รถไฟฟรี เพื่อประชาชน จึงทำให้เราได้ไปเที่ยวฟรี

เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2551 ได้มีการประกาศให้มีขบวนรถไฟให้บริการโดยไม่เก็บค่าโดยสาร ( http://www.railway.co.th/resultproject/project_6m_... ) เพื่อช่วยลดค่าครองชีพของประชาชน ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับคนที่จะเดินทางไปในจังหวัดต่างๆ โดยที่จะทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปได้

แต่เวลาก็ล่วงเลยมาจนปี 2559 ก็เริ่มมีข่าวว่ารัฐบาลจะประกาศจะยกเลิกรถไฟฟรี ผมและแฟนเลยคุยกันว่า เราจะต้องลองนั่งรถไฟฟรีไปเที่ยวต่างจังหวัดแบบจริงๆ จังๆ บ้างแล้วละ เพื่อเป็นความทรงจำครั้งนึงในชีวิต เห็นคนอื่นเขาก็ไปกันเยอะ แล้วเราก็ตัดสินใจที่จะเดินทางโดยรถไฟฟรีนี้ไปที่จัหวัดเชียงใหม่ครับ เมื่อหาวันว่างได้แล้ว เราก็ไปจองตั๋ว ซึ่งการจองตั๋วก็ต้องไปจองที่หัวลำโพง บอกวันเวลาที่จะไป จองเสร็จก็จะได้ตั๋วรถไฟมา แล้วก็รอวันเดินทางได้เลย พวกเราเดินทางกันในวันที่ 19 มกราคม 2559

เที่ยวที่จะมีบริการฟรีจะมีแค่ 2 เที่ยวต่อวัน แล้วเที่ยวที่ผมจะไปเป็นเที่ยวที่ออกจากหัวลำโพงประมาณบ่ายสอง ถึงเชียงใหม่ก็ประมาณตีห้า (ตามกำหนดการนะ) ก็จะใช้เวลาในการเดินทางประมาณ 15 ชั่วโมง ... โอเค ทีนี้ได้ตั๋วละ แล้ววางแผนทริปคร่าวๆ เสร็จก็รอวันออกเดินทาง


แผนเดินทาง คร่าวๆ

เราวางแผนกันคร่าวๆ คือ นอนบนรถไฟ 2 คืน ( ก็คือเดินทางไปกลับนั่นแหละครับ ) แล้วไปนอนบนดอยอินทนนท์ 2 คืน และกลับมานอนในเมืองอีกคืน พาหนะที่ใช้ในเชียงใหม่ก็มอไซต์สายแว๊นเนี่ยแหละครับ แค่นี้หละแผน

การนอนบนดอยอินทนนท์ 2 คืน พวกเราคิดกันว่าจะนอนเต๊นท์เพราะประหยัดกว่าการเช่าห้องพัก เราก็เลยไปหาซื้อเต๊นท์ถูกๆ แล้วช่วงนั้น Big C มีเต๊นท์ลดราคาพอดี ก็จัดทั้งเต๊นท์และถุงนอน พวกเสื้อกันหนาวก็มีอยู่แล้ว เก็บตังค์เอาไว้ไปกินดีกว่า :-)


เริ่มเดินทาง + ชีวิตบนรถไฟ

เช้าวันเดินทาง เราค่อนข้างตื่นเต้น กลัวลืมนั่นลืมนี่ แต่ก็ไม่ได้ลืมอะไร ใกล้เวลาเราก็นั่งรถเมล์เข้าหัวลำโพง ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดี หรือความซวย ช่วงนั้นเป็นวันที่อยู่ดีๆ อุณหภูมิทั่วประเทศลดลงแบบที่คนในกรุงเทพยังต้องค้นเสื้อกันหนาวหนาๆ มาใส่กันเลยทีเดียว



แล้วก็มาถึงหัวลำโพง เรามาถึงกันก่อนเวลาเลยไปหาอะไรรองท้องกันก่อน พอรถเข้าเทียบชานชลาก็ขึ้นไปหาที่นั่งตามที่อยู่บนตั๋ว ที่นั่งของเราอยู่ข้างขวาของรถไฟ ( เพราะอ่านจากรีวิวนึงเค้าบอกให้นั่งฝั่งขวาจะได้ไม่ร้อน ) ที่นั่งก็หลังตรงตั้งฉาก แต่ยังดีที่ยังเป็นที่นั่งแบบเบาะ ข้าวของเราก็วางไว้บนที่วางบนหัว ที่นั่งตรงข้ามเราเป็นพี่ผู้หญิงวัยกลางคน กับคุณแม่ที่มาด้วยกัน



