รอบนี้พาไปเที่ยวประเทศเพื่อนบ้านกันอีกแล้ว กลับมาเจอกันอีกที่ประเทศพม่า รอบนี้จะเดินทางจากกรุงเทพฯ บินตรงสู่เมืองมัณฑะเลย์ ทริปนี้เรียกง่ายๆว่าเป็นทริปสานฝันก็ตัวเองก็ได้ เพราะก่อนหน้านี้ได้มีโอกาสได้ดูหนังเรื่องนึงที่ไม่สามารถฉายได้ในโรงเลยหาดูในยูทูป หลังจากดูหนังจบรู้สึกว่ามันยังไม่สุดพอเลยได้หาข้อมูลแล้วได้หนังสือมาอ่าน คือมีโอกาสได้อ่านหนังสือ สิ้นแสงฉาน ที่เขียนโดย อิงเง่ ซาร์เจนท์ หรือสุจันทรีมหาเทวีแห่งสีป่อในอดีต หนังสือที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลายรูปแบบมาก มันทำให้คิดว่ายังไงซักครั้งนึงต้องหาโอกาสไปเยือนเมืองสีป้อให้ได้



รอบนี้จะไม่ได้เจาะลึกที่มัณฑะเลย์ กับ พุกามมากนัก เพราะเค้าเขียนมาหลายกระทู้แล้วจริงๆ จะได้ไปเที่ยวที่ใหม่ๆกันบ้างเนอะ ใครอยากอ่านกระทู้เก่า เข้าไปส่องกันได้นะคะ ขอฝากไว้ก่อนๆเลย



กระทู้แรก แสวงบุญที่พม่า 18วัด ใน 4วัน

https://pantip.com/topic/34641266



กระทู้ที่สอง ย้อนเวลาที่ทะเลสาบอินเล

https://pantip.com/topic/34896319



กระทู้ที่สาม เที่ยวพม่า8วัน7คืน ชมพิธีแห่พระที่ทะเลสาบอินเล

https://pantip.com/topic/35730779



เข้าไปอ่านซักนิดเผื่อจะได้รู้จักกันมากขึ้น รูปเยอะนะ เข้าไปส่องดูเฉยๆ เค้าก็ไม่ว่า



แพลนคร่าวๆ

DAY1 : Bangkok-Mandalay FD244 12:25PM

DAY2: Mandalay –Mingun –Amarapura

DAY3: Mandalay station – Hsipaw station นั่งรถไฟ12ชม.

DAY4: Hsipaw half day – Pyin Oo Lwin By car

DAY5: Pyin Oo Lwin half day – Sunset at Bagan

DAY6 : Sunrise at Bagan to Yangon

DAY7: Yangon-Syriem –Park – Dinner

DAY8: Yangon all day –Back Bangkok DD4239 9pmDAY1 : Bangkok-Mandalay



การเดินทางจากกรุงเทพฯ บินตรงสู่เมืองมัณฑะเลย์ มีสายหลายการบินให้บริการกันอยู่มากมาย แต่รอบนี้ชะนีเลือกเดินทางกับสายการบิน ไทยแอร์เอเชีย

สิทธิพิเศษสำหรับบัตรเครดิตแอร์เอเซีย แพลทินัม ของธนาคารกรุงเทพ สามารถเข้าช่องExpress ได้เลย แถมมีคูปองให้โหลดกระเป๋า และนั่งHot seatฟรีอีกด้วย แถมบนเครื่องยังได้เครื่องดื่มมูลค่า 60บาทฟรี ด้วยนะคะไม่จำกัดเที่ยวด้วย ใช้ได้ตลอดปี60นี้เลย


เพิ่งสังเกตเห็น ว่า King Power ที่สนามบินดอนเมือง มีShopมาเปิดเพิ่มขึ้นเยอะเลย ตอนนี้มีMAC แล้วด้วยกรี๊ดหนักมาก


แถมใครอยากจะช็อปก่อนบิน ก็สามารถไปช็อปได้ที่King power ซอยรางน้ำ และมารับของได้ที่สนามบินดอนเมืองเลย มีช่องพิเศษสำหรับคนไทยไม่ต้องต่อคิวยาวให้เสียเวลาอีกด้วย



เที่ยวบินที่ FD244 ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชั่วโมง50นาที เดินทางถึงสนามบินปลายทางประมาณ12:25 หลังจากนั้นเราก็ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง สนามบินมัณฑะเลย์เก่ากว่าย่างกุ้งอยู่มาก หลังจากหลังกระเป๋าเสร็จ เจ้าหน้าที่จะขอตรวจ X-Rayกระเป๋าทุกๆใบไม่มีข้อยกเว้น



หลังจากX-Rayเสร็จ ก็จะมีเคาท์เตอร์สำหรับแลกเงิน ซื้อซิม ทัวร์ และรถแท็กซี่บริการอยู่ สามารถใช้เงินไทย (บาท) แลกเป็นเงิน จ๊าด เงินพม่าได้เลย

อากาศที่นี้ร้อนมาก แดดแรงมากเช่นกัน


เดินทางไปโรงแรมกันก่อนเลย


รอบนี้เราจะนอนโรงแรมใกล้สถานีรถไฟมัณฑะเลย์เลยเพราะเราต้องเดินทางต่อไปสีป้อ โดยทางรถไฟ ถึงโรงแรมกันแล้ว โรงแรมอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟเลย สะดวกมาก


OWAY GRAND HOTEL ระหว่างรอCheck inห้องพัก พนักงานก็จะมีWelcome drinkเย็นๆมาเสิร์ฟ


