ก็ครั้งนี้ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่เที่ยวคนเดียวตลอดอย่างเรา จะไปเจอผู้หญิงที่เที่ยวคนเดียวอีกตั้งหลายคนที่นี่


และเมื่อเรามาถึงจุดที่ข้อมูลในหัวเยอะเกินจนไม่รู้ว่าจะไปไหน ให้เก็บกระเป๋าออกมาก่อนเหอะ ไม่รู้ว่าจะไปไหน ไม่รู้ว่าจะนอนไหน เอาตั๋วรถไฟฟรีมาก่อน(นอกจากบ้าแล้วยังจนด้วย) เดี๋ยวค่อยคิดว่าจะลงไหน ค่ำไหนก็นอนนั่นแหละ ชีวิตโสดอยู่ในมือ ก่อนที่จะไม่โสดแล้วจะทำอะไรแบบนี้ไม่ได้อีก ได้หยุดแค่ 2 วันของคนอื่น กับ ได้หยุดตั้ง 2 วันของเรามันต่างกันมากนะ


ตั๋วรถไฟฟรี กรุงเทพ-เชียงใหม่ นั่งไปเรื่อยๆ ฝนก็ตกเกือบตลอดทาง แต่ข้างทางนั่งมองไม่เบื่อตรงที่มีแต่ความเขียวขจีนี่แหละ ตอนแรกกะจะลงใกล้ๆ แพร่ก็แล้ว อุตรดิตถ์ก็แล้ว ลำปางก็แล้ว เลยไปเชียงใหม่เลยแล้วกัน ที่พักยังไม่มีเลย ไม่อยากพักในเมือง อากาศดีแบบนี้น่าไปนอนโฮมสเตย์ นั่งเซิร์ทหาข้อมูลไปเรื่อยๆตรงสถานีรถไฟเนี่ยแหละ เห้ย! เชียงดาวน่าไป แต่ขอจองห้องก่อน ได้ข่าวว่าจองยากและไม่มีสัญญาณ โทรติดที่ไหนก็ที่นั่นแหละ ตอนแรกอยากไปนอนบ้านระเบียงดาว เห็นคนไปเยอะ แต่อย่างที่บอก โทรไม่ติด ติดบ้านวิวดอยหลวง คนรับเสียงงัวเงียมาก ก็โทรไปตี 5 เห้ยมาวันธรรมดาที่พักว่างอ่ะ ดีใจมาก ดีใจที่มีที่นอนแล้ว


นั่งรถแดงจากสถานีรถไฟ 20 บาทเพื่อไปลงที่สถานีขนส่งช้างเผือก ไปทันรถบัสเล็กกำลังจะออกจากสถานีพอดี คนขับรถแดงก็ชี้ให้ดู นั่นไงๆ เชียงใหม่-ท่าตอน วิ่งเลยจ้า ทันรถออกพอดี เลยได้ออกเช้าหน่อย ระหว่างทางถ้าง่วงหรือเพลียก็มาหลับบนรถ นอนนิ่งเลย


บอกคนขับว่าถึงโลตัสเชียงดาวให้บอกด้วย เค้าก็ตะโกนบอกอยู่นะ หรือเริ่มเข้าตัวเมืองแล้วก็พยายามสังเกตซ้ายมือไว้ ก็สังเกตซ้ายมือจะเห็นโลตัส ลงรถเดินเลยเซเว่นซ้ายมืออีกหน่อย มีซอยเล็กๆอยู่ขวามือ รถสองแถวจะอยู่แถวนั้น เป็นรถกระบะของชาวบ้านที่ถูกดัดแปลงเป็นสองแถวขับขึ้นเชียงดาว แต่กว่าจะออกอีกนาน มีเป็นรอบๆ เลยมาหาอะไรกินก่อน ข้าวขาหมูแถวนี้ก็อร่อยดี แต่ที่สำคัญกว่านั้นได้เพื่อนตั้งแต่ลงจากรถเลย เพราะเห็นน้องมาคนเดียว เดินงงๆ เลยอยู่คุยกันยาวเลยระหว่างรอรถ น้องบอกชอบเที่ยวคนเดียวเหมือนกัน นั่งรถไฟมาขบวนเดียวกันเลย แต่บนรถไฟไม่เห็น บอกว่าเมื่อก่อนก็เที่ยวกับเพื่อน แต่หลังๆเวลาไม่ตรงกัน เพื่อนไม่ชอบเที่ยวแนวเดียวกัน ก็ห่างๆกันไปบ้าง


