““สวยแบบวัวตายควายล้ม” เคยได้ยินคำนี้กันไหมคะ

เราก็เคยเหมือนกันนะ แต่ไม่รู้หรอกว่า เขาใช้ในกรณีใด อิอิ

แต่หากเราจะเอาคำนี้มาใช้กับทริปใบไม้เปลียนสีที่ ฟุคุชิมะ ที่เราเจอมาและมีความรู้สึกว่า มันสวยสลบ จริงๆ

ก็คงไม่ได้โอเวอร์มากไปใช่มั้ย เพราะที่เราเห็นด้วยตาตัวเองมานั้น มันสวยไปหมด !!

การเดินทางวันที่ 2 ทริปฟุคุชิมะได้เริ่มขึ้นแล้ว หลังจากที่มาถึงเมือง Aizu-Wakamatsu และฟ้าปิดนับตั้งแต่ตอนนั้น

มีข่าวว่า พายุไต้ฝุ่นลูกที่ 22 กำลังเข้ามาในวันพรุ่งนี้ !! นั่นคือวันนี้เรายังโชคดีที่จะไม่เจอฝน

แต่ฟ้านี่ก็อย่าไปคาดหวังกะมันน่ะ เฆฆขาวโพลนเต็มทั้งฟ้าได้ทั้งวันค่ะ



และนั่งรถไฟต่อไปยัง To-no Hetsuri เพื่อดูความมหัศจรรย์ของดงใบไม้เปลียนสีที่พีคสุดแล้ว



ออกเดินทางกันมายังสถานี Aizu-Wakamatsu Station ตอนสายๆ แต่พลาดค่ะ

พลาดที่ไม่ได้เช็คเวลาตารางรถไฟก่อนว่าจะมีรถไฟไปกี่โมงจะได้เตรียมตัวมาทันเวลา

ในเมื่อไม่รู้ รถไฟรอบแรกจึงไปก่อนหน้านู้นล่ะ ไม่เป็นไร รอรอบต่อไปก็ด้ายยยยย

ระหว่างรอวนไป ก็ถ่ายรูปเล่นกันเจ้าตัวแดงๆเนี่ยแหละ กระทิงแดงหรือป่าวนะ

นี่เป็นสัญลักษณ์ของเมือง Aizu-Wakamatsu เค้าค่ะ เห็นทั่วเมืองเลย


การเดินทางไปยังหมูบ้านโบราณ Ouchi Juku โออุจิ จูกุ เนื่องจากการเดินทางไม่สามารถใช้ JR Pass ได้

เราซื้อ aizu gurutto card ราคา 2670 เยน สำหรับเที่ยว 2 วัน เพื่อใช้นั่งรถไฟเที่ยว To-no hetsuri กับ Ouchi juku

ในวันนี้พร้อมไว้สำหรับนั่งรถไฟเที่ยวในวันพรุ่งนี้ด้วย

ได้เวลาออกเดินทางกันแล้วจ้า รถไฟสายท่องเที่ยว วิ่งตลอดเส้นทาง ถ้าวิ่งผ่านวิวไหนสวยๆ

รถไฟจะจอดให้เราถ่ายรูปกันบนรถไฟนี่นะคะ น่ารักมาก สองข้างทางดูกันเพลินๆ งามตาจริงๆ


ถึงแล้วค่ะ สถานี Yunokami Onsen ซึ่งระหว่างนั่งรถไฟมาเนี่ย กังวลเหมือนกันนะ กลัวเลยป้ายค่ะ

เพราะสถานีที่วิ่งผ่านเหล่านั้น ล้วนแต่ชื่อ Onsen ตามท้ายทั้งนั้น

เอาละซี้ๆๆๆ ต้องคอยถามและดูป้ายเอา แต่ส่วนมากเป็นป้ายภาษาญี่ปุ่นนี่สิ เอิ่มมมม

แต่สรุปก็ไม่เลยนะคะ เพราะผู้นำทาง (พี่หยี น้ำฟ้าฯ) กะเวลาเอาว่าจะถึงอีกกี่นาที เวลาค่อนข้างแน่ชัด นี่คือความสบายอย่างหนึ่ง

