน (ไล่จากใกล้ไปไกล) ส่วนเกาะเล็กๆ ที่อยู่ทางซ้ายมือ คือ เกาะปู จุดชมวิวนี้ถือเป็นอีกจุดที่ผมมาภูเก็ตทีไรก็จะไม่พลาดมาแวะชมครับ

จบจากโปรแกรมจุดชมวิว ผมตรงดิ่งเข้าสู่ที่พักที่ EASTIN YAMA PHUKET ซึ่งตั้งอยู่ที่กะตะครับ

การเดินทางมายัง EASTIN YAMA PHUKET นั้นเดินทางไม่ยาก หากเริ่มที่วงเวียนห้าแยกฉลอง ให้มุ่งหน้ามาทางหาดกะตะ เมื่อลงเขาก่อนที่จะเข้ามายังเมืองกะตะ จะมองเห็นตัวโรงแรมพร้อมป้ายที่ติดตั้งอยู่เหนืออาคารโรงแรมเด่นอยู่ทางขวามือ จากนั้นให้สังเกตป้ายทางเข้าโรงแรมดีๆ ครับ เพราะป้ายบอกทางเข้าค่อนข้างเล็กมาก เส้นทางที่เข้าซอยค่อนข้างแคบ และอยู่บริเวณทางโค้งลงเขาพอดี แต่ถ้าหากมาจากชายหาดกะตะ ต้องพยายามเข้าถนนใหญ่ให้ได้ จากนั้นเลี้ยวขวาเพื่อมุ่งหน้าสู่วงเวียนห้าแยกฉลอง ช่วงก่อนที่จะถึงทางขึ้นเขา จะมีแยกซ้ายมือเพื่อเข้าโรงแรม เข้ามาในซอยเรื่อยๆ จะพบกับโรงแรม อยู่ทางซ้ายมือ สามารถจอดรถได้บริเวณหน้าโรงแรมเลยครับ

ยามา เป็นชื่อเรียกของสวรรค์ชั้น 3 สวรรค์ชั้นนี้เป็นสวรรค์ที่ปราศจากความลำบาก เป็นที่อยู่ของเทวดาผู้ปราศจากความลำบากและถึงซึ่งสุขอันเป็นทิพย์ เป็นสวรรค์ที่มีอายุทิพย์ คืออยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวไม่เปลี่ยนแปลง คิดสิ่งใดก็จะได้ดังหวัง สวรรค์ชั้นนี้จะรู้กลางวันกลางคืนได้ก็ต่อเมื่อดอกไม้แห่งสรวงสวรรค์จะผลิบานครับ

เมื่อก้าวเท้าเข้ามาในตัวอาคาร ผมถึงกับตาลุกวาว สะดุดตากับพื้นที่ที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อน พื้นที่ตรงนี้เป็นห้องโถงกระจก ดูสูงโปร่ง สามารถมองเห็นวิวสระว่ายน้ำ, ตัวเมืองกะตะและหาดกะตะได้ในระยะไกล และที่แตะตาผมเป็นพิเศษ เห็นจะเป็นดอกไม้ในจินตนาการที่มีชื่อว่า “ดอกมายา" ดอกไม้สีขาวขนาดใหญ่อยู่บนเพดานที่ประดับประดาด้วยโมเสกสีน้ำเงิน ระยิบระยับอยู่ตลอดเวลาครับ

พนักงานต้อนรับในชุดเสื้อปาเต๊ะสีน้ำเงินมาพร้อมกับรอยยิ้มและเสียงหวานๆ กล่าวต้อนรับ พร้อมกับนำน้ำกีวีโซดาฟรุตเย็นๆ มาเสิร์ฟ เรียกความสดชื่นให้ผมได้เป็นอย่างดีครับ

ด้านข้างของพื้นที่สำหรับให้แขกได้นั่งพักผ่อนเป็นส่วนของ Lobby ซึ่ง Lobby เป็นแบบเรียบง่ายแต่ดูดีครับ จริงๆ แล้ว พนักงานจะพาผมขึ้นไป Check in ที่ห้อง แต่ผมขอเลือกที่จะ Check in บริเวณ Lobby เพราะต้องการจะเก็บบรรยากาศบริเวณ Lobby ด้วย

หลังจากที่ผม Check in และถ่ายบรรยากาศบริเวณ Lobby เสร็จเรียบร้อยแล้ว พนักงานก็พาขึ้นไปส่งที่ห้อง ห้องที่ผมเข้าพักเป็นแบบ Superior Sea View ครับ

กุญแจห้องที่นี่เป็นระบบ Key Card ครับ

เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา ด้านซ้ายมือจะเป็นห้องน้ำ ส่วนทางขวามือจะเป็นตู้เสื้อผ้า และอ่างล้างหน้าครับ

การตกแต่งห้องพักของที่นี่เป็นแบบสมัยนิยม modern contemporary ที่เน้นสี earth tone โทนสีเทาและน้ำเงิน ตกแต่งห้องด้วยไม้บีช และเพิ่มความสดใสด้วยสีส้มจากหมอนหนุนเล็กๆ ให้ความรู้สึกสบายๆ เหมาะกับการพักผ่อนจริงๆ นอกจากเตียงขนาด King size แล้ว ยังมีพื้นที่สำหรับให้พักผ่อนอยู่ข้างๆ เตียงด้วยครับ

ในส่วนห้องน้ำ แยกเป็นสองห้อง คือห้องส้วม มีสายฉีดชำระให้พร้อม และอีกห้องเป็นห้องอาบน้ำ แบบ see throughที่มีทั้งอ่างอาบน้ำและ Rain Shower ประตูห้องน้ำทั้ง 2 ส่วนเป็นประตูกระจกฝ้าครับ

อุปกรณ์อาบน้ำออกแบบให้อยู่ในกล่องกระดาษทิชชูครับ

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกในห้องก็ตามมาตรฐานโรงแรมทั่วๆ ไป ประกอบด้วยเครื่องปรับอากาศ, LCD TV พร้อมสัญญาณดาวเทียม, ตู้เย็น, กาต้มน้ำร้อนสำหรับชงชา กาแฟ, Free Wifi ครับ

ในตู้เสื้อผ้าก็จะมี เสื้อใส่คลุมอาบน้ำ ตู้นิรภัย ร่ม ไดร์เป่าผมและรองเท้าแตะครับ

เนื่องจากห้องผมเป็นแบบ Sea View เลยมีระเบียงส่วนตัวด้วย ที่ระเบียงก็จะมีชุดเก้าอี้ไว้ให้นั่งชมบรรยากาศนอกห้องซึ่งสามารถมองเห็นสระว่ายน้ำ ตัวเมืองกะตะ รวมถึงเห็นหาดกะตะอยู่ไกลๆ แอบกระซิบนิดนึง ตอนเย็นๆ ช่วงพระอาทิตย์ตก สามารถมานั่งชมวิวพระอาทิตย์ตกที่ระเบียงห้องพักได้เลยครับ

