รู้ทั้งรู้ว่าช่วง พ.ค.-ต.ค. เป็นช่วงฤดูฝนของทะเลฝั่งอันดามัน แต่ถึงจะเจอฝน ถ้าคนมันรักจะเที่ยว ถึงฝนตกแค่ไหนผมก็ไม่หวั่น ทริปนี้ผมได้โปรโมชั่นดีๆ มา 2 รายการ อย่างแรกคือโปรฯ ฉลอง 48 ปีของบางกอกแอร์เวย์ ได้ค่าตั๋วไป-กลับ อยู่ที่ราคา 1,100 บาท และโปรฯ รถเช่าของ Thai rent a car ที่เช่ารถ hatchback ได้ในราคาวันละ 499 บาท รวมภาษีอีกนิดหน่อย 2 วัน จ่ายไปชิวๆ ที่ 1,068 บาท ราคานี้ไม่รวมค่าประกันนะครับ สำหรับที่พักผมได้ที่พักฟรีมา 2 คืนครับ

ก่อนวันเดินทาง 24 ชั่วโมง Bangkok Airways จะส่ง mail มาหา (ทาง e-mail ที่เราแจ้งไว้ตอนที่ทำการจอง) เพื่อแจ้งให้ทำการ Check in ล่วงหน้าได้ โดยใน mail จะมีลิงค์พาเข้าไปที่ http://www.bangkokair.com/pages/view/web-check-in เมื่อเข้าไปแล้ว เพียงคลิ๊กไม่กี่คลิ๊กก็เป็นอันเสร็จสิ้นกระบวนการ ผมแนะนำว่าให้ทำการ Check in ล่วงหน้าไปเลยนะครับ เพราะจะได้ไม่ต้องไปยืนต่อคิวยาวๆ ที่สนามบินครับ

เมื่อมาถึงสนามบิน นึกดีใจเล็กๆ ที่ Check in ล่วงหน้ามาก่อน เพราะไม่เช่นนั้นคงต้องรอต่อคิวยาวเฉียดครึ่งชั่วโมงเป็นแน่ๆ ผมใช้เวลาประมาณ 5 นาทีเพื่อทำการ Drop สัมภาระ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมรีบมุ่งหน้าไปที่ Lounge โดยทันทีครับ

เมื่อมาถึง Lounge เพียงแค่แสดง boarding pass ให้แก่พนักงาน ก็สามารถเข้าไปใช้บริการด้านในได้แล้ว โดยพนักงานจะมอบรหัส wifi ให้เราไว้ใช้ free wifi ด้านใน Lounge ด้วยครับ

มีมุม internet ไว้ให้ใช้งานด้วย

พื้นที่บริการมีทั้งที่นั่งแบบโซฟา และแบบเคาเตอร์บาร์ สามารถเลือกนั่งได้ตามใจชอบ ขอบอกว่าที่นั่งแบบเคาเตอร์บาร์ จะมีปลั๊กไฟให้ชาร์จแบตฯ ด้วยครับ

มุมอาหารว่าง มีทั้งของทานเล่น เช่น Popcorn คุกกี้ แซนด์วิช คัพเค๊ก ข้าวแต๋น รวมถึงเครื่องดื่มทั้งร้อนและเย็นครับ

และที่จะลืมกล่าวถึงไม่ได้ คือ ข้าวต้มมัดในตำนาน มีเติมไม่ขาดแน่นอนครับ

เบาๆ สักนิดก่อนขึ้นเครื่องครับ

กว่า Gate จะเปิด ก็อิ่มท้องพอดีครับ

พร้อมที่จะทะยานขึ้นฟ้าไปกระบี่แล้วครับ

วิวมุมสูงของกรุงเทพและสมุทรปราการ มองเห็นกระเพาะหมู ซึ่งเป็นที่ตั้งของบางกะเจ้า ปอดแห่งใหญ่ของคนกรุงเทพครับ

ไม่นานนักอาหารก็มาเสิร์ฟ ไฟล์ทนี้บริการข้าวไรซ์เบอรี่และข้าวขาว ทานคู่กับผัดบวบ ตบท้ายด้วยมะละกอและแคนตาลูปครับ

ได้ยินเสียงกัปตันประกาศบนเครื่องบินว่า ขณะนี้เราทำการบินอยู่เหนือท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่แล้ว แต่เนื่องจากทัศนวิสัยในการมองเห็นเหลืออยู่เพียง 1 กิโลเมตร จากปกติที่จะสามารถบินลงได้อยู่ที่ 2.2 กิโลเมตร เราจึงมีความจำเป็นที่จะต้องบินวนแบบนี้ไปก่อน ขณะนี้เรามีน้ำมันอยู่ในถัง ซึ่งจะสามารถบินได้อีก 1 ชั่วโมง ดังนั้น เราจึงจะขอบินวนแบบนี้ไปก่อนครึ่งชั่วโมง หากทัศนวิสัยยังไม่ดีขึ้น เราจะทำการบินขึ้นไปทางเหนือ อาจจะเป็นสนามบินสุวรรณภูมิ หรือสนามบินอู่ตะเภา แต่คงไม่สามารถบินลงใกล้ๆ ได้ เช่น สนามบินภูเก็ต เพราะที่สนามบินภูเก็ตทัศนวิสัยก็ไม่ดีเช่นกัน จากนั้นกัปตันก็เงียบเสียงไป...