แล้วก็รีบเอากระเป๋าขึ้นไปเก็บ มีของทอดมาขายหน้าโรงแรมพอดี ลองท้องไปก่อนเนอะ มีให้เลือกหลายอย่าง


หลังจากนั้นก็ไปสถานีรถไฟเพื่อติดต่อซื้อตั๋วรถไฟ วันมะรืน จุดขายตั๋วอยู่ที่ชั้น2นะเดินขึ้นบันไดกันหน่อย เจ้าหน้าที่แจ้งว่าตั๋วสามารถซื้อล่วงหน้าได้เพียง1วันเท่านั้น เพราะฉะนั้นพรุ่งนี้9โมงถึงจะเริ่มขายตั๋วได้



Mandalay Hill

วันนี้จะขึ้นไปดูวิว และชมพระอาทิตย์ตกกันบนภูเขามัณฑะเลย์ สำหรับชาวต่างชาติต้องเสียค่าบัตรกันคนละ 1000จ๊าด

ช่วงเย็นๆจะมีทั้งคนพม่าและนักท่องเที่ยวขึ้นมาเที่ยวกันเยอะ เพราะบรรยากาศดีมาก


จะสังเกตได้ว่า เณรจะชอบคุยกับนักท่องเที่ยว ฝึกภาษาอังกฤษไปในตัวด้วยเลย


วิวบนนี้มองเห็นหมดเลย


พระอาทิตย์ดวงกลมๆมาแล้ว สีจัดจ้านมากวันนี้


แสงเริ่มมืดๆลงละ ภูเขามัณฑะเลย์จริงๆก็ไม่ได้สูงมากเท่าไหร่นะ แต่สามารถมองเห็นวิวเมืองแบบพาโนราม่ามากๆ สวย


ลงลิฟต์ได้ทางนี้เลย ขามามีแขกต่างประเทศมาเยือนเข้าปิดลิฟต์ ชะนีเลยจะเป็นต้องเดินขึ้นมาจ้า


พอค่ำๆเราก็ลงกัน ขับรถผ่านรอบๆวังมัณฑะเลย์ มีคนมาออกกำลังกายกันเยอะ เลยให้พี่ชายจอดรถลงไปดูซักหน่อย คุณพ่อเลย ออกกำลังกายรอลูกสาวถ่ายรูปซักหน่อย ยุงเยอะมากๆด้วย
Night Market


เริ่มหิวแล้ว ไปเดินเล่นตลาดกลางคืนซะหน่อยละกัน มีแต่ผัก ผลไม้ขายสดๆทั้งนั้น ราคาก็ไม่แพงมากด้วย แต่เดินลำบากนิดหน่อยเพราะมีรถวิ่งไปวิ่งมาตลอดทาง
ผักสด และ ผลไม้สด ส่วนใหญ่จะมาจากสีป้อทั้งนั้น รีบกลับไปนอนดีกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นไปชมพิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนีDAY2: Mandalay –Mingun –Amarapura



ตื่นตั้งแต่ตี3 ล้างหน้าแปรงฟัน เปลี่ยนชุดเตรียมตัวไปวัด

มาถึงวัดประมาณตี4 แต่ประตูยังไม่เปิดเลยต้องไปยืนรอหน้าประตู


เพื่อจะได้ไปจับจองที่นั่งด้านหน้าหน่อย พอประตูเปิดทุกคนก็ทยอยกันเข้าไปทางด้านใน ถึงคนจะเยอะแต่เค้าก็ไม่เบียดหรือแย่งแซงคิวอะไรกันนะคะ เค้าก็เดินเข้ากันไปปกติ อากาศตอนเช้าค่อนข้างจะเย็นๆอยู่เหมือนกัน ครั้งนี้เป็นครั้งสองแล้วที่มีโอกาสได้มา


พิธีเริ่มแล้ว พิธีนี้จะจัดขึ้นทุกวัน เริ่มเวลาประมาณตี4กว่าๆ


พิธีมีหลายขั้นตอนมากๆ


ลงแปรงๆ


และลงทานาคา จะเห็นได้ว่า ทานาคานั้นได้นำถูกนำเอามาใช้ในพิธีด้วย สำหรับใครที่สนใจอยากจะฝนทานาคาเพื่อมาใช้ในพิธีล้างหน้าพระมาหามัยมุนี สามารถมาฝนได้ที่วัด ช่วงบ่ายๆถึงเย็น เพื่อจะได้นำมาใช้ทำพิธีในวันถัดไปของทุกๆเช้าค่ะ


หลังจากลงทานาคาแล้ว ก็เช็ดหน้าต่อ เช็ดอยู่หลายรอบมากๆค่ะ ยิ่งเช็ดยิ่งเงา


ขั้นตอนสุดท้ายคือการพัด ก็เปลี่ยนพัดไปหลายอันเหมือนกัน


พิธีล้างหน้าพระมหามัยมุนี ใช้เวลาประมาณ1ชม. ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวเยอะมากๆ เห็นแรงศรัทธาของทุกคนแล้วขนลุกมาก หลังจากเสร็จพิธี ผู้ชายสามารถไปซื้อทองปิดพระได้นะคะ


คุณพ่อเลยเรียกชะนีให้ไปดูด้านข้างแบบใกล้ๆ


แล้วเดินกลับมาชะนีได้เห็น ผู้ชายคนนึงที่สภาพเป็นแบบนี้ ยืนมองอยู่นาน ได้ยินเค้าสวดมนต์อะไรก็ไม่รู้ดังพอสมควร ไม่ได้กลัวหรือรังเกียจอะไรเค้านะคะ แค่ยืนอึ้งว่าขนาดพี่เค้าดูไม่ปกติ ใจเค้ายังศรัทธาต่อพระพุทธศาสนาได้ขนาดนี้เลย เราเป็นชาวพุทธแท้ๆยังหาเวลาเข้าวัดยังไม่ค่อยจะได้เลย จะเข้าวัดก็ต่อเมื่อรู้สึกทุกข์ใจเท่านั้นเอง