EASTIN YAMA PHUKET มีห้องพักทั้งหมด 104 ห้อง ตั้งอยู่บนอาคารสูง 5 ชั้นสีขาว และสิ่งที่จะลืมพูดไม่ได้เลย เห็นจะเป็นสระว่ายน้ำของที่นี่ที่ได้รับความนิยมจากแขกชาวต่างชาติมาว่ายน้ำ ไม่ก็มานอนอาบแดดกันตลอดเวลา สีสันของกระเบื้องปูสระว่ายน้ำ ดูระลานตาดีทีเดียว สำหรับช่วงค่ำสระว่ายน้ำก็จะสามารถเปลี่ยนสีเป็นสีต่างๆ สลับไปมาด้วยครับ

ห้องพักแบบ Superior Pool Access เมื่อเปิดประตูหลังห้องแล้ว สามารถลงมาว่ายน้ำได้เลยครับ

ติดกับสระว่ายน้ำ จะเป็น SIP pool bar ให้บริการเครื่องดื่มตลอดทั้งวันครับ

ด้านข้างของ SIP pool bar มีพื้นที่ให้ล้างตัวก่อนขึ้นและลงสระว่ายน้ำครับ

หลังจากพักผ่อนกันจนหายเหนื่อยแล้ว ท้องก็เริ่มร้องครับ เย็นนี้ผมฝากท้องไว้ที่ร้านกันเอง 2 ซึ่งตั้งอยู่ริมอ่าวฉลอง

ร้านกันเองมี 2 สาขา ผมเลือกมาใช้บริการที่ กันเอง 2 เพราะที่นี่อยู่ริมอ่าวฉลองครับ

ผมเคยมาทานที่นี่ประมาณ 4 รอบแล้ว แต่การมาครั้งนี้ ร้านดูผิดหูผิดตาเป็นอย่างมาก แต่ผิดหูผิดตาไปในทางที่ดีนะครับ เพราะ ร้านถูก renovate ใหม่ทั้งหมด บรรยากาศน่านั่งเลยทีเดียว ผมเลือกนั่งบริเวณริมชายหาดครับ

สำหรับอาหาร มื้อนี้ผมได้หอยนางรมสดๆ ตัวใหญ่ๆ เนื้อหอยนางรมหวานมากๆ ครับ

ตามมาด้วยยำสาหร่ายครับ สาหร่ายที่ทางร้านนำมายำเป็นสาหร่ายช่อพริกไทย จริงๆ แล้วสาหร่ายช่อพริกไทยสามารถทานสดได้เลย จะมีรสชาติออกเค็มนิดหน่อย กรอบ เวลาทานก็เพียงแค่ตักน้ำยำใส่ช้อนและนำสาหร่ายวางบนน้ำยำที่ตักไว้ แล้วนำเข้าปากได้เลยครับ น้ำยำผมว่ารสชาติยังไม่ถึงเท่าที่ควรครับ

เมนูต่อมาคือ น้ำพริกกุ้งเสียบครับ มาภูเก็ตแล้วผมไม่อยากจะให้พลาดกับเมนูนี้ กุ้งเสียบตัวใหญ่ๆ รสชาติจัดจ้าน เผ็ดกำลังดี ทานคู่กับผักสด อร่อยมาก นึกถึงรสชาติแล้วน้ำลายสอเลยครับ

ตามมาด้วยสะตอผัดกุ้ง สะตออาจจะอ่อนไปสักนิดเลยไม่ค่อยมันสักเท่าไร อ่อนเผ็ดและเค็ม โดยส่วนตัวแล้วเมนูนี้ไม่ปลื้มครับ

ใบเหลียงผัดไข่ ผัดออกมาแฉะไปสักนิด ปกติผมจะเคยทานแบบแห้งๆ กลิ่นของใบเหลียงยังไม่ขึ้นสักเท่าไร โดยส่วนตัวรสชาติพอได้แต่ไม่ปลื้มครับ

แกงส้มยอดมะพร้าวกุ้ง ยังแซบไม่ถึงใจ รสชาติอ่อนไปสักนิด กุ้งให้มาเยอะพอๆ กับยอดมะพร้าวเลยครับ

โดยรวมแล้ว รสชาติอาหารถือว่ากลางๆ ไม่จัดจ้านเหมือนสูตรคนใต้แท้ๆ อาจเนื่องมาจากทางร้านอาจจะปรับให้เข้ากับคนทั่วไปเพื่อให้ทานได้กันทุกคนก็ได้ครับ

หลังอิ่มท้องแล้วก็มุ่งหน้ากลับเข้าที่พักครับ

บรรยากาศบริเวณพื้นที่ให้แขกได้นั่งพักผ่อน ช่วงกลางคืนผมว่าสวยกว่าช่วงกลางวันอีกครับ มองเห็นเงาสะท้อนบนเพดาน ดอกยามายามส่องแสงทำให้ดูมีมิติมากๆ ให้ความรู้สึกเหมือนดอกยามากำลับผลิบานครับ

มุม internet ครับ

ช่วงค่ำยิ่งทำให้ผมได้เห็นว่า ดอกยามาผลิบานอยู่ทั่วทุกแห่งของโรงแรมจริงๆ แม้แต่ในห้องพักก็ตาม ที่จะมองไปทางไหนก็จะพบเจอแต่ดอกยามา ผ้าม่าน ผนัง เพดานห้อง แก้วน้ำ หมอนอิง โคมไฟ ล้วนมีดอกยามาประดับอยู่เต็มไปหมด ขนาดตอนนอนอยู่บนเตียง แล้วปิดไฟจนมืดทั้งหมด ยังมองเห็นดอกยามาเรืองแสงอยู่ที่ผนังด้านปลายเตียงเลยครับ คืนนี้ขอตัวพักผ่อนบนเตียงนุ่มๆ ก่อนละครับ

เช้าวันใหม่ตื่นมาพร้อมกับความสดใส ออกมาสูดอากาศที่ระเบียงห้อง มองออกไปด้านนอกถึงได้รู้ว่าฝนเพิ่งจะหยุดตกไป วันนี้ผมมีโปรแกรมที่จะออกทริปลงเกาะไข่เสียด้วย ในใจตอนนี้ก็ภาวนาขอให้เจอฟ้าใส ไร้ฝนครับ

หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน อาบน้ำเรียบร้อยแล้ว ผมก็ลงไปทานอาหารที่ห้องอาหาร SENZEES restaurant ซึ่งอยู่ชั้นล่างของโรงแรมครับ