กัปตันบินวนอยู่หลายรอบเหมือนกัน จนผมรู้สึกเคลิ้มไป มารู้สึกตัวอีกทีตอนกัปตันประกาศพร้อมจะ Landingผมเลยตาสว่างและหันมาช่วยกัปตันคอยเหยียบเบรคเวลาล้อแตะพื้นสนามบิน ขอบอกเลยว่าถึงแม้สภาพลมจะแรง แต่การ Landing ครั้งนี้รู้สึกว่ามันราบลื่น ไม่มีเป๋ ไม่มีไถลแม้แต่น้อยครับ

หลังรับของที่สายพาน ในอาคาร 2 เรียบร้อย ผมมุ่งหน้าสู่อาคาร 1 เพื่อไปรับรถกับ Thai rent a car ที่จองไว้ล่วงหน้าเกือบ 1 เดือน กระบวนการรับรถก็ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่แสดงบัตรประชาชน และใบขับขี่เท่านั้น อ้อ มีบัตรเครดิตด้วยอีก 1 ใบ เพราะทาง Thai rent a car จะมัดจำค่าเสียหายล่วงหน้า 10,000 บาท ผ่านบัตรเครดิตครับ

การวางแผนมาเที่ยวกระบี่ในช่วงฤดูฝน ผมคงต้องตัดโปรแกรมเกี่ยวกับการล่องเรือชมเกาะแก่งออกไปเลย เพราะไม่ไว้ใจกับสภาพอากาศ ขนาดก่อนที่ผมเดินทางมากระบี่ 1 วัน เพิ่งจะมีข่าวเรือหางยาวที่พานักท่องเที่ยวออกเที่ยวตามเกาะแก่งล่ม โชคดีที่ไม่มีใครเสียชีวิต ดังนั้นในทริปนี้ผมจะเน้นการขับรถเที่ยวบนผืนแผ่นดินเป็นหลักครับ

จากสนามบิน ผมแวะไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยกันก่อนที่วัดถ้ำเสือ วัดชื่อดังเมืองกระบี่ ชื่อของวัดถ้ำเสือ ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดแต่สันนิษฐานกันว่าในอดีตเคยมีเสือมาอาศัยอยู่ ภายในถ้ำยังพบหินธรรมชาติเป็นรูปแบบของอุ้งเท้าเสือด้วยครับ

วัดถ้ำเสือยังมีจุดชมวิวเพื่อชมเมืองกระบี่มุมสูงด้วย แต่การจะขึ้นไปชมต้องแลกมาด้วยกำลังขาของนักท่องเที่ยว เพราะจะต้องเดินขึ้นบันไดนับพันขั้นเพื่อขึ้นไปยังจุดชมวิว แต่เนื่องจากฝนยังคงตกพรำอยู่เรื่อยๆ เลยขอไปไหว้พระ ชมที่มาของชื่อวัดถ้ำเสือเพียงอย่างเดียวครับ

ด้านในของวัดยังทำเป็นอาคารทรงจีน ภายในประดิษฐานพระโพธิสัตว์กวนอิมขนาดใหญ่ ให้นักท่องเที่ยวได้สักการะขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลครับ

เจดีย์แห่งนี้สร้างมาหลายปีแล้ว มาวันนี้ก็ยังคงสร้างไม่เสร็จอยู่เหมือนเดิม เท่าที่สังเกต นอกจากคนไทยแล้ว คนจีนก็นิยมมาไหว้พระขอพรกันที่วัดถ้ำเสือด้วยเช่นกันครับ

จากวัดถ้ำเสือ ผมตีรถยาวเกือบ 70 กม.เพื่อไปยัง อ.ปลายพระยา ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดถ้ำนาฬาคิริง ก่อนที่จะมาที่วัดแห่งนี้ ผมได้โทรศัพท์สอบถามและขออนุญาตหลวงพ่อขจิต กมโล ท่านเจ้าอาวาสเพื่อขอเข้าชมภายในถ้ำครับ

เมื่อผมขับรถมาจอดด้านในวัด หลวงพ่อได้เดินออกมาต้อนรับ ท่านมาพร้อมกับเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์ 2 ตัว มันกระโดดเข้าหาผมเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อน ช่างเป็นสุนัขรับแขกซะจริงๆ

หลวงพ่อขจิต กมโล เล่าว่าเดิมทีเดียววัดถ้ำนาฬาคิริงเป็นสำนักสงฆ์มาก่อน ในภายหลังได้พัฒนาขึ้นมาจนเป็นวัด และได้มีการสร้างพระอุโบสถเป็นรูปช้างนาฬาคิริง ซึ่งเป็นพระอุโบสถแห่งเดียวในประเทศไทยและในพระพุทธศาสนา ที่ได้มีการสร้างโบสถ์ในลักษณะแบบนี้ ระหว่างเท้าหน้าทั้งสองข้างของช้างจะเป็นประตูโบสถ์ ด้านในโบสถ์ยังก่อสร้างไม่แล้วเสร็จ แต่ด้านนอกโบสถ์ถือว่าเกือบเสร็จสมบูรณ์แล้วครับ

ด้านในโบสถ์ทางวัดยังไม่เปิดให้เข้าชม แต่ผมไปส่องๆ ดูด้านในโบสถ์ทางหน้าต่าง ด้านในกำลังเขียนภาพจิตกรรมฝาผนังอยู่ครับ โดยบอกเล่าเรื่องราวของช้างนาฬาคิริงในอิริยาบถต่างๆ ครับ

หลวงพ่อฝากเชื้อเชิญญาติโยมผ่านมาทางผมด้วยว่าในวันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน 2559 ทางวัดจะทำพิธีปักวิสุงคามสีมา หากนักท่องเที่ยวหรือญาติโยมท่านใดว่าง สามารถมาร่วมพิธีกันได้นะครับ