แล้วคุณพ่อก็เรียกมาให้ดู หมาน้อยตัวเล็กที่นอนขดอยู่ภายใต้ผ้าพันคอสีชมพู พ่อบอกว่าหมาตัวน้อยนี้นอนขดอยู่ข้างๆผู้หญิงคนนึงมันคงอยากมาฟังธรรมตอนเช้าแหละมั่ง ผู้หญิงคนนั้นเสียสละผ้าพันคอตัวเองห่มให้หมา แล้วเค้าก็ลุกจากไป คือ ณ ตอนนั้นน้ำตาคลอมาก เพราะชะนีเป็นคนที่รักหมามาก แต่ถ้าเป็นเรา เราจะยอมสละผ้าพันคอเราให้หมาได้เลยหรอ มันทำให้กลับมาคิดว่า แม้คนพม่าส่วนใหญ่จะไม่ได้ร่ำรวยเงินทองมากนัก แต่พวกเค้าพร้อมที่จะเสียสละและแบ่งปันได้ตลอดเวลา ไม่รู้ว่าชาติที่แล้วน้องหมาไปทำกรรมอะไรมาถึงได้เกิดมาเป็นสัตว์เดรัจฉานแต่ชาตินี้ก็ยังคงมีโอกาสได้มาฟังธรรม


กำลังจะเดินออกจากวัด ก็เห็นคนนั่งตามริมทางเต็มไปหมด


แล้วก็เอาผ้ามาปูตามพื้น เราก็สงสัยเค้าทำอะไรกัน อยู่ๆก็มีคุณลุงดึงผ้าพันคอของเราไป เราตกใจมาก สรุปเค้าเอาของเราไปปูพื้น เพื่อให้พระที่ทำพิธีล้างหน้าพระนั้นได้เดินเหยียบแล้วสวดมนต์ไปด้วย เลยเข้าใจแล้วว่าทุกคนเอาผ้าพันคอ หรือผ้าเช็ดหน้ามาปูที่พื้นทางเดินทำไม



ระหว่างทางเดินออกจากวัด ก็มีร้านขายของมากมาย เจอผ้าถุงอยู่ร้านนึง คุณลุงเป็นเจ้าของ และผ้าร้านแกสวยมาก แถมราคาถูกกว่าร้านอื่นอีก แกแนะนำดีมาก เลือกไปเลือกมาเยอะไปหมด เป็นลายเฉพาะของเมืองมัณฑะเลย์ด้วย จัดไปค่ะ

พี่ชายชาวพม่าของเรานางคงหิวแล้วแหละ เลยชวนกินข้าวเช้าสไตล์เมียนมาร์ซะหน่อย ข้าวผัดคลุกน้ำพริก และปลาแห้ง อร่อยดี อร่อยแบบแปลกๆ เพราะชะนีไม่กินเผ็ด


อะๆ แบ่งกันคนละครึ่งนะ มื้อนี้หมดไป 800จ๊าดเท่านั้นเอง ถูกมาก


กลับโรงแรมไปทานอาหารเช้า และไปซื้อตั๋วรถไฟสำหรับพรุ่งนี้ จากมัณฑะเลย์ ไป สีป้อ ค่าตั๋วรถไฟ Upper Seat 3750จ๊าด ตั้งใจจะจองฝั่งซ้าย2 ขวา2 แต่พอดีที่เต็ม นี้ขนาดรีบมาตั้งแต่เช้าแล้วนะ เลยได้แต่ฝั่งขวาแทนเลย เอาหน่าดีกว่าตั๋วเต็มแล้วอดไปเนอะ อย่าลืมพกPassportไปด้วย ถ้าไม่มีPassport ทางเจ้าหน้าที่จะไม่ขายตั๋วให้นะ


ตารางการเดินทาง รถไฟจะออกจากสถานีมัณฑะเลย์ ตอนตี4 แต่เราต้องมาก่อนเวลาประมาณ 30นาที เพราะฉะนั้นเราจะต้องมาถึงตั้งแต่ ตี3.30น. จากกำหนดการ เราจะถึงสีป้อประมาณบ่าย3โมง ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด หรือรถเสียกระทันหัน เพราะเห็นบางคนเลทอย่างต่ำ3-5ชั่วโมงเลย พรุ่งนี้เรามาลุ้นกันว่าเราจะถึงกี่โมง ได้ตั๋วแล้วไปเที่ยวต่อได้
วัดพญางู Snake Pagoda or Hmwe Paya


อยู่ห่างจากมัณฑะเลย์ไปประมาณ40นาที อยู่ที่ Paliek ปะเล็ด ในทุกๆ วันเวลาประมาณ 11.00 น. จะมีการอาบน้ำให้งู ซึ่งงูทั้ง 3 ตัวนี้จะไม่กินเนื้อสัตว์ เจ้าหน้าที่จะทำการป้อนไข่ให้กินวันละ 3 ฟอง แล้วก็จะนำกลับไปไว้ที่องค์พระพุทธรูป นามว่า หลวงพ่อลาภะมุนี ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องการขอโชคลาภ เค้าว่ากันว่างูที่เลื้อยเข้ามาเฝ้าองค์พระนั้นไม่เคยทำร้ายใคร และถ้างูตัวใดตัวหนึ่งตายไป ก็จะมีงูตัวใหม่เลื้อยเข้ามาเฝ้าองค์พระนี้แทนเสมอ ติดต่อกันมาหลายรุ่นแล้ว วัดนี้เป็นวัดที่มีชื่อเสียงมากอีกวัดนึงเลย จะเห็นได้ว่าดารา นักแสดง หรือนักธุรกิจชาวพม่าเองต่างมาไหว้ขอพรกันเยอะแยะมากมาย