ที่เดินทางมากับเจ้าพ่อ map เรื่องหลงทางไว้ใจได้เลยค่ะ ไม่มีทางเลยจริงๆ ทั้งทริป ขอบอกๆ

เอ้าาา ลงสถานีหน้าเลยค่ะ ชัวร์ Yunokami Onsen^^

จากนั้นก็นั่งรถ Shuttle สีเขียวๆ ซึ่งเป็นรถบัสนำเที่ยวเช่นกัน มีจอดรอข้างๆ ที่สถานี Yunokami Onsen

บัสไป - กลับ หมู่บ้าน Ouchi Juku คนละ 1000 เยน

ตลอดเวลาที่รถบัสวิ่งไปยังหมู่บ้าน Ouchi Juku บอกเลยว่า วิวสองข้างทาง งามมากกกกกกกกก

มีสายน้ำลำธาร น้ำใสๆ ไหลผ่าน ตลอดสองข้างทางเป็นใบไม้เปลียนสี เรานี่ตื่นตาตื่นใจอย่างที่สุด !

อ่ะนั่งรถมาประมาณ 20 นาที มาถึงแล้ว หมู่บ้านโบราณ Ouchi Juku ที่ใครมาเที่ยว Fukushima ต้องวางลงในทริปสักวันกันแหละค่ะ

เป็นหมู่บ้านโบราณ น่ารักๆ มีของที่ระลึกขายเยอะมาก และนักท่องเที่ยวก็เยอะด้วย ถือเป็นสีสันหนึ่งของหมู่บ้านเแห่งนี้เยอะประมาณไหนนั้น เดี๋ยวไว้ค่อยดู อิอิ ตอนนี้ เก็บภาพเฉพาะจุดมาให้ดูก่อนนะคะ เผื่อใครอยากช้อปของแปลกๆ



เห็นคนมารุมล้อมร้านนี้กันเยอะมากก ด้านหน้าร้านจะมีที่นั่งเป็นขอนไม้ให้ด้วย แต่ในภาพมันคืออะไรหว่า ไม่สันทัดเรื่องของกินแบบนี้ 555

เห็นปลาเสียบไม้ กับแผ่นแบนๆ กลมๆ เสียบย่าง ในอากาศหนาวเย็นเลขตัวเดียว

ความอร่อยของอาหารแนวย่างร้อนๆ แบบนี้ จึงฟินนักแล




และเมื่อมาถึง หมู่บ้าน Ouchi Juku ว่ากันว่าสิ่งที่ห้ามพลาดคือ ไอติมชาเขียว โคนละ 300 เยน

และราเม็ง ที่ใช้ต้นหอมยักษ์แทนตะเกียบค่ะ

ส่วนหน้าตาจะเป็นอย่างไร เดี๋ยวมื้อเที่ยงเราจะพาไปกินกันนะคะ

หลังจากเดินฝ่าผู้คน นักท่องเที่ยวต่างๆ เข้ามาในหมูบ้านแล้ว ด้านซ้ายมีเห็นมีซอย มีถนนเข้าไปด้วย เราก็ไม่รู้ว่าคืออะไร เข้าไปก่อน ค่อยว่ากัน ด้านข้างๆ จะมี ร้านแมวน่ารักๆ ที่เค้าพูดถึงกันด้วยแต่เราไม่ได้ถ่ายรูปมา แต่สิ่งที่เราถ่ายรูปมานั่นคือ

วิวตรงหน้าค่ะ ทางเดินที่ไร้ผู้คน แต่มันสวย และโรแมนติกสำหรับเรา



ฉากหลังเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยใบไม้เปลี่ยนสี หลากสีสัน รวมทั้งทุ่งนา ที่อยู่ระหว่างการเกี่ยวข้าว เห็นสีทองมาแต่ไกล นั่นแหละๆ

ถนนเส้นนี้ไม่ค่อยมีคนเดินมากัน เพราะไม่ใช่จุด View Point ของหมู่บ้าน Ouchi Juku



กลับเข้าสู่วัยเด็กแป๊ปนึงด้วยการนั่งชิงช้า เดาว่าเป็นโรงเรียนนะคะ เพราะมีสนามหญ้า และชิงช้าด้วย น่าจะเดาถูกนะ อิอิ