สำคัญเลยต้องขอเบอร์คนขับด้วย นี่โยนเป้ขึ้นรถก่อนแล้วคนขับแวะไปรับคนนั้นคนนี้แล้วปล่อยให้เรารออ่ะ รถคันอื่นก็ต่อคิวแล้ว ความจริงเปลี่ยนคันได้ แต่เป้อยู่อีกคันนี่ดิ่ เลยนั่งเซ็งกับน้องที่แบคแพคมาคนเดียวเหมือนกัน เหมือนมีเพื่อนร่วมชะตากรรม


แล้วรูปนี้ก็ถ่ายในรถสองแถว วานน้องที่ร่วมชะตากรรมช่วยถ่ายให้


เห็นวิวแล้วอยากกรี๊ด เขียวไปหมด มองไกลๆมีหมอกด้วย ฝนตกเป็นระยะๆ หมอกหน้าฝนนี่สวยไม่เบาเลยนะ


รถมานี่ก็ 50 บาท เป็นเพราะมากันหลายคนเลยจ่ายไม่แพงด้วย ที่พักเราถึงก่อน เราพักบ้านวิวดอยหลวง ส่วนน้องผู้ร่วมชะตาชีวิต พักบ้านสายหมอก นี่ความจริงเรามาถึงก่อนเวลาเช็คอินด้วย ถึงประมาณ 10 โมงกว่าๆ อย่าลืมบอกคนขับด้วยนะว่าพรุ่งนี้ให้มารับด้วย มากี่โมง แต่ที่สำคัญลืมขอเบอร์อีกแล้ว แต่ที่สำคัญกว่าที่นี่ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์จ้า ไม่รู้ว่าจะโทรติดหรือเปล่าถ้ามีเบอร์ ต้องเดินไปตามต้นไม้บางต้นก็ยังพอมีให้เล่นเน็ตได้


แต่ละบ้านก็มีชื่อ นี่บ้านเรา วิมานเดือน


เช็คอินแล้ว ก็ไปดูวิวรอบๆที่พักหน่อย


โอย...นี่ยังคิดอยู่ว่ามาแบบฟ้าเปิดขนานนี้ ถ้าฝนไม่ตกนี่แย่เลยนะ ใครๆก็ไม่ชอบหน้าฝนหรอก แต่ถ้าอยากเห็นหมอกฟินๆก็ให้เที่ยวหน้าฝนเป็นต้นไปก่อนหน้าหนาวเลย หมอกมาเต็มมาก ทำไรเสร็จแล้วก็ออกไปเดินแถวๆหมู่บ้านเช็คที่พักอื่นด้วย ที่พักราคาเดียวกันหมดเลย 500 บาท อาหาร 2 มื้อ เป็นของเย็นวันที่มากับเช้าของอีกวัน ใครหิวบ่อย ติดขนม แนะนำให้หอบมาจากเซเว่นข้างล่างด้วยนะ ร้านค้าไม่เห็นมีเลย แต่บางคนบอกว่ามี แต่ซื้อมาจากข้างล่างน่าจะถูกกว่าเยอะ มีหลายที่ทำเป็นร้านอาหารและร้านกาแฟ เอาใจนักท่องเที่ยวอยู่ประปราย


