Canopy Walkway : เส้นทางชมธรรมชาติลอยฟ้า ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

  • ตั้งอยู่ภายในสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ อำเภอแม่ริม จ.เชียงใหม่
  • เวลาทำการ : 08.30 – 16.30 น. ทุกวันไม่เว้นวันหยุดราชการ
  • อัตราค่าเข้าชม
  • ชาวไทย ผู้ใหญ่ คนละ 40 บาท เด็กคนละ 20 บาท
  • รถจักรยานยนต์ คันละ 30 บาท รถยนต์สี่ล้อ คันละ 100 บาท (รวมคนขับ)
  • สำหรับผู้สูงอายุ อายุเกิน 60 ปีขึ้นไป, เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี, พระภิกษุ สามเณร และผู้พิการ **ไม่เสียค่าเข้าชม**
  • ค่ารถบริการนำชมสวน (รถราง) ผู้ใหญ่ คนละ 30 บาท เด็ก คนละ 10 บาท


- ต่อจากเที่ยวที่ม่อนแจ่ม -


- DAY 2 -

07 JAN 2017

เป็นทริปต่อเนื่องจาก Blog ที่แล้วที่เราไปเที่ยวม่อนแจ่มกันมา แล้วต่อด้วยทานมื้อเที่ยงที่ธารนำ้ตกเส้นแม่ริม-สะเมิง จ.เชียงใหม่ เมื่อมื้อเที่ยงผ่านไป เรากับเพื่อนๆก็ขึ้นรถกะบะ ซึ่งตกลงกันว่าจะนั่งเล่นหลังกะบะ มันชินกับการเดินทางแบบนี้ รับลมเย็นๆ มองวิวโล่งๆให้มันสบายตา

เราเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป ซึ่งไม่ไกลจากบริเวณที่ทานข้าวกัน ซึ่งพี่สาครเป็นคนแนะนำสถานที่นี้ให้ นั่นคือ " สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ " ทีแรกตั้งใจจะไปเที่ยวตามไร่สตอเบอรี่ แถวสะเมิง แต่ดูเวลาแล้วไม่น่าจะพอ พวกเราจึงตกลงไปสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์กัน

  • เรามากันสี่คนพร้อมรถกะบะ เสียค่าเข้าชม 220 บาท


ลานทางเดินมีการจัดสวนดอกไม้นาๆชนิด

เดินขึ้นมาจากลานจอดรถในส่วนหน้าของ สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ จะเจอลานกว้างที่ปลูกดอกไม้มากมายหลายชนิด มีภูเขาเป็น background อยู่ด้านหลัง แสงอ่อนๆในตอนเย็นๆทำให้บริเวณลานสวนดอกไม้มีนักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูปกันพอสมควร



เราแวะเดินเข้าไปถ่ายนิดหน่อย จึงเดินต่อเข้าไปยังจุด HIGH LIGHT ของโคงการก็คือ

Canopy Walks เส้นทางเดินเหนือเรือนยอดไม้

Canopy Walks เป็นเส้นทางเดินชมธรรมชาติเหนือเรือนยอดไม้ ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีระยะทางเดินกว่า 400 เมตร Canopy Walks ตั้งอยู่บริเวณริมถนนด้านขวามือ ตรงข้ามกับสวนเฉลิมพระเกียรติ ๗๗ พรรณษา ภายในสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์




การออกแบบก่อสร้างด้วยโครงสร้างเหล็กกล้าทาด้วยสีเทาอมเขียว เพื่อให้มีความกลมกลืนกับธรรมชาติ


Canopy Walks สะพานเป็นโครงสร้างเหล็กกล้า Hot Dip Galvanized ที่ได้ทำการออกแบบ ก่อสร้างมาเป็นอย่างดี จึงรับรองความปลอดภัย ในทางบางช่วงมีกระจกใส และเป็นจุดพักชมวิว แวะถ่ายรูปมุมสวยๆที่รายล้อมด้วยธรรมชาติ ต้นไม้สูง ซึ่งยังสามารถมองเห็นวิวด้านล่างได้อีกด้วย




สูงเหนือพื้นดินกว่า 20 เมตร สามารถชมทัศนียภาพที่สวยงามของทิวยอดไม้ในแบบพาโนรามา


เส้นทางเดินข้างบนสวยงามมากด้วยธรรมชาติ มีต้นไม้ใหญ่ขนาบสองด้านสะพานที่ทอดยาวไปเบื้องหน้า มีต้นไม้นานาพรรณหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นทิวสนสามใบ ต้นหมาก ต้นสน ต้นตะแบก ต้นตะคำ ต้นกำญาณ และอีกหลายๆต้นไม้ที่ขึ้นปะปนกันไปในนป่าเบญจพรรณนี้ที่มีความอุดมสมบูรณ์อย่างมาก เพราะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลกว่า 800 เมตร