SENZEES restaurantเปิดให้บริการตั้งแต่ 06.00 – 11.00 น. พื้นที่ของห้องอาหารมีทั้งอยู่ในตัวอาคารและภายนอกอาคารครับ ภายในค่อนข้างกว้างเลยทีเดียว

หากใครชอบบรรยากาศแบบโปร่งๆ สามารถมานั่งทานด้านนอกห้องอาหาร ซึ่งอยู่ติดริมสระน้ำได้นะครับ ผมว่าบรรยากาศตรงนี้ดีเลยครับ แต่เวลาเดินไปตักอาหารอาจไกลหน่อยเท่านั้นเอง

ไลน์อาหารเช้า จะมี 3 มุมครับมุมนี้จะเน้นไปทางอาหารหนัก

มุมนี้จะอยู่ตรงกลางใต้โคมไฟสีฟ้า มีอาหารแบบ Cold cuts, สลัด, ผลไม้, โยเกิต และน้ำผลไม้ครับ

และมุมที่ 3 คือมุมที่เกี่ยวกับเมนูไข่ เชฟจะมาปรุงกันใหม่ๆ ตามความต้องการของแขกครับ

บรรยากาศยามเช้าของสระว่ายน้ำครับ จากสระว่ายน้ำมองขึ้นไปบนเขาที่อยู่ด้านหลังโรงแรม หากสังเกตดีๆ จะเห็นพระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี ที่ประดิษฐานอยู่บนเขานาคเกิดด้วยครับ

ตลอด 1 คืนที่ผมได้เข้ามาพักที่ EASTIN YAMA PHUKET ผมได้รับการต้อนรับและบริการเป็นอย่างดีจากพนักงาน ในเรื่องห้องพัก ความสะดวกสบายและความสะอาด ผมพึงพอใจในระดับดีถึงดีมากครับ

สำหรับข้อเสียก็พอมีให้เห็นอยู่บ้าง เริ่มกันที่

1. ป้ายบอกทางเข้าโรงแรมบริเวณถนนใหญ่ ค่อนข้างเล็ก หาทางเข้าค่อนข้างยากครับ

2. จุดทางเข้ามายังโรงแรมค่อนข้างอันตราย เนื่องจากเป็นทางโค้งและลงเขา รถวิ่งกันด้วยความเร็ว

3. ที่จอดรถมีค่อนข้างจำกัด น่าจะจอดรถได้ไม่ถึง 20 คัน (ประมาณจากสายตา) แต่จากการสอบถามพนักงานแล้ว พนักงานบอกว่า แขกที่มาพักส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ ซึ่งจะใช้บริการของรถสาธารณะซะมากกว่า ที่จอดรถที่มีอยู่ถือว่าเพียงพอรองรับรถของแขกที่เข้าพักได้ครับ

4. โรงแรมไม่ติดหาด แต่โรงแรมมี Shuttle Service ให้บริการรับ-ส่ง โรงแรม-หาดกะตะ วันละ 2 รอบ ในเวลา 10.00 น. และ 14.00 น. ครับ

5. อาหารเช้ายังไม่หลากหลายเท่าที่ควร ผมว่ารสชาติไม่ค่อยถูกปากคนไทยสักเท่าไร แต่คิดว่าน่าจะถูกใจคนต่างชาติครับ

6. เครื่องดื่มร้อนที่รวมใน buffet อาหารเช้า มีเพียง ชา กาแฟเท่านั้น หากจะสั่งโกโก้ร้อน มีค่าใช้จ่ายเพิ่มครับ

สำหรับโปรแกรมในวันนี้ ผมเลือกซื้อแพคเกจทัวร์ One day Trip ไปยังเกาะไข่ แบบเต็มวัน โดยติดต่อผ่าน ติดดินทราเวล (TiddinTravel) ซึ่งเป็นพันธมิตรร่วมกับ รถเช่าภูเก็ตและทัวร์ภูเก็ตครับ รถตู้จะมารับ-ส่ง ถึงโรงแรมที่พัก เฉพาะผู้ที่พักอยู่ในตัวเมืองภูเก็ต หาดกะตะ หาดกะรน หาดป่าตอง สำหรับผู้ที่พักหาดอื่น เช่น หาดกมลา หาดไม้ขาว จะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม หากจะให้รถของบริษัททัวร์ไปรับ-ส่งครับ

ก่อนที่จะไปเที่ยวเกาะไข่ เรามาทำความรู้จักเกาะไข่กันก่อนดีกว่าครับ เกาะไข่ เท่าที่ผมรู้จักมีอยู่ด้วยกัน 2 เกาะ คือ เกาะไข่ ที่ตะรุเตา หากใครนึกภาพไม่ออก ให้นึกถึงซุ้มประตูหินกลางทะเล นั่นแหล่ะครับคือเกาะไข่ ตะรุเตา และเกาะไข่อีกที่อยู่ที่พังงา ซึ่งหลายคนเมื่อพูดถึงเกาะไข่แห่งนี้แล้ว อาจจะคิดว่าอยู่ในเขตของจังหวัดภูเก็ต เพราะส่วนมากทัวร์เกาะไข่ จะออกเรือที่ท่าเรือภูเก็ต แต่แท้ที่จริงแล้ว เกาะไข่นั้นอยู่ในเขตของอ่าวพังงา จังหวัดพังงา ซึ่งมีด้วยกันทั้งหมด 3 เกาะ คือ เกาะไข่ใน เกาะไข่นอก และเกาะไข่นุ้ยครับ

08.30 น. รถตู้ของบริษัททัวร์มารับผมไปส่งยังท่าเรือในตัวเมืองภูเก็ต บริเวณท่าเรือจะมีเอกสารสำหรับให้เราใส่ชื่อและที่พัก สำหรับเป็นข้อมูลในการทำประกันครับ นอกจากนี้ยังมีมุมกาแฟ ไว้คอยให้บริการฟรีด้วย

ติดดินทราเวลจะส่งต่อลูกค้าให้กับบริษัทภูเก็ตนิวเจ็นเนอเรชั่นทราเวล จำกัด จากท่าเรือเรานั่งเรือประมาณ 20 นาที ก็มาถึงเกาะแรก คือเกาะไข่นุ้ยครับ

เกาะไข่นุ้ยเป็นเกาะเล็กๆ ที่บริษัททัวร์จะมาปล่อยให้นักท่องเที่ยวได้มาดำน้ำดูปะการังที่นี่ เกาะไข่นุ้ยมีชายหาดเล็กๆ แต่ไม่อนุญาตให้ขึ้นไปบนชายหาดครับ

น้ำใสเลยทีเดียวครับ มองเห็นฝูงปลามากมายโดยที่ไม่ต้องลงไปดำน้ำเลย

จากจุดจอดเรือกลางทะเลบริเวณเกาะไข่นุ้ย มองไปอีกด้านจะเห็นหาดทรายสีขาวจั๊วะของเกาะไข่นอกครับ