เมื่อไม่ใช่จุด View Point ของหมู่บ้าน เราก็เดินออกจากถนนเส้นนั้นมา

และเดินเข้าสู่ถนนหลักของหมู่บ้าน พร้อมกับผู้คนที่มุ่งหน้า จุดหมายเดียวกัน

นั่นคือจะขึ้นไปดูมุมสูงของหมู่บ้าน Ouchi Juku


ทางเดินขึ้นชมมุมสูงของหมู่บ้าน Ouchi Juku ขึ้นได้สองทางค่ะ

มีทางไม่ชัน กับชันมาก ให้เราเลือกเอา

แน่นอนว่าเราเลือกทางขึ้นแบบไม่ชัน เดินง่ายๆ สบายๆ

และเป็นทางเดินที่เลือกถูกต้องด้วยนะ เพราะว่าพอขึ้นไปถึงแล้ว

มันสวยมากกกก



สีเหลืองของใบไม้เปลี่ยนสีนั้น โดดเด่นเป็นสง่ามากต้นนี้

พร้อมศาลาที่ปิดประตูมิดชิด ไม่รู้คืออะไร แต่ด้านหลังเป็นสุสาน หลุมฝังศพของหมู่บ้านค่ะ ><

เราไม่สนใจ เราสนแค่ เวลานี้ ใบไม้เปลียนสีสดๆ งามตระการตาเราอย่างมาก

พร้อมกับชัตเตอร์ที่ลั่นรัวๆ อย่างลิงโลดในที่ตื่นตาตื่นใจใหม่ๆ บนนี้



มันสวยมากใช่ไหมล่าาาาาา ^^

เดินต่อไปยังมุมสูง นักท่องเทียวบนนี้จะเยอะพอสมควรค่ะ พอๆ กับนักท่องเที่ยวที่อยู่เบื้องล่าง

และก็มาถึงมุมมหาชนของหมู่บ้าน Ouchi Juku นี่เล้ยยย



ซูมไปอีกใกล้ๆ ให้ดูบรรดานักท่องเที่ยวที่มาเยือน Ouchi Juku พร้อมทั้งดูความน่ารักของหลังคาบ้านโบราณ ดูแล้วอบอุ่นดีเนอะ แต่ว่าไปแล้ว ขอบอกๆ ว่า ช่วงหิมะตกน่ะ หมู่บ้านนี้มองลงไปยิ่งสวยงาม

สีสันคนละฟิลกันช่วงใบไม้เปลียนสีเลยแหละ ^^

ระหว่างทาง ก็ชักภาพวนไป ส่วนมากจะเห็นแต่สีเหลืองๆ ของใบไม้

สีแดงยังไม่ค่อยมาเท่าไหร่



แต่เชื่อว่า อีกอาทิตย์เดียว บนนี้จะเต็มไปด้วยใบไม้สีแดง เต็มๆ ตาอย่างแน่นอนค่ะ ใครอยากมาช่วงฤดูกาลของใบไม้เปลียนสี

กะเกณฑ์ช่วงเวลากันให้ดีดี เพราะแต่ละที่นั่น เปลียนสีไม่พร้อมกัน ขึ้นอยู่กับความสูงต่ำของพื้นที่ด้วยนะเออ



ก่อนจะลงจากบนจุดชมวิวนี้มีศาลากระดิ่งให้ลั่นด้วยนะคะ เดาว่าเหมือนบ้านเราที่ให้ไปกระตุกกระดิ่งให้ดัง พร้อมทั้งอธิษฐานขอพรค่ะ

ขอให้สวย ขอให้รวย ขอให้ก้าวหน้า สาธุ๊


ลงมาแล้วหิวๆ ต้องไม่พลาดกับราเม็งต้นหอมยักษ์ที่ขึ้นชื่อของหมู่บ้าน Ouchi Juku

เลี้ยวเข้าไปกินกัน มีที่นั่งแบบเก้าอี้ และแบบพื้นของญี่ปุ่นด้วย


สิ่งที่เราไม่ชอบอย่างหนึ่งของร้านอาหารที่ญ๊่ปุ่นคือ การสูบบุหรี่ภายในร้านอาหารนี่แหละค่ะ เรานี่โดนเต็มๆ