ตลอดเวลาที่เดินชมธรรมชาติ จะได้ยินเสียงนกร้องอยู่ตลอดเวลา บ่อยครั้งที่สามารถเห็นนกหลากหลายสายพันธุ์บินมาเกาะอยู่กิ่งไม้ ถ้าใครที่ชอบส่องนก หรือถ่ายนกไม่ควรจะพลาด พี่สาครที่นำขบวนเราเดินไป แกจะเอากล้องส่องนกติดไปด้วย พอเห็นนกแกก็หยุดส่องอยู่นาน บางทีเห็นนกสวยๆ พี่สาครก็เรียกพวกเรามาดู ผ่านทางกล้องส่องทางไกล ฮ้าๆ


สอนส่องนกกันอยู่ 55



นางแบบจำเป็นกับแสงสวยๆตอนเย็นๆ

เดินไปจนสุดสะพานแล้ว เจอฝูงคนเย่อะมาก เพราะต่างคนต่างอยากถ่ายรูปตรงบริเวณนั้น เพราะสามารถเห็นวิวภูเขาอยู่ด้านหลัง เรากับเพื่อนเข้าไปไม่ถึง แถมขี้เกียจรอด้วย 555 เลยเดินกลับ เพื่อออกไปยังส่วนที่สองของสวนพฤกษศาสตร์ที่อยู่ด้านในของโครงการ จึงถ่ายรูปเล่นกันไปเรื่อยๆ

นานๆทีจะมีรวมกัน 3 คน เพราะต่างคนต่างมีมุมมองในการเที่ยว มีช่วงเวลาส่วนตัวของตัวเอง ให้เวลาในการเที่ยวในแบบที่ตัวเองชอบและสนใจ

เหล่ามนุดป้า ทั้ง 3 คน 555





เพราะทุกวันคือรันเวย์ ....

เดินถ่ายรูปตามเส้นทางที่มีป้ายบอกว่าเป็นทางออกมาเรื่อยๆ ซึ่งจะออกอีกทาง คนละทางกับทางเข้า เมื่อเดินมาจนถึงทางออก ซึ่งจะเชื่อมกับส่วนที่เป็นในส่วนขายของที่ระลึก ร้านอาหาร ออกมาก็เจอลานดอกไม้ ซึ่งเป็นจุดแรกที่เราวิ่งขึ้นมาจากลานจอดรถไปถ่ายรูปดอกไม้นั่นเอง


บริเวณหน้าทางออกของ Canopy Walks


: สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ :

หลังจากเดินเล่นที่ Canopy Walk เป็นเวลาพอสมควร เราเดินออกมาขึ้นรถ เพื่อเข้าไปในส่วนด้านในของสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์

สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.2536 มีพื้นที่ประมาณ 6,500 ไร่ เดิมทีมีชื่อว่า “สวนพฤกษศาสตร์แม่สา” ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นสวนพฤกษศาสตร์ประจำภาคเหนือของประเทศไทย


กลุ่มอาคารเรือนกระจก

กลุ่มอาคารเรือนกระจก เป็นอาคารเรือนกระจกขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนลานเนินเขาที่สวยงาม ภายในอาคารใหญ่รวบรวมพรรณไม้ในเขตป่าดงดิบจากทุกภูมิภาคของทวีปเอเชีย โดยใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ในการควบคุมระดับความชื้นสัมพัทธ์ด้วยการฉีดละออง น้ำในเรือนกระจก รวมทั้งมีน้ำตกจำลองด้วย ซึ่งจัดแต่งสภาพเหมือนกับเข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ นอกจากนี้อาคารเรือนกระจกอื่นๆ ก็มีพรรณไม้ที่น่าสนใจ เช่น พืชทะเลทราย พรรณไม้น้ำ เฟิร์น กล้วยไม้ เป็นต้น

กลุ่มอาคารเรือนกระจกของสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ประกอบด้วยเรือนกระจก 3 แบบคือ

