ปกติเวลาเราจะไปเที่ยวไหน เราจะไปด้วยกัน ไปพร้อมกัน เที่ยวเป็นคู่ แต่การจองตั๋วทริปนี้เกิดขึ้นก่อนที่เราจะรู้จักกัน คือแฟนเราจองตั๋วเครื่องบินล่วงหน้านานเป็นปีๆแฟนเราเล่าให้ฟังว่า ช่วงนั้นสายการบินแอร์เอเชียออกตั๋ว 0 บาท

นางอยากไปเชียงรายมาก เลยจองไว้แบบไม่คิดอะไร เหมือนตั้งใจจะลุยเดี่ยว และเพราะตอนนั้นยังไม่มีคนให้ไปด้วย

แต่ด้วยระยะเวลา 1 ปี ก็ทำให้เราได้เจอกัน มันชอบพูดกรอกหูเราว่าจะไปเที่ยวเชียงรายนะ คนเดียว ย้ำ!! คำว่าคนเดียว หึหึ (จริงๆมันคงไม่ได้อยากไปคนเดียวหรอก แต่พูดลอยๆมา เราเลยแอบซื้อตามเลยจ้า) พอมันรู้แซวกูใหญ่เลยเว้ย 5555 เกริ่นมานานแระ เข้าเรื่องเลยแระกัน


Day 1 : 18/02/18

สำหรับทริปนี้ เรา 2 คนมีเวลา 3 คืน 4 วัน ที่ที่เราจะไปกันก็คือ ตัวเมือง > ภูชี้ฟ้า > ภูชี้ดาว > ดอยผาตั้ง

วันนี้เราเดินทางถึงสนามบินเชียงรายก่อนแฟนเราประมาณ 15 นาที ระหว่างที่รอนาง เราก็ไปจองแท็กซี่เข้าเมือง และหาข้อมูลรถมอเตอร์ไซค์เช่า ได้ร้าน K BUDDY BIKE

หลังจากนั้นไม่นานนางก็มา แล้วก็ขึ้นแท็กซี่เข้าเมืองตรงไปที่ร้านเช่ามอเตอร์ไซค์ K BUDDT BIKE ค่าแท็กซี่มาตัวเมือง 180฿

ร้าน K BUDDT BIKE อยู่บนถนน เจ็ดยอด ตรงข้ามกับร้านอาหารอินเดียชื่อร้าน Accha Fusion India ค่าเช่ารถวันละ 300฿ มัดจำ 3,000฿

หลังจากที่ได้รถมอเตอร์ไซค์มาเรียบร้อยแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำเวลามาแอ่วเหนือก็คือ กิน!!

สถานที่แรกของวันนี้ เรามากันที่ “ร้านน้ำเงี้ยวยามแลง” อยู่บนถนนสันโค้งน้อย หรือถนนคนม่วน อยู่ตรงข้ามกับคลินิกหมอกฤษณะ เห็นว่าร้านนี้ติดรีวิวอาหารอร่อยด้วยนะเราเลยมาลองกัน เอาเป็นว่าเรากินกันคนละ 2 ถ้วย แบบอิ่มมาก และอร่อยมาก สมดังที่เขารีวิวกันไว้เลย ถ้วยละ 30฿ เท่านั้น!

หลังจากกินเสร็จ เราก็หาที่พักสำหรับคืนนี้ต่อ คือเรา 2 คนคุยกันตั้งแต่อยู่กรุงเทพแล้วว่าทริปนี้นอนเต็นท์นะ แล้ววันนี้ 18/02 มีงานบอลลูนนานาชาติวันสุดท้ายพอดิบ พอดี๊ แต่ลานกางเต็นท์ และที่พักรอบๆสิงห์ปาร์คเต็มหมดเลยไงเมิงงงง แต่ในความโชคร้ายยังมีความโชคดี นั่นก็คือ….. เราเสิร์ชไปเจอที่พักที่เขียนว่า “บ้านคุณจุ๋ม”

เลยลองโทรถามที่พัก สรุปมีลานว่างให้กางเต็นท์ (คิดในใจกูมีที่ซุกหัวนอนแล้วโว้ยยยย…) และเรา 2 คนก็ขี่มอเตอร์ไซค์ไปบ้านคุณจุ๋มกัน

“บ้านคุณจุ๋ม” ห่างจากตัวเมืองมาประมาณ 11 กิโล อยู่ตรงข้ามทางเข้าสิงห์ปาร์ค ค่ากางเต็นท์หลัง 200฿ สนใจจะเข้าพักตามนี้เลย Tel : 093-2601033

