ด้วยความที่ผมเห็นภาพสวยๆ และได้ยินเสียงร่ำลือในด้านบวกของเกาะหลีเป๊ะ จ.สตูล มานานหลายปี ทำให้เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่ผมอยากจะหาโอกาสไปสัมผัสด้วยตัวเองมากๆ และเกาะแห่งนี้น่าจะเป็นเกาะดังๆ ในไทยอีกแค่ไม่กี่เกาะเท่านั้นที่ผมยังไม่มีโอกาสได้ไป



หลังจากการรอคอยมานานหลายปี ในที่สุดเมื่อช่วงกลางเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ความฝันเล็กๆ ของผมก็เป็นจริงครับ



การเดินทางของผมกับภรรยาในครั้งนี้ เป็นการเดินทางไปกับ Sealection แบบแพคเกจ 3 วัน 2 คืนและเลือกพักที่ Sita Beach and Resort โดยหลังจากประสานงานและกำหนดวันเดินทางเสร็จเรียบร้อย ทาง Sealection ก็แจ้งว่า ให้ผมกับภรรยาจองตั๋วเครื่องบินไปลงหาดใหญ่ จ.สงขลา ก่อนเวลา 9.00 น. และจองตั๋วเครื่องบินขากลับออกจากหาดใหญ่ หลังเวลา 17.00 น. ส่วนเรื่องอื่นๆ เดี๋ยวทาง Sealection จัดการให้หมด



เมื่อถึงวันเดินทาง เราทั้งคู่ได้เลือกไฟลท์บินที่ไปถึงสนามบินหาดใหญ่ เวลา 8.50 น. จากนั้นก็มีรถตู้มารับเราเพื่อเดินทางต่อไปยังท่าเรือปากบารา โดยใช้เวลาเดินทางราวๆ 1.30 ชั่วโมง ซึ่งระหว่างทางรถตู้จะจอดพักให้เราเข้าห้องน้ำ ซื้อของต่างๆ ประมาณ 10 นาที และผมแนะนำว่าให้หาซื้อพวกของกิน เสบียงต่างๆ ไว้รองท้องเลย เพราะเราจะไม่มีเวลากินข้าวเที่ยงเลย โดยเราจะได้กินอีกทีก็นู่นนนนช่วงเวลา 14.30 น. ได้ครับ



เวลา 11.00 น. เราก็เดินทางมาถึงท่าเรือปากบารา และเจอเจ้าหน้าที่ของทาง Sealection หลังจากที่พูดคุยรายละเอียดและรับ Wrist band สุดเก๋กันเสร็จแล้ว คณะของเราก็เดินทางไปยังท่าเรือหมายเลข 2 เพื่อรอขึ้นเรือเที่ยว 11.30 น. ไปยังเกาะหลีเป๊ะครับ



บริเวณท่าเรือปากบารามีจุดที่สามารถ่ายรูปได้สวยๆ หลายจุดเลยครับ โดยเฉพาะคนที่มีเลนส์เทเล ส่วนเรื่องการขึ้นเรือจากปากบาราไปยังหลีเป๊ะนั้น เราจะได้รับหมายเลขลำดับการขึ้นเรือหน้าตาแบบในรูปครับ เมื่อถึงเวลาก็ให้เราทยอยเดินขึ้นเรือตามลำดับที่เค้าประกาศเรียก โดยสิ่งสำคัญที่สุดเมื่อขึ้นไปบนเรือแล้วก็คือให้เรารีบหาที่นั่งพร้อมทั้งใส่เสื้อชูชีพให้เรียบร้อยนะครับ



หมายเหตุ : ใครที่ขึ้นเรือแล้วไม่เห็นกระเป๋าเดินทางเราไม่ต้องแปลกใจนะครับ เพราะว่าเค้าจะเก็บไว้ที่ใต้ท้องเรือ



เรือจากท่าเรือปากบาราที่ผมนั่งเป็น Speed Boat ขนาดใหญ่ จุได้ราวๆ 40-50 คน ใช้เวลาเดินทางไปหลีเป๊ะ 1.30 ชั่วโมง โดยจะมีจุดแวะพัก 2 จุด คือเกาะตะรุเตาและเกาะไข่ (สำหรับเรือบางเที่ยวอาจจะไม่ได้แวะตามนี้ และอาจใช้เวลาในการเดินทางไม่เท่ากัน)