ยิ่งนั่งโต๊ะข้างๆ ด้วยแหละก็ กลิ่นบุหรี่แรงมาก

ทำให้บรรยากาศเสียไปด้วยนะ ว่ามั้ย ทำให้เราต้องมาทนดมกลิ่นบุหรีไปด้วยเนี่ย ไม่ไหวๆ


อ่ะได้มาแล้ว ราเม็งต้นหอมยักษ์ ชามละ 950 เยน อ่ะจ๊ากกกกก

ถ้าเป็นราคาไทยเท่ากับ 285 บาท ถือว่าราคาแรงเอาเรื่องเหมือนกันนะ ส่วนรสชาติ ยังไงเราก็ยังไม่คุ้นเคย

ไม่ถูกปากอยู่ดี ให้ตายสิ 555


จุดขายของราเม็งต้นหอมยักษ์คือใช้ต้นหอมมีลักษณะโค้งคล้ายช้อนแทนตะเกียบ

พร้อมทั้งกัดกินต้นหอมกันเลย เรานี่ไม่กินต้นหอมยักษ์ค่ะ และก็กินได้ไม่ถึงครึ่งชามอีกด้วย อิอิ

ประมาณว่า จ่าย 950 เยน กินไป 200 เยนอะไรประมาณนี้ ><


ก่อนกลับออกมาจากหมู่บ้านโบราณ Ouchi Juku ที่สถานีรถไฟ Yunokami Onsen มีของขายเยอะด้วย

สายตาเราแลเห็นแอปเปิ้ลแดงค่ะ ต้องจัดๆ


ถุงละ 500 เยนค่ะมีประมาณ 6 ลูก ลูกใหญ่ด้วย ซื้อมาถุงหนึ่ง

แต่เห้ย นี่เรายังต้องไปอีกหนึ่งแห่งนะ ต้องแบกเแอปเปิ้ลใส่เป้เดินไป 555 คิดแล้วหนักเพิ่มมาอีก 2 โลกว่าๆ

แต่บอกเลยว่าไม่ผิดหวัง แอปเปิ้ลที่นี่ แดง หวานกรอบ อร่อยมากกกกกก


คราวนี้มีไปต่อที่ To-no hetsuri ค่ะ หรือเรียกกันว่า "หน้าผาล้านปี"

ด้วยการนั่งรถไฟ Yunokami Onsen ไปลงยัง To-no hetsuri Station

ระหว่างทาง เช่นเคยค่ะกับรถไฟท่องเที่ยวในญี่ปุ่นที่พอถึงช่วงวิวสวยๆ งามๆ รถไฟเค้าจะหยุดแจะจอดให้ถ่ายรูป

วิวสองข้างทางนั้นงามสุดใจมากจริงๆ



แม้เวลานี้ฟ้าไม่สวย ฟ้าไม่ใส แดดไม่มีก็ตาม แต่วิวที่เราเห็นนั้น น้ำสีเขียวๆ ตัดกับใบไม้เปลี่ยนสีที่สะดุดสายตาเรามาก เสียงชัดเตอร์ในมือเรา และทุกคนบนรถไฟก็ลั่นรัวๆ พร้อมกัน อย่างไม่ได้นัดหมาย อิอิ


แล้วเราก็มาถึง To-no hetsuri Station และต้องเดินเท้าเข้าไปยัง To-no hetsuri ประมาณ 600 เมตรค่ะ ที่ใกล้สถานีมีห้องน้ำสาธารณะไว้บริการด้วย ขอชมเลยว่า ห้องน้ำที่สถานที่ท่องเที่ยวของญี่ปุ่น สะอาดมาก และมีกระดาษชำระติดไว้ทุกห้อง

ระหว่างทางเดินจะมีที่จอดรถสำหรับคนที่นำรถยนต์มาเอง ที่นี่ไปได้ทั้งรถไฟและรถยนต์

แต่อย่างน้อยก็ทำให้เรามีประสบการณ์ในการนั่งรถไฟญี่ปุ่นด้วยนะคะ มันน่ารักแบบมุ้งมิ้งดี เราชอบ



และเมื่อเดินมาถึง To-no hetsuri แล้วอยากจะกรี๊ดดด ที่ว่าสวยแบบวัวตายควายล้มนั้น ต้องที่นี่เลยค่ะ