หลังจากที่กางเต็นท์เสร็จ เราก็เข้าไปไร่บุญรอดทันที เพราะวันนี้เป็นสุดท้ายของงานบอลลูนนานาชาติ เราจะพลาดได้ยังไงกันล่ะ จริงๆก็ไม่รู้หรอกว่าแฟนเราจะจองตั๋วได้ตรงกับงาน ซึ่งมันบังเอิญเกิ๊น เราก็เลยไปเก็บภาพบรรยากาศมาให้ชมกันด้วย

ไร่บุญรอด สิงห์ปาร์ค จ.เชียงราย

เทศกาลบอลลูนนานานชาติ 14-18 กุมภาพันธ์ 2561

นอกจากบอลลูนแล้ว ก็มีคอนเสิร์ต ร้านค้า ร้านอาหาร ให้เดินเที่ยวอีกด้วย

เซอร์ไพรส์มากๆ เราเพิ่งเคยมางานนี้ครั้งแรก ไม่คิดว่าจะทำดีขนาดนี้ ใครไม่เคยมา ต้องมาให้ได้


Day 2 : 19/02/18

เช้าวันที่ 2 ของการเดินทาง หลังจากตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันเก็บเต็นท์เสร็จ แค่ล้างหน้าแปรงฟันจริงๆแค่นั้นจริงๆ คือเรา 2 คนไม่ได้อาบน้ำตอนเช้า ก็มันหนาวอ่ะ เราก็คิดว่าเออมาช่วงกลางๆเดือนกุมภาคงไม่หนาวแล้วล่ะ เอาเข้าจริงๆหนาวใช้ได้เลยเว้ย (แต่เราอาบตอนกลางคืนกันแล้วนะ 555)

วันนี้เราตั้งใจจะไปภูชี้ฟ้า โดยรถมอเตอร์ไซค์ที่เราเช่ากันมานี่แหละ แต่ก่อนที่จะไปเราต้องเติมพลังกันก่อน ขามาจากตัวเมืองจำได้ว่ามีร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขาอยู่ เราเลยมาลองกัน

ร้านก๋วยเตี๋ยวห้อยขา ถ้ามาจากตัวเมืองร้านจะอยู่ก่อนถึงไร่บุญรอดประมาณ 2 กิโล ทางขวามือ

เข้ามาในร้านเรานึกว่าห้อยขาแบบบ้านจ่าโบ่ แต่ไม่ใช่เลย ห้อยขาบนเก้าอี้นี่แหละ 5555 ก๋วยเตี๋ยวที่นี่รสชาติอร่อยดี ผ่านไปมา แวะมาลองกันดูได้นะ ถ้วยละ 35฿ เอง

ถึงเวลา เดินทางไปภูชี้ฟ้าาาาาาาาาาาาาาาาา

และแล้วเราก็มาถึงทางแยกขึ้นภูชี้ฟ้า จากภาพ จะเห็นว่าภูจะขึ้นได้ทั้ง 2 ทาง แต่เราเลือกที่จะขึ้นทางขวา เพราะจะใกล้กับที่กางเต็นท์ของเรา 2 คน

เดินทางจากตัวเมืองมาถึงภูชี้ฟ้าประมาณ 130 กิโล ใช้เวลาเดินทางโดยมอเตอร์ไซค์ 2 ชม.ครึ่ง เราเดินทางโดยใช้ถนนหลวงเส้น 1020 และ ทางหลวงชนบท 1155 เส้นทางนี้เราคิดว่าอ้อมหน่อย แต่ก็คิดว่าน่าจะเดินทางง่ายที่สุดสำหรับมอเตอร์ไซค์

ถึงแล้วที่พักของเรา เราพักที่ “Good View @ภูชี้ฟ้า” ที่นี่วิวสวยไม่ธรรมดาเลย เจ้าของก็ใจดี แต่แอบเสียดายเหมือนกันเพราะช่วงที่เราไปไม่มีทะเลหมอกแล้ว ใครอยากจะเจอทะเลหมอกต้องมาช่วงปลายฝนต้นหนาวนะ

Good view @ภูชี้ฟ้า จากอยู่เลยทางขึ้นภูชี้ฟ้าประมาณ 600 เมตร ขวามือ ค่ากางเต็นท์คิดเป็นหัว หัวละ 100฿/คน