ซื้อดอกไม้ไปไหว้พระด้านในกันก่อน

ในตู้นี้ คืองูตัวดั้งเดิมตัวแรกที่อยู่วัดนี้ค่ะ ตัวใหญ่มาก


งูตัวเมียตัวนี้ นางคงหนาว เลยออกมาอาบแดด ใครๆก็จับได้ งูไม่ดุ


งูนอนอยู่สามตัว สามาถจับได้นะ ถ้าใครไม่กลัว งูไม่ดุ


ปกติงูจะเลื่อย จะนอนตรงพระเนี่ยแหละ แต่พอดีช่วงนี้เค้ากำลังจะปรับปรุงใหม่


Mingun มิงกุน


มีที่เที่ยวสำคัญๆ อยู่3ที่ สามารถขับรถไปได้จากมัณฑะเลย์ใช้เวลาประมาณ50นาที ถ้านั่งเรือจากมัณฑะเลย์ 30นาที รถวิ่งเลียบแม่น้ำอิระวดีไปเลย เหมือนวิ่งเลียบน้ำโขงบ้านเราเลยสวยดี

ถนนหนทางไปมิงกุน


เสียค่าเข้าชมเมืองด้วยนะ ค่าบัตร5,000จ๊าดต่อคน


เจดีย์ยักษ์แห่งมิงกุน


ปัจจุบันชาวพม่า เรียกเจดีย์องค์นี้ว่า “ปาโตดอจี" แปลว่า เจดีย์ใหญ่ที่สร้างไม่เสร็จ ถ้าสร้างเสร็จจะเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในโลก สูงถึง150เมตรเลยทีเดียว


ด้านในเจดีย์ยักษ์


เจดีย์ยักษ์สมชชื่อจริงๆ ถ้าสร้างเสร็จคงจะใหญ่โตมโหฬารมากๆ


ฝั่งตรงข้าม จะเห็นสิงโตก็ตัวใหญ่มากเข่นกัน เค้าว่ากันว่า จะดูว่าวัดหรือเจดีย์นั้นใหญ่ขนาดไหน ให้ดูจากขนาดสิงโตหน้าวัด แต่ก็ยังสร้างไม่เสร็จ


ด้านหน้าของสิงโต จะเป็นแม่น้ำ และท่าเรือของมิงกุน


ระฆังยักษ์ Mingun Bell


อยูไม่ไกลจากเจดีย์มิงกุนมากนัก พระเจ้าปดุงโปรดฯ ให้สร้างขึ้น เพื่ออุทิศถวายแด่มหาเจดีย์มิงกุน จึงต้องมีขนาดใหญ่คู่ควรกัน คือเป็นระฆังยักษ์ที่มีเส้นรอบวงถึง 10 เมตร สูง 3.70 เมตร น้ำหนัก 87 ตัน เล่าขานกันว่า พระเจ้าปดุงทรงไม่ต้องการให้มีใครสร้างระฆังเลียนแบบ จึงรับสั่งให้ประหารชีวิตนายช่างทันทีที่สร้างเสร็จ ปัจจุบันถือเป็นระฆังยักษ์ที่มีขนาดเล็กกว่าระฆังแห่งหนึ่งในพระราชวังเครมลิน, กรุงมอสโก เพียงใบเดียวเท่านั้น ทว่าระฆังเครมลินแตกร้าวไปแล้ว ชาวพม่าจึงภาคภูมิใจว่าระฆังมิงกุนเป็นระฆังยักษ์ที่ยังคงส่งเสียงก้องกังวานได้จนถึงปัจจุบันนี้

ด้านข้างจะมีต้นไม้ต้นนี้อยู่ จำชื่อไม่ได้ แต่ต้นสวยดี


เด็กน้อยรอต้อนรับนักท่องเที่ยวอยู่นะ มาเที่ยวกันเยอะๆนะ


เจดีย์ชินพิวมิน (Hsinbyume Paya)


“ทัชมาฮาลแห่งลุ่มอิรวดี"เจดีย์องค์นี้เป็นพุทธศิลป์ที่สร้างขึ้นด้วยภูมิจักรวาล คือมีองค์เจดีย์สถิตอยู่ตรงกลางยอดเขาพระสุเมรุ อันเชื่อกันว่าเป็นศูนย์กลางโลกและจักรวาลล้อมรอบด้วยขุนเขา และมหาสมุทรตามหลักไตรภูมิ โดยสร้างฐานเจดีย์ลดหลั่นกันไปเจ็ดชั้น ทำให้เหมือนมีระเบียงทางเดินเป็นเกลียวคลื่น



สามารถเดินขึ้นไปไหว้พระด้านบนได้ แต่ค่อนข้างสูงอยู่เหมือนกัน

วิวจากทางด้านบน


จากจุดนี้จะสามารถมองเห็นเจดีย์ยักษ์ได้ด้วย


ถ้าอยากได้รูปมุมเต็มๆ ให้มาถ่ายรูปฝั่งด้านซ้ายนะคะ สามารถเข้าประตูด้านข้างได้
หลังจากเที่ยวครบ3ที่ เราก็กลับไปอมรปุระ เพื่อทานข้าวกลางวัน ร้าน Renaissance Cafe & Restaurant ใกล้ๆ NagaYone Pagoda



