เมื่อคิดถึง “เขา" ก็ไปหา “เขา"



ทริปนี้มีเวลาวันเดียว ออกเดินทางคนเดียว โดยหวังว่าจะขอไปเยือน “เขาหงอนนาค" สักครั้ง ด้วยความที่สอยตั๋วโปรฯ ทิ้งเอาไว้ ก็เลยได้ใช้สักที จากทีแรกว่าจะจองไป กระบี่ แล้วไปเที่ยวขำๆ สักวัน แต่พักหลังมานี้ “เขาหงอนนาค" ก็เป็นที่นิยมมากขึ้น ก็เลยถือโอกาสนี้ไปเยือนซะเลย!



กระบี่ เป็นจังหวัดทางภาคใต้ที่ได้ไปเยือนบ่อยมากๆ ไปตามสถานที่ท่องเที่ยวมาก็เกือบครบล่ะ โดยเฉพาะช่วง 2-3 ปี มานี้รู้สึกไม่ได้ห่างจากกระบี่เลย ซึ่งอันที่จริงแล้วครั้งล่าสุดที่ได้ไป ก็ตั้งใจว่าจะไปที่ “เขาหงอนนาค" นี่แหละครับ เพราะยังไม่เคยไปสักที แต่ก็ติดที่ว่าดันไปไม่ถึงซะงั้น เหตุเป็นเพราะ หลงทางบวกกับเวลาที่จำกัดก็ทำให้ได้ไปแค่ หาดคลองม่วง กับ หนองทะเล


เส้นทางที่จะไปสู่ “เขาหงอนนาค" นั้นจะมีสถานที่เที่ยวรายทาง อย่างเช่น หนองทะเล หาดคลองม่วง หาดทับแขก ซึ่งสามารถมาเที่ยวเก็บได้รวดทีเดียวได้เลย เพราะเป็นเส้นทางเดียวกันที่ต้องผ่านอยู่แล้ว และครั้งก่อนที่มา ก็ไปได้ไม่ถึงปลายทางที่ เขาหงอนนาค ทริปนี้ก็เหมือนเป็นกับการซ่อม คราวก่อนไปในตัว จะกลับไปพิชิตเขาหงอนนาค ให้สมความตั้งใจ ซึ่งแม้ว่า การจองตั๋วโปรฯ ที่ ณ ขณะที่จองก็ไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่าจะไปที่ไหน จองเล่นๆ ไว้ไป-เช้า เย็นกลับ เดินทางไปคนเดียว มีเวลาแค่ 1 วัน (ถ้าจะนับเวลาไฟล์ทไป-กลับ จริงๆ คือ มีเวลาแค่ 8 ชั่วโมงเท่านั้น) ..ยังไงก็ต้องลองดูเนอะ!



สำหรับเพื่อนๆ ที่ชอบท่องเที่ยวแบบประหยัด แวะมาทักทาย ติดตามกันได้นะครับ

CHAILAIBACKPACKER : https://www.facebook.com/chailaibackpacker



9.20 น. ออกเดินทาง!



เริ่มต้นออกเดินทางจากสนามบินดอนเมือง.. ผมถูกต้อนรับด้วยสายฝนโปรยปรายตั้งแต่ลงรถเมล์ แล้วข้ามสะพานลอยเพื่อเข้าไปในตัวสนามบิน ก่อนหน้านี้ที่จะเดินทาง ก็ได้ลองพยายามสอบถามคนในพื้นที่ และดูข่าวพยากรณ์อากาศ เช็คสภาพอากาศที่กระบี่อยู่เสมอ เพราะช่วงเวลาก่อนที่ผมเดินทางไปนั้น กระบี่ เหมือนจะมีพายุเข้า ฝนตกทุกวัน เรือเล็กยังออกจากฝั่งไม่ได้ ก็พยายามชั่งใจ ว่าจะออกเดินทางดีหรือไม่? เกรงว่าไปถึงปลายทางแล้ว จะดูเป็นการเสียเวลาเปล่า เพราะถ้าเจอสภาพฟ้าฝนที่ไม่เป็นใจ คงจะไม่ได้ออกไปเที่ยวไหนแน่ๆ แต่ด้วยลึกๆ ในใจก็เสียดายตั๋วโปรฯ ที่จะต้องทิ้งไปเหมือนกัน แม้จะเป็นโปรฯ 0 บาท เดินทางไป-กลับ แค่ 200 บาท ก็ตามที เมื่อตัดสินใจที่จะไป ก็พยายามเผื่อใจเอาไว้ด้วย ทริปนี้ 50/50 จริงๆ สภาพอากาศคงไปวัดเอากันที่หน้างานล่ะ!



10.30 น. สวัสดี..กระบี่!



นั่งลุ้นสภาพอากาศ ติดขอบหน้าต่างเครื่องบินอยู่ตลอดเวลา เหมือนคนย้ำคิดย้ำทำยังไงไม่รู้ พยายามชะโงกหน้าดูเมฆที่ลอยผ่านตาไปก้อนแล้วก้อนเล่า ในบางช่วงที่มีแสงแดดโผล่มาให้เห็น ก็ทำให้รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง และภาวนาให้ปลายทางอย่าเจอกับสภาพอากาศที่ไม่เป็นใจเลย ไม่นานเครื่องได้ลดระดับลงเรื่อยๆ เป็นสัญญาณว่า เกือบจะมาถึงปลายทางแล้ว ได้มาเยือนกระบี่อีกครั้งจนได้



เดินออกจากอาคารสนามบิน สิ่งแรกที่ทำ คือ เงยหน้าไปบนฟ้า เจอพระอาทิตย์ยิ้มทักทายอยู่บนหัว จนแทบจะหลบสายตาก้มหน้าแทบไม่ทัน เพราะแสงแดดมันแรงอะไรเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้ยิ้มกลับคืนไปให้หรอกนะ เพียงแต่ยิ้มในใจ ว่า..วันนี้อากาศดี หายกังวลไปซะทีเนอะ!