นี่ก็บ้านระเบียงดาวที่คนอื่นแย่งจองกัน วิวอารมณ์นี้ แต่เราว่าสวยทุกที่ และที่พักก็เข้าไปถ่ายรูปได้ทุกที่เลย


มาเที่ยวคนเดียวหรือมาเป็นคู่จะดีกว่านะที่นี่ค่อนข้างเงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อนมองอะไรเขียวๆ มาเป็นกลุ่มกับปาร์ตี้นี่อย่ามาเลย


มีการสร้างและต่อเติมมากมายบนดอย นั่นก็น่าจะเป็นสาเหตุหนึ่งจากข่าวล่าสุดที่ออกมาว่ามีการรื้อถอนที่พักของเชียงดาวหลายที่เพราะรุกล้ำป่า มันดีที่สร้างรายได้ บางอย่างก็ต้องเคารพกฎเพื่อให้เราอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้ สร้างเยอะก็ต้องตัดต้นไม้ออกเยอะก็ไม่ค่อยมีผลดีเท่าไหร่


เด็กดอยน่ารัก ขอถ่ายรูปก็ไม่ยอมเลย แอบตลอด ซนมาก


กิจกรรมไม่มีอะไรเลย บอกแล้วว่าเหมาะกับการมาพักผ่อน เดินเล่น ชมวิว ถ่ายรูป เน็ตก็เล่นไม่ได้เนาะ นี่เดินไปด้วยเริ่มรู้สึกละว่าถ้าฝนไม่ตกคงได้ดูบรรยากาศแห้งๆแบบนี้แหละ ความชุ่มฉ่ำอยู่ไหน

เดินสำรวจรอบๆหมู่บ้าน ชาวบ้านแถวนี้บอกว่าเดินเข้าไปดูนู่นเลย มีทำนาบนเขาด้วย นี่ดันเชื่อไง ความจริงเดินมาได้ไม่มีอะไร แต่ยุงเริ่มเยอะแล้วเริ่มเปลี่ยวด้วย เดินมาแป๊บเดียวแล้วขอถอยดีกว่า แต่คิดว่าถ้าเข้าไปลึกกว่านี้คงสวยและต้นไม้เยอะแน่นอน แต่มันจะรกขึ้นเรื่อยๆอ่ะดิ่ เลยถอยดีกว่า ถอยเพราะยุงล้วนๆ ยุงเยอะมาก


มากันโทรมๆ มาแบบคนเขาคนดอย แต่งตัวให้กลมกลืนดูไม่เป็นนักท่องเที่ยว


มีแต่ป้ายเต็มไปหมดเลย ไม่สวยเลยอ่ะ แต่ไปคุยกับชาวบ้านแถวนี้เค้าเล่นเน็ตไม่เป็น ก็ต้องโปรโมทด้วยวิธีนี้ หรือปากต่อปาก


แล้วก็เดินไปดูบ้านสายหมอก น้องที่มากันพักอยู่ที่นี่ เห้ย! บ้านสายหมอกนี่วิวดีใช้ได้เลย โล่งๆโปร่งๆ โอเคไม่แพ้ระเบียงดาวเลยนะ ถามเจ้าของที่พัก มาหาน้องที่เป็นผู้หญิงมาเที่ยวคนเดียวอ่ะค่ะ เค้าบอกคนไหนล่ะ ที่นี่พึ่งมา 2 คน อยู่คนละหลังแน่ะ เห้ย! มีผู้หญิงมาเที่ยวคนเดียวเหมือนเราแล้ว แยกบ้านกันคนละหลังสบายเลยเพราะที่พักถูก แต่พอเจอน้องแล้วก็ไม่ค่อยอยากรบกวนเท่าไหร่ คนเที่ยวคนเดียวส่วนใหญ่จะเข้าใจกันดีว่าทุกคนมีโลกส่วนตัว เวลาเจอกันเราจะมีเซนต์ว่าควรเว้นที่อะไรบ้าง สนิทมากไม่ได้ คุยจ้อมากไม่ได้