1). เรือนกระจกขนาดใหญ่ หรือเรือนแสดงไม้ป่าดิบชื้น

2). เรือนกระจกขนาดกลาง

3). เรือนแสดงพรรณไม้ทั่วไป

- ขอบคุณข้อมูล -

CR. QUEEN SIRIKIT BOTANICAL GARDEN - WEBSITE



สวนดอกกุหลาบนาๆพันธุ์


สวนดอกกุหลาบ

สวนแรกที่ทักทายต้อนรับพวกเราก็ คือสวนดอกกุหลาบ ซึ่งมีดอกกุหลาบหลากหลายสายพันธุ์เย่อะไปหมด จำชื่อไม่ค่อยได้ มีทั้งดอกสวยๆที่เราเคยเห็นประจำตามปากคลองตลาด และดอกกุหลาบที่ไม่รู้จักอีกหลายพันธุ์ ถ้ามาช่วงเดือนธันวาคมดอกไม้จะสวยมาก ซึ่งเราไปมานั้นดอกยังมีอยู่แต่เริ่มจะเหี่ยวและกลีบดอกกุหลาบเริ่มร่วงโรยไปบ้างแล้ว

เป็นคนชอบดอกกุหลาบสีขาว จะหลงใหลและอยู่แถวๆสวนกุหลาบสีขาวเป็นพิเศษ ยืนมองแล้วก็ถ่ายรูปสบายใจแล้ว อยู่ท่ามกลางดอกกุหลาบสีขาวมากมาย...







มีม้านั่งเหล็กสีขาวจัดวางไว้ให้นักท่องเที่ยงมานั่งถ่ายรูปสวยๆ


เรือนพืชทนแล้ง (Arid Plants)

ถัดจากสวนกุหลาบเราก็เดินเข้าไปในเรือนกระจก ซึ่งภายในเรือนกระจกนั้นเป็น ZONE เรือนพืชทนแล้ง (Arid Plants) เป็นโรงเรือนขนาดใหญ่ ปลูกพืชสกุลกระบองเพชรชนิดต่างๆ เช่นถังทอง (Echinocactus grusonii) ตระกูลแมม (Mammillaria) แอสโตร (Astrophytum) พืชสกุลศรนารายณ์ กุหลาบหิน เสมา พืชอวบน้ำ (succulents) และไม้แล้งทรงสูง




เรือนปลูก CACTUS หรือพืชทนแล้ง

โรงเรือนกระจกแสดง cactus เป็นเรือนปลูกกระบองเพชร มีการรวบรวมพืชตระกูลกระบองเพชรชนิดต่างๆ ที่สำคัญจากทั่วโลก มีทั้งหายาก และสายพันธุ์ที่เราเห็นขายตามท้องตลาดทั่วๆไปก็มี แต่ละชื่อก็เรียกยากและจำยาก หลากหลายสายพันธุ์ของพืชตระกูลกระบองเพชร มากมายจริงๆ

บริเวณส่วนนี้ เราจะชอบมากเป็นพิเศษ เพราะชอบปลูกต้น cactus อยู่แล้วจึงเพลิดเพลินมากๆ ชอบรูปทรงและดอกของมัน มีเสน่ห์ดี พืชที่หนามเต็มตัวแต่ซ่อนความสวยงามไว้ด้านใน แถมความสวยงามนั้น ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้เห็น ดอกสวยๆของ cactus ถือเป็นความท้าทายของคนเลี้ยง cactus







กุหลาบหินที่มีใบอวบน้ำ (Flaming Kathy) สีเขียวอมฟ้า

Zebra Haworthia ต้นนี้ ที่มีหน้าตาเหมือนว่านหางจระเข้ผสมม้าลาย มีดอกที่มีก้านยาวๆ



เรือนสวนพืชกินแมลง Carnivorous Plant

สวนพืชกินแมลง สวนพฤกษศาสตร์จะรวบรวมพืชกินแมลง ที่วิวัฒนาการมาเพื่อความอยู่รอดกับการอยู่ในดินที่มีสารอาหารน้อย จึงต้องดักกินแมลงหรือสัตว์ตัวเล็กๆเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ เช่น หม้อข้าวหม้อแกงลิง กาบหอยแครง และหยาดน้ำค้าง


หม้อข้าวหม้อแกงลิง ไม้แปลกจากป่าดงดิบ



ยังมีอีกหลายๆโซนที่เรายังไม่ได้ไปดู เพราะแค่เดินดูต้นกระบองเพชรและดอกกุหลาบก็ใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน ฟ้าเริ่มมืด แสงเริ่มหมดเราเลยไม่ได้เดินดูต่อ ต้องเตรียมตัวเดินทางเข้าที่พักแล้ว ซึ่งคุณป้าเจ้าของที่พัก โทรมาตามเป็นระยะๆ เพราะกลัวว่าเราจะเดินทางลำบากในการเข้าไปที่พัก เนื่องจากต้องขับรถไปอีกไกลจากที่นี่ เข้าไปแถวจอมทอง-ดอยอินทนนท์