จากสนามบิน การเดินทางเข้าเมืองนั้นค่อนข้างที่จะสะดวก เพราะมี Shuttle Bus รับ-ส่ง เข้าเมือง สามารถซื้อตั๋วรถเข้าเมืองได้ที่เคาเตอร์ในสนามบิน ในราคา เข้าตัวเมืองกระบี่ 90 บาท หรือ จะไปสิ้นสุดลงที่อ่าวนางก็ 150 บาท แต่..ก็มีวิธีเข้าเมืองที่ประหยัดกว่านั้น และก็ใช้วิธีนี้ประจำ นั่นก็คือ รถสองแถวโดยสารประจำทาง โดยเดินออกมาจากสนามบินแล้วไปที่ถนนใหญ่หน้าสนามบิน เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม จะมีศาลาเล็กๆ สามารถมานั่งรอรถได้ที่นี่ จะมีรถสองแถวผ่าน โบกแล้วโดดขึ้นรถเข้าเมืองได้เลย ราคา 20 บาทเท่านั้น!




11.00 น. ลานปูดำ – เขาขนาบน้ำ



อนุสาวรีย์ปูดำ ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของทุกทริปที่ไปเยือนกระบี่ ไม่ว่าจะมาจากสนามบินก็มักจะมาลงที่นี่ก่อน ราวกับว่าเป็นจุดศูนย์กลางของการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ใครมาเที่ยวกระบี่ต้องมาถ่ายรูปกับอนุสารีย์ปูดำนี่ล่ะ ซึ่งมีฉากหลังเป็น เขาขนาบน้ำ ด้วยนะ และวันนี้ก็กลับมาเยือนที่นี่อีกครั้ง นั่งรถสองแถวแล้วกดกริ่งมาลงที่นี่เช่นเคย



จาก อนุสาวรีย์ปูดำ เดินเท้าเข้าซอยไปตามแผนที่ไม่ไกล ประมาณ 300 เมตร เพื่อที่จะไปเช่ามอเตอร์ไซค์ไว้เป็นพาหนะในการเดินทางสำหรับวันนี้



เดินเท้าไม่นาน ก็มาถึง “ร้านนายหัวรถเช่า" ซึ่งคราวก่อนก็มาเช่าที่ร้านนี้ กลับมาอีกรอบก็ขอมาที่ร้านนี้ร้านเดิม เจ้าของร้านก็พอจะจำได้อยู่จากที่เคยมาใช้บริการในทริปก่อน ก็จัดการทำการเช่ารถไป โดยเช่าใน ราคาวันละ 250 บาท(เติมน้ำมัน 50 บาท) มีหมวกกันน็อค มาให้พร้อม!




11.20 น. เมืองกระบี่สู่เขาหงอนนาค



เวลาไม่คอยท่า.. ผมต้องรีบทำเวลาไปให้ถึง “เขาหงอนนาค" ให้เร็วที่สุด ถ้าจะต้องเดินขึ้น-ลง เขาหงอนนาค ให้ได้ใน 1 วัน ผมต้องมีเวลาเพียงพอ และต้องกลับมาให้ทันไฟล์ทกลับในช่วงหัวค่ำ ฉะนั้น จึงต้องทำเวลาพอสมควร และเผื่อเวลาไว้สำหรับเหตุการณ์ต่างๆ ที่ไม่คาดคิด ซึ่งยังไงเสียก็ต้องรีบไปให้ไวที่สุดเสียก่อน



จาก ตัวเมืองกระบี่ ไป เขาหงอนนาค ระยะทางประมาณ 30 กิโลเมตร โดยตั้งเป้าหมายไปที่ หาดคลองม่วง หรือ หาดทับแขก ก็ได้ เพราะยังไงไปเขาหงอนนาคก็ต้องผ่านหาดนี้ ผมตั้งจุดหมายว่าจะไปที่ โรงแรมอมารี โวค กระบี่ ซึ่งเป็นโรงแรมสุดท้าย ก่อนที่จะถึงอุทยานฯ ทางขึ้นเขาหงอนนาค เพราะจะทำให้สังเกตได้ง่าย



แว๊นซ์ มอเตอร์ไซค์ไปทาง บ้านหนองทะเล ตามเส้นทาง 4034 ได้สักประมาณ 15 กิโลเมตร ก็จะถึง บ้านหนองทะเล ถ้าสังเกตระหว่างทาง ด้านขวามือจะเป็น โรงเรียนบ้านหนองทะเล ซึ่งด้านหลังโรงเรียนนี้ ก็จะเป็น บึงหนองทะเล สถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งในกระบี่ที่น่าสนใจ ซึ่งผมเองก็ได้มาเยือนในครั้งที่แล้ว ก็เลยขอปล่อยผ่าน เลยโรงเรียนบ้านหนองทะเลมาหน่อยก็เตรียมเลี้ยวซ้ายได้แล้ว จะมีแยกไฟแดงเป็นจุดสังเกต



เมื่อถึงไฟแดงบ้านหนองทะเลแล้ว ก็เลี้ยวซ้ายไปตามเส้น 6024 จะมีป้ายบอกทางไป หาดคลองม่วง ก็แว๊นซ์ไปเรื่อยๆ เส้นทางนี้เป็นเส้นทางที่สวยเส้นทางหนึ่งเลยนะ บรรยากาศชื้นๆ และ สองข้างทางเรียงรายไปด้วยภูเขาหินปูน รูปร่างแปลกตา บางจุดมีภูเขาตั้งอยู่สองข้างทาง เหมือนว่าถูกถนนตัดผ่ากลางภูเขาให้แยกจากกัน เวลาขับรถผ่านจึงทำให้การเดินทางรู้สึกตื่นเต้นมีมิติมากขึ้น




