การเดินทางในช่วง Golden Week ของหนูเล็กและผองเพื่อนในดินแแดนอาทิตย์อุทัยอันยาวนาน

ได้เดินทางมาถึงวันสุดท้ายแล้ว

พวกเราได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเดินทางในช่วง Golden Week ที่ญี่ปุ่นไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด

ถ้าเราเตรียมตัวมาดี ปรับแผนการเดินทางให้หลีกลี้ผู้คนบ้าง ก็สามารถเดินทางได้

และที่สำคัญ การเดินทางในช่วง Golden Week หรือราวปลายเดือเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม

ทำให้เราได้สัมผัสรสชาติอันหลากหลายของประเทศญี่ปุ่น ไม่ใช่แค่เพียงหิมะ หรือดอกไม้ หรือใบไม้แดง อย่างใดอย่างหนึ่ง

แต่ทริปนี้ของหนูเล็กพาไปพบจนครบถ้วน ใครจะลอกเลียนแบบแผนการเดินทางตรงไหนก็จัดไปได้เลยค่ะ

จากตอนที่แล้ว

https://th.readme.me/p/5209

และวันนี้วันสุดท้ายสำหรับทริปเยือนญี่ปุ่น 12 วันแล้ว ไปกันต่อเลยดีกว่าค่ะ

วันนี้มีแผนเก็บตกสถานที่ท่องเที่ยวแบบชิลล์ๆ เน้นสถานที่ที่ยังไม่เคยไปเป็นหลัก

เพราะหนูเล็กกับพี่ใหญ่มาญี่ปุ่นหลายรอบและก็จะมีที่ไปที่ซ้ำๆ อยู่บางที่ คราวนี้เอาที่แปลกๆ ออกไปบ้าง

เช้านี้เราใช้แผนยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวกันก่อน เรื่องของเรื่องคือตั้งใจจะเดินทางไปบริเวณมหาวิทยาลัยโตเกียว

เพราะมีเป้าหมายในใจอยู่สองแห่ง สองแห่งนี้หนูเล็กมุ่งมั่นมากว่าจะต้องไปเยือนให้ได้

ว่าแล้วเริ่มออกเดินทางกันเลยดีกว่า จะได้รู้ว่าเป้าหมายของหนูเล็กคือที่ไหนกัน

ริมทางสวยๆ

จากที่พักเราโดยสารรถไฟใต้ดินไปลงยังสถานี Nezu จากสถานีออก Exit 1

ออกเดินทางในช่วงชั่วโมงเร่งด่วนเลยต้องเจอแบบนี้

และแบบนี้

ออกมาแล้วจะเจอป้ายนี้ค่ะ

จากนั้นเดินเท้าไปตามป้าย Nezujinja Shrine ประมาณ 450 เมตร เดินตามป้ายได้เลยไม่ต้องยุ่งยากอะไร

สักพักก็จะเจอประตูทางเข้าที่มีเสาโทริอิขนาดใหญ่

วันนี้เรามาเริ่มต้นทริปกันที่ศาลเจ้าเนซุ (Nezu Shrine) เป็นศาลเจ้าในลัทธิชินโตแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในโตเกียว

ซึ่งยังไม่เป็นที่ฮิตมากนักในหมู่นักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวไทย ทางเข้าที่เรามาถึงเป็นประตูทางทิศใต้

เดินเข้าไปด้านในกันเลยค่ะ

สภาพแวดล้อมในศาลเจ้าเนซุนั้น ค่อนข้างกว้างขวาง รายล้อมไปด้วยต้นไม้และดอกไม้นานาพันธุ์

ทำให้ภายในศาลเจ้าแห่งนี้มีความร่มรื่นมาก

สาเหตุที่หนูเล็กอยากมาที่นี่ก็เพราะ

ระหว่างวันที่ 11 เมษายน – 6 พฤษภาคม เป็นช่วงที่เขาจัดงาน Nezu Shrine Azalea Festival

ก็ที่นี่มีสวนดอกอาซาเลีย (Azalea) ซึ่งจะออกดอกทุกปีในช่วงกลางเดือนเมษายนถึงต้นเดือนพฤษภาคม

พวกเรามากันในวันที่งานหมดลงไปได้สามวัน

แต่ก็คิดว่ายังไงคงได้มีโอกาสเห็นความงามของดอกอาซาเลียหลากสีแบบที่ได้เห็นในเว็บที่แนะนำ

นี่เลยค่ะ สาเหตุที่หนูเล็กอยากจะมา (ขอบคุณภาพจาก TravelByMyself.com)