เมื่อถึงเกาะตะรุเตา เราจะมีเวลาขึ้นเกาะเพื่อเดินเล่น ถ่ายรูปเก๋ๆ เข้าห้องน้ำห้องท่า ประมาณ 15 นาที ซึ่งหากใครมากับทัวร์ทางทัวร์ก็จะอำนวยความสะดวกหลายๆ อย่างให้ แต่ถ้าใครมาเองก็ต้องไปต่อแถวซื้อตั๋วเข้าอุทยานแห่งชาติด้วยตัวเองครับ ซึ่งตั๋วนี้จะเป็นการซื้อเพียงครั้งเดียวแล้วสามารถขึ้นได้ทุกเกาะที่อยู่ในอุทยานแห่งชาตินี้ ดังนั้นเราต้องเก็บตั๋วไว้ให้ดีๆ อย่าให้หายเด็ดขาด โดยราคาสำหรับคนไทยนั้นคือ 40 บาท/คนครับ



หลังจากออกจากตะรุเตา เราก็ใช้เวลาอีกประมาณ 30 นาทีเพื่อเดินทางไปยังเกาะไข่ เกาะซึ่งมีซุ้มประตูหินซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของ จ.สตูล แต่เนื่องจากว่าตอนที่ผมไปนั้นมีเรือหลายลำเข้ามาถึงพร้อมๆ กัน ทำให้คนเยอะมากกกกก ประกอบกับการขึ้นลงเรือที่เกาะไข่นี้ขาเราจะต้องเปียกน้ำทะเลที่สูงราวๆ ครึ่งหน้าแข้ง ผมก็เลยไม่ได้ลงไป และถ่ายภาพจากบนเรือไปอีกฝั่งนึงของเกาะซึ่งไม่มีคนแทนครับ



เสร็จภารกิจจากเกาะไข่ ทีนี้ก็ได้เวลาเดินทางถึงหลีเป๊ะซักที ณ ตอนนี้ผมเชื่อว่าหลายๆ คนที่เตรียมตัวมาไม่ดี ไม่ได้กินข้าวหรือเตรียมเสบียงอะไรมาให้เพียงพอน่าจะเริ่มหิวกันบ้าง เพราะกว่าจะถึงตรงนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 14.00 น. แล้ว แต่มันยังไม่จบครับ!! การเข้าจอดที่หลีเป๊ะนั้น เรือ Speed Boat จะไม่สามารถเข้าจอดที่ชายหาดโดยตรงได้ โดยจะต้องจอดที่โป๊ะกลางทะเลก่อน จากนั้นพวกเราทุกคนก็ต้องเปลี่ยนไปนั่งเรือหางยาวแทน ซึ่งตรงนี้ใครที่ไม่ได้มากับทัวร์ก็จะต้องเสียเงินค่าเข้าอุทยานฯ และค่าเรือหางยาวเองครับ (ค่าเข้าอุทยานฯ จะเป็นอันเดียวกับที่ตะรุเตา ใครที่มีอยู่แล้วก็เอาบัตรเดิมโชว์ได้เลย ส่วนคนที่ไม่มีก็ต้องซื้อก่อนครับ)



เมื่อเราเปลี่ยนถ่ายตัวเองลงไปอยู่ในเรือหางยาวเสร็จเรียบร้อย ก็จะใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 5 นาที โดยเมื่อเรือจอดเทียบท่าก็จะมีเจ้าหน้าที่ของโรงแรมที่เราเลือกพักมารอยืนต้อนรับอยู่ อย่างผมพักที่ Sita ก็มีเจ้าหน้าที่มาคอยรับกระเป๋าและพาไปขึ้นรถเพื่อเดินทางไปยังโรงแรมครับ



จริงๆ แล้วจากจุดที่เราลงเรือนั้น เราสามารถเดินเลียบชายหาดเพื่อไปยัง Sita ได้เลย แต่จะใช้เวลาในการเดินราวๆ 15 นาทีได้ ดังนั้นแนะนำว่าขาที่เราพึ่งไปถึงเกาะนั้น นั่งรถโรงแรมไปเถอะครับ เพราะสบายกว่ากันเยอะแถมฟรีอีกต่างหาก!!



