หลังจากที่เห็นกระทู้ในเว็บไซต์ชื่อดัง ที่ว่า 'คุณเคยทำอะไรแผลงๆตอนอกหักบ้างไหม'

ความทรงจำของทริปนี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวเรา..เราจึงเริ่มต้นเขียนรีวิวทริปนี้

ซึงเวลาก็ผ่านล่วงเลยมาประมาณ 2 ปีล่ะ

เราเกริ่นมาขนาดนี้ หลายๆคนคงเดาออกล่ะว่า Nepaltheprojectcure คืออะไร ?

สาเหตุที่ไปคือเยียวยาจิตใจล้วนๆ ใช่! คือเราอกหัก เลิกกับแฟน

ด้วยความรู้สึกตอนนั้นหลายๆอย่าง เราจึงตัดสินใจขอร่วมทริปกับเพื่อน

เรามาถึงจุดนั้นพอดี จุดที่อกหักและขอทิ้งความขมขื่นไว้ที่เมืองไทย !

--

จุดเริ่มต้นของการ แบ็คแพ็ค จึงได้เกิดขึ้น

ครั้งแรกที่เราขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศ

ครั้งแรกที่ไปเที่ยวกับเพื่อนแบบไกลๆ !



มาเริ่มกันเลย..

การเดินทางของเราเป็นในแบบงบประหยัด โดยสายการบิน China Eastern

มีการบินไปต่อเครื่อง โดยเราต้องไปต่อเครื่องที่สนามบินคุนหมิงเป็นเวลา 8 ชั่วโมง

ตอนที่ไปคุนหมิงหนาวเอาเรื่องอยู่นะ ประมาณ 3 องศา

เป็นสนามบินที่ล้อมรอบไปด้วยภูเขา ก็ฟินไปอีกแบบ


ตื่นเต้นสุด ชีวิตวัยรุ่น การผจญภัยของเรา ได้เกิดขึ้นแล้ว นั่นก็คือการค้างที่สนามบิน นั่นเอง 5555555


และหลังจากนั้นก็ขึ้นเครื่องไปเนปาล ก็ยังตื่นเต้นอีกครั้งกับการขึ้นเครื่องบิน

และในใจก็ลุ้นว่าจะได้สัมผัสล่ะนะ

ประเทศที่หารีวิวยากมาก! (ณ ตอนนั้น)

ประเทศที่ทุกคนเกิดคำถามว่าไปทำไม?

ประเทศที่ทุกคนคิดว่ามันคืออินเดียใช่ไหม?

เราจะได้ไปคลี่คลายความสงสัยด้วยตัวเองล่ะ !



อาจจะเป็นเพราะการที่ได้เดินทางไปสถานที่ใหม่ๆ

เราค่อนข้างตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็น มองซ้ายมองขวา

ดูบรรยากาศในเมืองกาฐมัณฑุตลอดทางแบบเพลินๆเลย

เราเองก็ไม่รู้ว่าเพลินกับอะไร อากาศเย็นๆ บรรยากาศสบายๆของที่นี่

สโลวไลฟ์ของจริงมันแบบนี้หรือเปล่านะ ?




'Kathmandu'

เป็นเหมือนศูนย์กลาง จะหาทุกสิ่งทุกอย่างได้จากที่นี่

โดยเฉพาะตรงแหล่งส่องสุมของนักท่องเที่ยวที่นิยม "ทาเมล"

เป็นเหมือนศูนย์รวม ร้านอาหาร ที่พัก ผับบาร์ ร้านขายของต่างๆ บริษัททัวร์ ซึ่งก็วนเวียนอยู่บริเวณนี้ทั้งนั้น


แต่อย่ากระนั้นเลย ออกไปเดินเล่นซะหน่อย

มุ่งหน้าสู่ จัตุรัสกาฏมาณฑุ (Kathmandu Durbar Square)

เราเดินไปกันตามแผนที่

..พร้อมทำท่ากาง Map เท่ๆ แล้วก้าวออกไป..

ตามนั้นค่ะ ไม่เท่เหมือนในหนัง หลงซิคะ รออะไร ..



เดินต่อไปสักพัก เห็นหนุ่มๆนักเรียนนั่งจิบชากัน

อากาศหนาวๆเนี่ย ทำให้การจิบชา เป็นเหมือนวิถีชีวิตของคนที่นี่ไปเลย

เราเลยไปลองดูบ้าง ชามะนาว ราคาแก้วละประมาณ 5 – 10 บาท

ระหว่างนั้นมีขบวนแห่มา เสียงพาเหรดดังมาก

ดูไปดูมา เดาว่าน่าจะเป็นงานแต่ง เหมือนแห่ขันหมากบ้านเรา


และด้วยความโชคดีของพวกเรา

ก็ได้เจอกับนักเรียนเนปาล หล่อและมีน้ำใจ

อาสาจะพานำทางไป และเราก็มาถึงจนได้!