ทีนี้เล่าถึงน้องในฐานนะเพื่อนร่วมชะตากรรมตอนมานิดนึง


#เจ้ากิ๊ฟผู้หญิงที่เที่ยวคนเดียว
ถ้าวันนึงน้องมาอ่านเจอน้องคงตลก หรืออาจหงุดหงิดที่เราแอบเม้าท์น้องให้คนอื่นอ่าน แต่มันก็เป็นเรื่องเล่าที่เราพบเจอมาทุกครั้งที่เดินทาง และมันเก็บเป็นความทรงจำที่ดีของเราได้ เดี๋ยวนี้ผู้หญิงเที่ยวคนเดียวเยอะนะ เกือบทุกที่ที่เราไปก็จะเจอผู้หญิงเที่ยวคนเดียวตลอด
และที่นี่ก็เช่นกัน อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ เจอกิ๊ฟตอนลงจากบัสหน้าโลตัสเชียงดาว เห็นเดินดุ่มๆคนเดียวเหมือนมองหาอะไรบางอย่าง ดูทรงแล้วมาทางเดียวกันแน่นอน เพราะแถวนี้มีแต่ชาวบ้าน เราซื้อของใน 7-11 ออกมาก็ยังเจอเดินวนเวียนอยู่ เลยเข้าไปคุย อ้าว! สรุปจะไปที่เดียวกัน แต่พักคนละที่ กิ๊ฟผู้เที่ยวคนเดียวบอกว่าเมื่อก่อนก็เที่ยวเป็นแกงค์ แบคแพคสนุกมากเลย แต่ตอนนี้เพื่อนว่างมั่ง ไม่ว่างมั่ง แต่อยากมาที่นี่อ่ะ ก็มาเลย มาเองก็ได้ นั่งรถไฟฟรีขบวนเดียวกัน ต่อรถเหมือนกันทุกอย่าง เลยมีเพื่อนนั่งเม้าท์ระหว่างรอรถ ไม่ทันไรก็เรียกเราเจ้ซะละ 55555 "น้องเพิ่งอายุ 20 ปี ได้แบคแพคเที่ยวเองอย่างนี้ก็น่าอิจฉาแล้ว แต่พี่แก่กว่าตั้ง 13 ปีแน่ะ เพิ่งมาเริ่มเอง" นางก็ตกใจ "อ้าว! นึกว่ายังไม่ถึง 30 นะ นึกว่า 25-26" โห้! อันนี้ควรดีใจกว่าถูกหวยนะ 55555
ความจริงที่ไปมาทั้งหมด เจอผู้หญิงแบคแพคเที่ยวคนเดียว อายุน้อยสุดคือ 18 ปี น้องสปอย นางสาว ม.
6 จากมหาสารคาม แบคแพคนั่งบัสเที่ยวเวียดนามแล้วเจอเรา ฝ่าวิกฤตผ่านด่านแสนลำบากในลาวกับเวียดนามกัน คุยถูกคอเหมือนกัน
.......เราแยกที่พักกับกิ๊ฟ แล้วก็ลองเดินมาถามหาบ้านสายหมอก ถามหาผู้หญิงที่มาคนเดียว ตัวล่ำๆหน่อยอ่ะค่ะ ล่ำเหมือนหนูอ่ะค่ะพี่ 55555 คนที่ดูแลบอก คนไหน ตอนนี้มีอยู่ 2 หลังที่ผู้หญิงมาคนเดียว เห้ย! ดี เห้ย! มีแต่ผู้หญิงมาคนเดียว เห้ย! จอกิ๊ฟ แกบ้านแกสวยว่ะ สวยเลย มุมดีด้วย ที่พักมันดีมันสวยคนละแบบจริงๆนะ ราคาก็เท่ากัน แล้วเราก็ปล่อยน้องอินดี้ถ่ายรูปไป เราก็ไปเดินเล่นของเรา ถ้าซูมรูปนี้จะตลกนาง นางเหลือบมองเรา เหมือนดูว่าเราไปรึยัง? จะถ่ายเซลฟี่ 5555 กำลังแอบถ่ายรูปอยู่หรือเปล่าน้าาาาาา?