พอถึงโรงแรมเราก็จัดการดื่ม Welcome Drink, Check in และรับกุญแจห้อง จากนั้นก็เป็นเวลาพักผ่อน Free Style ซึ่งตัวผมเองอันดับแรกที่ทำก็คือเอาของไปเก็บที่ห้องแล้วรีบออกมาสั่งข้าวที่ร้านอาหารของ Sita ทันทีครับ เพราะว่าหิวมากกกกกกกกกกกกกกก



หน้าตาข้าวเที่ยงของเราทั้งคู่ก็ตามนี้เลยครับ มีทั้งหมด 4 เมนู ส่วนขนมนั้นทาง Sita มีให้ฟรีทุกโต๊ะระหว่างนั่งรออาหารครับ


- ผัดเปรี้ยวหวานก๋วยเตี๋ยวกรอบ (กุ้ง) ราคา 180 บาท

- ข้าวผัดต้มยำกุ้ง ราคา 180 บาท

- น้ำมะม่วงปั่น 90 บาท

- น้ำกีวีปั่น 90 บาท



รสชาติของตัวขนมอร่อยดีนะครับ ส่วนอาหารอื่นๆ ก็อร่อยเช่นเดียวกัน ให้กุ้งเยอะทั้ง 2 จาน แถมกุ้งก็สดเด้งดีด้วย แต่เรื่องของราคานั้น ผมว่าแรงไปนิด แต่ก็คงเป็นราคาตามมาตรฐานของโรงแรมระดับนี้ แถมยังตั้งอยู่ทำเลแบบนี้อีกด้วย



ปล. เมนูผัดเปรี้ยวหวานก๋วยเตี๋ยวกรอบนั้นเป็นเมนูที่ค่อนข้างแปลกเลย ตัวเส้นกรอบดีมาก แต่รสชาติจะออกหวานๆ หน่อยตามสไตล์ผัดปรี้ยวหวาน ดังนั้นใครไม่ชอบทานหวานอย่าสั่งนะครับ ส่วนใครชอบทานของแปลกใหม่ก็จัดได้เลย



ในเรื่องของการชำระเงิน สำหรับคนที่พักที่ Sita ค่าอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ เราสามารถเซ็นค่าใช้จ่ายไว้ก่อนได้เลย โดยระบุเลขห้องของเราไว้ แล้วค่อยชำระทีเดียวตอน Check out ครับ



หลังจากที่เรากินข้าวเที่ยงเสร็จ ทีนี้ก็เป็นเวลาสำรวจห้องพักแล้วล่ะครับ สำหรับห้องที่ผมพักนั้นคือ Deluxe Pool View ที่เมื่อเราเดินก้าวขาออกจากห้องก็จะเห็นสระว่ายน้ำสวยๆ ทันที โดยในส่วนของตัวห้องพักนั้นกว้างใหญ่มากกกก โดยเฉพาะห้องน้ำที่ไม่รู้จะกว้างไปไหน ส่วนในเรื่องของการประดับตกแต่งต่างๆ หลายๆ ส่วนในห้องนอนจะมีการประดับลวดลายและความเป็นไทยลงไปซึ่งหลายคนอาจจะชอบ หลายคนอาจจะไม่ชอบครับ



อุปกรณ์ต่างๆ ในห้องถือว่าให้มาครบ ทั้ง TV, ตู้เย็น + น้ำเปล่า 2 ขวด, ราวตากผ้า, ผ้าเช็ดตัวชายหาด, Sofa Bed, ไดร์เป่าผม, ชา+กาแฟ, รองเท้าแตะ แล้วก็ร่ม ส่วนอุปกรณ์ในห้องน้ำก็ไห้มาครบๆ เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นครีมอาบน้ำ, ยาสระผม, สบู่, แปรงสีฟัน, ยาสีฟัน, Cotton Bud, หวี, ผ้าเช็ดตัว, ผ้าเช็ดผม, ผ้าเช็ดหน้า โดยตัวครีมอาบน้ำกับยาสระผมนั้นได้มาขวดใหญ่มากกกกก



สำหรับตัวห้องน้ำจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือส่วน indoor ที่จะมีอ่างล้างหน้า, ฝักบัวอาบน้ำ แล้วก็ชักโครก ส่วนอีกบริเวณจะเป็นส่วน outdoor ที่มีอ่างอาบน้ำขนาดใหญ่ตั้งอยู่ โดยในช่วงตอนเย็นๆ หรือตอนกลางคืนนั้นจะเป็นอะไรที่ฟินมากๆ เพราะผมลองนอนแช่แล้วรู้สึกสบายมากกกกก แถมอากาศก็ดี หลังคาก็เปิดโล่งสบายตาสุดๆ