เราเลือกที่กางเต็นท์ที่มีหลังคา เพราะคืนแรกน้ำค้างลงแรงมาก หรือเอาง่ายๆเราไม่อยากเสียเวลาต้องเอาเต็นท์มากางตากแดดก่อนกลับ และถ้าเก็บเต็นท์ขณะเปียกอยู่เต็นท์จะอับ เราเลยกางบนที่มีหลังคามันซะเลย 5555 (ขี้เกียจนั่นเอง)

หลังจากทำธุระทุกอย่างเสร็จ เรา 2 คนก็ไปภูช้าฟ้ากันต่อเลย ที่พักเรากับภูชี้ฟ้าไม่ห่างกันมาก แค่ 2.6 กิโล เมื่อถึงลานจอดแล้วยังไม่ถึงภูชี้ฟ้านะ ต้องเดินขึ้นไปอีก 760 เมตร ขาเดินขึ้นไปนี่ทำเอาเรา 2 คน หอบเหมือนกันนะ ก็เล่นขึ้นมาตอนเที่ยงแดดเปรี้ยงๆแบบนี้ ไม่ให้ร้อนหอบจับได้ไง 5555

อยู่บนภูชี้ฟ้าได้ไม่นาน เพราะมันร้อนมาก อยู่กันแทบไม่ไหว เรา 2 คนก็เลยไปกันต่อที่ดอยผาตั้งเพื่อรอดูพระอาทิตย์ตกดิน ที่นั่นดอยผาตั้งจะห่างจาก ภูชี้ฟ้าประมาณ 21 กิโล ระยะทางเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน แต่จิ๊บๆมาก สบายบรื๋ออออ

พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไป เรา 2 คนก็รีบกลับที่พักกัน เพราะไม่อยากให้มืดมาก ระหว่างทาง มันหนาวมากกกกกก หนาวโคตรๆ

ทางกลับทั้งเปลี่ยวและอันตรายพอสมควร เพราะไฟถนนแทบจะไม่มีเลย แต่ก็มีแค่บางช่วง ใครจะไปดอยผาตั้งช่วงนี้ ขากลับให้ขับรถด้วยความระมัดระวังเป็นอย่างมากนะ


Day 3 : 20/02/18

วันนี้เรา 2 คนต้องตื่นเช้ามากๆ ประมาณตี 4 (น้ำไม่อาบเหมือนเดิม มันหนาวววววววว) ที่ตื่นเช้าไม่ใช่อะไร เราตั้งใจจะไปถ่ายดาวและทางช้างเผือก

ไม่ได้ถ่ายในป่านะ แต่ถ่ายบนฟ้า และจุดที่เราจะขึ้นไปถ่ายก็คือภูชี้ฟ้านี่แหละ เอาแม่มใกล้ๆ จริงๆแล้วเราก็อยากถ่ายตรงที่พักของเรานะ แต่ไม่สามารถถ่ายได้

เพราะการที่จะถ่ายทางช้างเผือกต้องมืดพอสมควร แต่ที่พักเรามีทั้งไฟถนน และไฟที่พักอื่นๆ แสงจะเข้ากล้องมากและไม่เห็นทางช้างเผือก

พอตีถึงเวลา 4.30น. เราก็ขึ้นไปวนอุทยาน หาทำเล ตั้งกล้อง กดมา 1 ใบ แล้วเราก็หาทำเลใหม่ไปเรื่อยๆ

ด้วยความที่มืดสนิท จึงทำให้เราเห็นดาวชัดมาก จริงๆแล้วทางช้างเผือกสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่านะ แต่… ต้องแต่ด้วยนะ ภูเขาต้องสูงพอที่จะใกล้ท้องฟ้า สำหรับที่ภูชี้ฟ้าเราไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่ภูสอยดาว ที่ จ.อุตรดิตถ์ เรามองเห็นด้วยตาเปล่า

อ้าวทำไมที่ภูชี้ฟ้าถึงถ่ายได้ล่ะ

เราใช้ app star chart หาทิศทางของทางช้างเผือก แล้วก็เจอจริงๆ (ในแอพจะมีทิศทางการขึ้น เวลาขึ้น ของดาวต่างๆด้วยนะ ลองโหลดมาเล่นกันดูเลย ) ถ่ายไปเรื่อยๆ หามุมไปเรื่อยๆจนคิดว่าได้มุมที่เหมาะสมแล้ว ก็ตั้งชัตเตอร์ถ่ายกันไปเลย ภาพเลยได้ออกมาแบบที่เห็น

