เมื่อความหนาวเริ่มมา ความ "เหงา"ก็ตามมาติดๆ และทุกครั้งที่เหงาก็ทำให้ผมต้องออกเดินทางอีกครั้ง ทริปนี้ผมไปร่วมแจมกับกลุ่มของ Bass Camp พาไปปีนดอยกันอีกครั้งที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งอยู่ในอุทยานแห่งชาติขุนเเจ จ.เชียงราย ดอยที่จะพาไปคือ ดอยลังกาน้อย - ลังกาหลวง ผมและชาวคณะเริ่มต้นเดินทางจากกรุงเทพด้วยรถตู้ออกจากกทม. มุ่งหน้าสู่เชียงราย จากจังหวัดเชียงใหม่เราใช้เส้นทางงบนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 118 สายเชียงใหม่–เชียงราย ประมาณกิโลเมตรที่ 56 จะพบที่ทำการอุทยานแห่งชาติขุนแจซึ่งตั้งอยู่ติดกับถนนสายนี้ทางด้านขวามือ ห่างจากตัวเมืองเชียงใหม่ ประมาณ 56 กิโลเมตร ติดต่อขออนุญาติเจ้าหน้าเพื่อทำเรื่องขออนูญาติเข้าพักแรมที่อุทยานและให้เจ้าหน้าที่เตรียมจัดหาลูกหาบไว้ล่วงหน้า

ถ้าสนใจมาเองสามารถติดต่อโดยตรงกับเจ้าหน้าที่อุทยานขุนแจ เพื่อทำการจองวันเวลาคนนำทางและลูกหาบตามที่อยู่นี้ครับ อุทยานแห่งชาติขุนแจ ต.แม่เจดีย์ใหม่ อ. เวียงป่าเป้า จ. เชียงราย 57260 โทรศัพท์ 0 5316 3364, 08 4366 5213, 08 44892173 โทรสาร 0 5316 3364 และจากเชียงใหม่ สามารถเดินทางได้โดยรถปรับอากาศและรถธรรมดาสายเชียงใหม่-ดอยสะเก็ด-เชียงราย จากสถานีขนส่งจังหวัดเชียงใหม่แห่งที่ 2 (อาเขต) หรือนั่งรถสองแถวเล็กสีเหลืองสายเชียงใหม่-เวียงป่าเป้า-ท่ารถถนนไทยวงศ์ ลงบริเวณกิโลเมตรที่ 56

หลังจากจัดแจงสัมภาระเสร็จ เราก็นั่งรถกระบะ 4 wd มุ่งหน้าไปยังบริเวณแยกหลักกิโลเมตรที่ 27 เลี้ยวซ้ายเข้าไปยังจุดเริ่มเดินที่บ้านแม่ตอนหลวง ไปลงที่สถานีเรด้าห์ ไม่ย้อนกลับทางเดิม หรือจะเริ่มเดินที่สถานีเรด้าห์ไปลงยังบ้านแม่ตอนหลวงก็ได้ ระยะทางเดินเท้าทั้งสิ้น 17 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 3 วัน 2 คืน


หลังจากให้ลูกหาบเติมพลังเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มต้นออกเดินทาง จากไร่กาแฟของชาวบ้านเส้นทางก็เริ่มชันเลย ไม่ทันให้พวกเราได้วอร์มกันก่อน เราเริ่มไต่ขึ้นเดินไปตามสันดอยจิกจ้องซึ่งเป็นดอยแรก เส้นทางนี้สร้างความเหน็ดเหนื่อยให้พวกเราพอสมควรเพราะกำลังยังไม่อยู่ตัวกันเท่าไหร่ หยุดนั่งพักกินข้าวกลางวันชมวิวสายหมอกที่ไหลมาเรื่อยๆ ไอเย็นเข้ามาปะทะร่างกายเป็นช่วงๆ เสร็จจากมื้อแรกแล้วก็ออกเดินทางต่อจนมาถึงเชิงดอยลังกาน้อย แอบท้อใจเล็กน้อยเมื่อมองเห็นลูกหาบตัวเท่ามดกำลังไต่ยอดดอยที่สูงชัน สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดไปทีนึงแล้วเดินต่อ คิดในใจใครใช้ให้มึงมาล่ะ เสือกมาเองนิ