หลังจากทานเสร็จแล้ว ก็ขับรถผ่านโรงงานปักผ้า เลยจอดแวะลงไปดู สรุปถูกใจอีกแล้ว แถมราคาถูกมากๆอีกแล้ว
แต่เสียดายที่ป้าแกไม่มีลายให้เลือกมาก แกก็เย็บไปขาย ส่งต่อที่ย่างกุ้งอีกที
ขับรถไปถึงสะพานอูเบ็ง เห็นคนรุมกินอะไรกันไม่รู้ คุณพ่ออยากลอง เลยลองซักหน่อย คล้ายๆหมูพะโล้บ้านเรา เค้ามีน้ำจิ้มให้
สะพานอูเบ็ง U-Bein Bridge


เป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 1.2 กิโลเมตร สร้างจากไม้สักที่รื้อมาจากพระราชวังเก่าแห่งกรุงอังวะ เมื่อครั้งย้ายเมืองหลวงมายังอมรปุระ พระเจ้าปดุงโปรดฯให้ขุนนางที่ชื่อ 'อูเบ็ง' ทำหน้าที่ควบคุมงานก่อสร้างสะพาน จึงเป็นที่มาของชื่อ สะพานอูเบ็ง เสาของสะพานใช้ไม้สักถึง 1,208 ต้น ซึ่งมีอายุกว่า 200 ปี ทอดข้ามทะเลสาบคองตามัน มุ่งตรงไปยังเจดีย์เจ๊าตอจีซึ่งอยู่อีกฟากของทะเลสาบ สามารถใช้บริการเรือพายเพื่อชมวิถีชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่บริเวณรอบๆ ทะเลสาบได้


เราจะนั่งเรือไปชมพระอาทิตย์ตกเค้าจะพาเราไปวนใต้สะพานก่อน


แล้วก็จะพากลับมารอพระอาทิตย์ตก


รอเวลาไปเรื่อยๆ


วันนี้อากาศดีไม่ร้อนมากค่ะ นักท่องเที่ยวก็ยังเยอะเช่นเดิม


ไม่ต้องกลัวเหงาเพราะนักท่องเที่ยวก็ต่างมารอกันตรงนี้หมดเลย เพื่อรอชมพระอาทิตย์ตก


แสงพระอาทิตย์แรงมาก


แต่ละวันก็ขึ้นอยู่ว่าอากาศจะเป็นยังไง แต่วันนี้พระอาทิตย์ดวงกลมใหญ่เลย
หลังพระอาทิตย์ตก บรรยากาศก็โรแมนติกเชียว
ใกล้มืดแล้ว ได้เวลากลับเข้าฝั่ง
DAY3: Mandalay station – Hsipaw station นั่งรถไฟ12ชม.


วันนี้เป็นวันที่ต้องตื่นแต่เช้ามืดกันอีกแล้ว เมื่อวานเราได้แจ้งโรงแรมแล้วว่าเราจะCheck outตอนตี3กว่าๆ พนักงานเลยเตรียมอาหารเช้าใส่กล่องไว้ให้เรา ชะนีไม่ได้แบกกระเป๋าเดินทางไปด้วย เพราะเดี๋ยวเพื่อนพี่ชายจะเป็นคนขับรถจากมัณฑะเลย์ไปสีป้อเอง พวกเราแบกแค่ขอใช้จำเป็นขึ้นรถไฟไปก็พอ



มาถึงสถานนีรถไฟตี3.30น.พอดี โรงแรมอยู่ตรงข้ามเอง สะดวกมาก พอถึงก็ถึงรถไฟเลยเพราะมีชาวต่างชาติหลายคนขึ้นมาจับจองที่นั่งกันหมดแล้ว เรานั่งตามที่นั่ง ที่ระบุไว้บนตั๋วได้เลยค่ะ เก็บตั๋วไว้ดีๆนะอย่าให้หาย เพราะเดี๋ยวจะมีเจ้าหน้าที่มาตรวจตั๋ว



ตี4ปุ๊ป รถไฟออกเลย ตรงเวลามาก อากาศหนาวมากเลย ลมพัดหน้าเย็นๆ เหมาะแก่เวลางีบ นอนเอาแรงซะหน่อยเพราะมันจะมืดอยู่มองไม่เห็นวิวอะไร ตลอดทางหลับบ้างตื่นบ้าง แต่ไม่ได้หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายเพราะงัวเงียมาก ตื่นอีกทีก็8โมงแล้ว


8โมงกว่าๆ เราก็มาถึงสถานี Pyin Oo lwinกันแล้ว


สถานีป้ายClassic มากๆ


สถานีนี้อาจจะต้องจอดนานหน่อย เพราะต้องต่อขบวนรถไฟเนื่องจากชาวต่างชาติมารอขึ้นรถไฟที่สถานีนี้เยอะพอสมควร เราเลยเดินลงไปสำรวจ และเข้าห้องน้ำ


ไปดูขบวนรถไฟกันซะหน่อยดีกว่า


ได้เวลาเดินทางกันต่อแล้ว


9โมงกว่าๆแล้ว อากาศดีมากๆ จะสังเกตได้ว่าเมืองพินอูวิล อยู่บนเนินเขา และอากาศดีมาก ดอกไม้สวย มีแต่สวนดอกไม้ทั้งนั้นเลย


หลบก่อนรถไฟมา


เส้นทางรถไฟ ก็ดูแปลกตาดี เราไม่สามารถรู้ได้ว่าระหว่างทางเราจะเจออะไรมาก ผ่านหมู่บ้าน ผ่านสวน ผ่านป่า ตื่นเต้นไปอีกแปปนะ