ภายในสวนมีอยู่หลายโซนที่เรายังไม่ได้ไป



แชะกันสักหน่อยก่อนเข้าที่พัก


ขากลับเดินทะลุออกมาทางโซน ด้านหลังของโรงเรือน Cactus (กระบองเพชร) บริเวณด้านหลังภายนอกอาคาร จะเห็นต้นไม้มีลูกสีเหลือง ออกลูกเต็มต้น จำชื่อไม่ได้แล้วว่าต้นอะไร คล้ายๆลูกจันทร์ หอมๆที่ชอบเอามาดมตอนเด็กๆเลย แต่ลูกนี้ไม่น่าจะมีกลิ่น





ถ่ายกันแบบว่าจริงจังมาก เกิดมาคงไม่เคยเห็นสิท่า 555 ( ว่าแต่คนอื่นตัวเองก็ด้วย...แฮ้ๆ)


Chomthong Farmstay & Camping

เราเดินทางออกมาจากสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ก็เย็นมากจนแสงเริ่มหมด พี่สาครจึงขับรถไปส่งเราทีที่พัก จอมทองฟาร์มสเตย์ แอนด์ แค้มปิ้ง ซึ่งเราเป็นคนจองผ่านทาง BOOKING จองแล้วก็ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของเชียงใหม่ ฮ้าๆ รู้แค่ว่าใกล้ทางขึ้น ดอยอินทนนท์ เพราะเช้าอีกวันเราจะไปเดินที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติ กิ่วแม่ปาน ดอยอินทนนท์

นั่งรถจนปากสั่นมือสั่นเพราะนั่งอยู่หลังกะบะหนาวมากกกกก สุดท้ายทนไม่ไหวเลยขอเข้าไปนั่งในรถกัน 555 แล้วก็คิดถูกที่เข้าไปนั่งในรถเป็นเพื่อนพี่สาคร เพราะมืดแล้ว สองทุ่มเรายังไม่ถึงที่พักเลย แถมทางที่เข้าไปลึกและเปลี่ยวมากๆ ผ่านหมู่บ้าน แล้วห่างออกไปผ่านวัด แล้วขับไปเรื่อยๆเป็นทุ่งนาแล้ว ตอนนั้นคือเสียดายที่มาไม่ทันได้เห็นวิวที่นี่ คุณป้าบอกว่าอยากให้มาเห็นสวยมาก แล้วเราก็ดูตามรีวิวต่างๆ คือแบบสวยอะวิวธรรมชาติ ทุ่งนา ภูเขา นอนเต็นชิวๆรับลมหนาวนี่น่าจะฟินสุดๆ

แต่ว่าเวลาเราเห็นแต่ความมืดมาตลอดทาง....



หมูกะทะสุดฟินนน ปิ้งย่างอากาศหนาวๆเย็นๆ ฟินไปเล้ยยยยยย


พอเรามาถึงคุณป้าใจดีมาก เอาลำไยมาให้กินกันก่อน เป็นลำไยจากสวน และติดไฟเตาถ่านรอ เพราะเราบอกให้คุณป้าเตรียมหมูกะทะให้เราตอนมื้อค่ำไว้ด้วยซึ่งทั้งหมดราคาน่าจะ 300 บาท บรรยากาศเหมือนอยู่บ้านตัวเอง คุณป้าคุณลุงดูแลเหมือนลูกหลาน แถมเป็นห่วงว่าเราจะหลงทางเพราะมืดแล้ว (ก็น่าเป็นห่วงนะ เส้นทางเข้ามาลึกใช้ได้เลย )

ปาร์ตี้หมูกะทะกับอากาศหนาวๆเข้ากันดีจริงๆ อร่อยมากๆ กินอิ่มแล้วก็อาบน้ำนอน น้ำเย็นๆกับอากาสแบบนี้ เราต้องผ่านไปให้ได้ 5555

เราจองเต็นท์ใหญ่ นอนกัน 3 คนไป ภายในเต้นท์ มีทั้งหมอก ผ้าห่ม ทางที่พักเตรียมไว้ให้แล้ว รีบนอนพรุ่งนี้ตื่นแต่เช้า แล้วภาวนาขออย่าให้ฝนตกเย่อะ แค่ปรอยๆพอ อยากเห็นทะเลหมอกสวยๆที่กิ่วแม่ปาน และถ้าตกเย่อะ เราก็อาจจะนอนกันไม่ได้ ฮ้าๆ

ฝันดีราตรสวัสดิ์วันรุ่งขึ้นเราจะพาไป ล่าทะเลหมอก ที่กิ่วแม่ปาน!!



😺 แมวพเนจร 🌿

 วันเสาร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 23.29 น.

ความคิดเห็น