และนี่คือสิ่งที่ปรากฏต่อสายตา

ปีนี้ดอกอาซาเลียไม่มากอย่างที่หวัง

มีแต่สีเขียวเต็มไปหมด

ไม่ค่อยงามนัก แม้ว่าเราจะมาหลังหมดงานเทศกาลไม่กี่วันก็ตาม

ดอกไม้ดูเหมือนบานไม่เต็มที่อย่างที่เคยเป็น

สาเหตุน่าจะเป็นเพราะปีนี้อากาศเปลี่ยนแปลงไปมาก

เมื่อหมดงานเขาจะไม่มีการเก็บค่าเข้าชมราคา 200 เยน

ทำให้เขาปิดพื้นที่ส่วนของสวนไม่ให้นักท่องเที่ยวเดินเข้าไปชมความงามแบบใกล้ๆ

หนูเล็กจึงได้แต่เก็บภาพที่ด้านนอกรั้วแบบไกลๆ แค่พอหายอยากเท่านั้นเอง

เสาโทริอิให้เดินขึ้นเขาไปเล็กน้อย

เรียงรายกันคล้ายเสาโทริอิชื่อดังที่ศาลเจ้า Fushimi-inari ที่เกียวโต

เดินมาสุดทางจะเป็นศาลเจ้า

ที่ศาลเจ้ามีกระดิ่งให้สั่นขอพรและแท่นบูชาที่มีไว้สักการะขอพร

ตามธรรมเนียมคนญี่ปุ่นนั้นเขานิยมใช้เหรียญ 5 เยนในการขอพร

เพราะเชื่อว่าสิ่งที่ไม่ดีจะรอดผ่านช่องของเหรียญออกไปและพัดพาเอาสิ่งดีๆ กลับเข้ามาให้

พวกเรานั่งเก็บบรรยากาศเงียบสงบภายในศาลเจ้าเพื่อให้เกิดความสุขสงบให้แก่จิตใจกันสักพัก

ก็พากันเดินเท้าไปยังจุดหมายที่ไม่ไกลจากที่นี่

จากศาลเจ้าเนซุ เดินออกประตูเดิมแต่ไม่กลับทางที่มา

เลี้ยวไปทางขวาเดินขึ้นเนินไปเล็กน้อยจะมีถนนนำพาเราไปสู่มหาวิทยาลัยโตเกียว

หลังจากเดินเลาะรั้วของอาณาเขตอันกว้างใหญ่ของมหาวิทยาลัยจนออกมายังถนนด้านหน้าทางเข้า

ถึงล่ะ มหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งของเอเชีย

สมแล้วที่เป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่ ดูตึกเก่าแก่มาก

ปัญหาถัดไปที่เราต้องขบคิดคือ การไปยังคณะเกษตร มันจะอยู่ตรงไหนนะนี่

ระหว่างที่หนูเล็กกับพี่ใหญ่กำลังหาคนที่เราพอจะถามได้บ้าง พี่ใหญ่ก็หันไปเห็นสิ่งที่เราตามหา

นี่ล่ะค่ะเป้าหมายของเรา ศาตราจารย์อูเอะโนะกับฮาจิโกะ

รูปปั้นฮาจิโกะพร้อมศาสตราจารย์อุเอะโนะ ที่เราดั้นด้นเดินทางมาหาปรากฏอยู่ตรงหน้านี้แล้ว

จริงๆ หาไม่ได้ยากเลยเพราะเมื่อเดินเข้าประตูทางเข้ามหาวิทยาลัย

ด้านที่ติดสถานีรถไฟใต้ดิน Todaimae ของสาย Namboku Line ก็เจอเลย

ภารกิจนี้นับว่าทำให้หนูเล็กคลายความผิดหวังจากภารกิจเมื่อสักครู่ได้ทั้งหมดเลยจริง จริ๊ง

การรอคอยอันยาวนานถึง 80 ปีได้สิ้นสุดลงแล้ว

ตำนานของฮาจิโกะไม่เพียงแต่ครองใจชาวญี่ปุ่น แต่ครองใจคนทั้งโลกด้วย

เพราะได้มีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์โดย Richard Gere รับบทเป็น ท่านศาตราจารย์อุเอะโนะ

แต่แปลงเนื้อเรื่องเป็นยุค 90's ถึง 2000's แทน เปลี่ยนจากเมืองโตเกียวเป็นเมืองบริสทอล ประเทศอังกฤษ