...

จัตุรัสกาฏมาณฑุ (Kathmandu Durbar Square)

เป็นโบราณสถานที่สำคัญ อีกนัยหนึ่งคือพื้นที่ตรงนี้

เป็นสถานที่ของผู้คนมารวมตัวกัน พูดคุย นั่งเล่นสัพเพเหระ

คนเยอะมากจริงๆ บรรยากาศครึกครื้น

ภายในยังมี เทวสถาน,วังกุมารี ด้วยนะ ต้องไปลองเดินดู!




สิ่งที่คิดว่าจดจำได้มากที่สุด ถ้านึกถึงกาฐมัณฑุ คงเป็นวิวสวยๆ ที่ร้าน Nirvana Cafe Restaurant

วิวสวยสุดยอดไปเลย อยู่ที่ Swayambhunath Temple


และสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ประทับใจไม่ลืมคงเป็นที่พัก

นอกจากจะเป็นการเที่ยวครั้งแรกแล้ว

นี่ก็ยังเป็นครั้งแรกที่เราได้สัมผัสประสบการณ์ในการนอน 'โฮสเทล'

เลือกแบบ ห้องรวมไปเลย

แบบว่าเจ๋งอ่ะ คืนละ 250 บาท เวิร์คมาก

...

สาเหตุที่บอกว่ามันเวิร์คมาก คือมันช่วยเซฟเงินไปได้เยอะจริงๆ

ตรงนี้คือแล้วแต่ความชอบเนอะ

เอาเป็นว่าถ้าใครอยากสัมผัสประสบการณ์ ทลายกำแพงความเป็นส่วนตัว

เพราะอยู่รวมกันมีเตียงประมาณ 6 เตียง

ใครอยากหาเพื่อนใหม่ สัมผัสประสบการณ์ต่างแดน ก็ลองดู

"Alobar 1000" คือชื่อที่พักของเรา บรรยากาศแบบชิวๆ

เคยได้ยินหลายๆคนกล่าวไว้ สำหรับเนปาลคือ " Slow more Chill more"

พวกเรา 3 คน เริ่มต้น ด้วยการไปจิบเบียร์ ที่ดาดฟ้าของที่พัก

ซึ่งดาดฟ้าของที่นี่จะเป็นเหมือนแหล่งรวม Activity ต่างๆ

ทั้งทานอาหารเช้า นั่งอ่านหนังสือช่วงบ่ายๆ ช่วงกลางคืนเป็นที่นั่งดื่มเบียร์

หรือแม้แต่กิจกรรม เช่น สอนทำอาหาร,เล่นเกมส์ต่างๆ ซึ่งทางที่พักจะจัดขึ้น ก็มารวมอยู่ด้านบนของที่นี่

ถึงแม้ Alobar 1000 อาจไม่ใช่ที่พักที่แพงที่สุด ที่วิวสวยที่สุด ที่บริการดีที่สุด

แต่ทุกอย่างที่นี่ให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนบ้าน

เวลาเราเดินกลับมา เราเลยรู้สึกว่าเรากำลังเดินกลับบ้าน ที่นั่นให้ความรู้สึกนั้นจริงๆ

Feel like home! Nice Place,Nice People :) ALOBAR 1000




'Pohkara'

"สวรรค์บนดิน" คงเป็นคำนิยามที่เราให้กับเมืองนี้

เรานั่งรถกันมา 6 ชม. หลับบ้าง ชมวิวข้างทางบ้าง

ด้วยความที่เนปาล ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นหุบเขา

ทำให้ฟิลลิ่งที่ได้มันค่อนข้างจะธรรมชาติมากๆ

ไม่มีคำบรรยายมากมายนักให้เมืองนี้ คำพูดมันไม่พอจริงๆ

ภาพเราอาจบอกได้แค่เสี้ยวหนึ่ง มันน้อยนิดมากเลยกับความประทับใจที่เรามีให้ที่นั่น

..

อากาศดีๆ บรรยากาศดีๆ สูดกลิ่นธรรมชาติ เห็นวิวส่วนหนึ่งของหิมาลัย

เราเข้าใจแล้วว่าทำไมคนถึงอยากไป Trekking กันหนักหนา

...

เรามาถึงก็เข้าที่พักก่อนเป็นอันดับแรก สำรวจที่พัก

เดินออกมาชมวิว นี่คือวิวหลังที่พักเรา


เราใช้เวลาโดยการเดินไปเรื่อยๆ ไม่รู้สึกเบื่อเลยอ่ะ

เปิดหาใน Google เจอสถานที่หนึ่ง เป็นทะเลสาบ ชื่อว่า Phewa Lake

เราไปที่นั่นทั้งช่วงเย็นและช่วงเช้าของอีกวัน เพื่อให้ได้บรรยากาศที่ต่างกัน


เราได้ติดต่อกับที่พักให้หา Taxi พาเราไปจุดชมวิวเพื่อรอดูพระอาทิตย์ขึ้น

นัดเวลากันไว้ประมาณ ตี 5

ตอนนั้น มืดมาก มืดไปหมดทุกสิ่ง

แต่เมื่อเริ่มมีแสงของพระอาทิตย์ ทุกคนก็อึ้งกับสิ่งที่ได้เจอ !!