ปืนมาได้ครึ่งทางของดอยหันกลับไปมอง เห็นสายหมอกลอยอ้อยอิ่งคลอเคลียขุนเขา อากาศสดชื่นจริงๆ ไม่มีแสงแดดเล็ดลอดมาให้เห็น เลยถือโอกาสนั่งพักรอคนข้างหลังที่กำลังตามขึ้นมา


หลังจากเก็บภาพกันคนละเล็กละน้อยก็ออกปีนกันต่อ เส้นทางยิ่งสูงก็ยิ่งเสียว แต่ก็เดินไม่ยากนักเพราะมีแง่หินให้ยึดเกาะเหนี่ยวโน้มลากสังขารขึ้นไป

ในที่สุดก็ขึ้นมาถึงยอดดอยลังกาน้อย ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเล 1,600 เมตร ทิวทัศน์รอบๆมองเห็นแนวเทือกเขาน้อยใหญ่ล้อมรอบไปหมด จากจุดเริ่มเดินเราใช้เวลาเดินกันแบบไม่เร่งรีบประมาณ 3.30 ชม.กับระยะทาง 3 กม บนทางชัน เราเดินกันไปที่จุดตั้ง camp ซึ่งเดินลงไปทางซ้ายมืออีก 200 ม.ซึ่งมีที่ราบโล่งๆพอที่จะให้ตั้ง camp ได้ และมีแหล่งน้ำซับในหุบหลัง camp ที่พอจะได้ใช้ประกอบอาหาร ล้างหน้าล้างตากันได้อยู่บ้าง ซึ่งลูกหาบที่ขึ้นมาก่อนหน้าได้จัดแจงตั้ง camp รอและกำลังหุงหาอาหารเย็นกันอยู่ เราวางสัมภาระแล้ว เดินกลับมาที่ยอดดอยอีกครั้งเพื่อเก็บวิวรอบๆและรอถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกดินกัน

ช่วงระหว่างรอก็เก็บภาพกันไปเรื่อย ยิ่งเย็นลงเท่าไหร่ท้องฟ้าก็จะถูกเมฆหมอกเข้ามาแทนที่ มีเปิดให้เป็นช่วงๆ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องฟ้าไม่ค่อยเปิด เพราะเมฆหมอกปกคลุมอยู่แทบจะตลอดเวลา ดูแนวโน้มแล้วคงจะเห็นพระอาทิตย์ตกดินได้ยาก แต่เราก็รอคอยความหวังว่าคงจะมีฟ้าเปิดบ้าง แล้วทันใดนั้นแสงอาทิตย์ที่เรารอคอยก็ส่องทะลุเมฆหมอกลงมาให้เราเห็นได้แค่ไม่เกิน 5 นาที เสียงรัวชัตเตอร์ก็ระงมขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆเงียบหายไปพร้อมกับแสงสุดท้ายของวันนั้นโดยที่หมดโอกาสที่จะได้เห็นตะวันลับขอบฟ้าสวยๆอย่างที่ตั้งใจไว้ ยิ่งรอต่อไปอุณหภูมิรอบตัวก็ยิ่งลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถต้านทานความหนาวเย็นของอากาศที่หนาวเย็นบนยอดดอยในเดือนธันวาไปได้ เลยกลับลงมาที่ camp เพื่อหากิจกรรมขับไล่ความหนาวกัน

คืนนี้เป็นวันพ่อ พวกเราร่วมใจถวายพระพรชัยกันก่อนเข้านอน ส่วนพวกที่ยังไม่นอนก็ไปตระเวณคล้องช้างกันบนยอดดอย ส่วนตัวผมไม่ค่อยถนัดคล้องช้างสักเท่าไหร่ เลยพักผ่อนเอาแรงไว้ตื่นมาชมอาทิตย์ขึ้นในวันพรุ่งนี้

ตี 5:30 ผลุดกายลุกขึ้นนั่งท่ามกลางเสียงนาฬิกาปลุกจากเต้นท์โน้นที เต้นท์นี้ที อากาศหนาวเย็นจนแทบไม่อยากออกจากเต้นท์เลย ตัดสินใจคว้ากล้องออกย่ำเดินออกจาก camp ไปยังยอดลังกาน้อย ใช้เวลาไม่นานเพราะ camp เราตั้งห่างจากยอดไม่มากนัก แสงอาทิตย์อุทัยเริ่มฉาบของฟ้าเป็นสีทองเริ่มเผยแสงออกมาให้เห็นแล้ว ในที่สุดไข่แดงฟองน้อยๆก็โผล่มาให้เห็น