ทัวร์จะให้เวลานักท่องเที่ยวดำน้ำอยู่ที่เกาะไข่นุ้ยประมาณ 45 นาที หลังจากนั้นก็จะออกเดินทางกันต่อสู่เกาะไข่ในครับ

จากเกาะไข่นุ้ย นั่งเรือต่ออีกประมาณ 10 นาที ก็มาถึงยังเกาะไข่ใน หาดทรายสีขาวจั๊วะท่ามกลางน้ำทะเลสีมรกต สะกดผมให้ตกอยู่ในภวังค์เลยครับ

มองออกไปที่ฝั่งตรงข้ามของเกาะไข่ใน มองเห็นเกาะยาวใหญ่ครับ

เกาะไข่ในเป็นเกาะเล็กๆ ที่มีหาดทรายสีขาวละเอียดตลอดชายหาดทั้งด้าน น้ำทะเลใสมากๆ เหมาะกับการดำน้ำดูปะการังมากๆ ครับ

บนชายหาดนอกจากที่มีทรายสีขาวละเอียดแล้ว ยังมีหินรูปร่างหน้าตาประหลาดมากมาย เป็นประติมากรรมจากธรรมชาติที่สรรค์สร้างขึ้นจากการกัดกร่อนของกระแสลมครับ

ด้านหลังของหาดทรายขาว จะเป็นหาดที่มีทั้งหาดทรายและหิน บริเวณนี้จะแออัดไปด้วยเตียงและร่มผ้าใบ นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่จะเป็นคนจีน แต่ผมว่าบริเวณที่เป็นหาดทรายอย่างเดียวจะสวยกว่าครับ

อีกหนึ่งประติมากรรมธรรมชาติที่รังสรรค์ขึ้น ยิ่งใหญ่จริงๆ ครับ

อีกฝั่งของเกาะไข่ในเป็นหาดหินครับ บริเวณนี้ไม่มีนักท่องเที่ยวเลย ผมเดินเล่นจนรอบเกาะ แล้วก็มาหมดแรงบริเวณที่ผมลงเรือครับ

ผมมาปักหลักนอนพักที่เตียงผ้าใบตรงบริเวณที่ลงเรือ จากการเดินสำรวจรอบเกาะ ผมว่าจุดนี้สวยที่สุดของเกาะแล้วครับ เบื้องหน้ามองเห็นหาดทรายสีขาวกับน้ำทะเลที่ไล่เฉดสีอย่างสวยงาม มีวิวของเกาะยาวใหญ่เป็นฉากหลัง มีร่มหลากสีเป็นฉากหน้า มันเป็นภาพที่ประทับใจผมจริงๆ ครับ

ตอนเที่ยง ทัวร์นำอาหารกลางวันมาให้ มื้อนี้เป็นข้าวผัดกุ้งและไก่ทอดน่องโต รสชาติของข้าวผัดอร่อยโดยไม่ต้องพึ่งน้ำปลาพริกเลยครับ ตบท้ายด้วยแตงโมและสับปะรด สำหรับน้ำดื่มเป็นน้ำแก้ว รวมถึงน้ำอัดลมที่บริการกันตลอดทริปครับ

สำหรับเตียงผ้าใบและร่ม ไม่รวมอยู่ในราคาแพคเกจครับ หากใครต้องการจะพักผ่อนนอนเล่นที่เตียงผ้าใบใต้ร่มหลากสีสันต้องจ่ายเพิ่มเอา ในราคา 2 เตียง 150 บาท ราคานี้รวมเตียง 2 เตียงและร่ม 1 คันครับ ผมใช้เวลาอยู่ที่เกาะไข่ในประมาณ 2 ชั่วโมงก็เดินทางต่อสู่เกาะไข่นอกครับ

เกาะไข่นอกเป็นเกาะเล็กๆ ที่มีความสวยงามด้วยโขดหิน หาดทรายที่เกาะไข่นอกขาวไม่แพ้เกาะไข่ในเลยครับ บริเวณเกาะไข่นอกนี้มีร้านอาหารและเครื่องดื่มไว้คอยให้บริการด้วยครับ

น้ำใสมากๆ สามารถดำน้ำชมปะการังได้ครับ

เกาะไข่นอกมุมสูงครับ

ที่เกาะไข่นอก มีเตียงผ้าใบให้บริการ ราคาเดียวกับที่เกาะไข่ในครับ

เมื่อเทียบความสวยงามระหว่างเกาะไข่ในและเกาะไข่นอกแล้ว ผมชอบเกาะไข่ในมากกว่า เพราะว่าสภาพภูมิประเทศของเกาะไข่ใน นอกจากจะมีหาดทรายขาวแล้ว ยังมีหินรูปร่างแปลกตาให้ชมอีกด้วย สำหรับเรื่องความใสของน้ำทะเลคงไม่ต้องพูดถึง เพราะใสด้วยกันทั้งสองหาด แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเห็นว่าทั้งสองหาดมีเหมือนกันคือ ขยะ ที่ถูกทิ้งอยู่ตามหาดทรายมากมาย ยิ่งที่เกาะไข่ในบริเวณหาดหิน จะมีเศษแก้วอยู่ด้วยครับ ผมอยากให้นักท่องเที่ยว รวมถึงผู้ประกอบการที่อยู่บนเกาะทั้งสอง ช่วยกันดูแลรักษาความสะอาด เพื่อให้ความสวยงามของเกาะไข่ทั้งสองอยู่คู่กับทะเลพังงาไปอีกนานๆ ครับ ผมใช้เวลาบนเกาะไข่นอก 2 ชั่วโมงก็ต้องเดินทางกลับไปยังภูเก็ตแล้ว จากเกาะไข่นอกไปยังท่าเรือภูเก็ตใช้เวลาเดินทาง 20 นาที แต่ยังไม่ทันที่จะก้าวเท้าขึ้นฝั่ง ฝนก็มาต้อนรับอย่างหนำใจเลย ฝนตกหนักขนาดนี้ โปรแกรมต่อไปของผมคือ ไปรอชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพคงต้องงดไปโดยสิ้นเชิง

รถตู้ของบริษัททัวร์พาผมมาส่งยัง EASTIN YAMA PHUKET ปรากฏว่า ที่กะตะฝนไม่ตกครับ แถมฟ้าไม่ปิดด้วย ผมจึงรีบบึ่งรถไปยังแหลมพรหมเทพทันที เพราะเวลาตอนนั้นก็เกือบหกโมงเย็นแล้วด้วย