เมื่อถึงเวลารถก็เคลื่อนออกจากชานชาลา เราก็ถ่ายรูป ชมบรรยากาศ แล้วนั่งคุยกันไปเรื่อยๆ เค้าว่ากันว่าของกินบนรถไฟกับระหว่างชานชาลามันเด็ดนัก เราก็เล็งแม่ค้าทุกคนที่เดินผ่าน ว่าอะไรเด็ด อันไหนน่ากินเราก็ซื้อโลด สุดท้ายก็หมดไปเยอะเหมือนกัน นี่ยังไม่ถึงเชียงใหม่เลย 555+




ระหว่างทางก็จะแวะชานชาลาไปเรื่อยๆ ก็รถไฟฟรี คนก็ขึ้นเยอะอยู่แล้ว นั่งสั้นๆ นั่งยาวๆ สลับกันไป ช่วงอยุธยา ก็มีชาวเขาขึ้นมาเพียบเลย จะไม่ว่าอะไรเลย ถ้าจะอาบน้ำก่อนมา กลิ่นนี่อบอวลมาก แต่พวกเขาน่ารักนะ เห็นเราถ่ายรูป เขาก็ยิ้มให้ ถึงฟันจะดำจากหมากที่เคี้ยวอยู่ แต่ก็รู้สึกได้ถึงความน่ารัก พวกเขาเอาสร้อยข้อมือที่ถักไว้ที่หมู่บ้านมาขาย แต่ตอนนี้กำลังจะกลับบ้าน ลงที่แถวๆ ลำปาง




นั่งมาเรื่อยๆ ก็เริ่มมืด เราก็เริ่มชวนพี่ตรงข้ามคุยด้วย พี่เขาเป็นเจ้าหน้าที่สนามบิน ตรวจคนเข้าเมือง ปกติเขาไปเที่ยวด้วยรถไฟฟรีเป็นประจำอยู่แล้ว ไปกับแฟนบ้าง ไปกับแม่บ้าง เราก็คุยกันนานพอสมควรเลย แลกเปลี่ยนประสบการณ์การเที่ยวในที่ต่างๆ ต่อกัน เป็นความรู้สึกที่ เฮ้ย มิตรภาพมันเกิดขึ้นได้ทุกที่จริงๆ ไม่ว่าจะวงเหล้า หรือบนรถไฟฟรี :-p




พอพระอาทิตย์ตกดิน บรรยากาศข้างทางก็มืดไปหมด เพราะช่วงกลางทางไม่ค่อยได้ผ่านเมือง ส่วนใหญ่สองข้างทางจะเป็นป่าหรือไม่ก็นาข้าว อากาศก็ยิ่งหนาวลงไปกว่าเดิม ปิดหน้าต่างก็แล้ว เสื้อกางเกงก็ใส่สองชั้นแล้ว ห่มผ้าอีก **เ-ย** มันหนาวจังวะ แบบนี้ไม่ไหวเลย สั่นไปหมด สุดท้ายก็อดทนหลับไป



ณ เมืองเจียงใหม่

หลับๆ ตื่นๆ ในที่สุดก็วาร์ปมาถึงเชียงใหม่แล้วววววว หนาวชิบหาย 555 ขนของลงมาเสร็จก็นั่งรถสองแถวไปที่ร้านเช่ามอไซต์ ร้าน Biky แถวบขส.อาเขต เพื่อจะเดินทางต่อไป อ.จอมทอง เพราะเราจะขึ้นดอยอินทนน์กัน แต่ร้านเปิด 06.00 ซึ่งเราไปถึงกันตอนตีห้ากว่าๆ ก็หาที่นั่งรอสักพักหนึ่งก็มีคนมาเปิดร้าน ผมเช่ารถมอไซต์แบบเกียร์ธรรมดา เพราะถูกสุดและจะได้ขึ้นเนินง่ายๆ วันละ 250 บาท เช่ารถเสร็จก็เดินทางต่อเลย