เดินไปเดินมาเพลีย เนื่องจากนั่งรถต่อรถเยอะ กลับมาถึงที่พักเผลอหลับไปเลย อากาศเริ่มเย็น หลับจนเย็น หลับสบายมาก อากาศดี ตื่นมาก็ห้าหกโมงเลย มาชมวิวต่อ งัวเงีย แต่อากาศดีมาก


แล้วก็ได้เวลาอาหารเย็น กินซะมืดเลยอ่ะ น้ำพริกกะเหรี่ยงอร่อยมาก เผ็ดมาก แพงด้วย ถ้าใครซื้อกลับ 55555 แต่อร่อย


กิจกรรมไม่มีอะไรทำเลย นอนอย่างเดียว สามทุ่มก็นอนแล้วอ่ะ เพราะสี่ทุ่มก็จะตัดไฟแล้ว ไฟฟ้าไม่มีใช้เน็ตก็ไม่มี ทำอะไรไม่ได้นอกจากนอน ดาวไม่มี เพราะหน้าฝนอากาศครึ้ม


สะดุ้งตื่นมาตี 5 เห้ย! ฝนตก ตกหนักมากด้วย แลดูจะไม่หยุดเลย เดินออกมาดูกี่รอบก็ขาวฟุ้งไปหมด หมดกัน จะได้เห็นอะไรสวยๆมั้ยถ้าตกทุกวันแบบนี้ เที่ยวหน้าฝนต้องทำใจนะ


แต่ดีใจที่ฝนหยุดตก ไม่มีใครออกมา คงนอนสบายกันอยู่ แต่เรารีบออกมาเลย เฉอะแฉะนิดหน่อย คือในใจอยากเห็นอะไรมากกว่านี้นะถ้ามาที่นี่


น้องหมาฟินมาก เวลาฝนตก


โอ้ยดีอ่ะแก ดี ดี๊ ดี


ออกมาทั้งชุดนอนเลยทีเดียว บ้านระเบียงดาวอยู่ตรงข้ามที่พักวิวดอยหลวง เดินมาก่อนเลย ดีอ่ะแกร๊ๆๆๆๆ


แล้วก็เดินไปโฮมสเตย์อื่นบ้าง เปรียบเทียบวิว โอ้ยยยยยย ดี ไม่มีคนด้วย ก็ฝนยังปรอยนิดหน่อย


อยากนั่งโง่ๆแบบนี้นานๆเนาะ


ได้เวลาอาหารเช้า มาที่นี่ กิน เดิน ถ่ายรูปอย่างเดียว เอาสมองมาพักผ่อน


นัดรถว่าจะมาสิบโมงก็ไม่มานะ ชะเง้อมองตั้งนาน บางคนบอกหมดแล้ว รถไปแล้ว ลองรอรถคันอื่นดู นี่เริ่มใจเสียละ รถไม่วิ่งทั้งวัน เค้าไปหมดละ สงสัยคงต้องโบกหรือติดรถชาวบ้านมา แต่ไม่ต้องกังวลใครที่จะไป สรุปมีรถขึ้นมาเรื่อยๆเลย น่าจะถึงบ่ายเลย แต่การรอนานหลาย ชม.มันทำให้เราใจเสียนิดหน่อย ที่สำคัญให้ถามตลอด ถามใครก็ได้ เผื่อเค้าช่วยได้ ไม่มีรถก็เผื่อติดรถชาวบ้านลงไปได้