เมื่อไปถึงยังลานจอดรถบนแหลมพรหมเทพ ผมคงต้องถอดใจ เพราะไม่มีที่จอดรถว่างเลย แต่ก็ยังคงขับรถเลยไปจากลานจอดรถสักเล็กน้อย ยังมีพื้นที่เป็นลานกว้างสำหรับจอดรถได้ แต่ต้องเดินไกลสักหน่อย แต่ก็ไม่เป็นไร ไหนๆ ก็มาถึงที่แล้ว ยอมเดินไกลดีกว่าไม่ได้ไปลุ้นว่าเย็นนี้จะเห็นพระอาทิตย์ตกหรือไม่

เมื่อเดินไปจนถึงแหลมพรหมเทพก็พบกับนักท่องเที่ยวที่ต่างจับจองมุมดีๆ ไปเกือบหมดแล้ว ผมมองออกไปบนท้องฟ้า มองแทบไม่เห็นดวงอาทิตย์ทรงกลมเลยครับ เห็นแต่เพียงรัศมีของดวงอาทิตย์แบบเลือนรางที่อยู่เบื้องหลังม่านเมฆเท่านั้น ผมให้สมาชิกในทริปรีบเก็บบรรยากาศโดยรอบของแหลมพรหมเทพก่อนที่จะสิ้นแสง จากนั้นผมก็พาสมาชิกเดินไปถ่ายรูปในอีกมุมหนึ่งที่มีฉากหลังเป็นกังหันลมผลิตกระแสไฟฟ้า ยังไม่ทันที่จะเก็บรูปเสร็จ สายตาก็พลันมองเห็นดวงอาทิตย์กลมโต โผล่พ้นม่านเมฆออกมา แล้วค่อยๆ ลับตาหายไปในเส้นขอบฟ้าครับ

ผมมารอชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพหลายครั้งมาก แต่น้อยครั้งเท่านั้นที่จะได้เห็นพระอาทิตย์ตกสมใจ แล้วครั้งนี้ความหวังผมก็หมดสิ้นตั้งแต่ฝนกระหน่ำที่ท่าเรือแล้ว ถือว่าเป็นโชคดีจริงๆ สำหรับวันนี้ที่ได้เห็นพระอาทิตย์ตกครับ

เวลายังคงเดินต่อไปพร้อมกับแสงงามๆ ที่ค่อยๆ อวดโฉม ถือเป็นเวลาทองของคนถ่ายภาพจริงๆ ครับ ผมเองก็กดชัตเตอร์แบบไม่ยั้งเลยเหมือนกัน

หมดแสงแล้ว ก็หมดเวลาสำหรับวันนี้ของผมเหมือนกัน ผมคงต้องเดินทางกลับสู่ที่พักแล้ว คืนนี้ผมพักที่ Swissotel Resort ซึ่งตั้งอยู่ที่หาดกมลาครับ

เนื่องจากผมมาถึงโรงแรมตอนมืดแล้ว รีวิวช่วงนี้เลยขอนำภาพไม่เรียงช่วงเวลามารีวิวนะครับ

จากแหลมพรหมเทพ ผมเลือกเดินทางตามถนนสาย หาดกะตะ หาดกะรน ผ่านหาดป่าตอง มุ่งหน้าสู่หาดกมลา จนผ่านภูเก็ตแฟนตาซีซึ่งตั้งอยู่ทางขวามือ ขับรถตรงไปอีกเล็กน้อยจนสิ้นสุดรั้วกุโบร์ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านซ้ายมือ จะพบกับสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก สังเกตป้ายโรงแรมซึ่งตั้งอยู่ทางขวามือให้ดีครับ เมื่อข้ามสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กแล้ว ให้เลี้ยวขวาเข้าไปในซอยทันที ขับรถต่อไปอีกสักเล็กน้อยก็จะมาถึงด้านหน้าของโรงแรมครับ

ด้านหน้าโรงแรมดูหรูหราไม่เบาเลยทีเดียวครับ

เมื่อเดินเข้ามาในส่วนของโรงแรม ด้านซ้ายมือจะเป็นพื้นที่ของ Lobbyผมชอบลวดลายที่อยู่ด้านหลัง Lobby จริงๆ ครับ สอบถามพนักงานแล้ว ภาพที่เห็นแทน Swiss circle ที่จะบอกเล่าเรื่องราวและวัฒนธรรมของชนชาติที่มีเสน่ห์และร่วมสมัย แต่ไร้กาลเวลา เป็นการเชื่อมโยงระหว่างประเพณีและความทันสมัยที่สามารถมองเห็นได้ครับ

ส่วนด้านขวามือเป็นพื้นที่สำหรับให้แขกได้นั่งพักผ่อนครับ ระหว่าง Check in จะมี welcome drink เป็นน้ำสตอเบอรี่เย็นๆดื่มแล้วชื่นใจดีครับ

ห้องพักที่ Swissotel มีทั้งหมด 180 ห้อง โดยจะเป็นห้องสวีท มีให้เลือกทั้งแบบหนึ่งห้องนอน สองห้องนอนและสามห้องนอน ที่นี่จึงเหมาะกับการมาพักผ่อนกันแบบครอบครัว หรือกลุ่มเพื่อนครับ

หลัง Check in เสร็จ พนักงานพาเดินมาส่งยังห้องพัก ห้องที่ผมพักคืนนี้เป็นแบบ One bedroom pool terrace suite ห้องพักจะหันหน้าให้สระว่ายน้ำ และจะมีเก้าอี้สำหรับให้มานั่งกินบรรยากาศริมสระว่ายน้ำครับ

กุญแจห้องที่นี่เป็นระบบ Key Card ครับ

เมื่อเปิดห้องพักเข้ามา จะพบกับห้องโถงขนาดใหญ่ มีมุมนั่งเล่น สามารถทำกิจกรรมร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเป็นดูทีวี นั่งทานอาหารร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีโต๊ะทำงาน ตู้เย็น ให้ด้วยครับ

เข้ามาดูในส่วนของห้องนอนกันบ้าง ภายในห้องนอนจะมีเตียงนอนขนาด King Size ทีวี และตู้เสื้อผ้าครับ

ภายในตู้เสื้อผ้า ยังมีเตารีดพร้อมที่รองรีด ร่ม เสื้อคลุมอาบน้ำ และตู้นิรภัยครับ

ภายในห้องน้ำ แยกส่วนเปียกส่วนแห้งด้วยกระจก โถสุขภัณฑ์ไม่มีสายชำระครับ

อุปกรณ์อาบน้ำเป็นของ Pürovel กลิ่นหอมดีครับ แต่เสียดายที่ปริมาณน้อยไปสักนิด สำหรับการอาบน้ำของคน 2 คน วันละ 2 เวลาครับ