ใบนี้แฟนเราลองลากชัตเตอร์เล่นดู นางบอกอยากได้ดาวหมุน สรุปดาวไม่หมุนจ้า 55555 นางเลยดูนอยด์ๆ ก็เลยอธิบายเกี่ยวกับการใช้อุปกรณ์กล้องนางไป ก็เล่นเอาเลนส์ฟิกถ่ายจะไปหมุนให้ได้ไง อีกอย่างที่เห็นหมุนๆกันเค้าถ่ายกันเป็นชม.ๆ หรือตั้งแต่หัวค่ำยันเช้า และบอกนางถ้าอยากหมุนก็ไปหมุนใน Photoshop เอาโลด ได้ดาวหมุนแน่ แต่มันเป็นวิธีโกงเท่านั้นเอง

ระหว่างรอเก็บแสงเช้าที่ภูชี้ฟ้า ทำไมระยะเวลาแค่ 2 ชม. จะถึง 7 โมงเช้า มันช่างหนาวเหน็บซะเหลือเกิน ตอนแรกตัดใจจะกลับที่พักก่อนแล้วค่อยมาใหม่ แต่ก็กลัวกลับไปแล้วจะขี้เกียจขึ้นมาอีก ก็เลยนั่งหนาวสั่น กอดกันกลมยันสว่างเลย

ระหว่างที่เรา 2 คนนั่งรอพระอาทิตย์ขึ้นก็มีนักท่องเที่ยวทยอยขึ้นตามกันมา

วันที่ 20/02 เป็นวันอังคาร เราคิดว่าจะไม่มีนักท่องเที่ยวสักเท่าไหร่ ไปๆมาๆ ก็เยอะเหมือนกัน สำหรับวันธรรมดาแบบนี้แฮะ แต่ก็ยังไม่เยอะเท่าช่วงเทศกาล

ระหว่างทางลงภูชี้ฟ้า เราถามแฟนเราว่านอกจากภูชี้ฟ้าแล้วอยากไปไหนอีกมั๊ยที่ใกล้ๆกับภูชี้ฟ้า นางบอกว่ามีภูชี้ดาว กับภูชี้เดือน แต่นางอยากไปภูชี้ดาวมากกว่า

โอเค… เราไม่ขัดข้อง

เรา 2 คนไปกันต่อที่ภูชี้ดาว ขอบอกว่าทางขึ้นภูชี้ดาวทางโหดมาก ทางนี่แบบน้ำเซาะ หินกรวดเยอะ และชันเป็นบางช่วง (เรียกว่าชันทุกช่วงน่าจะดีกว่า 5555 ขนาดทางโค้งยังชัน)

ถ้าเป็นช่วงหน้าฝน ไม่แนะนำให้ขี่ขึ้นไปนะ จ้างรถชาวบ้านดีกว่า เหมา 500฿ เพราะถนนมันลื่น อันตราย ปลอดภัยด้วย แต่เราโชคดีที่มาตอนถนนแห้งหมดแล้ว

ถนนไม่เรียบเลยจริงๆ 5555 แต่ยังไม่สุดแค่นี้ เพราะเรายังต้องเดินขึ้นไปอีก 350 เมตร เพื่อให้ถึงยอดภูชี้ดาว เอาล่ะ ต้องรีบเดินเพราะกลัวจะร้อน ตอนนี้เวลาก็ปาเข้าไป 8 โมงกว่าแล้วด้วย

ถึงแล้วยอดภูชี้ดาววววว ที่นี่วิวสวยมาก ถ้ามองลงไปข้างล่างจะเป็นฝั่งลาว มีทะเลหมอกบางๆ หญ้าเริ่มออกสีน้ำตาลแล้ว ถ้าจะมาช่วงปลายฝนต้นหนาวจะเจอหญ้าเขียวๆ คงจะได้อีกอารมณ์ ถือว่าเป็นสถานที่ที่น่าสนใจอีกที่นึง ที่มาเที่ยวฤดูไหนก็ได้

ภูชี้ดาว ห่างจาก ภูชี้ฟ้า ประมาณ 7.5 กิโล เดินขึ้นอีก 350 เมตร

พออากาศเริ่มร้อน เราก็กลับที่พักทำธุระส่วนตัว เช็คเอ้าท์เสร็จ ก็กลับเข้าเมือง

หลังจากนอนหลังแข็งมา 2 วันเต็มๆ เราพักกันที่ B2 เชียงราย ที่พักคืนละ 490฿ (เราไม่ได้เก็บรูปมาขออภัยด้วย) พอเข้าที่พัก ทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว ก็ไปเลาะกันต่อที่ “วัดร่องขุน”