นี่เราเจอผู้หญิงมาเที่ยวคนเดียวอีกแล้ว เพราะเห็นน้องนั่งอยู่คนเดียว มองไปรอบๆก็ไม่เห็นมากับใคร อันนี้ไม่ทันแอบถ่ายรูปนะ แต่คิดอีกทีคงไม่ถ่ายดีกว่า


เรื่องเล่า...เมื่อฉันเจอผู้หญิงที่เที่ยวคนเดียวเหมือนกัน ขากลับเจออีกคนในที่พักเดียวกัน เราหารถสองแถวลงไปมันไม่มี เค้าลงเขาไปหมดแล้ว ถามที่พักค่อยใจชื้น จะกลับมารับอีกที 10 โมง เหลือบไปเห็นน้องคนนึงนั่งอินดี้อยู่ ผู้หญิงคนนี้มาคนเดียวแน่ๆ เข้าไปคุยก่อน และใช่จริงๆ น้องคุยกลับจ้อเลย บอกว่าหนีเพื่อนมาจากหัวหินชวนเพื่อนมาไม่มีใครอยากนั่งรถไฟฟรีมา แต่พอมาแล้วโดนด่า นั่นแหละ อย่างที่เคยบอก พอชวนใครมาแล้วไม่มา พอเช็คอินปุ๊บ แหม! ไม่ชวน เอ่อ....เอาที่สบายใจเลยจ้า
มีเพื่อนลงเขาแล้ว ไป 2 คน น้องนั่งหน้าไป เราท้ายกระบะคนเดียว น้องคนนี้ลืมถามชื่อ เห็นว่าค้างในเมืองคืนนึงแล้วขึ้นเขา แล้วเดี๋ยวไปเชียงรายต่อ การเที่ยวคนเดียวครั้งแรกในชีวิตของน้องน่าอิจฉาจริงๆ ไปเทียวไกลเลย ไปเรื่อยๆ
ปกติเจอคนเที่ยวคนเดียวก็คุยด้วยปกตินะ ส่วนใหญ่คุยเรื่องเที่ยว เรื่องเดินทาง แล้วมันสบายใจ มันน่าตื่นเต้นไปหมด แววตาของคนเล่ากับคนฟังมันเป็นประกายอย่างที่เรารู้สึกได้ เราไม่เคยขอ facebook IG หรือ lineกัน เรารู้จักกันแค่นี้ รู้จักกันแบบผ่านมาแล้วผ่านไป มันสบายใจแบบไม่ต้องมีอะไรผูกมัด ซึ่งก็ไม่แน่ว่าซักวัน เราอาจจะได้เจอกันในที่ใดที่หนึ่งอีก หากเรายังคงเดินในทางของเราต่อไปเรื่อยๆ
การมีรอยยิ้ม มีอัธยาศัย มีความกล้าที่จะเริ่มคุยกับใครซักคนก่อน ในการเดินทาง ถึงแม้ว่าเราจะต้องเดินทางคนเดียว เราจะไม่รู้สึกว่าเราเหงาเลย กลับกัน...โลกของเรามันอาจกว้างขึ้นไปเรื่อยๆด้วยซ้ำ โดยที่เราไม่รู้ตัว


ขาลงมากันสองคน ส่งถึงท่ารถเลย ค่ารถเลยคนละ 100 บาท เพราะมากันน้อย


ค่ารถขากลับก็ 40 บาทเหมือนเดิม ส่งสถานีขนส่งช้างเผือก


กลับแล้วจ้า นั่งรถแดงไปสถานีรถไฟอีก 20 บาท รูปนี้ขอให้คนขับรถช่วยถ่ายให้หน่อย อยากมีรูปโหนรถแดง


ยังไม่จบสำหรับการเดินทาง อย่างที่บอก การเดินทางมันไม่สำคัญที่จุดหมาย แต่ระหว่างทางมันมีเรื่องเล่ามากกว่านั้น