To-no hetsuri /หน้าผาล้านปี สวยสลบจริงๆ 555

ของจริงสวยกว่าในรูปอีกนะของบอกๆ มองไปทางไหน ก็สวยไปหมด น้ำสีเขียวๆ ตัดกับใบไม้เปลียนสีรอบๆ ทิศทาง และช่วงเวลานี้ที่เรามาเนี่ยแหละ คือพีคสุดของใบไม้เปลียนสีแล้ว พร้อมสะพานไม้ข้ามไปยังหน้าผา

ซึ่งจุดที่เรายืนถ่ายรูปอยู่จะเป็นอีกฝั่ง ที่เป็นร้านค้า ร้านขายของที่ระลึกค่ะ



To-no Hetsuri อยู่ในเมืองมินามิไอซึ จังหวัดฟุคุชิมะ มีอนุสรณ์ทางธรรมชาติที่เรียกว่า 「โทโนะเฮทสึริ」

ที่เป็นโขดหินจำนวนมากที่เกิดการกัดเซาะและผุกร่อนมาเป็นเวลาล้านปี เป็นวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมาก

สวยระยะใกล้ และดูในระยะไกล สวยสลบไปโม้ดดดดด

พร้อมด้วยทางเดินรอบๆ ทิศทางใบไม้เปลี่ยนสีที่แข่งกันเปลียนสีต้อนรับนักท่องเที่ยว

ที่มาเยือน To-no Hetsuri กันอย่างยินดี ปรีดา ^^


หลังจากเดินกลับออกมารอรถไฟยัง To-no hetsuri Station พบว่ารถไฟที่เราจะนั่งกลับไปยัง สถานี Aizu-Wakamatsu

มีเป็นรอบๆ และต้องรออีกหลายชั่วโมงค่ะ แต่เที่ยวที่จะมาถึงในไม้ช้านี้ เป็นรถไฟขบวนพิเศษที่มาจากออนเซนไปหน้าผา

หากใครจะขึ้นต้องจ่ายเพิ่ม คนละ 305 เยน (91.50 บาท) จัดไปค่ะ จะได้ไม่ต้องรอนาน

กว่าจะได้ขึ้นมาก็มืดแล้วจ้าาา ประมาณช่วง 4 โมงเย็นนี่ พระอาทิตย์ตกแล้วนะคะ เหอะๆ


Dinner มื้อนี้เรามีนัดกันที่ร้านปิ้งย่างในเมือง Aizu-Wakamatsu รวมกันไปกิน 4 คน

มาญ๊่ปุ่นแม้ไม่ถูกปากกับราเม็ง แต่ปิ้งย่างนี้ ถูกใจเราเหมือนกันนะ

ร้านตามป้ายชื่อภาษาญี่ปุ่นเลยค่ะ เราอ่านไม่ออก พิกัดตรงข้ามร้าน 100 เยน

และติดกับ Shop ขายของตกแต่งบ้าน


อากาศเลขตัวเดียวหนาวๆ กับปิ้งย่างร้อนๆ ช่างเข้ากันเสียจริงๆ

รอดตายแล้วเรา ไปที่ไหนก็หากินยากนัก มาเจอปิ้งย่างแบบนี้ บอกตัวเองว่า ต้องกลับมาจัดอีกมื้อ

รวมๆ จ่ายมื้อนี้ 4 คน 11,187 เยน (3356.10 บาท)

ก่อนกลับเข้าโรงแรมแวะกันที่เซเว่นค่ะ จัดการซื้อร่ม เตรียมการไว้

เพราะพรุ่งนี้ พายุไต้ฝุ่นลูกที่ 22 เข้ามาแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์

แต่โปรแกรมท่องเที่ยวของเรายังคงดำเนินต่อไปอยู่นะ ท่ามกลางการเดินทางฝ่าสายฝนท่องเที่ยวนี่แหละ

จะเป็นอย่างไรนั้น ติดตาม > Autumn Fukushima < Day 3 นะคะ ^^


ขอบคุณที่ติดตามชมค่ะ

RinSa YoyoLive

 วันเสาร์ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 23.11 น.

ความคิดเห็น