12.00 น. หาดคลองม่วง – หาดทับแขก



เวลาเที่ยงตรง มาถึงตรงนี้ ถือว่าทำเวลาได้ดี! จุดหมายปลายทางที่จะไป จะต้องผ่านบรรดาหาดเหล่านี้ ถ้ามาถึงตรงจุดนี้ ก็มาถูกทางแล้วล่ะ ความตั้งใจแรกคือ กะว่าจะไม่แวะ หาดคลองม่วง-หาดทับแขก เพราะว่าเคยมาเยือนมาแล้วในครั้งก่อน และจะโฟกัสไปที่ “เขาหงอนนาค" อย่างเดียว จะบึ่งรถไปให้ถึงโดยไม่สนใจกับสองข้างทาง แต่สายตาที่เหลือบมองซ้าย ไปที่ชายหาดเป็นระยะๆ ก็พึมพำอยู่ในใจ “วันนี้ทะเลสวยว่ะ!" น้ำทะเลดูใส กว่าคราวก่อนอีก อดใจไม่ไหวก็เลยขอจอด เก็บภาพ และนั่งพักเหนื่อยอยู่ริมหาดสักพัก



วันนี้.. หาดคลองม่วง บรรยากาศดีมาก ฟ้าสวย น้ำใส ไร้ฝน ซึ่งเมื่อวานก็ยังได้ข่าวฝนตก อยู่เลย ก็ถือว่า..โชคดีมากๆ เลยที่ไม่เจอกับสภาพอากาศเช่นนั้น


12.15 น. อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี


จาก หาดคลองม่วง เดินทางต่อโดยใช้เส้นทางเลียบหาดมาอีกนิด ถ้าสังเกตสองข้างทางจะพบกับบรรดาโรงแรมหรู ให้สังเกต โรงแรม อมารี โวค กระบี่ เอาไว้ นั่นคือ..โรงแรมสุดท้ายก่อนที่จะถึงตัวอุทยานฯ ทางขึ้นเขาหงอนนาค



แว๊นซ์ผ่าน โรงแรมอมารี โวค ที่อยู่ทางซ้ายมือ ขึ้นเนินไปประมาณ 500 เมตร ถนนเส้นนี้จะมาสุดตรงที่อุทยานฯ พอดี การเดินทางมาที่นี่ที่สะดวกที่สุดก็คงจะเป็นการเช่ามอเตอร์ไซค์มานี่ล่ะ ไม่มีรถโดยสารผ่าน หรือมาหลายคนก็อาจจะเช่ารถยนต์ขับมา หรือ เหมาแท๊กซี่มาก็ได้ซึ่งอาจจะแพงหน่อย ถ้าจะหวังโบกรถมานั้นก็คงจะยากอยู่ เพราะตรงนี้มันเป็นจุดสิ้นสุดถนนพอดี



“สวัสดีครับ จอดรถได้ที่ไหนครับ?"


บทสนทนาแรกที่ผมเอ่ยขึ้น หลังจากเห็นเจ้าหน้าที่อุทยานเดินออกจากประตูที่ทำการฯ มาต้อนรับ พร้อมกับชี้ให้ผมไปจอดใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง



“วันนี้มีคนเดินขึ้นไปมั้ยครับ?"

“คาดว่าฝนจะตกมั้ยครับ?"

“ใช้เวลาเดินขึ้น-ลง นานมั้ยครับ?" ฯลฯ



หลายคำถามที่ผมระดมถามออกไปเพื่อเรียกความมั่นใจให้กับตัวเองอีกครั้ง ซึ่งมันจะไม่รู้สึกอย่างนี้เลย ถ้าพอมี “เพื่อน" เดินร่วมทางขึ้นไปด้วยกันบ้าง แต่วันนี้ต้องเดินขึ้นไปคนเดียว และคิดว่า ใน 4-5 ชั่วโมงต่อไปนี้ อาจจะไม่ได้คุยกับใครเลยก็ได้ อารมณ์หวั่นๆ ก็พอมีผ่านเข้ามาบ้าง นั่นก็เพราะว่า.. ไม่รู้สภาพที่เดินเข้าไปมันจะเป็นเช่นไร? ป่าจะเป็นแบบไหน? มีทางบอกชัดเจนมั้ย? จะเหนื่อยมั้ย? ถ้าเกิดหกล้มบาดเจ็บ ขาแพลง เกิดเหตุโดยไม่คาดคิด จะมีใครรู้มั้ย? ก็ได้แต่คิดไปต่างๆ นานา ..แต่ของแบบนี้ต้องลองละเนอะ!



คำตอบจากเจ้าหน้าที่ที่ว่า “วันนี้..ก็พอมีคนขึ้นบ้าง ขึ้นไปแต่เช้าแล้ว" ก็ทำให้ใจชื้นขึ้นมา แม้ข้างบนจะมีไม่กี่คนก็ตาม แต่ก็รู้สึกว่ามีเพื่อนอยู่ในป่าบ้าง ในวันธรรมดาที่ไม่ใช่วันหยุดแบบนี้ พอมีคนบ้างก็โอเคแล้ว



การขึ้นเขาหงอนนาคจะขึ้นได้ฟรี ไม่เสียค่าธรรมเนียม แต่สามารถบริจาคเงิน หรือ ใส่ Tip Box เพื่อเป็นการบำรุงสถานที่ก็ได้ จากนั้นจึงทำการลงชื่อ และ เบอร์โทรศัพท์ที่ติดต่อได้เอาไว้ด้วย และตอนลงมาก็ต้องลงชื่อออกเหมือนกัน เพื่อที่จะทำให้ทราบจำนวนที่ขึ้น-ลง ในแต่ละวัน สามารถตรวจสอบได้ครับ



ก่อนจะเดินขึ้นก็ต้องเตรียมตัว เตรียมใจให้พร้อม แต่งกายให้เดินได้อย่างสะดวก รองเท้าผ้าใบ หรือ รองเท้าหุ้มข้อ นี่ก็สำคัญเลยครับ เสบียงก็สำคัญ น้ำเปล่า เครื่องดืม เตรียมไปให้เพียงพอ ซึ่งตรงจุดบริการฯ ของอุทยานก็มี ตู้เครื่องดื่มเย็นๆ ไว้บริการด้วย



12.30 น. เริ่มเดินเท้าขึ้นเขาหงอนนาค



เท่าที่พอทราบมา.. ว่าการเดินขึ้น-ลง เขาหงอนนาค จะใช้เวลาประมาณขาละ 2 ชั่วโมง คือ ขาขึ้น 2 ชั่วโมง และ ขาลง 2 ชั่วโมง มีเวลาเพียงพอที่จะเดินขึ้นลงได้ทัน ก็รีบเริ่มต้นเดินโดยไม่รอช้า โดยทางเข้าเส้นทางเดินป่าก็จะเป็นแบบนี้ครับ!