ระหว่างทางที่เราเดินทางคนเดียว เรามักจะพบกับเพื่อนใหม่เสมอ และไม่เคยคาดเดาได้เลยว่า เพื่อนใหม่จะเป็นใคร
ขากลับจากเชียงใหม่สู่กรุงเทพ (ซื้อตั๋วขากลับ 271 บาท ชั้น 3) ครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน กับคนที่นั่งรถไฟเที่ยวบ่อยมากอย่างเรา
เมื่อมาเจอกับคนที่นั่งรถไฟครั้งแรกในชีวิต ก็นั่งยาวตั้งแต่เชียงใหม่ถึงกรุงเทพ พี่เค้าเป็นคนเหนือ มากับแม่แก่แล้วอีกคน เลขที่นั่งของแม่ต้องมาเบียดกับเราซึ่งที่นั่งแคบ เราเลยแยกย้ายกันไปนั่งคนละตัวเลย เพราะขากลับสบาย รถไฟโล่ง นอนเหยียดขา นั่งตรงไหนก็ได้ถ้าที่นั่งไม่มีเจ้าของ
พอเราเจอวิวสวยๆก็เรียกพี่เค้าดู พอพี่เค้าเจอวิวสวยๆก็เรียกเราดู ยอมรับว่านั่งรถไฟเที่ยวบ่อยแต่ไม่เคยเบื่อกับการมองวิวข้างทางเลย ยิ่งหน้าฝนข้างทางวิวสวยมาก สดชื่นมาก เราตื่นเต้นกับทุกอย่างที่เห็น พี่เค้าก็ตื่นเต้น หูยๆกันตลอดทาง ต่างคนต่างยิ้มอย่างมีความสุขให้กับธรรมชาติ พี่เค้าบอก "เราได้เปรียบกว่าคนที่เดินทางแบบอื่นเยอะเลยเนาะ ถ่ายรูปไว้เยอะๆดีกว่า จะเอาต้นไม้ไปให้คนกรุงเทพดู"
คำพูดซื่อๆแต่มันได้ใจเราไปเต็มๆ เจอเพื่อนร่วมทางแบบนี้ นั่งนานแค่ไหนก็ไม่เบื่อนะ
เวลาเราเจอคนที่ชอบอะไรเหมือนกัน ได้คุยแค่เรื่องที่ชอบเหมือนกัน ณ เวลานั้นๆ โดยไม่ต้องเอาสถานะใดมาผูกมัด
......มันดีแบบนี้นี่เอง,,.....


จากที่ไม่รู้จะไปไหน นั่งรถไฟมาเรื่อยๆแล้วมาโผล่เชียงใหม่ แบบไม่รู้ว่าจุดหมายปลายทางข้างหน้าวจะเป็นยังไง เจอแต่ผู้หญิงมาเที่ยวคนเดียว ซึ่งก็นั่นแหละ ความจริงการที่เราเที่ยวคนเดียวมันไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ใครๆเค้าก็อยากลองเที่ยวคนเดียวกัน


ค่าใช้จ่าย รถไฟฟรีกรุงเทพ-เชียงใหม่ ขากลับค่ารถไฟ 271 บาท ค่ารถแดงไป-กลับ 40 บาท ค่ารถบัส ไป-กลับ 80 บาท ค่ารถขึ้นลงดอย 150 บาท ค่าที่พัก 500 บาท รวม 1041 บาท บวกลบค่าขนมกันไปแล้วแต่ใครจะกินก็ 300 บาทเนาะ พันกว่าบาทเอง ความจริงไปเที่ยวไม่ต้องคิดอะไรเยอะหรือวางแผนเยอะนี่ก็สนุกดีนะ


ไว้เจอกันใหม่รีวิวหน้านะคะ อยากอ่านเราเล่าเรื่องการไปเที่ยวคนเดียว เข้าไปอ่านได้ในเพจ "จะเที่ยวคนเดียว" นะคะ

Boe_Stories

 วันพฤหัสที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2560 เวลา 01.10 น.

ความคิดเห็น