ส่วนเรื่องบริเวณทั่วๆ ไปของ Sita นั้น ผมไม่ค่อยมีเวลาสำรวจเท่าไหร่นะครับ เพราะใช้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการนอน และตระเวนหาจุดถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นกับพระอาทิตย์ตก สุดท้ายก็เลยมีแค่ภาพของสระว่ายน้ำกับสนามเด็กเล่น ที่อยู่บริเวณหน้าห้องพักผมกับอีกแค่ 2-3 มุมเท่านั้นครับ



อ้อ…..ผมลืมบอกไปครับ ตัวห้องพักของ Sita นั้นจะไม่ติดกับชายหาด เพราะลักษณะของรีสอร์ทเป็นแนวยาว จะมีแค่บริเวณห้องอาหารและ lobby เท่านั้นที่อยู่ติดกับชายหาด โดยลักษณะของทรายที่หาดพัทยาซึ่งเป็นที่ตั้งของ Sita นั้นจะเป็นทรายที่ละเอียดและเนื้อแน่น ดังนั้นเวลาที่เราไปเดินเล่นบนชายหาดก็จะไม่เกิดอาการเท้ายวบเข้าไปในทราย หรือไม่เจอปัญหาเรื่องทรายไหลทะลักเข้ามาในรองเท้าแบบเยอะๆ ซึ่งมันเป็นอะไรที่ดีมากกกกก แต่อย่างไรก็ตามที่หน้าห้องพักของเราและตามจุดต่างๆ ของรีสอร์ท เค้าจะมีการติดตั้งสายฉีดชำระไว้ให้ล้างเท้าด้วยครับ เป็นอะไรที่ผมว่าดีมากๆ เลย ^^



หลังจากผมสำรวจที่พักเสร็จเรียบร้อย ผมก็เริ่มเดินเลียบหาดพัทยาจาก Sita ไปเรื่อยๆ ผ่านถนนคนเดิน จนไปสุดทางที่หน้าบันดาหยา รีสอร์ท เพื่อที่จะรอดูพระอาทิตย์ตก โดยใช้เวลาในการเดินราวๆ 20-25 นาที



ปล. หมาที่หลีเป๊ะนี่เยอะมากครับ โดยเท่าที่ผมเห็นมันจะทำอยู่ 2 อย่าง คือนอนอาบแดดกับเล่นน้ำทะเล @_@



ท้องฟ้าวันแรกนี้เหมือนจะสวย แต่ก็ยังสวยไม่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นรูปของหลายๆ คน ฟ้าฝั่งด้านขวามือมีเมฆหนาบังอยู่พอควร และเมื่อพระอาทิตย์ตกลาลับขอบฟ้าไป ผมกับภรรยาก็เดินไปหาอะไรกินที่ถนนคนเดินและกลับที่พัก เป็นอันจบโปรแกรมวันแรกของเรา



สำหรับบรรยากาศที่ถนนคนเดินคร่าวๆ คือ จะเป็นถนนเล็กๆ ที่มีร้านอาหาร ร้านกินดื่ม ร้านขายของที่ระลึก ร้านขายทัวร์ต่างๆ อยู่ตลอดเส้นทาง โดยร้านอาหารนั้นจะมีทั้งอาหารพื้นเมืองอย่างพวกโรตี ชาชัก จนไปถึงอาหารอีสาน พิซซ่า และซีฟู้ดครับ ซึ่งร้านซีฟู้ดนี่มีเยอะมากกก และมีทั้งแบบสั่งเป็นจานๆ แล้วก็แบบเป็นบุฟเฟต์ครับ



มาต่อกันที่โปรแกรมวันที่สองซึ่งเป็นโปรแกรมดำน้ำ 4 จุดกันดีกว่าครับ ตามโปรแกรมแล้วจะมีเรือมารับเราที่หน้า Sita ตอน 9.30 น. เราทั้งคู่จึงวางแผนไปหาจุดถ่ายรูปพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ ตอนเช้าก่อน โดยเราเลือกไปที่หาด Sunrise ซึ่งอยู่ห่างจากที่พักไปราวๆ 10 นาทีหากใช้บริการ Taxi และ 30 นาทีหากใช้การเดินเท้า แน่นอนว่าแม้จะต้องเสียเงินค่า Taxi สูงถึงคนละ 50 บาท แต่เราทั้งคู่ก็คิดว่ายอมจ่ายดีกว่าเดินไปสองคนมืดๆ บนทางที่ไม่รู้จัก T___T