มีกาต้มน้ำสำหรับชงชากาแฟ และน้ำดื่มครับ

มาดูบรรยากาศด้านนอกกันบ้างครับ สระว่ายน้ำของที่นี่ใหญ่มากๆมีเตียงนอนอาบแดด อยู่โดยรอบของสระว่ายน้ำ เตรียมพร้อมเพื่อให้แขกได้เพลิดเพลิดกับการผ่อนคลายริมสระ เปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00 – 20.00 น.ครับ

สระว่ายน้ำพร้อมสไลเดอร์ครับ

บาร์ริมสระน้ำให้บริการอาหารหลากหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มและอาหารว่าง เพิ่มความเพลิดเพลินในขณะที่พักผ่อนริมสระว่ายน้ำ ให้บริการตั้งแต่ 10.00 – 21.00 น.ครับ

เรื่องความปลอดภัยทางด้านอัคคีภัย เห็นภาพแบบนี้ก็คงหายห่วงนะครับ เพราะมีสายดับเพลิงอยู่ทั่วทั้งโรงแรมครับ

มาดูบรรยากาศยามค่ำของ Swissotel กันบ้างครับ

Main Entrance

พื้นที่รับรองแขก ให้แขกได้มานั่งพักผ่อนระหว่างรอ Check in/Check out ครับ

มุมห้องอาหาร Café ครับ

สระว่ายน้ำพร้อม pool bar

วันนี้เหนื่อยมาทั้งวันจริงๆ ขอไปกลิ้งบนเตียงนุ่มๆ ก่อนนะครับเช้าวันใหม่ ผมมาฝากท้องที่ห้องอาหาร Café ครับ ห้องอาหาร Café เปิดให้บริการตั้งแต่ 06.30 – 23.00 น.

ห้องอาหารเป็นแบบ Open air รองรับแขกได้ถึง 250 คนเลยทีเดียวครับ

พื้นที่หลากหลายมุมมากครับ อย่างมุมนี้มองเห็นสวนเขียว

รูปแบบของที่นั่งก็หลากหลายเช่นกัน

สำหรับผม ขอเลือกนั่งมุมนี้ครับ เก้าอี้ใหญ่ นั่งสบาย ทานไปชมวิวสระน้ำไปครับ

ไลน์ Buffet ค่อนข้างหลากหลาย เติมอาหารตลอดครับ

มุมสลัด

มุม Cold cuts

มุมข้าวต้มครับ

มุม Bakery

มุม Waffle, Pancake, French toast ครับ

มุมผลไม้ เงาะแอบเหี่ยวครับ

น้ำผลไม้สำหรับดีทอค ทำจาก แตงโม สตอเบอรี่ และใบมิ้นท์ รสชาติดีเชียวครับ ผมดื่มไปหลายแก้วเลย

มาดูเมนูอาหารไทยในวันที่ผมทานกันครับ

ผัดไท คนทานกันเยอะมาก ต้องเอามาเติมตลอดครับ

เมนูง่ายๆ อย่างเกี๊ยวทอด ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติจริงๆ ครับ ผมเองยังทานเล่นไปหลายแผ่นเลยทีเดียว

ด้านนี้จะเป็นพวกแฮม ฮอทดอก ครับ

Station เกี่ยวกับเมนูไข่ หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นไข่ลวก ออมเล็ต ไข่ดาว ฯลฯ

เครื่องดื่มร้อน มีทั้งกาแฟ ชา และโกโก้ร้อนครับ

ถึงแม้อาหารจะดูเหมือนมีไม่กี่เมนู แต่รวมๆ แล้วถือว่าหลากหลายครับ รสชาติไม่ได้เอาใจคนต่างชาติเกินไป และอาหารคอยมาเติมตลอดด้วย มื้อเช้านี้ผมเลยตุนลงท้องไปเยอะเลยครับ

ข้อดีของ Swissotel

- ห้องพักมีพื้นที่ค่อนข้างกว้าง

- อุปกรณ์อำนวยความสะดวกภายในห้องพักครบครัน

- น้ำดื่มขอเพิ่มได้ตลอดเวลา

- สระว่ายน้ำขนาดใหญ่

จุดด้อย

- ไม่ติดชายหาด

- พื้นห้องเป็นไม้ เวลาเดินในห้องจะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดๆ ตลอดเวลา

- โถสุขภัณฑ์ ไม่มีสายฉีดชำระ

- ที่จอดรถบริเวณ Main Entrance สามารถจอดรถได้ประมาณ 5-6 คัน ถ้าหากจุดนี้เต็ม จะต้องจอดขนานไปกับแปลนของโรงแรมที่เป็นรูปสี่เหลี่ยม ทำให้บางทีอาจต้องเดินไกลกว่าจะมาถึง Lobby

มาพักที่หาดกมลา แต่ผมยังไม่มีโอกาสได้ไปสัมผัสหาดกมลาเลย เพราะเมื่อคืนก็มาถึงที่พักตอนมืดแล้ว ดังนั้นหลังจาก Check out เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป ผมแวะจอดรถบริเวณหน้าป้ายโรงแรมตรงถนนใหญ่ และเดินต่ออีกเล็กน้อยเพื่อไปสัมผัสกับหาดกมลาครับ

ชายหาดกมลา มีความยาวร่วม 2 กิโลเมตรเลยทีเดียว ครั้งที่สึนามิถล่มภูเก็ต หาดนี้ก็โดนหางเลขไปด้วยเหมือนกัน จุดที่ผมเดินจากปากทางเข้าหน้าโรงแรมนั้นจะอยู่ช่วงปลายหาดกมลาแล้วครับ บริเวณชายหาดค่อนข้างเงียบสงบ และเป็นส่วนตัว (อาจเนื่องมาจากการจัดระเบียบชายหาดหรือเปล่า อันนี้ไม่แน่ใจ) แต่ผมไม่รู้ว่าช่วงกลางๆ หาดจะพลุกพล่านหรือเปล่านะครับ แต่ปลายหาดนี่แทบไม่เห็นนักท่องเที่ยวเลยครับ

จากหาดกมลา ขับรถต่อขึ้นมาทางเหนือ สภาพเส้นทางจะขึ้นเขาเล็กน้อย เมื่อพ้นเหลื่อมเขา จะพบกับศาลาชมวิว ที่สามารถชมวิวมุมสูงของแหลมสิงห์ครับ

ผมเองก็เพิ่งรู้ว่าภูเก็ตก็มีแหลม ชื่อ แหลมสิงห์ด้วย เพราะผมเคยไปเที่ยวแต่แหลมสิงห์ จ.จันทบุรี แหลมสิงห์ที่ภูเก็ตนี้มีชายหาดไม่กว้างนัก จากจุดชมวิวมุมสูง มองเห็นสีน้ำทะเลเป็นสีเขียวตัดกับสีฟ้าคราม สวยมากๆ ครับ