แผนที่ตรงทางเข้า จะแสดงเส้นทางทั้งหมดจากจุดเริ่มต้นสู่ยอดเขาหงอนนาค ระยะทาง 3.7 กิโลเมตร ระหว่างทางจะมี น้ำตก จุดชมวิว และจุดนั่งพัก อยู่ตลอดเส้นทาง



เส้นทางนี้.. จะเป็น เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ไปในตัว ระหว่างทางจะมีป้ายบอกข้อมูลต่างๆ เหมือนเป็นฐานหรือสถานี ให้ความรู้ ที่มีทั้งหมด 13 สถานี ให้ได้ศึกษาธรรมชาติอย่างใกล้ชิด ซึ่งสำหรับผมนี่ก็เป็นเหมือนจุดได้นั่งพักไปในตัว



ก้าวเท้าก้าวแรกเข้าไปสู่ป่า.. บรรยากาศรอบด้านที่ดูร่มรื่น ธรรมชาติสมบูรณ์ อากาศเย็นสบาย ออกไปทางชื้นๆ ฝั่งซ้ายได้ยินเสียงน้ำตก ซึ่งก็อยู่ติดๆ กับทางเดินนี่เอง เสียงน้ำไหล พอให้เหลียวไปมองซ้าย ได้อยู่เป็นระยะ ระหว่างที่เดินไป



ไม่นานก็เข้าสู่สถานีแรก ก็ “หิน" สมชื่อ สถานี “หิน" ซึ่งแม้จะเป็นระดับทางราบ แต่ก็เต็มไปด้วยหิน ที่เป็นเหมือนกับดัก หากวางเท้าไม่ดี มีบาดเจ็บเท้าแพลงกันได้ง่ายๆ ต้องมีสติในการเดินพอสมควร ซึ่งสภาพทางเดินที่เพิ่งห่างหายจากฝนได้ไม่นาน มันก็ย่อมชื้นแฉะ สร้างความยากลำบากขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง



ผ่านเข้าสู่ สถานีที่ 2 ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับทางราบอยู่เดินได้ไม่ลำบากมากนัก เพียงแต่ต้องใช้ความระมัดระวังในการวางเท้าให้ดีเท่านั้น เพราะ เส้นทางยังคงเต็มไปด้วยก้อนหินน้อยใหญ่ ที่สำคัญยังลื่นจากความชื้นที่สะสมมาจากฝนอีกด้วย



เข้ามาได้สักประมาณหนึ่ง ตอนนี้..ก็ได้ยินแต่เสียงหายใจของตัวเองแล้ว รอบตัวมีแต่ป่าเขา และธรรมชาติ ค่อนข้างตื่นเต้นปนสนุก กับบรรยากาศระหว่างสองข้างทางที่เกินคาดเดาเสียจริงๆ ว่าจะได้พบเจอกับอะไรบ้าง



ก้มหน้าก้มตาเดิน จนเลยมาถึง สถานีที่ 4 ข้าม สถานที่ 3 ไปซะงั้น! ไม่ทันได้สังเกตุจนเลยมาถึง สถานีที่ 4 "น้ำตก" จะมีน้ำตกทางฝั่งซ้ายให้ได้ชม



เดินต่อไปอีกนิดก็จะเป็น สถานีที่ 5 “ไผ่" บริเวณนี้มีไผ่ขึ้นเยอะ จากสถานีที่ 1-5 นี้ ยังถือว่าเป็นการเดินขั้นเริ่มต้นอยู่ เรียกง่ายๆ ว่ายังธรรมดาๆ ขั้นอนุบาลอยู่ก็ว่าได้ และจำนวนสถานีที่ดูว่าเหมือนมาถึง เกือบกลางทาง นั้น สถานีต่างๆ ไม่ได้วัดความถี่ในระยะห่างที่เท่าๆ กัน เพราะที่เดินมาทั้งหมดจนถึงตรงนี้นั้น ยังไม่ถึง 400 เมตรเลย หนทางยังอีกยาวไกลนัก!



เดินมาจนถึง “สะพานข้ามลำธาร" นี้แหละ เป็นการบอกโดยนัยว่า ผ่านมาประมาณ 400 เมตรแล้ว ตามที่ระบุในแผนที่ตรงทางเข้า



ผ่าน สถานีที่ 6 และเส้นทางจากนี้ไปจะค่อยๆ เริ่มมีความชันมากขึ้น สร้างความลำบากมากขึ้น เดินยากขึ้น ของที่แบกมาก็จะเริ่มหนักขึ้น ทั้งที่จริงมันก็น้ำหนักเท่าเดิมล่ะเนอะ!



หันหลังกลับไปดู นี่คือ ความชันบางส่วนของเส้นทางเดิน ที่ถือว่าไม่ได้ชันที่สุด แต่มันเดินยากสุดๆ กับ รากไม้ ที่ขึ้นตามทางดินเปียกและชัน แบบนี้ ผ่านทางชันมาไม่กี่ขั้น ก็รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าล่ะครับ เริ่มไม่มีอารมณ์ถ่ายรูปสองข้างทางเสียแล้ว เริ่มที่จะหยุดพักบ่อยขึ้น เหงื่อเริ่มไหลย้อยออกมาราวกับท่อประปาแตก เสื้อที่ใส่ชุ่มไปด้วย เหงื่อไคล เหมือนกับไปลุยฝนที่ไหนมา พอเสื้อเปียกด้วยเหงือ มันก็เริ่มหนัก และเดินไม่สะดวก อากาศที่ดูร่มรื่นแรกๆ ตอนนี้รู้สึกอบอ้าวแล้ว เมื่อรู้สึกไม่คล่องตัวก็เลยถอดเสื้อเดินละครับตอนนี้ ..พอหายใจหายคอได้สะดวกหน่อย



ระหว่างทางขาขึ้นไป จะหยุดพักบ่อยมาก เพราะทางมันเริ่มชัน ออกเดินไปได้นิดเดียวก็เหนื่อย ก็เลยต้องค่อยๆ เดินขึ้นไป พักบ้าง นั่งบ้าง จิบน้ำบ้าง ไปตลอดการเดินทาง