เป็นการขี่มอไซที่หนาวที่สุดที่เคยขี่มา ต้องเอาผ้าพันคอมาปิดปาก เพราะลมประทะหน้า มันหนาวมากจริงๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. ก็ถึงจอมทอง เราแวะปั๊มในเมืองก่อน เพื่อเติมน้ำมันและกินข้าวเช้ากัน เสร็จแล้วก็แว๊นกันต่อขึ้นอินทนนท์ ขี่ไปได้สักพัก หมอกก็ลงจัดมาก ระยะมองเห็นแค่ไม่เกิน 5 เมตร เราก็ได้ขับไม่เร็วมาก แต่วิวข้างทาง ก็สวยดีนะครับ ก็เพลินๆไป ขึ้นมาสัก ครึ่งชม. อยู่ๆ หมอกก็หมดแบบแดดจ้าทันที ทำให้เราค้นพบว่า มันคือเมฆนั่นเอง มันสุดยอดมาก ฟ้าเป้นสีฟ้าสด แดดก็แรงมากกกกก ช่วงตรงนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมาเลยครับ



ถึงแล้วครับ เป้าหมายของเรา ดอยชัวร์ญ่า ตาม Map มากันจนถึง ดอยชัวร์ญ่าเป็นลานกางเต๊นท์ที่เป็นขั้นบันได แต่ละขั้นก็จะมีมีพื้นที่ให้พอกางเต๊นท์ได้ แต่ผมช็อคกับค่ากางเต๊นท์ที่นี่มาก 300 บาท เอาเต๊นท์มาเองยังราคานี้เลย แต่ก็ตามที่ตั้งใจไว้เอาก็เอา พอเราติดต่อเสร็จก็เอาเต๊นท์ออกมากาง เต๊นท์เราเล็กๆ แทบไม่พอนอน ( เปรียบเทียบกับของคนอื่นได้ ) ของก็เยอะแต่ก็พอไหว กางเต๊นท์เสร็จเราก็เดินสำรวจรอบๆ ข้างๆ ที่พักมีร้านหมูกระทะตามรีวิวอยู่ ราคาก็แพงอยู่แต่ก็กินบรรยากาศเอานะครับ ชุดสองคน 400 บาท แต่ยังไม่ถึงเวลาเราก็เลยไปเที่ยวรอบๆ ก่อน เราขี่มอไซต์ไปที่ที่ทำการก่อนและกัน เพื่อสอบถามเส้นทางและขอคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่ด้วย



ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ดอกพญาเสือโคร่งบานพอดี เราก็เลยฟินกันไป แต่ชาวบ้านบอกว่าปีนี้ดอกบานน้อยกว่าทุกๆ ปี แต่ก็ไม่เป็นไร แค่ได้เห็นก็ดีแล้ว หลังจากที่ไปสอบถามเจ้าหน้าที่แล้วก็ไปขับรถเที่ยวกันต่อเลย ที่แรกที่เราจะไปเป็นศูนย์วิจัยกล้วยไม้รองเท้านารี ศูนย์แห่งนี้เป็นโครงการ อันเนื่องมาจาก พระราชดำริใน สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ วัตถุประสงค์เพื่อการวิจัยและเพาะพันธุ์กล้วยไม้ รองเท้านารีอินทนนท์ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีแต่กล้วยไม้ให้เราได้ชมนะครับ ยังมีทะเลสาปเล็กๆ เค้าบอกว่าถ้าดอกพญาเสือโคร่งบานเต็มที่จะเห็นสีชมพูแซมในป่าเขียว แล้วสะท้อนกับน้ำ แต่เสียดายเราไปไม่เห็นภาพนั้น



หลังจากนั้นเราก็ขี่รถกลับมาที่น้ำตกสิริภูมิ เป็นน้ำตกที่เราเห็นจากที่เรากางเต๊นท์ อยู่ห่างจากที่นอนเราไม่ไกล เข้าไปก็ต้องเสียค่าเข้านะ คนละ 20 บาท แล้วก็ไปต่อที่สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์