ขับรถเลยจากแหลมสิงห์มาอีกสักนิด ก็จะพบกับเส้นทางเล็กๆ ที่สามารถลงหาดสุรินทร์ได้ครับ จริงๆ ทางลงหาดสุรินทร์จะอยู่เลยไปอีกเล็กน้อย แต่ผมคิดว่าถ้าไปลงหาดตรงเส้นทางหลัก อาจจะเจอนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เลยขอลงหาดในจุดที่นักท่องเที่ยวไม่เยอะจะดีกว่าครับ

จุดเด่นของหาดสุรินทร์ ผมว่าน่าจะอยู่ที่เม็ดทรายค่อนข้างละเอียด เมื่อน้ำทะเลยามต้องแสงแดด มันทำให้เห็นความต่างของสีน้ำทะเลอย่างชัดเจน ชายหาดที่นี่ไม่เหมาะกับการเล่นน้ำ เพราะมีลักษณะลาดชัน ขนาดวันที่ผมไป คลื่นลมก็ไม่ค่อยแรง แต่ยังมีธงแดงปักเตือนห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำทะเลอยู่เลยครับ

ขับรถต่อมาเรื่อยๆ เห็นป้ายชี้บอกทางเลี้ยวซ้ายเข้าสู่หาดบางเทา ผมไม่รอช้ารีบเลี้ยวรถไปตามเส้นทาง แต่เหมือนขับไปแล้วป้ายจะหายไป ทำให้ต้องงมเส้นทางอยู่นาน ตลอดเส้นทางที่ใกล้ถึงหาด เจอแต่โรงแรมอยู่เต็มไปหมด

ลัดไปเลาะมา จนมาเจอทางเข้าเล็กๆ ที่มองเห็นทะเล ผมไม่รอช้ารีบเลี้ยวรถแล้วหาที่จอดทันที ผมว่าจริงๆ แล้วจุดที่ผมจอดรถมันไม่ใช่ทางเข้าหลักของหาดบางเทาหรอกครับ

หาดบางเทาเป็นหาดที่มีความยาวมากที่สุดแห่งหนึ่งของภูเก็ต มีทิวของต้นสนทะเลเรียงรายอยู่ตลอดชายหาด จุดที่ผมแวะเที่ยว มีชิงช้าที่มีสายชิงช้ายาวมากๆ ครับ

ก่อนที่จะก้าวขึ้นรถเพื่อเดินทางต่อ พลันเห็น background สวยๆ หลังรถเช่า เลยขอเก็บภาพไว้สักนิดครับ พูดถึงรถเช่า ผมขอเบรกอารมณ์ แนะนำรถเช่าสักเล็กน้อย ทริปนี้ผมเช่ารถของบริษัท Blue Beetle car rent ซึ่งรอบนี้เป็นรอบที่ 3 แล้วที่ผมใช้บริการกับบริษัทนี้ ทำไมผมถึงติดใจที่นี่นักหนา ตอบเลยครับว่า ที่นี่ราคาไม่แพง แถมขั้นตอนการเช่าก็ไม่ยุ่งยากมากมายด้วย ราคาที่แจ้งไว้ก็ไม่มี ++ เหมือนหลายๆ บริษัท รอบแรกที่ผมจอง ได้ในราคาวันละ 1,000 บาท ได้รถป้ายแดงมาขับ รอบ 2 จองช่วงโปรฯ ได้ในราคาวันละ 900 บาท แถมผมคืนช้าไป 2 ชั่วโมงก็ไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่ม สำหรับรอบ 3 นี้ ผมจองช่วงโปรฯ อีกเช่นกัน ได้ในราคาวันละ 800 บาทครับ ถ้าหากเพื่อนคนไหนสนใจที่จะเช่ารถกับบริษัทBlue Beetle car rent สามารถเข้าไปดูโปรโมชั่นดีๆ ได้ที่ FB : รถเช่าภูเก็ตและทัวร์ภูเก็ต นะครับ ซึ่งถ้าผมมาภูเก็ตอีก ผมก็คงจะเลือกใช้บริการกับที่นี่อีกเช่นเคยครับ

จากหาดบางเทา ขับรถเลาะมาเรื่อย จนมาโผล่แถวๆ วัดพระทอง ผมเลยไม่รอช้า พาเพื่อนร่วมทริปแวะไหว้พระผุด หนึ่งใน Unseen Thailand ยุคแรกๆ ของ ททท. ครับ

องค์พระผุดประดิษฐานอยู่ภายในวิหารหลวงพ่อพระทองครับ

วัดนี้ไม่ได้มีพระผุด 2 องค์นะครับ จริงๆ แล้วองค์พระผุดเป็นพระพุทธรูปทองคำครึ่งพระองค์ ที่โผล่เพียงพระเกตุมาลาขึ้นมาจากพื้นดินประมาณ 1 ศอก (องค์ที่อยู่ทางขวามือของภาพ) ปัจจุบันทางวัดได้สร้างพระผุดองค์จำลองไว้ใกล้ๆ กันเพื่อให้พุทธศาสนิกชนมาติดทองเพื่อความเป็นสิริมงคลครับ และสิ่งที่ไม่ควรพลาดชมอีกจุดหนึ่งในวัดพระผุด คือพิพิธภัณฑสถานวัดพระทอง ด้านในเป็นที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุ สิ่งของเครื่องใช้ที่มีค่าทางประวัติศาสตร์มาก หลายสิ่งหลายอย่างผมก็เพิ่งจะเคยเห็นที่นี่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อกันฝนชาวเหมืองแร่ดีบุก, หมอนกระเบื้อง แต่ที่ตื่นตาตื่นใจผมที่สุดเห็นจะเป็นรองเท้าตีนตุก (รองเท้าคู่เล็กๆ) ของสตรีเชื้อสายจีน ที่จะมัดเท้าให้เล็กตามค่านิยมของสังคมสมัยนั้น ภายในพิพิธภัณฑ์ไม่อนุญาตให้ถ่ายรูปครับ

จากนั้นเดินทางกันต่อสู่ Royal Phuket Marina ครับ

Royal Phuket Marina ถือเป็นอีกหนึ่งไลฟ์สไตล์เดสติเนชั่นแห่งใหม่ในภูเก็ตครับ ที่นี่มีพื้นที่กว่า 200 ไร่ ภายในมีทั้งโรงแรม ร้านอาหาร ร้านค้ามากมาย รวมถึงที่จอดเรือยอชด้วยครับ ที่นี่จะอยู่ติดกับ Boat Lagoon เลยครับ