เข้าสู่ สถานีที่ 8 “เถาวัลย์" บรรยากาศในช่วงนี้จะแลดูเป็นป่าทึบๆ หน่อย ทางเดินดูแคบลง แต่ก็ชัดเจนดีครับ แม้บางช่วงจะไม่มีป้ายบอกทาง แต่ก็เดินได้สบาย ไปตามทางเดินที่เห็น



อย่างที่บอกไปว่า.. ระยะห่างระหว่างสถานี ไม่ได้เป็นตัววัดระยะทาง ในแต่ละจุด บางสถานีก็ห่างกันมาก ผมก็ภาวนาให้ถึงสถานีที่ 13 โดยเร็วไว แต่ก็ผ่านมาได้แค่ สถานีที่ 9 อยู่เท่านั้น..



เดินไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็นั่งพัก จน...สักพักก็เข้ามาสู่ สถานีที่ 10 ระหว่างที่เดินก็ได้ยินเสียงคนคุยกันแว่วๆ มาทางด้านหลัง จนต้องหยุดเดินฟังเสียงให้แน่ใจ จนเสียงนั้นเข้ามาใกล้ ตามหลังเข้ามาเรื่อยๆ ปรากฎว่าเป็น ชาย-หญิง วัยรุ่นฝรั่งคู่หนึ่งเดินตามมา ผมเอ่ยทักทายไปก่อน เพราะก็หยุดยืนนิ่ง พักเหนื่อยไปในตัวอยู่แล้ว คุยได้ไม่กี่ประโยค ฝรั่งเห็นเราถอดเสื้ออยู่ ก็เอ่ยขึ้นมาว่า.. "เห็นเสื้อตกอยู่ระหว่างทางใช่เสื้อของผมมั้ย? " เท่านั้นแหละ... เอามือไปคลำตรงไหล่ที่พาดเสื้อเปียกเหงื่อเอาไว้ ตอนนี้มันได้อันตธานหายไปแล้ว .. ของผมนั่นเอง! แล้วความรู้สึกต้องเดินย้อนลงเนินกลับไปเอาเสื้อ แล้วก็ปีนเดินขึ้นกลับมาใหม่นี่มันสุดๆ เลยนะ!



ย้อนกลับไปเอาเสื้อที่ทำตกเอาไว้ ยังดีที่พบว่า.. ไม่ได้กลับมาเอาไกลมาก ประมาณ 200 เมตร แต่เป็น 200 เมตร ทางชันแบบนี้ มันไม่ธรรมดาเลยสินะครับ พอได้เสื้อหยิบขึ้นมาแล้วก็ลุยต่อ มุ่งหน้าต่อไป ระหว่างทางก็จะมีข้ามท่อนซุงใหญ่บ้าง หรือ ลอดกิ่งไม้ใหญ่บ้าง ปะปนกันกันไป แต่ต้นไม้เล็กๆ ข้างทางช่วยในการพยุงร่างกายระหว่างเดินได้เยอะทีเดียวล่ะ



ตลอดระยะทางที่ผ่านมา ไม่ได้พบกับป้ายบอกระยะทางเลย ได้แต่อนุมานเอาว่ามาไกลสักเท่าไรแล้ว แต่ละเนินและทางชันที่ก้าวเท้าเดินขึ้น เหมือนว่าจะหลอกสายตาว่าเกือบจะมาถึงยอดเขาแล้ว พยายามเงยหน้ามองดูโดยรอบ หาจุดสูงสุด เพื่อให้กำลังใจกับตัวเองว่าใกล้จะถึงแล้ว ผ่านพ้นอีกเนินหนึ่งขึ้นมาก็เห็นเป็นจุดชมวิว .. ได้ปลอบใจตัวเองเสียทีว่า ใกล้ความจริงแล้วอีกนิดนึงเท่านั้น!



แต่ก็เหมือนฝันนั้นพลันสลายลงในพริบตา เมื่อเห็นป้ายนี้ อีก 1.5 กิโลเมตร ยังต้องไปอีกไกลเลย ระหว่างนี้ก็มีชาวต่างชาติผิวสี เดินตามหลังมาอีกคน ก็ทักทายไปตามระเบียบ เดินตีคู่คุยกัน ในใจคิดว่าได้เพื่อนเดินแล้ว แต่มาได้สักระยะ คงเห็นว่าผมเดินช้ากระมัง ก็ขอตัวเดินแซงล่วงหน้าผมไปก่อน กลับมาสู่ความโดดเดียวอีกครั้ง อย่างรวดเร็ว



เข้ามาสู่ สถานีที่ 11 แล้ว ใกล้ความจริงแล้วอีกนิดเดียว ผมนั่งพักพร้อมกับเปิดกระเป๋าเป้สะพายหลังใบเล็ก หาขวดน้ำดื่มจากเป้ ซึ่งเหลืออยู่แค่ขวดเดียวแล้ว จากตั้งแต่เริ่มต้นเดินขึ้นมา ที่เหลือก็เป็นเพียงขวดน้ำเปล่า และขวดเกลือแร่อีก 2 ขวด ที่ได้หมดลงไปตั้งแต่ช่วงเดินทางสถานีแรกๆ แล้ว ตอนนี้ต้องบริหารน้ำดื่มดีๆ แล้ว ยังคิดเสียดายว่าไม่น่าเอาน้ำมาล้างหน้าเล่นเลย เก็บไว้ดื่มยังดีเสียกว่า นั่งพักจิบน้ำสักพัก ก็มีชายฝรั่งค่อนข้างมีอายุ เดินแซงไปอีกหนึ่งคน ก็ทักทายไปตามมารยาท ซึ่งขณะนั้นอารมณ์เหนื่อยๆ จนไม่อยากคุยกับใครแล้ว แม้แต่จะยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปสองข้างทาง



มาถึงจุดชมวิวอีกจุด.. จุดนี้ ทำให้รู้สึกใกล้ความจริงเข้ามาเสียที บรรยากาศสวยมาก วิวสวยจริงๆ ยอมรับว่าช่วยให้หายเหนื่อยขึ้นเยอะ และรู้สึกโชคดีกับสภาพอากาศในวันนี้จริงๆ