การติดต่อ Taxi นั้น เราสามารถติดต่อได้เองหรือติดต่อผ่านทาง Sita ก็ได้ครับ และเมื่อถึงเช้ามืดของวันที่สองที่ผมกับภรรยาตั้งเป้าไว้ว่าจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆ ก็เกิดเหตุการณ์ที่น่าเสียดายขึ้นมา เพราะในช่วงกลางดึกเกิดฝนตกหนักและทำให้สภาพอากาศของหลีเป๊ะหลังจากนั้นในอีก 2 วันที่เหลือไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลย อึมครึม ไม่มีเมฆ ไม่ค่อยมีแสง และก็ทำให้ทริปนี้ของเราอดเห็นพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตกสวยๆ ทะเสสีสดๆ ฟ้าสีแจ่มๆ ไปเลย T___T



เราทั้งคู่ใช้เวลาในการเดินเล่น นอนเล่น และซึมซับบรรยากาศฟ้าหม่นๆ ที่หาด Sunrise ตั้งแต่เวลา 6 โมงจนถึงเวลาประมาณ 7 โมง จากนั้นจึงเดินทางกลับโรงแรมเพื่อไปกินอาหารเช้า โดยไลน์อาหารของที่นี่นั้นมีปริมาณกลางๆ ไม่ได้เยอะแยะ ยาวเฟื้อยอลังการมากมาย แต่ก็มีหลากหลายประเภท ทำเอาอิ่มยาวๆ ถึงเที่ยงได้อยู่ครับ



ไลน์อาหารของที่นี่ก็จะมีขนมปัง, ซาลาเปา, ขนมจีบ, ซุ้มไข่, ข้าวต้ม, สปาเกตตี้, ผัดซีอิ๊ว, ข้าวผัด, อาหาร 2-3 อย่าง, ผลไม้, น้ำผลไม้ และชากาแฟครับ โดย 2 วันที่ผมเข้าพักนั้นทางโรงแรมก็ได้มีการเปลี่ยนเมนูอาหารไม่ให้ซ้ำกัน เช่น วันแรกมีซาลาเปา กับ ผัดซีอิ้ว วันที่สองก็จะมีขนมจีบกับสปาเกตตี้แทน ส่วนพวกข้าวผัดกับอาหาร 2-3 อย่างก็เป็นคนละเมนูกัน โดยตัวห้องอาหารนั้นจะจุได้ราวๆ 100 คน เป็นพื้นที่แบบ open air ทั้งหมด ส่วนรสชาติอาหารโดยรวมๆ อยู่ในเกณฑ์ที่ดีสอบผ่านเลยครับ



ปล. สำหรับคนที่ชอบกินกล้วยน่าจะชอบมากเพราะกล้วยของที่นี่ใหญ่ ยาว อร่อยมาก ^^



เอาล่ะครับ….พอกินข้าวเติมพลังเสร็จ ตอนนี้ก็ได้เวลาออกไปดำน้ำกันแล้ว โดยเรือที่จะพาเราไปนั้นจะเป็นเรือหางยาวแบบในรูป และมีโปรแกรมการเดินทางตามนี้ครับ



จุดที่ 1 : ดำน้ำ (1) ที่บริเวณข้างเกาะหินงาม

จุดที่ 2 : ดำน้ำ (2) บริเวณร่องน้ำจาบัง

จุดที่ 3 : ขึ้นเกาะหินงาม (ใครที่ไปเองต้องอย่าลืมถือบัตรเข้าอุทยานแห่งชาติไปด้วยนะครับ)