ผมล่ำลาทริปภูเก็ตด้วยการมาทานอาหารพื้นเมืองที่ร้านหมี่สะปำคุณยายเจียร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Royal Phuket Marina ขับรถเลยแยกบายพาสมาสักนิด ร้านจะอยู่ทางขวามือครับร้านหมี่สะปำคุณยายเจียร เป็นร้านขายอาหารพื้นเมือง อยู่คู่ภูเก็ตมานานกว่า 50 ปี ที่นี่มีหลากหลายเมนูเลยทีเดียว ร้านนี้เป็นร้านกว้างๆ ชั้นเดียว ขอบอกว่า ลูกค้าเยอะมากๆ ครับ

เริ่มที่หมี่สะปำ ซึ่งถือว่าเป็นพระเอกของร้านครับ หมี่สะปำเป็นหมี่ผัดฮกเกี้ยน ลักษณะจะเป็นเส้นหมี่สีเหลือง เอามาผัดกับผักกวางตุ้ง เสริมด้วยกุ้ง ปลาหมึก ลูกชิ้นปลา เมนูนี้ไม่ใส่ไข่ 50 บาท ใส่ไข่ 55 บาท พิเศษ 70 บาทครับ

ตามมาด้วยโอต้าว เมนูนี้คล้ายๆ หอยทอดภาคกลาง แต่ที่นี่ใช้หอยติบ (หอยนางรมตัวเล็กๆ ที่อยู่ตามธรรมชาติ ไม่ใช่หอยเลี้ยง) ผัดรวมกับเผือกนึ่ง ไข่ และแป้งสาลีผสมแป้งมันสำปะหลัง แป้งจะรวมกับน้ำของเผือก ทำให้หวาน เนื้อแป้งเหนียวนุ่ม โรยหน้าด้วยกุ้งแห้ง หอมแดงเจียว เสิร์ฟพร้อมถั่วงอกดิบ ทานคู่กับซอสพริก จานนี้ถูกปากผมจริงๆ ครับ เชื่อกันว่าการทานโอต้าวจะทำให้ลูกหลานรักกันเหนียวแน่นเหมือนกับโอต้าวที่มีความเหนียวนุ่ม เมนูนี้ 50 บาทครับ

ตามมาด้วย หอยทอด หอยทอดที่นี่ไม่เหมือนหอยทอดภาคกลางที่จะผสมแป้ง หอยแมลงภู่ และถั่วงอก ผัดรวมกันพร้อมใส่ไข่ แต่ที่นี่จะใช้หอยติบมาผัดกับถั่วงอก เสิร์ฟพร้อมแป้งที่บางกรอบม้วนแยกออกมาต่างหาก ทานคู่กับซอสพริก อร่อยเข้ากันดีเลย เมนูนี้ 50 บาทครับ

ปอเปี๊ยะสดเนื้อปู จานนี้อร่อยดีทีเดียวครับ

กระเพาะปลา จานนี้ไม่ใช่อาหารพื้นเมืองครับ สั่งเพราะความอยากทานมากกว่า กับราคา 50 บาทครับ

เกี๊ยวทอด อาจจะไม่ใช่อาหารพื้นเมือง แต่เห็นโต๊ะข้างๆ เขาสั่งมาแล้วอดใจไม่ไหวครับ เลยขอสั่งมาเคี้ยวเล่นสัก 1 จาน 30 บาทครับ

ปิดท้ายด้วย โอ้เอ๋ว ของหวานที่หาทานได้ที่ภูเก็ตที่เดียวครับ โอ้เอ๋วทำมาจากวุ้นของเมล็ดโอ้เอ๋ว ที่แช่น้ำแล้วใช้เมือกโอ้เอ๋วมาผสมกับเมือกของกล้วยน้ำว้า เพื่อให้โอ้เอ๋วจับตัวเป็นก้อน เวลาทานก็ตัดมาเป็นชิ้นๆ ทานคู่กับน้ำเชื่อมและน้ำแข็งใส อร่อยชื่นใจดี เมนูนี้ 25 บาทครับ

นอกจากนี้ยังมีอาหารพื้นเมืองอย่างอื่นอีก เช่น หมี่หุ้นกระดูกหมูตุ๋นยาจีน โลบะ อูแช แต่ผมไม่ได้สั่งมาลองครับ เพราะอิ่มซะก่อนครับ ร้านหมี่สะปำคุณยายเจียร เปิดทุกวัน ตั้งแต่ 10.00-18.00 น. นะครับ ใครที่มาเที่ยวภูเก็ต ขอแนะนำให้มาทานอาหารพื้นเมืองดูนะครับ

หลังมื้อเที่ยงก็ตรงเข้าสู่สนามบิน เพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับ สำหรับขากลับ ผมเลือกโดยสารกับสายการบินนกแอร์ครับ

สนามบินภูเก็ตเปลี่ยนทิศทางการขึ้นลงของเครื่องบิน ขาออกจากภูเก็ตนี้ เครื่องบินจะมุ่งหน้าทะยานออกสู่ทะเลครับ

ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้าสักนิด มองออกไปเบื้องล่างเห็นสะพานสารสิน สะพานแห่งนี้ถือเป็นสะพานที่มีความสำคัญกับภูเก็ตมาก เพราะเชื่อมต่อเกาะภูเก็ตกับผืนแผ่นดินใหญ่ของจังหวัดพังงาครับ

มองเห็นกลอรี่ (Glory) ด้วยครับ กลอรี่เป็นวงแสงสีรุ้งรอบเงาของเครื่องบิน โดยวงแสงนี้จะปรากฏอยู่บนเมฆหรือหมอกที่ต่ำกว่าผู้มองครับ

ผ่านน่านฟ้าประจวบคีรีขันธ์ มองเห็นเขาล้อมหมวกด้วยครับ

ไม่นานนักก็บินสู่น่านฟ้าสมุทรปราการ ปากอ่าวไทยครับ

มองเห็นตึกสูงๆ และคุ้งน้ำเจ้าพระยา

เครื่องบินมาตีโค้งถึงแถวๆ ประตูน้ำพระอินทร์เลยครับ เพราะมองเห็นพื้นที่ของวัดธรรมกายด้วย

แล้วก็มาถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพครับ

ถือเป็นการจบทริปด้วยความประทับใจอีกหนึ่งทริป ได้ไปเที่ยวในสถานที่ที่ผมยังไม่เคยไปหลายแห่ง แถมฝนฟ้ายังเป็นใจอีกด้วย ฟ้าเปิดตลอดทริปที่ได้ลงไปถ่ายรูป และฝนตกช่วงที่กำลังเดินทางนิดหน่อยเอง หากเพื่อนๆ คนไหนมีแผนจะไปเที่ยวที่ภูเก็ตแล้วยังไม่มีไอเดียในการวางแผนท่องเที่ยว ลองใช้โปรแกรมผมเป็นทางเลือกดูนะครับ มันอาจจะทำให้ทริปของเพื่อนๆ สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันอาทิตย์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 11.49 น.

ความคิดเห็น