พักหายเหนื่อยแล้วก็ลุยต่อ ยังมีอุปสรรคให้ต้องฝ่าฟัน แบบนี้มีให้เห็นบ่อยๆ จากที่แรกๆ ยกขาก้าวข้ามได้สบาย พอมาหลังๆ นี่แทบจะยกเท้าข้ามไม่ได้เลยทีเดียวล่ะ



มาถึงจุดนี้ แสดงว่าเดินทาง มาได้ 2.8 กิโลเมตร แล้ว เหลืออีกไม่ถึง 1 กิโลเมตร ตรงนี้จะเป็นทางแยกขวาไปน้ำตก (ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็ไม่ได้แนะนำให้ไป เหมือนว่าจะมีน้ำน้อย และไม่ค่อยน่าสนใจ) ให้มุ่งหน้าไปทางซ้าย ทางจุดชมวิว ซึ่งก็คือ ยอดเขาหงอนนาค นั่นเอง



คิดว่าทำเวลาได้พอสมควร และดูเหมือนจะใกล้ถึงจุดสุดยอดขึ้นมาทุกที ทุกอย่างจึงเริ่มดูผ่อนคลายขึ้น ได้นั่งเล่น ถ่ายรูป ต้นไม้ สิ่งมีชีวิต น้อยใหญ่ รอบตัวมากขึ้น



ผ่านหินก้อนใหญ่.. ก็ดูเหมือนเกือบจะถึงปลายทางแล้ว ผมได้พบกับ ชาย-หญิง วัยรุ่นฝรั่ง ที่ทักว่าผมทำเสื้อหล่นไว้ และได้แซงหน้าผมไปก่อน บัดนี้ทั้งสองคงอิ่มเอม กับบรรยากาศด้านบนจนเต็มที่แล้ว จนเดินลงกลับสวนมาในตอนนี้ ก็ได้ทักทายกันอีกครั้ง และ ไม่นานคราวนี้ลงมาเป็นกลุ่มเลย เป็นกลุ่มนักเรียนชั้นมัธยมฯ น่าจะมาทัศนศึกษากัน คาดว่าจะเดินขึ้นไปกันตั้งแต่ช่วงเช้าแล้ว กลุ่มน้องๆ เดินสวนกลับลงมา ก็ให้ความรู้สึกไม่เงียบเหงาอยู่พักนึง



จุดนั่งพักระหว่างทาง พักให้หายเหนื่อย ไปเรื่อยๆ เหนื่อยก็พัก......



มาถึงที่ สถานี 12 เหลืออีกสถานีเดียว อีกนิดเดียว.. คราวนี้เหมือนกับว่า คนที่แซงผมไป ทยอยกลับลงมาหมดแล้ว คือ เหมือนกับตัวเองยังไปไม่ถึงไหนเลย 55 ทั้งชาวต่างชาติที่ดูสูงอายุ กลับลงมาไวมาก ไล่หลังตามมาด้วย ชาวต่างชาติผิวสี อีกคน เขาหยุดยิ้มให้ แล้วก็บอกเหมือนกับเป็นการให้กำลังใจว่า “อีกนิดเดียวแล้ว"



อากาศ และ สภาพป่า สัมผัสได้ถึงระดับความสูง ณ ขณะนี้ และ รู้สึกได้ถึงความเงียบสงบ



มาถึงอีกหนึ่งจุดชมวิว บรรยากาศ ใช้ได้เลย มองไปไกลได้สุดลูกหูลูกตา กับภาพทิวเขาที่ขึ้นสลับกัน ไกลโพ้นออกไป อันมีฉากหลังเป็นผืนฟ้าและท้องทะเล



หยุดพักนั่งรับลม ได้อารมณ์สุดจะบรรยาย...



เมฆสีดำเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว ทำให้โทนความสดใสของบรรยากาศเมื่อสักครู่เปลี่ยนโหมดไปโดยพลัน แต่ก็เหมือนว่าจะผ่านเข้ามา และผ่านไปอย่างรวดเร็ว เช่นกัน



สัมภาระทั้งหมดที่แบกขึ้นมาเหมือนจะดูไม่เยอะ แต่พอออกเดินเรื่อยๆ มันกลับรู้สึกหนักขึ้นๆ



สภาพอากาศเมฆมาก มาไวไปไว บางทีเหมือนฝนจะตก แต่สักพักแดดออก ..ซะงั้น เหมือนเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย



มีความรู้สึกว่า... เดินผ่ากลาง ก้อนหินก้อนใหญ่ 2 ก้อนนี้ไปก็จะถึง ยอดเขา ซะทีแล้ว.. และก็หวังว่าอย่างนั้นนะ!




15.00 น. ยอดเขาหงอนนาค



ตอนนี้ให้ความรู้สึกว่าตัวเองน่าจะอยู่บนยอดสุดของเขาลูกนี้แล้วล่ะ เพราะมองไปรอบตัวบริเวณที่ยืนอยู่นี้น่าจะบริเวณจุดสูงสุดแล้ว ยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลาเป็นเวลา บ่ายสามโมง ใช้เวลาเดินทางจากจุดเริ่มต้นมาถึงตรงนี้ก็นับรวม 2 ชั่วโมงครึ่ง ดูเหมือนจะช้ากว่าเวลาที่เดินขึ้นปกติของชาวบ้านเขาหน่อย นั่นอาจเป็นเพราะหยุดถ่ายรูป และหยุดพักบ่อยจนนับครั้งไม่ถ้วนก็เป็นไปได้



หินก้อนนี้.. มีบันไดพาดอยู่สามารถไต่ขึ้นไป นั่งเล่นด้านบน ชมวิวได้ แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังด้วย



ก่อนอื่นเลย ผมพยายามเดินรอบๆ อยู่บริเวณนี้ เพื่อที่จะหา “คน" คือ ตั้งแต่เดินขึ้นมาคิดอยู่เสมอว่าจะเจอคนอยู่บนยอดเขานี้ อย่างน้อยก็ต้องเจอบ้าง สักคนสองคน หรือ เจอพวกที่มาค้างคืนข้างบนนี้บ้าง แต่ก็ไม่มีสัญญาณของคนสักคนเลย บรรยากาศรอบด้านมันก็เลยดูสงบเงียบ และ ก็มาเจอกับสถานีสุดท้าย สถานีที่ 13 ที่ข้างบนนี้เอง!