พวกเราชื่นชมบรรยากาศกันอยู่นานทีเดียว เดี๋ยวถ่ายมุมนั้นมุมนี้ ต่างคนต่างหามุมของตัวเอง เพื่อถ่ายทอดความงดงามที่อยู่เบื้องหน้า มองเห็นทะเลหมอกอยู่ในหุบไกลออกไป เช้านี้หมอกกลับมีน้อยกว่าเย็นเมื่อวาน



เมื่อดวงอาทิตย์เริ่มลอยสูงขึ้น มุมตรงข้ามดวงอาทิตย์สีของท้องฟ้าก็จะกลายเป็นสีฟ้าคราม เช้านี้เมฆหมอกมีน้อยทำให้ฟ้าใสมาก เรากลับ camp เพื่อไปกินอาหารเช้าแล้วตรียมตัวเดินทางกันต่อ เส้นทางจาก camp ลังกาน้อย ไปยัง camp ลังกาหลวงระยะทางประมาณ 6 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 4 ชม. เราออกเดินจาก camp ลงหุบด้านหลัง ไต่ขึ้นไปเดินตามแนวสันเขา ซึ่งบริเวณนี้จะเต็มไปด้วยป่าสนสองใบ มีป้ายบอกทางไปลังกาหลวงเป็นระยะๆ แต่ต้องสังเกตุดีๆ เพราะป้ายบอกทางบางช่วงสีมันจะกลืนไปกับสีของป่า ซึ่งเราไปเสียเวลาคลำทางตรงลำธารหัวน้ำตกอะรูมิไร้อยู่พักนึงจึงมองเห็นป้ายให้เดินขึ้นไป เราเดินลัดเลาะไปตามสันเขามีช่วงเดินขึ้นลงเขาไม่มากนัก บางครั้งก็ต้องฝ่าดงหญ้าคา หลายคนได้แผลจากดงหญ้าคา แต่ก็ไม่มีใครบ่น เพราะทุกคนเป็นคนที่ชื่นชอบการใช้ชีวิตแบบนี้อยู่แล้ว เราเดินไปกันเรื่อยๆเหนื่อยก็พัก มาหยุดที่เนินแห่งหนึ่งก่อนที่จะลงไปถึง camp ลังกาหลวง มองย้อนกลับไปเห็นยอดลังกาน้อยอยู่ลิบๆ

camp ลังกาหลวงตั้งอยู่ในหุบเชิงเขา ภูมิประเทศเป็นป่าดิบเขา มีแหล่งน้ำไม่ไกลนัก เรามาถึงเอาบ่ายโมงจัดแจงตั้ง camp ทำอาหารมื้อหลางวันกินกันก่อน แล้วนั่งเล่นนอนเล่นรอเวลาประมาณ 4 โมงค่อยขึ้นยอดลังกาหลวง

4 โมงเราออกจากแคมป์ เดินทางขึ้นยอดลังกาหลวง อีกประมาณกิโลนึง ผมเดินขึ้นไปตรงถึงเนินธงทางซ้ายจะตัดลงหุบไปขึ้นยอดลังกาหลวง สภาพอากาศเห็นแล้วท้อใจมองลงไปในหุบไม่เห็นอะไรเลย ฟ้าปิดเหมือนเมื่อวานแต่วันนี้ทำท่าจะหนักกว่า ผมตัดสินใจเตร็ดเตร่หามุมถ่ายภาพอยู่ที่เนินธงไม่ไปต่อ แต่ก็ทัศนวิสัยทำให้ทำอะไรไม่ได้มากนัก ปล่อยให้น้องๆวัยกำลังสดไปทำตามฝันกันก่อน พรุ่งนี้ผมค่อยขึ้นตอนเช้าดีกว่า (ข้ออ้างของคนเริ่มแก่ 55 ) ได้ยินแต่เสียงจากน้องๆทางยอดฝั่งลังกาหลวงนู้น ส่งเสียงเฮฮาเจีียวจ๊าวกันน่าสนุก ทนไม่ไหว..เดินลงดีกว่า ไปช่วยทำกับข้าวกับจ่าหมูที่ข้างล่างดีกว่า