แต่สิ่งที่เหมือนกันคือยี่สิบนาทีสุดท้ายของเรื่องที่กระชากน้ำตาของคนรักหมาได้ทุกคน

ใครดูสิบครั้งก็ร้องไห้ทั้งสิบครั้ง หนูเล็กก็เช่นกัน

เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2015 ที่ผ่านมา ฮาจิโกะ ได้พบกับท่านศาตราจารย์อุเอะโนะเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

รูปปั้นที่เกิดจากการระดมเงินทุนทางอินเตอร์เน็ตได้นำมาตั้งไว้ในวันครบรอบวันตายของฮาจิโกะที่มหาวิทยาลัยโตเกียว

เมื่อมาเห็นหนูเล็กอดน้ำตารื้นกับเรื่องราวความรักความซื่อสัตย์ของฮาจิโกะอีกไม่ได้

ภาพเคลื่อนไหวที่เคยได้เห็นจากในภาพยนตร์ทำให้เก็บความรู้สึกเกินบรรยายไว้ได้จริงๆ

หลังจากยืนร่วมเป็นพยานรักระหว่างฮาจิโกะและศาสตราจารย์อุเอะโนะกันเป็นนาน

ก็ได้เวลาที่เราจะต้องออกเดินทางไปที่อื่นกันต่อแล้ว

เป้าหมายถัดไปของเรา ไปชมสวนดอกไม้กันอีกสักสวนค่ะ ออกเดินทางไปยังสวนอุเอะโนกัน

ถึงที่หมายแล้ว สวนด้านศาลเจ้าอุเอะโนะ โตโชกุ (Ueno Toshogu)

เข้าไปกันเลยดีกว่า

ประตูทางเข้าศาลเจ้าอุเอะโนะ โตโชกุ

ประตูทางเข้านี้ถือเป็นสมบัติสำคัญของชาติ เพราะหากแหงนดูที่ตรงใจกลางประตูนี้

จะมีการสลักคำว่า “โตโชกุ" ไว้ด้วย

ทางซ้ายมือจะเป็นสวนดอกโบตั๋นที่เราตั้งใจจะมากัน แต่เพื่อความเป็นสิริมงคล

เราเลือกที่จะเดินเข้าไปสักการะศาลเจ้าด้านในกันก่อนค่ะ

โคมไฟหินเรียงราย

โคมไฟหินกว่า 200 โคม ยาวตลอดแนวทั้งด้านซ้ายและขวา

นักเรียนก็มาเที่ยว

คำอธิษฐานที่ผู้มาเยือนเขียนไว้

ศาลเจ้าสีทองอร่ามนี้คือ Toshogu Shrine

ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นหนึ่งในหลายศาลเจ้าที่สร้างอุทิศให้โชกุน Tokugawa Ieyasu เมื่อปี ค.ศ.1616

เพื่อให้ผู้มาเยือนได้สักการะในฐานะเทพองค์หนึ่งด้วยท่านเป็นผู้ริเริ่มยุคสมัยเอโดะซึ่งรุ่งเรืองมาถึง 300 ปี

โคมไฟที่บริเวณหน้าศาลเจ้าทำด้วยทองแดง จำนวนถึง 50 อัน ไม่ได้ทำไว้เพื่อใช้ในการจุดไฟเพื่อให้ความสว่าง

แต่เป็นสิ่งที่ไดเมียว (Daimyos) หรือขุนนางทั่วประเทศญี่ปุ่น ส่งมาเพื่อเป็นสิ่งสักการะแด่ศาลเจ้าโทโชกุ

จะใช้งานก็ในช่วงเวลาที่จะเฉลิมฉลองเท่านั้น ส่วนรูปปั้นสุนัขเป็นเทพเจ้าที่คอยปกปักษ์คุ้มครองศาลเจ้า

คำทำนายที่ถูกฝากเอาไว้

เจดีย์ 5 ชั้น ส่วนหนึ่งของวัด Kaneiji วัดเก่าแก่อันยิ่งใหญ่ สิ่งที่หลงเหลือจากสงครามในยุคเอโดะ

หลังจากเราไหว้สักการะศาลเจ้ากันเรียบร้อย

คราวนี้ก็ได้เวลาสำหรับงานวันดอกโบตั๋นบานกลางกรุงโตเกียว (Ueno Toshogu Peony Garden) กันแล้ว