จุดที่ 4 : ดำน้ำ (3) ที่เกาะยาง

จุดที่ 5 : ทานอาหารกลางวันที่เกาะราวี

จุดที่ 6 : ดำน้ำ (4) ที่เกาะอาดัง



รวมๆ แล้วก็คือเราจะได้ดำน้ำ 4 จุด และขึ้นเกาะ 2 เกาะ ซึ่งใครที่ไปกับทัวร์ดีๆ ก็จะสะดวกหน่อยเพราะจะมีคนคอยจัดการให้เรียบร้อยทั้งหน้ากากดำน้ำ, เสื้อชูชีพ, เรือ, ค่าเข้าอุทยานฯ และอาหารกลางวัน แต่ถ้าใครไปเองก็ต้องลำบากไปติดต่อเรือที่หลีเป๊ะเอง เตรียมข้าวกลางวันเอง ซึ่งในการติดต่อเรือนั้นเราสามารถเลือกได้ว่าจะเอาแบบเหมาลำ หรือ แบบ join trip โดยเท่าที่ผมได้ลองเดินดูแถวๆ ถนนคนเดินก็พบว่ามีให้บริการหลายร้าน หลายเส้นทางเลย บางเส้นทางก็น่าสนใจมากกกกกก เช่น ไปดูแพลงตอนเรืองแสงตอนกลางคืน เป็นต้น



จบจากเรื่องจุดดำน้ำแล้ว มาดูเรื่องเกาะหินงามกับเกาะราวีกันดีกว่า เกาะหินงามเป็นเกาะขนาดเล็ก และมีพื้นที่ให้เดินไม่มากนัก จุดเด่นของเกาะนี้คือมีป้ายชื่อเกาะ และหาดที่มีหินสีดำสวยๆ เรียงรายอยู่เต็มไปหมด แต่เห็นหินสวยๆ แบบนี้อยู่เต็มหาด ทางอุทยานฯ เค้ามีข้อห้ามที่สำคัญคือ ห้ามเราหยิบหินกลับบ้านหรือห้ามเอาหินมาเรียงซ้อนกันนะครับ ^^



ส่วนเกาะราวีเป็นเกาะขนาดใหญ่ มีร้านสวัสดิการเล็กๆ มีห้องน้ำให้เราเข้า และเป็นจุดเข้าห้องน้ำจุดเดียวในทริปการดำน้ำวันนี้ ส่วนใหญ่แล้วนักท่องเที่ยวก็จะแวะมาทานข้าวเที่ยงกันที่เกาะนี้ รวมทั้งเดินถ่ายรูปเล่นเพราะน้ำทะเลที่นี่ใสใช้ได้เลยครับ



ทริปดำน้ำ 4 จุด ทัวร์ 2 เกาะ จะกลับมาถึงหลีเป๊ะราวๆ 16.00 น. และจากนั้นก็เป็นเวลา Free Style ของใครของมัน โดยในวันนี้ผมกับภรรยาเลือกไปดูพระอาทิตย์ตกที่ Sunset Beach แถวๆ Mountain Resort โดยการเดินทางของเราก็แบบเดิมคือ Taxi คนละ 50 บาทนั่นเอง



ไหนๆ ก็พูดถึง Taxi บนเกาะหลีเป๊ะหลายทีแล้ว ผมขออธิบายเพิ่มเติมนิดนึงว่าเนื่องจากว่าหลีเป๊ะเป็นเกาะ และเป็นเกาะที่อยู่ค่อนข้างไกลจากแผ่นดินใหญ่มาก ดังนั้นบนหลีเป๊ะจึงแทบจะไม่มีรถยนต์วิ่งเลย ประกอบกับถนนหนทางแต่ละเส้นก็ยังคับแคบเป็นหลุมเป็นบ่อเยอะมากกกกกก บางเส้นทางก็ต้องขึ้นเนินลงเนินกันยาวๆ ดังนั้นผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่จึงใช้มอเตอร์ไซด์เป็นพาหนะหลักในการเดินทางบนเกาะแห่งนี้



แต่เราในฐานะนักท่องเที่ยว เส้นทางก็ไม่รู้จัก แถมถนนบางจุดก็ขับยากเหลือเกิน ดังนั้นสิ่งที่จะช่วยเราได้ก็คือ Taxi นั่นเองครับ

โดย Taxi บนเกาะหลีเป๊ะนั้นจะเป็นมอเตอร์ไซด์แล้วทำการต่อพ่วงข้างเข้าไป ตอนกลางคืนมีไฟประดับแวบวับสวยงาม ล่อตาล่อใจมาก อัตราค่าโดยสารส่วนใหญ่มักจะอยู่ที่ราวๆ 40-50 บาท/คน โดยคันนึงไม่ควรนั่งเกิน 3 คนเพราะไม่งั้นมันจะขึ้นเนินไม่ไหว ก็ลองคิดดูสิครับ ขนาดผมนั่งสองคน ตอนขึ้นเนินสูงๆ ลุงคนขับยังต้องให้ผมขยับตำแหน่งนั่งเพื่อถ่วงศูนย์เลยครับ 5555555