ก่อนลงจากจุดชมวิว

เพื่อนขอจิบชาเบาๆ กับวิวแบบพันล้าน

ถ้าไม่ได้มาเองนี่จะนึกว่าเป็นแค่ความฝัน..


สำหรับโพคาราเป็นเมืองที่ไม่เยอะ แต่ล้านความประทับใจจริงๆ

เป็นเมืองที่ขอปักหมุดไว้เลย ว่าก่อนตายไม่ควรพลาดที่จะกลับไปอีกครั้ง !




Nargarkot

ปิดท้ายทริป พวกเรามีความตั้งใจว่า เราจะเลือกที่พัก ที่สูงที่สุด สวยที่สุดและแพงที่สุด

เพื่อปิดท้ายทริปด้วยความฟิน และหลังจากที่ได้เปิดกระเป๋าสตางค์ตัวเองดูแล้ว

หน้าพวกเราเหลือ 2 นิ้ว เอาเป็นว่าเราตัดสินใจเลือกที่พักที่สูงระดับพอๆกัน 555555555

--

ซึ่งก่อนเดินทาง เราค่อนข้างคาดหวังว่าแบบ มันต้องฟินพอๆกับ โพคาราแน่

อากาศที่นี่ ต้องบอกว่า หนาวจนหน้าชา


อันที่จริงอุณหภูมิมันก็พอๆกับ 2 เมืองก่อนหน้าน่ะแหละ

ต่างกันตรงที่ Nargarkot จะอยู่บนยอดเขาอันหนาวเหน็บ

...

ด้วยลมและสภาพอากาศมันหนักหน่วง เลยอยู่แบบนี้จนถึงเช้าเลย


จริงๆแล้ววิวที่เราจะได้ มันต้องเหมือนเราถูกล้อมรอบด้วยเทือกเขา แบบอลังการ

แต่แน่นอนสิ่งที่คาดคิดและสิ่งที่เป็น มักไม่เคยจะตรงกัน

หมอกเจ้าปัญหา สร้างความหนักใจอย่างมาก และสุดท้ายเราก็พลาดที่จะเห็นวิวแบบนั้น

เลยต้องเปลี่ยนมาชมพระอาทิตย์ตกแทน 5555





ถ้าถามว่าการเดินทางนี่มันส่งผลจริงไหม?

ส่วนตัวเรามองว่า มันช่วยได้ อาจจะไม่มากก็นิดนึง (ซึ่งอาจเฉพาะสำหรับเรามั๊ง)

การที่ได้ทำ ได้ลองอะไรใหม่ๆ มันทำให้คิดได้ว่าโลกนี้มันยังกว้างใหญ่

บอกตามตรง เราตื่นเต้น เราไม่รู้ว่าจะเจออะไร

..

มันมีความรู้สึกหนึ่ง ช่วงเวลาตอนที่อยู่ที่นั่น

เรารู้แค่เรามองไปข้างหน้า เราไม่จมอยู่กับอดีต

เรามองปัจจุบันว่าตอนนี้เราอยู่ไหน ทำอะไรอยู่

เหลือเวลาอีกเท่าไร จะไปที่นี่เราต้องทำยังไง

ไม่ใช่ว่ามีแค่เรากับเขาสองคนบนโลกนี้เท่านั้น

มันมีอะไรมากมายที่เรายังไม่ได้เจอ

ล่ะยังไง..เราจะต้องจมกับความรู้สึกแย่ๆ หรืออะไรแบบนี้ไปตลอดจริงๆหรอ ?

เราเลยหวังว่าประสบการณ์การเดินทางครั้งนี้

จะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเยียวยาจิตใจใครๆได้อีกหลายคน

สุดท้ายแล้ว คุณไม่จำเป็นต้องเดินทาง ไม่จำเป็นต้องออกท่องเที่ยว

ไม่จำเป็นต้องผจญภัยหาโลกกว้าง อาจจะร้องไห้อยู่บ้านเฉยๆก็ได้

แต่พอร้องไห้เสร็จยังไงขอให้เดินออกมา ก้าวออกมาจากจุดนั้น

ทุกคนมีวิธีเป็นของตัวเองทั้งนั้น และสุดท้ายเราเชื่อว่ามันก็จะผ่านไป..


#NEPALTHEPROJECTCURE


Facebook : www.facebook.com/247journeyy

Instagram : 24_7journey

24 Hours a day, 7 Days a week for Jouney!


247journey

 วันพุธที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2559 เวลา 10.40 น.

ความคิดเห็น