ประตูทางเข้าสวน

ค่าเข้าชมและช่วงเวลาจัดงาน

หลังจากซื้อตั๋วเข้าชมราคา 700 เยนเรียบร้อย เข้าไปข้างในกันเลยค่ะ

ดอก “โบตั๋น" เป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่ง ด้วยขนาดดอกที่ใหญ่ กลีบดอกที่แน่นและสีสันสดใส

ดึงดูดให้หลายๆ คนหลงไหล จัดว่าเป็นราชาในหมู่ดอกไม้ด้วยกัน และถูกนํามาใช้เป็นสัญลักษณ์ในหมู่ขุนนาง

นักท่องเที่ยวสามารถเพลิดเพลินกับดอกโบตั๋นกว่า 250 สายพันธุ์ และมีมากถึง 3200 ดอกที่สวนแห่งนี้

มีดอกอาซาเลียแซมไว้ด้วย

ไปเดินชมกันไปเรื่อยๆ เลยค่ะ งดงามเกินบรรยายค่ะ

แม้สวนจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่หนูเล็กบอกได้เลยว่าช่วงเวลาที่เดินอยู่ในสวนดอกโบตั๋นสีสดใสมากมายเช่นนี้

กลับทำให้รู้สึกว่ากำลังเข้าสู่โหมด "ฟิน" สุดๆ

อาซาเลียก็พอจะมีให้ชมค่ะ

ประดับธงปลาคาร์พต้อนรับวันเด็กผู้ชายด้วยค่ะ

ก่อนถึงทางออกจะมีที่ให้นั่งพัก

มีกระดาษวางไว้ให้เขียนคำแนะนำติชม เขียนแล้วก็ติดบนบอร์ดไว้แบบนี้ค่ะ

มีดอกไม้รูปร่างหน้าตาแปลกๆ ด้วย

ทางออก ห้ามเข้านะคะ

ก่อนกลับได้เจอกับมิโกะ (หญิงสาวพรมจรรย์ที่ทำงานให้ศาลเจ้า) ด้วย

ได้เวลาสำหรับมื้อกลางวันกันแล้ว หากจะหาอะไรใส่ท้องใกล้ๆ สวนอุเอะโนะ

หนูเล็กคิดอะไรไม่ออกหรอกนอกจากตลาด Ameyokocho

ทางเข้าตลาด Ameyokocho

ใครเคยมาก็จะรู้ดี ตลาดนี้นับเป็นอีกสีสันของโตเกียวเพราะมีทุกสิ่งให้เลือกสรร

ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค ของฝาก ของที่ระลึกมีครบทุกสิ่ง ราคาก็ไม่แพง

ร้านรองเท้าแบรนด์เนม ร้านเครื่องสำอางค์ราคาย่อมเยาก็มี

หนูเล็กทนหิวไม่ไหวขอไปรับประทานมื้อกลางวันกันก่อนดีกว่า

มื้ออำลาขอเป็นข้าวหน้าทะเลสด (Kaisen Donburi) หรือเรียกง่ายๆ ว่า Kaisendon ก็แล้วกัน

มื้อนี้ของ่ายๆ เมนูนี้ก็แล้วกัน

หลังอิ่มท้องก็ได้เวลาช้อปแล้ว สำหรับทริปนี้เราจบกันที่นี่ค่ะ

สินค้าคุณภาพราคาย่อมเยาไม่ด้อยไปกว่า Uniqlo เลยจริงๆ

การเดินทางทริป Japan Golden Week ของหนูเล็กจบลงอย่างบริบูรณ์แล้ว

บันทึกการเดินทางนี้อาจไม่ดีนัก เพียงแต่หนูเล็กอยากบอกเล่าการเดินทางท่องเที่ยวญี่ปุ่นในอีกรูปแบบหนึ่ง

นั่นคือ การเช่ารถขับเที่ยว เพราะการเดินทางด้วยรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่นก็เป็นอีกสีสันหนึ่งที่น่าลิ้มลอง

เพราะมันหมายถึงการเที่ยวไปโดยไม่เอาเวลาของรถไฟหรือรถบัสมากำกับการเดินทางของเรา

และที่สำคัญ การเดินทางในช่วง Golden Week ก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิดกันไปเอง

จะไม่ลองไปหาประสบการณ์แบบหนูเล็กบ้างหรือคะ


แวะไปเยี่ยมชมภาพถ่ายจากการเดินทางของพี่ใหญ่กับหนูเล็ก และทักทายกันได้ที่

https://www.facebook.com/TravelWithPiyaiAndNoolek/


Piyai&Noolek

 วันพุธที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559 เวลา 13.54 น.

ความคิดเห็น