และสำหรับใครที่ไปหลีเป๊ะแล้วอยากจะใช้บริการ Taxi ผมอยากให้ลองใช้บริการลุงคนนี้ครับ แกชื่อลุงนุ ได้ข่าวว่าแกนิสัยดีมาก รู้จักแหล่งท่องเที่ยว และเส้นทางดีสุดๆ แต่ต่อมาแกป่วย ทำให้ไม่สามารถพูดได้ ดังนั้นเวลาที่ต้องการติดต่อแก ให้แกมารับช่วงเช้ามืด หรือช่วงดึกๆ จึงต้องใช้การโทรศัพท์ไปหาภรรยาแก และพอถึงเวลาแกก็มารับตรงตามจุดและเวลาที่เรากำหนดไว้ ซึ่งหากเราจะนัดหมายอะไรเพิ่มเติมกับลุงแกก็สามารถนัดได้เลยเพราะแกฟังรู้เรื่อง โดยแกจะพยักหน้ารับ และทำท่าแสดงเวลายืนยันนัดหมายอีกที โดยตัวผมเองได้มีโอกาสอุดหนุนและใช้บริการแกไป 3-4 เที่ยว หากใครสนใจอยากช่วยเหลือลุงแกก็ติดต่อที่เบอร์นี้ได้เลยนะครับ ลุงนุ โทร 082-7315660



มาต่อกันที่หาด Sunset Beach ดีกว่า ที่หาดนี้ก็มีโรงแรม รีสอร์ทสวยๆ อยู่เยอะมาก ส่วนลักษณะของทรายนั้นจะคล้ายๆ กับที่ Sunrise Beach คือเม็ดใหญ่กว่าทรายที่หาดพัทยา ทำให้เวลาถอดรองเท้าเดินแล้วไม่ค่อยสบายเท้า และพอใส่รองเท้าแตะเดิน ทรายก็มักจะเข้ามาในรองเท้าเรา



บรรยากาศโดยรวมของ Sunset Beach นั้นดูสวยงามน่าประทับใจมาก รวมทั้งค่อนข้างสงบกว่าที่หาดพัทยาพอควร ส่วนเรื่องความใสของน้ำในแต่ละหาดผมว่าพอๆ กันครับ



สำหรับวันนี้ท้องฟ้าก็ไม่ค่อยเป็นใจให้ผมซักเท่าไหร่ มีเมฆหนาทีบในหลายจุด และทำให้ท้องฟ้าไม่เปลี่ยนสีเท่าที่ควร ผมจึงต้องกลับไปนอนด้วยอาการเศร้าใจอีกวัน T___T



และแล้วก็ถึงเช้าวันที่ 3 ซึ้งเป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ เช้านี้ผมเลือกที่จะนอนตื่นสายและไม่ไปรอดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ไหนแล้ว เนื่องจากเป็นอีกคืนที่ฝนตกหนัก T__T



หลังจากที่ผมทานข้าวเช้าเสร็จก็ทำการ Check Out ออกจากโรงแรม และให้รถของทาง Sita ไปส่งที่จุดขึ้นเรือบริเวณหาดพัทยา โดยการขึ้นเรือก็จะขึ้นตามลำดับหมายเลขที่ทางเจ้าหน้าที่ประกาศเหมือนกับขามา แต่ขาออกจากหลีเป๊ะนั้นเราจะสามารถขึ้น Speed Boat ออกไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องนั่งเรือหางยาวแล้วไปเปลี่ยนเรือที่โป๊ะอีกรอบแล้ว



มาดูบรรยากาศแถวๆ หาดพัทยาในวันสุดท้ายของทริปนี้กันดีกว่าครับ



เรือของเราใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง ในการพาเรากลับมายังท่าเรือปากบารา จากนั้นเราก็ต้องนั่งรถตู้กลับสนามบินหาดใหญ่อีก 1.30 ชั่วโมง ซึ่ง ณ จุดนี้ก็ถือว่าเป็นการปิดทริปหลีเป๊ะ 3 วัน 2 คืนของผมแล้ว โดยที่บริเวณท่าเรือปากบารานั้นจะมีขนมพื้นเมืองของ จ.สตูลขายอยู่หลายอย่างด้วยกัน หากใครจะซื้อของกลับมาฝากใครก็สามารถชอปปิ้งได้เลย แต่ถ้ารีบกลัวไปไม่ทันเวลาก็ไปชอปปิ้งที่สนามบินแทนก็ได้ ของคล้ายๆ กัน สำหรับตัวผมเองก็ได้ลองซื้อขนม “บุหงาบูดะ" มากล่องนึงครับ รสชาติใช้ได้เลย ลักษณะคร่าวๆ คือเป็นขนมที่มีแป้งข้างนอกบางกรอบและมีไส้หอมๆ ด้านใน โดยกล่องที่ผมซื้อมามีไส้ทั้งหมด 4 แบบครับ