หลวงพ่อยังเล่าให้ฟังอีกว่า สมัยที่ท่านออกธุดงค์ที่ถ้ำวัว จ.แม่ฮ่องสอน ท่านนิมิตเห็นชายตัวดำรูปร่างสูงใหญ่ ไม่ใส่เสื้อ นุ่งเพียงโจงกระเบนสีขาว สะพายย่าม มือถือเทียน มาชวนท่านไปดูถ้ำแห่งหนึ่ง หลังนิมิตผ่านพ้นไป ท่านพยายามสืบหาถ้ำในนิมิตอยู่หลายแห่ง จนในปี 2533 ท่านได้รับนิมนต์ให้มาเป็นเจ้าสำนักสงฆ์ใน อ.ปลายพระยา จ.กระบี่ ท่านจึงได้ถามชาวบ้านแถวนั้นว่ามีวัดหรือถ้ำบ้างหรือไม่ ชาวบ้านตอบว่ามี แต่อยู่ในป่ารกทึบ ไม่มีใครกล้าเข้าไป ท่านจึงเข้าไปสำรวจถ้ำแห่งนั้น ซึ่งถ้ำดังกล่าวมีลักษณะคล้ายกับถ้ำในนิมิต ถ้ำแห่งนี้จึงถูกค้นพบโดยหลวงพ่อขจิต กมโล เมื่อวันที่ 9 ก.ค.2533 ครับ

ก่อนที่ท่านจะไปทำกิจ ท่านได้ให้ลูกศิษย์วัด (ขอเรียกว่าน้องไกด์) พาผมเข้าไปชมด้านใน ผมถามความหมายของคำว่า "นาฬาคิริง" ว่าหมายถึงอะไร น้องไกด์เล่าว่า นาฬิคิริง มาจากคำว่า นาฬาคิรี ซึ่งเป็นชื่อช้างเชือกสำคัญในสมัยพุทธกาล ช้างตัวนี้เป็นช้างที่พระเทวทัตสั่งให้มาทำร้ายพระพุทธเจ้าถึง 2 ครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนครั้งที่ 3 พระพุทธเจ้าทรงแผ่เมตตาให้กับช้างเชือกนี้ จนช้างสงบสติอารมณ์และทรุดกายถวายกราบบังคมทูล พร้อมน้ำตาไหลอาบแก้ม ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงเต็มไปด้วยรูปช้าง เดิมทีเดียวก่อนที่จะมาที่นี่ ผมยังคิดว่าถ้ำแห่งนี้น่าจะมีความเกี่ยวข้องกับพญานาคซะมากกว่า ด้วยคำว่า "นาฬา" ซึ่งใกล้เคียงกับ "นาคา" ซึ่งมีความหมายว่า พญานาค เหมือนกัน ความสงสัยผมยังไม่หมดเพียงเท่านั้น แล้วทำไมที่นี่ถึงมีแต่ "ช้าง" น้องไกด์ก็ไขข้อข้องใจให้ผม บอกเล่าว่าภายในถ้ำมีก้อนหิน หินงอกหินย้อยที่มีลักษณะคล้ายกับช้างอยู่มากมายนั่นเอง

ยังไม่ทันเดินถึงปากถ้ำ ผมก็สัมผัสได้ถึงความเย็นภายในถ้ำ เนื่องจากไอเย็นมาปะทะที่ร่างกายผม สำหรับการเที่ยวชมถ้ำ จะเป็นการเข้าทางหนึ่งและออกอีกทางหนึ่ง แต่เนื่องจากช่วงนี้ฝนเริ่มมาแล้ว ทำให้บริเวณปากทางเข้าถ้ำมีระดับน้ำค่อนข้างสูง จริงๆ เราสามารถพายเรือเข้าไปด้านในได้ แต่รอบนี้ขอเข้าชมแบบสบายๆ โดยการเดินเข้าและออกในเส้นทางเดียวกันครับ

บริเวณปากทางออกมีรูปปั้นของชายที่ปรากฎในนิมิตของหลวงพ่อขจิต กมโล ครับ

ปกติทางวัดจะไม่เปิดไฟในถ้ำทิ้งไว้ แต่จะเปิดไฟเฉพาะตอนที่มีนักท่องเที่ยวมาเข้าเยี่ยมชม ดังนั้นก่อนที่จะมาเที่ยว จึงควรโทรศัพท์มาแจ้งหลวงพ่อไว้ก่อนนะครับ เมื่อพร้อมแล้วเข้าไปชมด้านในกันดีกว่าครับ

จากปากถ้ำผมเดินเข้ามาเพียงไม่นาน ก็เริ่มเห็นความอลังการของถ้ำแห่งนี้แล้ว จุดแรกที่น้องไกด์เรียกให้ผมชม นั่นคือหินงอกที่งอกมาจากพื้น ดูลักษณะคล้ายกับคนกอดกันครับ

ผมว่าหินกอดกันที่อยู่เบื้องหน้าผมในตอนนั้น มันโดนขโมยซีนจากฉากเบื้องหลังของมันเอง ที่ดูอลังการงานหินงอกหินย้อยไปซะแล้วครับ ที่เพดานถ้ำมีหินย้อยอยู่เต็มไปหมด และพื้นของถ้ำดูเหมือนทรุดตัวลงไปจนเป็นหลุมขนาดใหญ่อยู่บ้างครับ

ผมว่าบริเวณนี้ ผนังถ้ำสูงไม่น่าเกิน 6 เมตร หินย้อยบางก้อนย้อยมารวมกับหินงอก ดูเหมือนม่านหินธรรมชาติไปแล้วครับ

ภาพด้านบนนี้ หากสังเกตบริเวณกลางภาพ (เหนือลายน้ำ) ให้ดี จะเห็นเหมือนกับเท้าช้างกำลังจะเหยียบลงพื้นถ้ำเลยครับ

ด้านซ้ายมือของภาพบนนี้ มีลักษณะคล้ายบั้นท้ายของช้าง 3 ตัวเรียงอยู่ในแนวตั้งเลยครับ

ถ้ำที่นี่เป็นถ้ำเป็น ซึ่งจะสังเกตได้จากการที่มีหยดน้ำหยดลงมาตลอดเวลา หยดน้ำเหล่านี้เองเป็นตัวชี้วัดว่าต่อไปในอนาคต หินจะย้อยลงมาเรื่อยๆ จนติดกับพื้นถ้ำครับ ดังนั้นขอวิงวอนนักท่องเที่ยวทุกคนเลยนะครับ หากเข้ามาเที่ยวชมถ้ำเป็นแล้ว อย่าเอามือไปสัมผัสกับหินเลย ไม่เช่นนั้นหินจะตาย และหยุดการเจริญเติบโตไปเลย