ไม่นานนักฟ้าก็เริ่มมืดเป็นปกติของฤดูหนาวที่จมืดเร็ว เราก็ขี่รถกลับที่พัก แล้วก็ได้เวลาหมูกระทะมื้อเย็นของเรา อื้มมม ... มันช่างเข้ากัน หมูกระทะอุ่นๆ กับอากาศหนาวๆ พร้อมด้วยวิวสวนขั้นบันไดของแปลงดอกไม้ที่เปิดไฟเป็นแนว มันช่างคุ้มกับชุดละ 400 จริงๆ



กินเสร็จอากาศหนาวๆ อย่างนี้ ต้องใช้เวลาทำใจอย่างมากที่จะลงไปอาบน้ำ ถึงจะมีน้ำอุ่นก็เถอะนะ แต่ด้วยที่เราไม่ได้อาบน้ำมาวันกว่าๆ แล้ว ก็ต้องทำใจ ... วิ่งผ่านน้ำอย่างไว เป็นอันเสร็จ ด้วยอากาศหนาวมาก และเต๊นท์เรากันหนาวไม่ได้เลย สุดท้าย เราก็คุยกัน ได้ข้อสรุปว่า " ไม่ไหวหวะ " ลงไปนอนในเมืองดีกว่า แล้วก็หาที่พักกันวันนั้นเลย ดีที่เป็นวันธรรมดา เราเลยหาที่พักได้จาก Agoda อย่างไม่ยากเย็น และด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง เราก็หลับไปอย่างรวดเร็ว แต่อากาศมันหนาวจริงๆ นะ ถึงกับต้องไปเช่าผ้าห่มมาห่มเลย อากาศหนาวแล้วแถมยังมีลมอีก ไม่ไหวๆๆ


กิ่วแม่ปาน

เช้านี้เราตั้งใจจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้น แต่ดันตื่นสายกว่าที่ตังใจไว้ เกือบหกโมงแล้ว เราก็รีบบึ่งไปที่ทางจุดชมพระอาทิตย์ขึ้นกัน โชคดีที่เป็นหน้าหนาว พระอาทิตย์ขึ้นช้าเราก็มาทันพระอาทิตย์ขึ้นพอดี ฟินกันไป แล้วก็จัดอาหารเช้าเป็นโจ๊กและกาแฟร้อนๆ มีร้านขายตรงนั้นเลย



เติมพลังเสร็จแล้ว ก็ไปเดินเข้ากิ่วแม่ปานกันต่อ ค่าเข้ากรุ๊ปละ 200 บาท ที่นี่ต้องมีไกด์นำทาง ไกด์ก็ไม่ใช่ใคร เป็นชาวเขาหรือชาวบ้านแถวนั้น ข้างในเป็นป่าค่อนข้างชื้นๆ และเส้นทางชันพอให้หอบกันเบาๆ เส้นทางก็เดินไม่ยากนะ มีอะไรให้ดูระหว่างทางเยอะแยะ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตก ดอกไม้ แต่ละจุดพักจะมีป้ายบอกที่มาของแต่ละจุด



เดินเสร็จแล้วเราก็กลับมาที่รถ แล้วก็ขี่รถต่อไปข้างบน เราต้องไปถึงจุดสูงสุดของดอยอินทนนท์กันต่อเลยครับ



หลังจากดื่มด่ำบรรยากาศสักพักก็เดินทางกลับไปเก็บของ แล้วเราก็เดินทางเข้าเมืองกันต่อ ขี่มอไซกลับมาถึงในเมือง ก็เข้าไปที่พักก่อนเลย ที่พักชื่อ nine resident อยู่แถวๆ วัดพระเจ้าเม็งราย ที่นี่มีทั้งห้องพักที่เป็นรายวันกับรายเดือน บรรยากาศดี มีกาแฟกินฟรี ห้องพักก็โอ




เราเก็บของกันเสร็จก็ไปหาข้าวกลางวันกินกัน เราดูมาว่ามีร้านข้าวซอยร้านดังกัน " ข้าวซอยเสมอใจ " มีทั้งข้าวซอย หมูสเต็ะ น้ำพริก แกงฮังเล ยังมีอีกหลายอย่างเลย



กินเสร็จแล้ว ไม่มีอะไรทำ เราก็เลยขี่รถขึ้นไปดอยสุเทพ เพื่อไปไหว้พระธาตุดอยสุเทพกันอีกนึดนึง