ระหว่างทางต้องผ่านหมู่บ้านมากมาย เด็กๆน้องๆ ก็มายืนโบกมือให้บ้าง


ยิ้มให้บ้าง ก็น่ารักไปอีกแบบ


เที่ยงแล้ว ได้เวลาแวะกินข้าว รถไฟจะนอนที่สถานีนี้ซักพักใหญ่ ไม่แน่ใจว่าจะจอดนานแค่ไหน คุณแม่และพี่ชายวิ่งลงไปซื้อข้าวกล่อง ส่วนชะนีน้อย ผัดหมี่ดีกว่า น่ากินดี 500จ๊าดเท่านั้น พอชะนีซื้อ ฝรั่งซื้อตามเต็มเลย คิดซะว่าเอาอิ่มไว้ก่อนแล้วกัน แต่พอกินชอบเลยอร่อยๆ มาร้อนๆด้วย แม่ค้ามาขายถึงที่เลย


ผัดหมี่บนรถไฟ ระหว่างทางไปสีป้อ ถูก และ อร่อย


จะรับส้ม หรือ ข้าวโพดเพิ่มไหมจ๊ะ


หลังจากอิ่มแล้ว รถไฟเริ่มจะเดินทางต่อ ยังไม่หมดแค่นั้น คุณป้าแม่ค้ายังตามมาขายขนมกันต่อบนรถไฟเลยค่ะ ของกินเต็มไปหมด


ของกินแน่นตลอดทาง


เวลาที่เรารอคอยกำลังจะเริ่มต้นขึ้นแล้ว ตื่นเต้นมาก



สะพานGok Tiek ก๊กเต๊ก

เป็นสะพานที่ยาวที่สุด และเก่าแก่ที่สุดในประเทศพม่า ถ้าจะไปเมืองสีป้อต้องผ่านสะพานนี้ก่อน เส้นทางนี้เป็นเส้นทางในฝันของชาวนักท่องเที่ยวหลายๆคนเลยแหละ ชะนีก็คือหนึ่งในนั้นด้วย


ใกล้เข้ามาแล้ว


สะพานยาวจริงๆด้วย


วนไปหาเรื่อยๆ ดอกไม้ริมทางสวย


สะพานอยู่ข้างหน้าเราแล้ว เป็นวินาทีที่ทุกคนต่างตื่นเต้นกันทั้งขบวน หยิบมือถือ และกล้องเตรียมพร้อม


รถไฟจะชะลอความเร็วก่อนขึ้นสะพาน โชคดีว่าวันนี้ยังไม่มีคนรถไฟมาจากฝั่งโน้น เราเลยไม่ต้องจอดรอนาน เพราะบนสะพานจะวิ่งได้แค่เลนส์เดียวคือต้องสลับกันวิ่ง


ความสูงที่มองลงไปจาก หน้าต่างรถไฟ ระมัดระวังกันด้วยนะคะ สูงและหวาดเสียวมาก


วิวจากหน้าต่าง ภูเขาสูงมาก สะพานก็สูงมากเช่นกัน


ให้คุณแม่อัดวีดีโวให้ แม่คงตื่นเต้น กดผิดเป็นถ่ายรูปเฉยเลย


มองลงไปข้างล่างซิ หวิวท้องมาก


หลังจากที่เราผ่านสะพานมาแล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมง เราก็จะเดินทางถึงเมืองสีป้อกันแล้ว


มารถไฟที่พม่า ต้องใจเย็นๆ ชิวๆ Slowlifeไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรีบร้อน เพราะบางทีอยากจะจอดซ่อมก็ซ่อม ก็มันจำเป็น


ถ้าผ่านสะพานข้ามน้ำแบบนี้ แสดงว่าใกล้ถึงเมืองแล้ว


ทุ่งนาที่เขียวขจี


อุดมสมบูรณ์มาก


ได้เวลาน้องๆ เลิกเรียน เดินกลับบ้านกันแล้ว


HSIPAW ถึงแล้ว สีป้อ


กำหนดเวลาที่เราต้องถึงคือประมาณบ่าย3โมง แต่วันนี้เรามาถึงเลทไปเพียง40นาทีเท่านั้นถือว่าเร็วมาก เพราะบางคนเลทไป3-4ชั่วโมงเลยก็ได้ วันนี้เราโชคดีที่รถไฟไม่ได้เสียหนักเท่าไหร่ และก็ไม่ต้องจอดรอที่สะพานนานด้วย


หลังจากPyin Oo Lwin จะไปสุดสถานีที่ Lashio แต่เราไม่มีเวลาเลยมาแค่นี้ก่อน


โบกมือลาเด็กน้อย


ชาวบ้าน หรือพ่อค้าแม่ค้า เลือกที่จะขนสินค้าทางรถไฟ เพราะราคาถูกกว่ารถบัส


และชาวไร่ ชาวสวน บางเจ้าก็แวะนัดรับกันตามทางเลย


ถึงแล้ว เพื่อนพี่ชายขับรถมารอรับพอดีเลย จริงๆแล้วหลังจากที่เราลงรถไฟมา จะมีพนักงานแต่ละโรงแรมมาชูป้ายรอรับนักท่องเที่ยวที่มากับรถไฟเนี่ยแหละ ใครพักที่ไหนก็ลองดูนะคะ


ที่พัก เมืองสีป้อ เราเลือกพักที่ Mr.Charles Hotel จองกับ Agoda ห้องพัก3คน รวมอาหารเช้า 1,850บาท สภาพห้องดีกว่าในรูปมากๆ ดีกว่าที่คิดไว้ซะอีกห้องกว้างด้วย รีบเก็บของแล้วไปกันต่อ เพราะเดี๋ยวเราจะไม่ทันดูพระอาทิตย์ตก