เสาหินแบบนี้ มีให้เห็นเยอะแยะในถ้ำแห่งนี้ นับเป็นถ้ำที่สมบูรณ์มากๆ เลยครับ

น้องไกด์ชี้ให้ดูหินงอกแดงๆ ที่อยู่ด้านขวามือของภาพบน ว่าคล้ายคบเพลิงครับ

จุดนี้เป็นลานหิน เชื่อว่าเป็นที่ประทับบรรทมของเจ้าพระยาครับ

ทางด้านซ้ายของภาพบน ลักษณะเหมือนน้ำตกสีขาวไหลลงมาจากเพดานถ้ำครับ

น้องไกด์นั่งคิดอยู่นานว่าบริเวณนี้ชื่ออะไร แล้วบอกกับผมว่า จุดนี้เรียกว่าแดนลับแลครับ

หินงอกเล็กๆ ด้านขวามือนี้ ลักษณะเหมือนฤๅษีไหมครับ

เสาหินธรรมชาติขนาดใหญ่ กะโดยสายตาประมาณ 2-3 คนโอบครับ

น้องไกด์ชี้ให้ดูโครงกระดูกเป็นฟอสซิลครับ นี่ถ้าไม่สังเกตก็มองไม่เห็นเหมือนกันเพราะค่อนข้างมืด

จุดนี้ถ้าไม่สังเกต น้องไกด์ไม่ชี้ให้ดูก็คงมองไม่เห็น ลักษณะคล้ายใบเลื่อยครับ

หินก้อนข้างหน้านี้ น้องไกด์บอกว่าเป็นเตาโบราณครับ

บริเวณนี้เป็นอีกจุดที่ผมชอบครับ ที่พื้นถ้ำดูเหมือนเป็นบ่อน้ำตื้นๆ ขนาดเล็กหลายๆ บ่อครับ

น้องไกด์นั่งรอผมถ่ายภาพอยู่ ผมเลยขอให้เธอเป็นนางแบบให้เล็กน้อยครับ

ตามเพดานถ้ำ ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นคล้ายๆ เส้นใยแมงมุม แต่แท้ที่จริงแล้วนี่คือเส้นใยของหนอนถ้ำ เวลาโดนแสง เส้นใยนี้จะสะท้อนแสงไฟ มองเห็นได้อย่างชัดเจนครับ

จุดนี้ก็คล้ายๆ กับน้ำตกที่ตกลงมาจากเพดานถ้ำ แถมยังมีแอ่งน้ำเป็นชั้นๆ อยู่ที่พื้นถ้ำด้วย ดูไม่ต่างจากน้ำตกจริงๆ เลยครับ

มุมนี้น่าจะเป็นไฮไลท์ของถ้ำ กับหินรูปหัวใจ เวลาโดนแสงไฟ หัวใจจะส่องแสงระยิบระยับเลยครับ

ผมเดินย้อนกลับเส้นทางเดิม จนถึงปากถ้ำถือเป็นอันจบทริปในถ้ำด้วยความประทับใจ ขอบอกเลยว่าถ้ำนี้ไม่ได้น้อยหน้าถ้ำไหนๆ เลย ผมว่าน่าจะสวยที่สุดเท่าที่ผมเคยได้ไปสัมผัสถ้ำต่างๆ มา ไฟที่ส่องสว่างภายในถ้ำจะเป็นสีเหลืองนวลทั้งหมด ทำให้ดูเป็นธรรมชาติมากกว่าหลอดไฟที่มีสีสันหลากหลาย

ก่อนที่ผมจะเดินทางกลับ หลวงพ่อขจิต กมโล ยังเดินออกมาส่งผม ผมมีโอกาสได้สนทนากับท่าน ท่านบอกว่าวันนี้ลูกศิษย์วัดพาเดินชมได้เพียงแค่ 60% แต่ถ้าหลวงพ่อพาชม จะชมได้ 100% ท่านยังเชื้อเชิญผมอีกว่าให้มาช่วงปลายเดือนตุลาคม ช่วงนั้นระดับน้ำจะไม่สูงมากนัก จะมีการพายเรือเข้าไปชมถ้ำ โดยท่านจะเป็นคนพายพานักท่องเที่ยวเที่ยวชมด้วยตัวท่านเอง ผมเองก็แอบหวังไว้ลึกๆ ว่า อยากจะหาโอกาสกลับมาเที่ยวชมที่ถ้ำแห่งนี้อีกครั้งหนึ่งให้ได้

ผมทราบมาว่าการดูแลรักษาภายในถ้ำ รวมถึงค่าไฟ ทางวัดเป็นผู้บริหารจัดการโดยดูแลค่าใช้จ่ายทั้งหมดเอง ผมเองก็ไม่ทราบว่าทางวัดจะมีงบประมาณเหลือพออีกสักเท่าไรเพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาถ้ำ ผมไม่อยากให้ถ้ำสวยๆ แห่งนี้ต้องปิดตัวลง อยากให้ถ้ำแห่งนี้อยู่คู่กับกระบี่ไปนานๆ สำหรับการเข้าชมถ้ำนาฬาคิริงเปิดให้เข้าชมฟรีโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ เพียงแต่ขอน้ำใจจากนักท่องเที่ยวช่วยบริจาคค่าไฟ ค่าบำรุงถ้ำให้กับทางวัดตามแต่จิตศรัทธาสักหน่อยเถอะครับ ถ้ำแห่งนี้จะได้เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เที่ยวชมไปอีกนานๆ และอีกสิ่งที่อยากวิงวอนนักท่องเที่ยวทั้งหลาย ขอให้เที่ยวอย่างนักอนุรักษ์ ไม่สัมผัสจับต้องหินต่างๆ ที่อยู่ภายในถ้ำ เพราะถ้ำนี้เป็นถ้ำเป็น หากสัมผัสเมื่อไร หินนั้นจะหยุดการเจริญเติบโตทันที กราบ...ละครับ สำหรับผู้ที่สนใจเข้าไปชมภายในถ้ำ สามารถโทรศัพท์ขออนุญาตจากหลวงพ่อขจิต กมโล ที่เบอร์โทร 089 5931016 ก่อนนะครับ