เมื่อรู้ว่าไม่มีใครอยู่บนนี้แล้ว สิ่งที่ต้องทำต่อไป คือ เดินหาก้อนหินที่ยื่นออกไปจากหน้าผา ที่เคยเห็นผ่านตามาจากใน Internet เดินหาบริเวณโดยรอบๆ ซึ่งก็เจอลานสำหรับกางเต้นท์พักค้างคืน ยังมีร่องรอยของการก่อไฟ ประกอบอาหารให้เห็นอยู่ ซึ่งถ้าใครสนใจจะมาพักค้างคืนบนนี้ น่าจะต้องได้มาพักตรงลานเล็กๆ นี้ และ ก็ต้องติดต่อเจ้าหน้าที่เสียก่อน



ไม่นานก็เจอป้าย ไปตรง จุดชมวิวหงอนนาค และก็มีป้ายไปดู บ่อน้ำพญานาค ด้วย เป็นตาน้ำที่อยู่ใกล้ๆ บริเวณนี้ สามารถใช้น้ำในการหุงหาอาหารได้



ในที่สุด.. ก็เดินมาถึง “หงอนนาค" เสียที กับ ระดับความสูง 500 เมตร จากระดับน้ำทะเล บรรยากาศวิวตรงนี้เกินคำบรรยาย ความเหนื่อยล้าจากการเดินเท้าขึ้นมา เหมือนจะค่อยๆ สลายตัวหายไปในอากาศ ลมจากทะเลพัดโชยมาเป็นระยะ รู้สึกสดชื่น นั่งพักมองธรรมชาติรอบตัวสักพักก็ เปิดกระเป๋าเป้ หยิบเสบียงมาเพิ่มพลังเสียหน่อย เพราะตั้งแต่ทานข้าวเช้าจาก กทม. ก่อนเดินทาง จนมาถึงที่นี่ ก็ไม่ได้แตะอาหารอะไรอีกเลย เสบียงที่พกมาก็ คือ “กล้วยตาก" ครับ ซื้อไว้นานแล้วตั้งแต่อยู่ กทม. เลยพกใส่กระเป๋ามาด้วย เอามาเปิดนั่งกินไป ดูวิวไป อารมณ์เหนื่อยๆ ล้าๆ แบบนี้ กินกล้วยมันก็เหมาะดีเหมือนกันนะ มันรู้สึกว่ากินง่ายดี เหมาะกับร่างกายตอนนี้มาก ซึ่งตอนแรกจะซื้อข้าวใส่กล่องพกขึ้นมา ก็คิดว่าไม่น่าจะกินได้ลง.. อารมณ์นั้นกินข้าวไม่ลงจริงๆ



กินกล้วยตากจนหมดกล่อง หยิบน้ำขึ้นมายกตาม อ้าว.. ตอนนี้น้ำเหลือไม่ถึงขวดแล้ว (ขวด 600 มล.) ก็เลยกระดกน้ำตามไปอึกสองอึกพอให้กล้วยตากที่เพิ่งกินไปมันได้ไหลลงท้อง และประหยัดน้ำดื่มไว้สักครึ่งขวดไว้ระหว่างเดินขาลงบ้าง คราวนี้ก็ถึงเวลานั่งเล่นพักผ่อนล่ะ ผมนั่งเล่นอยู่บนก้อนหินที่เรียกว่า.. หงอนนาค นั่งตรงนี้มันดูเหมือนไม่ค่อยเสียวสักเท่าไหร่ ถ้าสังเกตจะเห็น เชือกที่ขมวดปมเอาไว้ด้วย ไว้จับขณะที่นั่งถ่ายรูปเพื่อความปลอดภัย



เดินวนหามุมที่เขาถ่ายรูปด้านข้างของ เขาหงอนนาค ซึ่งจุดที่ยืนอยู่ตรงนี้ ก็เป็นลานหินก้อนใหญ่ เห็นเขาหงอนนาค ในมุมที่คุ้นตา นึกเสียดายที่ขณะนี้ ไม่มีใครสักคนอยู่บริเวณนี้เลย คือ อยากได้คนมาถ่ายรูปให้ อยากได้รูปที่ตัวเองไปนั่งตรงชะง่อนหินนั้นบ้าง แต่ก็ไม่ใช่เรื่องซีเรียสอะไร แค่ได้ขึ้นมาพิชิตเขาหงอนนาคสักครั้ง ก็สมความตั้งใจแล้ว



เขาหงอนนาค เป็น 1 ใน 24 เรื่องเล่าที่ เขาเล่าว่า … “ ณ ดินแดนอันชวนฝันของนักเดินทางที่ถูกโอบล้อมด้วยวิวพาโนรามาอันสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย แต่ใครเล่าจะรู้ว่า ดินแดนแห่งนี้เป็นจุดจบเรื่องราวความรักของพญานาคจนต้องหลั่งน้ำตาออกมา เกิดเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ที่มีน้ำใสไหลตลอดปี ชาวบ้านเชื่อว่า เมื่อได้อธิษฐานขอพรพร้อมทั้งนำน้ำมาลูบหน้า จะสมปรารถนาในสิ่งที่ขอ และเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต “



1 ใน 24 เรื่องเล่า ที่ไม่ได้เล่าเพียงให้เราแค่เชื่อ …. แต่เล่าให้เราออกไปเห็น!



นั่งเล่น นอนเล่น อยู่บนลานหินขนาดใหญ่ มองเขา มองน้ำ มองฟ้า วิวแบบพาโนรามา อิ่มกับธรรมชาติ ซึ่งถ้าอยากได้บรรยากาศที่สวยงามประทับใจ ก็ต้องเป็นใน ช่วงเช้าๆ ชมพระอาทิตย์ขึ้น หรือ ช่วงเย็นๆ ชมพระอาทิตย์ตก อะไรทำนองนั้น..