Sunset Hill


จุดชมพระอาทิตย์ตกเป็นจุดชมวิวที่อยู่บนภูเขา จากจุดนี้สามารถมองเห็นวิวเมืองสีป้อได้ทั้งเมือง ออกมาจากเมืองสีป้อไม่ไกลมากนักต้องข้ามสะพานมาหลังจากนั้นจะเห็นป้ายอยู่ขวามือ จากจุดนี้ถ้านักท่องเที่ยวปั่นจักรยานก็จะจอดไว้ตรงนี้และเดินขึ้นเข้ามาใช้เวลาประมาณ15-20นาทีสำหรับการเดินขึ้นเขา แต่ชะนีขับรถขับมาเลย นักท่องเที่ยวบางกลุ่มก็เช่ามอไซค์ขับกัน

จุดแรกที่เราจะเจอ ถึงศาลนัตของที่นี้


ด้านบนจะมี Thein Daung Pagoda อยู่ด้วย แล้วก็จะมีเจ้าถิ่นมาคอยต้อนรับนักท่องเที่ยวอีกแล้ว

มีคนมาขายงานศิลปะให้นักท่องเที่ยวที่ขึ้นมาชมวิวกันด้วย วาดสวยมากๆ


วิวเมืองสีป้อ เมืองไม่ใหญ่มากเท่าไหร่แต่จะเห็นได้ว่าเมืองโอบล้อมไปด้วยภูเขา ถึงเป็นเมืองที่อากาศดีทั้งปีเช่นกัน


สะพานที่เราบอก ว่าถ้าจะมาSunset Hill ต้องข้ามสะพานนี้มาก่อน


พระอาทิตย์กำลังจะตกแล้ว


ลับภูเขาไปแล้ว ต้องรีบขับรถลง เดี๋ยวมองไม่เห็นทาง


DAY4: Hsipaw half day – Pyin Oo Lwin By car



อรุณสวัสดิ์เช้าวันใหม่ อากาศตอนเช้าหนาวมาก และหมอกก็หนามาก พูดทีควันออกปากเลยไม่อยากจะเชื่อว่าพม่าจะหนาวได้ขนาดนี้ ชอบเลย ได้เวลาอำลาโรงแรมที่พักของเรากันเอง พนักงานมาคอยส่งด้วย

ทางโรงแรมเค้ายังมีจัดทัวร์สำหรับสายลุย เดินป่า นอนบนเขาด้วยนะ แต่เราไว้โอกาสหน้าเพราะพ่อแม่มาด้วยจ้า


ไปเดินตลาดเช้า วันนี้คนน้อยๆ ตลาดเงียบ เรียกๆง่ายๆว่าปิด


เพราะเค้าไปวัดทำบุญกันหมด เมืองสีป้อที่น่ามาเที่ยวอีกอย่างนึงคือชาวบ้านที่นี้เป็นไทใหญ่ ส่วนใหญ่จะพูดและฟังภาษาไทยได้ เหมือนคนบ้านเดียวกันอะ คือเค้าดีใจมากถ้ารู้ว่าเราเป้นคนไทย คนที่นี้น่ารักจริงๆ


เปิดอยู่นิดหน่อยเอง


ผลไม้สดๆ


ผักสดๆ ปลูกที่สีป้อนี้แหละ


ส้มลูกใหญ่ๆ นี้ก็ปลูกที่สีป้อเหมือนกัน หวานฉ่ำมาก แถมแม่ค้าก็พูดไทยได้อีกด้วย


เจอแล้วของเด็ด SHAN NOODLE ของโปรดของหม่อมแม่ และพี่ชาย


HSIPAW :


Mahamyatmuni Paya

วัดพระมหามัยมุนี จำลองมาจากเมืองมัณฑะเลย์ วัดนี้เป็นวัดที่ใหญ่ที่สุดของเมืองสีป้อ อยู่ที่ถนน Namtu

วัดก็เงียบๆ ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่


พระมหามัยมุนีองค์จำลอง


กลองลวดลายสวย


Nat Shrine, Sao Pu Sao Nai


เป็นสถานที่ ที่รวมนัต ที่คนที่นี้นับถือบูชามากๆ คนแน่นเลยทีเดียวคนพม่าจะนับถือนัตมาก ...

นัตก็คือ วิญญาณศักดิ์ของผู้ตายโหงนั้นเอง นัตที่ชาวพม่านับถือมี 36ตน พม่าเป็นประเทศที่มีความเชื่อในภูตผีวิญญาและความศรัทธาในพุทธศาสนามาก

แต่ละบ้าน แต่ละคนก็จะนับถือนัต แตกต่างกันไป


นัต ตนนี้


ตนเดียวกับที่อยู่เฝ้าเจดีย์ที่เมืองแปร ที่ชะนีเคยไปมาเมื่อปีที่แล้ว
มีพระองค์นี้ อยู่ศาลาตรงกลาง คนมากราบไหว้แน่นเลย
Little Bagan ,The Wooden Madahya Monastey : Bamboo Buddha Monastery


เลยศาลนัตขึ้นมา ก็จะมีหมู่บ้านที่มีเจดีย์ย่อมๆอยู่ เค้าเลยเรียกกันว่า เมืองพุกามน้อย