ตลอดเวลาที่อยู่ในถ้ำ ไม่รู้เลยว่าฝนตก จนเดินออกมาถึงปากถ้ำ ถึงได้รู้ว่าฝนเริ่มตกอีกแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคในการเที่ยวของผม ขอเพียงว่าเมื่อผมถึงสถานที่ท่องเที่ยวจุดต่อไป ภาวนาขอให้ฝนหยุดตกเสียที จากวัดถ้ำนาฬาคิริง ผมมุ่งหน้าสู่ท่าปอมคลองสองน้ำ ซึ่งอยู่ในเขต อ.เมืองกระบี่ครับ

จากลานจอดรถ (เสียค่าจอดรถคันละ 20 บาท) เราเดินต่อกันอีกนิดหน่อย ราว 200 เมตร ก็จะเข้าเขตพื้นที่ของท่าปอมคลองสองน้ำ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบดูแลของ อบต.เขาคราม ดังนั้นการจะเข้าไปชมด้านในจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 20 บาทครับ

ทางเดินในช่วงแรก เหมือนเดินเข้าไปในป่าโปร่ง สองข้างทางพบแต่ความเขียวขจี ประกอบกับฝนเพิ่งจะซาเม็ดไป เลยทำให้ดูสดชื่นมากขึ้นครับ

ด้านในจะเป็นเส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติเชิงนิเวศวิทยา ได้เห็นถึงความสมบูรณ์ของพืชพรรณที่เติบโตได้ทั้งในน้ำและบนดิน แต่จุดที่น่าสนใจคือ สายน้ำที่ไหลผ่านคลองท่าปอมนี่ซิครับ ในช่วงขึ้น 12 ค่ำไปจนถึง แรม 5 ค่ำ น้ำทะเลจะหนุนขึ้นสูงลึกเข้ามาในคลองท่าปอม และผสมกับน้ำจืดในคลองท่าปอมกลายเป็นคลองน้ำกร่อยที่มีสีฟ้าค่อนข้างขุ่นแต่ว่าก็เป็นช่วงเวลาไม่นาน เพราะหลังจากนั้นน้ำทะเลก็จะลงและถูกแทนที่ด้วยน้ำจืดที่ใสแจ๋ว สามารถมองเห็นปลาและพืชใต้น้ำได้อย่างชัดเจน เสียดายช่วงที่ผมไปฝนตกหนัก เลยทำให้น้ำค่อนข้างขุ่น แต่ก็ยังคงมองเห็นปลาแหวกว่ายอยู่ในน้ำได้บ้างครับ

โซนนี้เป็นโซนที่ทาง อบต.ได้สร้างเส้นทางศึกษาธรรมชาติขึ้นใหม่ โดยจะมาบรรจบกับเส้นทางเดิมใกล้ๆ กับบริเวณที่ขายตั๋วเข้าครับ

เสน่ห์ของ ท่าปอม อีกอย่างนอกเหนือจากความใสของน้ำเห็นจะเป็นรากไม้ที่โผล่พ้นน้ำขึ้นมาเพื่อหายใจ แล้วพันเกี่ยวสานกันเป็นแพอยู่ริมตลิ่งสองฝั่งคลอง ความสวยงามของธรรมชาติที่รังสรรค์มาดูแปลกตาน่าอัศจรรย์มากๆ ครับ

จากท่าปอมคลองสองน้ำ ผมมุ่งหน้าสู่หาดทับแขก ซึ่งจะเป็นที่พักของผมในคืนนี้

ระหว่างทาง มองเห็นหาดคลองม่วง เลยแวะถ่ายภาพสักเล็กน้อย ขอบอก ถึงแม้ทรายที่หาดนี้จะไม่ขาว แต่ว่าละเอียดมากครับ

ขับรถต่อมาอีกนิดหน่อย จะพบจุดชมวิวที่ยังสร้างไม่เสร็จ แต่สามารถจอดรถชมวิวมุมสูงได้ จากจุดชมวิวมองเห็นท่าเรือขนาดเล็กที่ทำจากทุ่นลอย เคียงคู่กับสายพานขนแร่ ที่ทอดยาวไปในทะเล มองออกไปกลางทะเลมองเห็นหมู่เกาะห้อง หรือที่คนแถวนั้นรู้จักกันในชื่อ "ป่าเกาะ" ครับ

จากจุดชมวิว ขับรถต่ออีกสักเล็กน้อยราว 3 กม. ก็มาถึงที่พักของผมในคืนนี้ THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT ครับ

ครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่สองของผมที่ได้เข้าพักที่นี่ การเข้าพักครั้งที่แล้วยังประทับใจผมมิรู้ลืม Concept ของที่นี่คือ "Timeless Architecture" โดยสามารถเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติได้อย่างกลมกลืนครับ

อาคาร Lobby มี 2 ชั้น ชั้นบนจะเป็นส่วนของ Lobby ที่ดูสูงโปร่ง ทำให้มีลมพัดผ่านอยู่ตลอดเวลา ด้านหน้าจัดเตรียมเป็นพื้นที่สำหรับให้แขกได้นั่งพักผ่อน ทราบมาว่าที่นี่ออกแบบสิ่งก่อสร้างตามหลักฮวงจุ้ยทั้งหมดครับ

น้ำกระเจี๊ยบเย็นๆ มาพร้อมผ้าเย็น เรียกความสดชื่นได้ดีมากๆ เลยครับ

สำหรับชั้นล่างเป็นที่ตั้งของ The Library โดยแบ่งพื้นที่ออกเป็นสองส่วน คือ ส่วนที่ให้นั่งอ่านหนังสือ และส่วนที่หาข้อมูลทาง internet และติดกับ The Library จะเป็นที่ตั้งของ I'artisan ซึ่งเป็นห้องจำหน่ายสินค้าที่ระลึกครับ