ใครไปใครมาต้องแวะมา หรือไม่มาก็ได้ 5555 เพราะที่นี่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเยอะมากจริงๆ เรา 2 คนเก็บรูปที่วัดได้ไม่นานก็กลับกัน

ที่พักเราอยู่ใกล้กับตลาดไนท์บาซ่าร์ เราเลยไปฝากท้องกันที่นั่น แต่ไม่รู้บังเอิญหรืออะไร พี่ที่เราสนิทมาสัมมนาที่ จ.เชียงราย เลยได้พบกัน คืออารมณ์แบบนานๆเจอกันที คอเหล้า คอเบียร์ด้วยกันแล้วด้วยนะ คงต้องมีตำจอกกันหน่อย เราเลยนัดเจอกันที่ร้านเชียงรายรำลึก

เจอกันเท่านั้นแหละจ้า สนุก สนาน สนั่นร้านกันเลยที่เดียว 5555 (เด็กเสริฟที่นี่งานดีทุกคน แฟนเรานี่เคลิ้ม น่าถีบจริงๆ)

ร้านเชียงรายรำลึก อยู่แถวๆหอนาฬิกาเฉลิมพระเกียรติเชียงราย เป็นร้านนั่งชิล มีอาหาร มีดนตรีสด บรรยากาศดี ที่สำคัญ ไม่แพง!!!


Day 4 : 21/02/18

วันสุดท้ายของการเดินทาง หลังจากเมื่อคืนที่ปาร์ตี้กันหนักหน่วงพอสมควร ตื่นกันมาอีกทีก็เกือบจะ 10 โมงเช้า เรา 2 คนทำธุระส่วนตัวเสร็จ ก็เช็คเอ้าท์ออกจากที่พัก ไปหาอะไรกินกัน

เราแวะร้านพอใจ (อยู่บนถนนเจ็ดยอด เลยร้านที่เราเช่ามอเตอร์ไซค์มาแค่ 100 เมตรเท่านั้นเอง และราคาแค่ 40฿ เองนะ) ร้านนี้มีทั้ง ข้าวซอย และขนมจีนน้ำเงี้ยว แต่รอบนี้เรากินข้าวซอยกัน รสชาติที่นี่อร่อยใช้ได้เลย

หลังจากกินเสร็จ เราเลยไปร้านคาเฟ่แมวเพื่อรอเวลาไปสนามบินเราและแฟนเห็นร้านนี้อยู่ติดกับตลาดไนท์บาซ่าร์เชียงราย ทาสแมวแบบเรา ไม่พลาดอยู่แล้ว! ร้านนี้ชื่อว่า CAT ‘n’ A CUP Cat Cafe’

หรืออ่านง่ายๆว่า CAT NA CUP ทำนองนี้ ร้านนี้มีทั้งเครื่องดื่ม ของหวาน รสชาติอร่อย มีน้องแมวหลากหลายสายพันธุ์ เหมาะสำหรับทาสแมวเป็นอย่างมาก ใครได้มาเที่ยวเชียงราย อย่าลืมมานั่งเล่นกับแมวที่ร้านนี้กันได้นะ แมวกวนและน่ารักมากไม่หยิ่งเหมือนแมวที่ห้องเราเลย 5555 พูดแล้วก็เศร้า TT

จังหวัดเชียงราย เป็นจังหวัดที่น่าเที่ยวอีกจังหวัดหนึ่ง ยังมีสถานที่เที่ยวอีกมากมายที่เรา 2 คนยังเก็บไม่หมด ไว้มีโอกาสเราจะตามไปเก็บ แล้วมารีวิวใหม่นะ

ค่าเสียหายสำหรับทริปนี้รวมแล้ว 2 คน 5,500฿ ( จริงๆไม่ถึง 5,000 นะ ถ้าตัดเรื่องดื่มออก )

อ้อออ… เชียงรายมีบริการ Grab ด้วยนะ ใครจะไป-กลับสนามบินเชียงรายต้องใช้บริการ Grab หรือไม่ก็แท็กซี่ ขอบอกเลยว่า ไม่มีรถตู้ หรือรถโดยสารวิ่งไป-กลับสนามบินเลย

ลากกันไป

 วันพุธที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561 เวลา 14.04 น.

ความคิดเห็น