เดินเล่นได้ไม่นานก็เริ่มมืด เราก็ขี่รถกลับลงมาในเมืองเพื่อมาหาข้าวเย็นกินกัน ก็ไปกันที่ตลาดแถวๆ หน้าม. เป็นตลาดที่ยาวมากกกก มีของขายเต็มไปหมด ถ้าใจอ่อนนี่ รับรองตังหมดแน่ อิ่มก็กลับห้องนอนเพราะเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว


เที่ยวเมืองเชียงใหม่ ต้องไหว้พระ

เช้าวันต่อมา เราย้ายที่พักอันอีกที ที่ย้ายก็จะไปพักใกล้ๆ บขส. เพื่อจะได้คืนรถมอไซต์ แล้วไปสถานีรถไฟได้ทัน ที่พักก็ดูดี สะดวกต่อการเดินทางของเรา เก็บของเสร็จเราก็ออกไปไหว้พระ ด้วยความที่เชียงใหม่เป็นเมืองเก่าแก่ ก็จะมีวัดเต็มไปหมด เราก็เลยเปิด map แล้วก็ขี่รถไปตาม map เลย

เริ่มกันที่ศาลหลักเมืองเชียงใหม่


วัดเจดีย์หลวงวรวิหาร


พระวิหารหอคำหลวง วัดพันตา


วัดพระสิงห์วรวิหาร


วัดราชมณเฑียร



วัดเชียงมั่น


วัดอุโมงค์


ระหว่างวันเราก็ก็ไปแวะกินกาแฟ ที่ได้ตั้งใจไว้นานมากแล้ว ว่าถ้าไปเชียงใหม่จะไปกินกาแฟร้านนี้ นั่นก็คือ Ristr8to lab


หลังจากที่ตะลอนไหว้พระทั้งวัน ตกเย็นก็เลยไปหาของกินแถวๆ ตลาดหน้าม. มีของกินเพียบไปหมด แล้วบังเอิญเราเจอเพื่อนที่นี่ ก็เลยชวนกันไปกินหมูกะทะแถวนั้น กินเสร็จก็ไปเดินย่อยที่ ถนนคนเดินวัวลาย สักหน่อย เดินเบ่นเพลินๆ มีทั้งของพื้นเมือง ของกิน ของใช้ เยอะแยะเต็มไปหมด เดินกันจนขาลากเลยทีเดียว เดินเสร็จก็กลับที่พักไปนอน เรียกได้ว่าสลบเลยทีเดียว




เดี๋ยวมาใหม่นะ เชียงใหม่

เช้าวันเดินทางกลับ ผมก็ขี่มอไซต์ออกจากที่พัก ไปส่งแฟนและของไว้ที่ชานชาลาก่อน แล้วก็ขี่กลับมาคืนมอไซต์ที่ บขส. แล้วก็นั่งสองแถวกลับไปชานชาลา จากนั้นไม่นานรถไฟก็ออก โชคดีที่ขากลับเป็นวันธรรมดาคนน้อย เราได้นั่งตรงข้ามกันโดยไม่มีคนนั่งข้างๆ แล้วก็หลับๆ ตื่นๆ ก็ถึง กทม. ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ ลงสถานีสามเสนเพราะใกล้หอ แล้วก็ต่อ taxi เข้าหอ ก็เป็นอันจบทริป


สรุปค่าใช้จ่าย

ค่าเดินทางไปกลับเชียงใหม่ รถไฟฟรี :-)

ค่าเช่ามอไซต์ วันละ = 250 * 3 วัน = 750

ค่าน้ำมัน = 300

ค่ากางเต๊นท์ดอยชัวร์ญ่า = 300

ค่าหมูกระทะบนดอยชัวร์ญ่า = 400

ค่าที่พักในเมือง = 600 + 400

ค่ากิน จำไม่ได้ เพราะกินไปเรื่อยเปื่อยจริงๆ

ปล. ที่จริงตามแผนจะไม่มีค่าห้องคืนที่ 2 แต่ทำไม่ไหวจริงๆ

เที่ยวแบบเรา : Once-a-month

 วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 09.38 น.

ความคิดเห็น