คำว่า "ทับแขก" เป็นชื่อหาด มาจากคำว่า "ทับ" หมายถึง "บ้าน" และคำว่า "แขก" หมายถึง "ผู้มาเยี่ยมเยือน" หาดแห่งนี้ด้านหน้าเป็นทะเล มองเห็นหมู่เกาะห้อง 13 เกาะ ชาวบ้านเรียกว่า "ป่าเกาะ" ด้านหลังเป็นเขาหางนาคที่อุดมสมบูรณ์ เป็นแหล่งน้ำสำคัญของจังหวัดกระบี่ ที่ตั้งของรีสอร์ทตั้งอยู่บริเวณท้องของพญานาค ดังนั้นจึงพบเห็นสิ่งที่บ่งบอกถึงพญานาคอยู่ภายในรีสอร์ทด้วยครับ

Check in เสร็จเรียบร้อยแล้ว ไปสำรวจห้องพักกันต่อดีกว่า การเข้าพักของผมในครั้งนี้เป็นการเข้าพักในห้องแบบ Deluxe Room ครับ

รูปแบบของห้องพักแบบ Superior Room และ Deluxe Room มองดูจะเป็นเหมือนบ้านสองชั้น อธิบายง่ายๆ คือใน 1 หลังใหญ่ จะแบ่งเป็นซีกซ้ายและซีกขวา ในส่วนของชั้นบน จะเป็นห้องพักแบบ Deluxe Room ส่วนชั้นล่างจะเป็นห้องพักแบบ Superior Room ดังนั้นใน 1 หลังใหญ่ จะประกอบไปด้วย 2 Deluxe Room และ 2 Superior Room ครับ

เมื่อเปิดประตูห้องเข้ามา ด้านขวามือจะเป็นพื้นที่ในส่วนของเตียงนอน พื้นปูด้วยไม้ ภายในห้องค่อนข้างกว้างขวาง การที่ห้องพักอยู่บนชั้นสอง ทำให้เพดานห้องจะสูงโปร่งตามโครงสร้างของหลังคา ทำให้ดูไม่อึดอัดครับ

ที่ปลายเตียงมีพรมปูพื้นอยู่ เดินผ่านตรงนี้ต้องระวังพอควรครับ เพราะพรมที่ปูอยู่บนพื้นไม้ จะลื่นพอสมควร

เตียงแบบ King Size นอน 3 คนได้อย่างสบายครับ

มีระเบียงให้ออกไปนั่งสูดอากาศนอกห้องด้วยครับ

มีพื้นที่เล็กๆ สำหรับให้นั่งเขียนหนังสือ คล้ายๆ กับโต๊ะญี่ปุ่น แต่ถ้าใครไม่สะดวกที่จะนั่งกับพื้น ก็ยังมีโต๊ะเก้าอี้สำหรับให้นั่งทำงานได้ด้วยครับ

สำหรับด้านซ้ายมือของห้องจะเป็นในส่วนของห้องน้ำ พื้นปูกระเบื้อง ภายในห้องน้ำแยกส่วนเปียกและส่วนแห้งออกจากกันอย่างสิ้นเชิงครับ


พื้นที่ส่วนเปียกส่วนแห้งแยกจากกันด้วยผนังกระจก ในส่วนพื้นที่อาบน้ำมีทั้ง Rain Shower และอ่างอาบน้ำแบบ Outdoor ครับ

สิ่งอำนวยความสะดวกที่ทางรีสอร์ทจัดเตรียมไว้ให้มีหลายอย่างมากๆ เริ่มจากเครื่องเล่นเพลงที่สามารถโหลดเพลงจาก iphone ได้ด้วย, เครื่องชงกาแฟ, ตู้เย็น มีไว้ให้พร้อม รวมถึงชา และน้ำดื่มที่มีให้ 4 ขวด และรู้สึกว่าจะขอเพิ่มใหม่ได้ เพราะช่วงที่แม่บ้านมาทำความสะอาดห้องให้ผม มีการนำน้ำดื่มมาเติมให้จนครบทั้ง 4 ขวด ทั้งๆ ที่ผมดื่มไปแล้ว 2 ขวด นอกจากนี้ยังมีตะกร้าผ้าเช็ดตัวให้ 2 ผืน สำหรับหิ้วไปเปลี่ยนตอนเล่นน้ำที่สระหรือน้ำทะเล ในตู้เสื้อผ้าจะมีตู้นิรภัย ยาทากันยุง ยาไล่ยุงแบบเสียบปลั๊ก ไฟฉายและเสื้อคลุมอาบน้ำครับ

ไปดูบรรยากาศรอบๆ รีสอร์ทกันบ้างดีกว่าครับ

การออกแบบห้องพักที่นี่จะนำเอกลักษณ์ของภาคใต้มาใช้ในการออกแบบ โดยนำรูปแบบของเรือกอและมาใช้เป็นรูปทรงของหลังคา และที่หน้าจั่วของหลังคาจะเห็นเหมือนมีแผ่นไม้ยื่นออกมา ซึ่งไม้ดังกล่าวเปรียบเสมือนหัวพญานาค ทรงหลังคาแบบนี้มันดูเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ เพราะทางรีสอร์ทได้นำรูปแบบของหลังคามาเป็น LOGO ของรีสอร์ทไปแล้วครับ

มีลำธารสายเล็กๆ ผ่านกลางรีสอร์ทเลยครับ

ห้องพักแบบ Seaview Room ในบรรยากาศสวนเขียว ดูร่มรื่นมากๆ ครับ

มองไปทางไหนก็เห็นแต่สีเขียว

บริเวณบ่อปลาคราฟในพื้นที่ของห้องอาหาร เป็นอีกหนึ่งจุดที่ผมชอบมากๆ

สระว่ายน้ำส่วนกลาง ตั้งอยู่กลางรีสอร์ทเลยครับ

ทางเดินลงหาดครับ

บริเวณชายหาด ทางรีสอร์ทจัดเตรียมเก้าอี้ เบาะโฟม รวมถึงเปลไว้ให้แขกได้นั่งกินลมชมวิวป่าเกาะครับ