หมายเหตุ : ขนมบุหงาบูดะ เป็นภาษาอิสลาม บุหงา แปลว่า ดอกไม้ ส่วน บูดะ แปลว่าดอกเตย รวมเรียกว่าขนมดอกเตย ซึ่งมีลักษณะสี่เหลี่ยมคล้ายหมอนสีขาว ทำด้วยมะพร้าวทึนทึกและแป้งข้าวเหนียวผสมด้วยน้ำตาลทราย เกลือ น้ำ กลิ่นกะทิ โดยจะทำขึ้นในเทศกาลๆ ทางศาสนาอิสลาม อาทิ งานเทศกาลฮารีลายอ ตรุษของอิสลาม เทศกาลถือศีลอด งานแต่งงาน และเทศกาลงานอื่นๆ อีกมากมาย และนอกจากนี้ ยังใช้เป็นขนมต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองที่มาเยือน สำหรับในปัจจุบันได้กลายเป็นของฝากขึ้นชื่อของ จ.สตูล ไปเรียบร้อยแล้ว



เอาล่ะครับ ตอนนี้ทริปหลีเป๊ะของผมก็จบลงเรียบร้อยแล้ว ผมอยากจะบอกว่าแม้ทริปนี้ธรรมชาติจะไม่ค่อยเป็นใจให้ผมซักเท่าไหร่ แต่หลีเป๊ะก็ยังเป็นเกาะที่มีอะไรหลายๆ อย่างที่ประทับใจผมมาก ไม่ว่าจะเป็นหาดทรายที่นุ่ม น้ำทะเลที่ใสแจ๋ว จุดดำน้ำตื้นที่อุดมสมบูรณ์และโรงแรมที่แสนประทับใจ แต่ก็ยังอีกหลายๆ อย่างที่ผมคาใจอยู่ ผมอยากจะเห็นท้องฟ้าเปลี่ยนสี พระอาทิตย์ตกสวยๆ เหมือนกับที่หลายคนเคยเห็น ดังนั้นจากเดิมที่หลีเป๊ะเคยเป็นเกาะที่ผมตั้งใจจะไปให้ได้ซักครั้งในชีวิต ตอนนี้ผมได้เปลี่ยนนิยามของมันใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว หลีเป๊ะสำหรับผมในตอนนี้คือ “เกาะที่ผมจะต้องกลับไปเยือนใหม่อีกครั้งเพื่อแก้มือให้ได้!!"



แล้วพบกันใหม่ในรีวิวหน้านะครับ หากรีวิวนี้ขาดตกบกพร่องประการใดต้องขออภัยด้วย และการรีวิวนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวของผมจากวันที่ไปใช้บริการเท่านั้น แต่ละท่านที่ได้มีโอกาสไปใช้บริการอาจจะได้รับการบริการหรือรสชาติที่แตกต่างจากนี้ออกไปครับ


ปล. ทิ้งท้ายสั้นๆ ไว้อีกนิดนึงว่าน้ำเปล่าและค่าอาหารบนเกาะหลีเป๊ะค่อนข้างแพง ดังนั้นเป็นเรื่องนึงที่เราต้องทำใจก่อนที่จะไปนะครับ T__T



ขอขอบคุณ

ทริปหลีเป๊ะดีๆ จาก Sealection : https://www.facebook.com/sealection/

อุปกรณ์ในการถ่ายภาพใต้น้ำจาก Smartcam 1988 : https://www.facebook.com/smartcam1988/



สามารถพูดคุยหรือติดตามรีวิวอื่นๆ ของผมเพิ่มเติมได้ที่

https://www.facebook.com/amazingcouples/



ภรรยาหา สามีใช้

 วันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559 เวลา 21.46 น.

ความคิดเห็น