นอนพักเหนื่อย เหม่อ..มองเมฆเคลื่อนลอยบนฟ้า ที่เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว จึงทำให้บางช่วงเวลาก็ร่มบ้าง มีแดดบ้าง สลับกันไป เกินคาดเดาของสภาพอากาศ สายลมกลิ่นไอของทะเลยังโชยเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ทุกอย่างดูสงบเงียบ ได้ยินเพียงเสียงสัตว์ตัวน้อยที่ส่งเสียงเจื้อยแจ้วมาบ้าง..


16.00 น. อำลา.. เขาหงอนนาค



ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็สมควรเวลาที่จะต้องเดินลงเขา ลุกยืนขึ้นเดินย้อนกลับลงไปไม่ถึง 10 นาที เมฆสีดำที่เคยมองเห็นแต่ไกล ก็ได้ส่งสายฝนเริ่มโปรยปรายลงมา ผมจึงรีบจ้ำเดินอย่างรวดเร็ว... แต่ก็ทำความเร็วไม่ได้มากนัก เพราะพอฝนตก ทางเดินก็เริ่มแฉะ ทำให้เดินยากขึ้น จากที่คิดว่าสักพักน่าจะหยุด .. แต่ก็ได้แต่คิด เพราะมันเริ่มจะหนักขึ้น!



ผมรีบหลบใต้โคนต้นไม้ใหญ่ เปิดเป้เอาถุงพลาสติกที่เตรียมมาใส่ของสำคัญ 3 อย่าง นั่นก็คือ กล้องถ่ายรูป, โทรศัพท์มือถือ และ เสื้อผ้าแห้ง (ที่เอาไว้มาเปลี่ยน) จัดการแพ็คของทั้งหมดเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าเดินลงไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางขาลงจึงไม่ได้หยิบกล้องออกมาถ่ายภาพอะไรเลย หยุดเงยหน้ามองไปตามยอดไม้ เห็นเมฆเป็นเงาทะมึนเป็นฉากหลัง และฝนตกในป่าเวลาแบบนี้ ความมืดเหมือนมันคืบคลานมาเร็วมาก ระยะการมองเห็นต่ำลง พยายามก้มหน้าก้มตาเดิน เพราะต้องคอยระวังระหว่างก้าวเดิน ..ซึ่งตอนนี้ถือว่าทางเดินเข้าขั้นเละเสียแล้ว



ฝนตกตัวเปียกตั้งแต่ปลายเส้นผมยันปลายนิ้วเท้า แยกไม่ออกระหว่างน้ำฝนกับเหงื่อ น้ำดื่มที่พกมาก็ได้หมดลงไปแล้ว ก็ถือว่ายังดีที่ได้ความชุ่มฉ่ำ จากน้ำฝน มาสร้างความสดชื่นบ้าง และก็โชคดีที่มาตกเอาตอนจะกลับ



เดินมาจนถึง “สะพานข้ามลำธาร" ก็นึกดีใจ เพราะใกล้จะถึงทางออกแล้ว มาถึงตรงนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายไปได้เยอะ ฝนก็เริ่มจะซาลงไปบ้างแล้ว.. จนสุดท้ายก็กลับมายืนตรงจุดเริ่มต้นที่เข้ามาอีกครั้ง เช็คเวลาดูใช้เวลาเดินลงประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถือว่าไวอยู่เหมือนกัน เพราะก้มหน้าก้มตาเดินจริงๆ หาที่นั่งพักหายใจหายคออยู่สักพักก็ไปทำการเซ็นชื่อออก และหยอด Tip Box ไป 100 บาท ไว้เป็นค่าบำรุงสถานที่ ..ก่อนที่จะรีบบึ่งรถยาวกลับเข้าตัวเมืองกระบี่



18.00 น. เดินทางกลับ!



แว๊นซ์มอ'ไซค์ ตัวเปียกๆ กลับมาถึง ร้านรถเช่านายหัว เพื่อที่จะคืนรถ เลยถือโอกาส ขออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ที่นี่เลย และก็ติดต่อรถไปส่งสนามบินจากที่ร้านนี้ไว้ด้วย ซึ่งในความตั้งใจแรกกะว่าจะนั่งรถสองแถวกลับไปสนามบินเหมือนตอนขามาเพราะประหยัดดี แต่ตอนนี้คิดว่ารถน่าจะหมดแล้ว ก็เลยติดต่อรถไปส่งดีกว่า ใน ราคา 300 บาท หลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ก็ขึ้นรถกลับไปสนามบินกระบี่ ได้เวลาเที่ยวบินขากลับพอดี!




สรุปค่าใช้จ่าย



ค่าเครื่องบินไป-กลับ ตั๋วโปรฯ = 200 บาท

ค่าเช่ามอเตอร์ไซค์+น้ำมัน = 300 บาท

ค่าบริจาคบำรุงอุทยาน = 100 บาท

ค่ารถสองแถวเข้าเมือง = 20 บาท

ค่าแท็กซี่ไปสนามบินกระบี่ = 300 บาท

ค่าน้ำ+ค่าเครื่องดื่ม ประมาณ = 60 บาท



ทริปนี้.. หมดไปประมาณ 1000 บาท เป็นทริป 1 คน / 1 วัน / 1000 บาท พิชิตเขาหงอนนาค ซึ่งเป็นการเดินทางที่เหนื่อย แต่ก็สนุก คุ้มค่ามากที่ได้มาเยือน ถ้ามีโอกาส..ก็คงได้กลับมาที่นี่อีกครั้งครับ




“เขาหงอนนาค" …ในที่สุดก็ได้เจอกันแล้ว คงหายคิดถึง “เขา" ..ไปสักระยะนะ!





การท่องเที่ยวเชิงไฉไล | CHAILAIBACKPACKER

Fanpage : https://www.facebook.com/chailaibackpacker

Instagram : CHAILAIBACKPACKER

Twitter : @chailaibackpack / goo.gl/VIBXC9

CHAILAIBACKPACKER

 วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2559 เวลา 12.08 น.

ความคิดเห็น