คืนนั้นผมนอนหลับสบาย ไร้สิ่งรบกวน แต่เต้นท์อีกฝั่งที่นอนอยู่ตรงลานพระพุทธรูปเมื่อคืนมีเรื่องเล่าที่เจอะเจอตอนกลางคืน แต่จะไม่ขอพูดถึง เพราะถ้าเราอยู่คนล่ะคลื่นก็ไม่มีโอกาสได้เจอ มันไม่ใช่จะมีโอกาสได้เจอกันทุกคน แต่ที่ตรงนี้ค่อนข้างแรงพอสมควร เพราะก่อนหน้านั้นก็เคยได้ยินกันมาหลายทริปแล้ว.. ตัดกลับมาที่เช้าวันรุ่งขึ้น ตอนตี 5 เริ่มเดินขึ้นยอดอีกครั้งระยะทางเกือบ 1 กิโลก็เหนื่อยพอสมควรเพราะเดินไต่ขึ้นไปถึงเนินธงแล้วเดินลงหุบอีกครั้งแล้วก็ไต่ขึ้นยอดลังกาหลวง เราจับจองหามุมกันมุมใครมุมมัน แต่ต้องระวังให้มากเพราะมุมที่มองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นมันอยู่ระหว่างทางก่อนขึ้นไปถึงจุดสูงสุดสัก 100 เมตรต้นหญ้ามันจะบัง ถ้าเราเดินเข้าไปในดงหญ้าต้องระวังเพราะอาจจะเหยียบเอาอากาศลอยละลิ่วร่วงลงไปยังหุบเหวเบื้องล่างโดยไม่รู้ตัว

ฟ้าเริ่มสว่างมองเห็นเมฆหมอกลอยฟูฟ่องอยู่เบื้องหน้า และพอมองย้อนลงไปทางที่เราขึ้นมาหมอกจากอีกฝั่งจะลอยข้ามหุบเขาด้านซ้ายไปยังด้านขวา สลับกับอากาศปิดๆเปิดๆเป็นระยะๆเพราะลมในหุบมันตีขึ้นทำให้หมอกค่อนข้างฟุ้ง ช่วงที่รออากาศเปิดเราก็ถ่ายรูปเล่นกันบนยอดสูงสุดของดอยลังกาหลวงที่ความสูง 2031 เมตรจากระดับน้ำทะเลสูงเป็นอันดับ 5 ของดอยที่มีความสูงที่สุดในประเทศ

หลังจากดูท่าทีของสภาพอากาศเช้าวันนั้นแล้วคิดว่าคงจะไม่เปิดง่ายๆ พวกเราจึงตัดสินใจเดินลงกัน ตอนเดินลงต้องเดินให้ดีเพราะทางที่เปียกไปด้วยน้ำค้าง เส้นทางจะค่อนข้างลื่นเป็นพิเสษเล่นเอาหลายคนก้นจ้ำเบ้าไปตามๆกัน

กลับมาถึง camp จัดแจงอาหารเช้า และทำไปเผื่อกินกลางวันระหว่างทาง เส้นทางวันสุดท้ายจะเดินค่อนข้างไกล ประมาณ 10 กิโลได้ ดังนั้นเราจึงไม่มีเวลาที่จะหยุดทำอาหารกินกัน หลังจากเก็บ camp เสร็จก็ออกเดินทางมุ่งสู่ผาโง้ม ซึ่งเป็นดอยสูงขั้นอีกดอยหนึ่งที่เราต้องผ่านไป


เราเดินลัดเลาะไปตามสันดอยลูกแล้วลูกเล่า ก็มาถึงบริเวณสันดอยลูกหนึ่ง ซึ่งมองเห็นหุบเขาเบื้องล่างและวิวทิวทัศน์ได้แบบรอบตัวและมองเห็นดอยผาโง้มอยู่ไกลๆ จึงหยุดถ่ายภาพกันเป็นที่ระลึกก่อนจะออกเดินทางต่อ