เสียดายที่ฟ้าปิด ทำให้ผมไม่มีโอกาสได้เห็นแสงสุดท้ายเลยครับ

ขอนำภาพเก่าจากการเข้าพักครั้งที่แล้วมาให้ชมนะครับ จากที่ผมได้ตะเวนถ่ายภาพพระอาทิตย์ตกรวมถึงแสงสุดท้ายมาหลายที่ ขอบอกเลยว่าผมประทับใจกับบรรยากาศช่วงแสงสุดท้ายที่หาดทับแขกมากๆ ผมว่าสวยที่สุดเท่าที่ผมเคยสัมผัสมาเลยครับ

มาชมบรรยากาศช่วงค่ำกันบ้างดีกว่าครับ

บริเวณ Lobby

บรรยากาศหลังฝนตก ทำให้ที่นี่ชุ่มฉ่ำและสดชื่นมากๆ

และมุมที่ผมโปรดปรานมากที่สุดครับ

คืนนี้คงต้องรีบนอนพัก เพราะวันรุ่งขึ้นผมมีโปรแกรมไปชมแสงแรกของวันที่หนองทะเลครับ

เสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นตอน 04.30 น. ผมนอนเอ้อระเหยอยู่บนเตียงต่อสักพักใหญ่ ใจไม่อยากจะลุกเลย เพราะกำลังหลับสบายอยู่ แต่ก็ต้องกัดฟันเดินออกมาที่ระเบียงแล้วแหงนมองดูท้องฟ้าว่ามองเห็นดาวหรือไม่ ถ้าท้องฟ้าปิด มองไม่เห็นดาว ก็คงจะกลับไปนอนต่อ แต่วันนั้นถึงมองไม่เห็นดาวแต่พอจะมองเห็นดวงจันทร์อยู่บ้าง ผมเลยตัดสินใจล้างหน้าแปรงฟัน แล้วรีบมุ่งหน้าสู่หนองทะเล เพื่อไปรอชมแสงเช้าครับ

หนองทะเล เป็นจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นที่แนะนำว่าไม่ควรพลาดหากมาเที่ยวกระบี่ครับ การเดินทางมาที่นี่อาจไม่สะดวกมากนัก เพราะต้องมาตามเส้นทางเล็กๆ เข้ามาในสวนยางพาราของชาวบ้าน เสียดายวันที่ผมไปฟ้าปิด เลยทำให้อดเห็นแสงเช้าเลยครับ

ในความโชคร้ายยังพอมีความโชคดีอยู่บ้าง ถึงแม้ผมจะไม่เห็นแสงเช้า แต่ผมได้เห็นดอกจิกสีแดงที่ร่วงหล่นบนพื้นอยู่เต็มไปหมด มองไกลๆ ดูไม่ต่างอะไรกับการปูพรมสีแดงอยู่ริมตลิ่งครับ เท่าที่ผมหาข้อมูลมาดอกจิกจะบานช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ไม่คิดไม่ฝันเลยว่าจะได้เห็นดอกจิกยังคงบานอยู่ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม และความโชคดีอีกประการหนึ่งคือ หลังจากที่ผมถ่ายรูปที่หนองทะเลเสร็จ ฝนก็ถล่มมาอีกครั้งหนึ่ง

เมื่อกลับมาถึงรีสอร์ท ฝนซาเม็ดลงไปมาก แต่ก็ยังคงตกพรำอยู่เล็กน้อย ผมเลยตรงไปที่ห้องอาหาร จัดการทานอาหารเช้าซะให้เรียบร้อย เพราะเอาแน่เอานอนกับฝนไม่ได้ครับ

ห้องอาหาร The Arundina มาจากชื่อภาษาอังกฤษของกล้วยไม้ยี่โถปีนัง The Arundina เป็นห้องอาหารแบบ All Day Dinning ที่มีเมนูหลากหลาย ให้บริการทั้งอาหารไทยและเทศ ที่พร้อมเสิร์ฟตลอดทั้งวันครับ

The Arundina เปิดให้บริการครบทั้งสามมื้อ โดยในแต่ละมื้อจะเน้นที่ความสดใหม่และคุณภาพของวัตถุดิบเป็นหลัก โดย อาหารเช้าจะเริ่มให้บริการตั้งแต่เวลา 06.30 – 10.30 น. ครับ

มุมผลไม้มาแบบสดยกสวน หลากหลายชนิดมากๆ มีทั้งแตงโม มะละกอ แก้วมังกร ส้มโอ กล้วยหอม มังคุด และ แพชั่นฟรุตครับ

มุมสลัด มีผักให้เลือกน้อยไปสักนิดครับ

มุมน้ำผลไม้สดๆ ครับ

มุมโยเกิร์ต

มุม Topping หลากหลาย

ขนมปังโฮมเมดนานาชนิด

แยมที่นี่โฮมเมด มีทั้ง แพชั่นฟรุต มะละกอ และกล้วย อร่อยดีครับ

มีของว่างแบบไทยๆ ให้แขกต่างชาติได้ลิ้มลองด้วย เป็นข้าวเหนียวหน้าสังขยา และหน้ากระฉีกครับ

มาดูบรรยากาศโดยรอบกันบ้าง ผมว่าห้องอาหารนี้วิวดีที่สุดเท่าที่ผมเคยใช้บริการมา นั่งทานอาหารไปมองป่าเกาะไป เรียกได้ว่าอิ่มทั้งอาหารตาและอาหารปากเลยครับ