หลังจากนั้นเราเดินลงหุบอีกครั้งแล้วค่อยๆ ไต่ไปตามความสูงของดอยผาโง้ม ซึ่งดอยนี้เป็นดอยที่สร้างความลำบากและท้อใจเป็นอย่างมากที่เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึงยอดสักที เดินๆหยุดๆเพราะความชัน ถึงแม้เส้นทางเดินจะง่าย และความสูงแค่ 1,700 เมตร น้อยกว่าลังกาหลวงหลายร้อยเมตร แต่เหนื่อยกว่ามาก เพราะมันชันยาวเลยทีเดียว น้องข้างหลังที่เคยมาเล่าให้ฟังว่าถ้าไม่ไต่ขึ้นดอยมาจะมีทางลัดเลาะหุบเหวข้างล่างซึ่งทางจะค่อนข้างอันตราย และเป็นทางที่อ้อมเขาไป และถ้าพ้นผาโง้มไปก็สบายแล้ว จริงๆแล้วเราจะพักกินข้าวกลางวันกันที่นี่ แต่ลูกหาบคงฟังภาษาไทยไม่ค่อยเข้าใจ จึงตั้งหน้าตั้งตาเดินนำลิ่วไปโดยไม่รอ แถมไอ้คนที่นำลิ่วไปก็เป็นคนที่ขนเสบียงอาหารซะเนี้ยะ ต้องให้ลูกหาบอีกคนไล่กวดตามไปบอกว่าให้เอาอาหารกลางวันมาให้พวกเราระหว่างทางด้วย ช่วงนี้ใครมีอะไรกินก็แบ่งปันกันไป นี่แหละน้ำใจเพื่อนร่วมทางถึงแม้จะไม่เคยเจอกันมาก่อน แต่ความลำบากก็ช่วยหล่อหลอมให้เราเป็นหนึ่งเดียวกันได้

ลงจากผาโง้ม ตามคำของน้องที่บอกว่าต่อไปก็สบายแล้ว แต่เอ๊ะ ทำไมมีเขาสูงใหญ่อยู่ข้างหน้า ยิ่งเดินเข้าไปใกล้เส้นทางมันก็พุ่งตรงไปที่เขาลูกนั้น ถามลูกหาบว่าเราต้องข้ามเขาลูกนั้นไปใช่ไหม ลูกหาบบอกว่าใช่แล้ว ดอยลูกนั้นเป็นดอยสูงดอยสุดท้ายมีชื่อว่าดอยสันยาว และมันก็ยาวสมชื่อจริงๆ ความสูงก็ไล่เลี่ยกับผาโง้ม เหนื่อยพอๆกัน ช่วงระหว่างผาโง้มกับสันยาวนี่แทบไม่ได้หยิบกล้องมาจับเลย เหนื่อยจริงๆ อีกทั้งขาเจ้ากรรมก็ดันสะดุดแง่หินเส้นพลิกไปหน่อยนึงดีที่ยังไม่เป็นอะไรมาก ยังพอเดินต่อได้ หลังจากหลุดจากสันยาวก็เจอดอยเล็กดอยน้อยไต่ขึ้นๆลง ๆ จนเริ่มเห็นเสาส่งสัญญานของสถานีเรด้าห์ ค่อยใจชื้นรีบจำ้กันอ้าว เพื่อจะออกสู่โลกภายนอกโดยเร็ว และในที่สุดพวกเราก็ทำได้ เดินมาทะลุที่สถานีเรด้าห์ระยะทาง 17 กม.จากบ้านแม่ตอนหลวง ชักภาพกันเป้นที่ระลึกก่อนเดินทางไปที่หน่วย อาบน้ำอาบท่าก่อนเดินทางกลับกรุงเทพ..

ขอบคุณ Travel Basscamp Thailand ที่จัดทริปเดินทางในครั้งนี้

ขอบคุณ Tanawoot Koiynon , Tanapat Klinphoo เอื้อเฟื้อภาพถ่ายบางภาพในการประกอบการรีวิวให้สมบุูรณ์ยื่งขึ้น

ขอบคุณแก็งค์มะตูมที่สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ

ขอบคุณเพื่อนร่วมทริปที่ได้ผจญภัยร่วมกันในครั้งนี้


-ขอขอบคุณเพื่อนๆที่ได้เข้ามาชม และ กด like กด share เป็นกำลังใจน่ะครับ

-แลกเปลี่ยนข้อมูล หรือพูดคุย สอบถามข้อมูลการเดินทาง ได้ที่ Fanpage : สตั๊ดดอยร้อยเรื่องราว

-ติดตามบทความเก่าๆ ได้ที่นี่ครับ ทริปเดินทางทั้งหมด





































สตั๊ดดอย ร้อยเรื่องราว

 วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559 เวลา 18.05 น.

ความคิดเห็น