มื้อนี้ผมได้ข้าวต้มปลา ตักมาเจอแต่ปลา แถมปลาชิ้นใหญ่มากครับ

ออมเล็ตใส่ชีส อร่อยมากๆ ครับ

สลัดผักและแฮมอีกนิดหน่อยครับ

ต่อด้วยข้าวเหนียวหน้ากระฉีก และเบเกอรี่โฮมเมด พร้อมแยมมะละกอโฮมเมดครับ

ปิดท้ายด้วยโรตีกล้วย กรอบๆ อร่อยมาก ทานคู่กับชาโบราณครับ สุดยอดจริงๆ

อีกจุดเด่นหนึ่งของห้องอาหาร The Arundina อยู่ที่บ่อปลาคราฟนี่แหล่ะครับ ปลาคราฟตัวใหญ่มาก ทุกๆ เช้าทางห้องอาหารจะนำอาหารปลามาวางไว้เพื่อให้แขกได้เอาให้ปลา แล้วปลาที่นี่ค่อนข้างเชื่อง เวลาเห็นคนเดินมาที่บ่อปลาก็จะพากันว่ายมาหา คงคิดว่าจะได้กินอาหารนะครับ

ทุก 08.00 น. ของทุกวันจะมีพนักงานมาทำการเก็บกวาดขยะบริเวณชายหาด ขยะส่วนใหญ่จะเป็นเศษซากไม้ที่ถูกซัดมากับคลื่น เห็นว่าช่วงฤดูมรสุมจะมาเก็บกวาดกัน 3 เวลา บางวันได้ขยะร่วม 1-2 ตันกันเลยทีเดียว

ถึงแม้ว่าการมาเที่ยวกระบี่ในครั้งนี้ของผม อาจจะไม่ได้ท่องเที่ยวตามโปรแกรมที่ได้วางแผนไว้ครบทุกโปรแกรม เนื่องจากติดปัญหาเรื่องสภาพอากาศ แต่การมากระบี่ครั้งนี้ ทำให้ผมได้ใช้เวลาอยู่ในรีสอร์ทแห่งนี้มากขึ้นกว่าครั้งที่แล้ว ได้อยู่ในบรรยากาศที่เงียบสงบ ไม่พลุกพล่านวุ่นวาย มันเหมือนได้ชาร์จแบตเตอรี่ให้ตัวเองอย่างเต็มที่ พร้อมที่จะกลับไปทำงานหาเงินกันต่อไป และการมาที่ THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT รอบนี้ รู้สึกว่ามีหลายอย่างเปลี่ยนไป ไม่ว่าจะเป็นการตกแต่งบริเวณ Lobby, เฟอร์นิเจอร์บางอย่างในห้องพัก, ชื่อห้อง Spa แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลย คือความประทับใจที่ผมมีต่อที่นี่ ทั้งเรื่องบรรยากาศและการให้บริการครับ หากเพื่อนๆ คนใดที่รักการพักผ่อนแบบเงียบๆ ไม่พลุกพล่าน ในบรรยากาศสวนเขียว ผมขอแนะนำที่นี่เลยครับ THE TUBKAAK KRABI BOUTIQUE RESORT

งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา แล้วเวลาที่ไม่อยากให้มาถึงก็มาถึงจนได้ ผมคงต้องล่ำลากระบี่แล้วครับ ระหว่างทางที่จะไปยังสนามบินฝนกระหน่ำอย่างแรง จนมองแทบไม่เห็นเส้นทางเลย กว่าจะมาถึงสนามบิน กว่าจะทำเรื่องคืนรถ ก็เกือบถึงเวลาที่จะต้องบินแล้วครับ

จริงๆ แล้วผมเผื่อเวลาที่จะมาใช้บริการใน Lounge ไว้ค่อนข้างเยอะ แต่ผิดแผนนิดหน่อยจากฝนที่ตกหนัก ทำให้ผมมีเวลาอยู่ใน Lounge ไม่ถึง 15 นาที มาถึงก็แทบไม่มีที่นั่งแล้ว เพราะผู้โดยสารเยอะมากๆ จน Gate เริ่มเปิด ผมอาศัยจังหวะที่ผู้โดยสารไปต่อแถวเพื่อจะขึ้นเครื่องเก็บบรรยากาศโดยรอบ Lounge มาให้ชมครับ พื้นที่ภายใน Lounge อาจจะดูคับแคบไปสักนิดครับ

ถึงฝนจะเริ่มซาแล้วแต่เมื่อบินขึ้นไป ทิวทัศน์ด้านนอกก็ยังมีกลุ่มเมฆไปเกือบตลอดเส้นทางบินครับ

มื้อนี้ได้พะแนงไก่ และข้าวเหนียวเปียกครับ มื้อนี้ผมซัดซะเกลี้ยงเลย

ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพครับ

จริงๆ แล้ว กระบี่ไม่ได้มีดีที่เกาะต่างๆ กลางทะเลเท่านั้น แต่กระบี่ยังมีของดีที่อยู่บนผืนแผ่นดินอีกมากมายที่รอให้นักท่องเที่ยวได้ไปสัมผัส ไม่ว่าจะเป็นถ้ำนาฬาคิริง หนองทะเล อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี ท่าปอมคลองสองน้ำ อ่าวท่าเลน น้ำตกอุ่น สระมรกต ฯลฯ ผมเองก็ยังมีอีกหลายสถานที่ที่วางแผนว่าจะต้องไปสัมผัสให้ได้ เช่น แหลมจมูกควาย เขาหงอนนาค หรือการเดินขึ้นจุดชมวิวบนวัดถ้ำเสือด้วย มาเที่ยวกระบี่ในช่วงฤดูมรสุมแบบนี้ หากวางแผนท่องเที่ยวดีๆ ก็สามารถเที่ยวกระบี่ได้ แบบไม่ต้องแคร์ฝนครับ

ปล.เข้าไปให้กำลังใจและติดตามผลงานของผมเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/unclegreenshirt นะครับ

ลุงเสื้อเขียว

 วันเสาร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 21.25 น.

ความคิดเห็น