ส่วนพระไม้ไผ่จะอยู่ในศาลาตรงนี้


เณร เพิ่งฉันเพลเสร็จ


พระไม้ไผ่จะอยู่ชั้น2


Shan Palace


ที่สุดท้ายและท้ายสุดของเมืองสีป้อ คือที่ๆเราตั้งใจจะมา จริงๆตั้งใจจะมาตั้งแต่เช้าแล้ว แต่ปกติวังจะเปิดช่วงเช้าด้วย แต่ตอนนี้เค้าได้เปลี่ยนเวลาเปิดแล้ว ทำให้ชะนีต้องรอถึงบ่าย3

สิ่งที่ทำให้อยากมาที่นี้เพราะ ตำนานรักของเจ้าชายแห่งรัฐฉานกับสาวชาวออสเตรีย มีโอกาสได้อ่านหนังสือ


" สิ้นแสงฉาน " ที่เขียนโดย อิงเง่ ซาร์เจนท์ หรือสุจันทรีมหาเทวีแห่งสีป่อในอดีต หนังสือที่เต็มไปด้วยความรู้สึกหลายรูปแบบมาก มันทำให้คิดว่ายังไงซักครั้งนึงต้องหาโอกาสไปเยือนเมืองสีป่อให้ได้ ถึงแม้จะต้องนั่งเครื่องจากกรุงเทพ ไปมัณฑะเลย์ แล้วต่อรถไฟอีก12ชั่วโมงก็ตาม



หลังจากผ่านประตูเข้ามา จะเจอสนามเทนนิส

ด้านข้างก็วัง


ได้ฟังเรื่องราวจริงๆจากเจ้าป้าเฟริ์นซึ่งเป็นหลานคอยต้อนรับผู้มาเยือนและคอยเล่าเรื่องราวต่างๆในฟัง ฟังไปน้ำตาคลอจนผลสุดท้ายกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆ


ความรักที่สุจันทรีและเจ้าจาแสงมีให้กันมันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน


เป็นผลสุดท้ายเรื่องราวก็ไม่ได้จบอย่างHappy endingอย่างในละคร


ถึงแม้ว่าวังจะทรุดโทรมไปตามกาลเวลาก็ตาม แต่ความทรงจำที่เกิดขึ้นในที่แห่งนี้ยังคงไม่เลือนลางหายไปไหน


ด้านหลังวัง


ส่วนนี้เป็นหอธรรมสร้างขึ้นเพราะเจ้าจาแสงท่านชอบสวดมนต์และปฏิบัติธรรมมาก


โชคดีที่วังนี้ยังเปืดให้นักท่องเที่ยวได้เข้าชมอยู่


เด็กน้อยนี้น่าจะเป็นลูกคนที่ดูแลวังอยู่


ต้องขอบคุณ คุณเจ้าป้าเฟิร์นมากๆนะคะที่ต้อนรับพวกเราเป็นอย่างดี และอธิบายเล่าเรื่องราวให้เราฟังอย่างละเอียดเลย


ใครอยากจะมาสัมผัสสถานที่จริงๆ ต้องเช็คเวลาดีๆนะคะ แต่ส่วนใหญ่แล้ว จะเปิดให้เข้า 15.00-17.00น. จะมีป้ายแจ้งที่ประตูด้านหน้าวังค่ะจุดชมวิวสุดท้าย ระหว่างทางไป Pyin Oo Lwin มองจากบนนี้ก็คงเห็นเป็นโค้งถนนธรรมดาๆ นั้นแหละ คล้ายๆโค้งปิ้งงูบ้านเรา แต่พอขับรถลงไปเท่านั้นแหละ น่ากลัวกว่าตอนนั่งรถไฟมาอีก กว่าจะผ่านแต่ละโค้งได้ ลุ้นมาก มีแต่รถบรรทุกทั้งนั้น รถส่วนกันไม่ได้ต้องทยอยกันไป ทำให้เราเสียเวลากับการขับรถผ่านภูเขานี้ได้หลายชั่วโมงเลย แนะนำถ้าใครจะไปเมืองอื่นต่อ จากสีป้อ ไปพินอูวิล แนะนำให้ออกก่อนเที่ยงนะคะ เพราะน่าค่อนข้างจะมืดมากๆ


PYIN OO LWIN


กว่าจะถึงก็ทุ่มกว่าๆ หิวข้าวมากๆ รีบไปCheck inที่โรงแรมก่อน คืนนี้เราจะนอนกันที่ Royal Green Hotel จอง Agoda ห้อง3คน ราคารวมอาหารเช้า 1,577บาท ต่อคืน สรุปหนาวมาก ต้องนอนเปิดหน้าต่างเอา เพราะพัดลมก็หนาวก็เกินไป แอร์ให้ห้องนอนก็ไม่จำเป็นต้องใช้เลย เพราะอากาศข้างนอกหนาวกว่าแอร์อีก

มื้อเย็นนี้ ฝากท้องไว้กับร้านอาหารใกล้โรงแรม จริงๆเค้าก็มีรีสอร์ทแต่เต็มแล้ว อาหารอร่อย แนะนำให้หนังสือด้วย แต่ถ่ายรูปมาไม่หมดเพราะหิวมาก


วิวจากเตียงนอน เป็นสวนผักข้างๆเลย บรรยากาศสดชื่นมาก เช้านี้ทานอาหารเช้าที่โรงแรม แล้วก็Check-out


ไปเมืองไหน ก็ไม่พลาดที่จะเดินตลาดเช้า ไปเยี่ยมตลาดเมืองพินอูวิลกันซะหน่อย


ตลาดเค้าใหญ่กว่าที่คิดไว้ แสดงว่าเมืองนี้ต้องใหญ่เหมือนกันนะเนี่ย


ไก่บ้านของพม่า ตัวใหญ่เชียว พี่ชายบอกว่าราคาแพงกว่าไก่ปกติ


ถั่วงอกใหญ่ๆ


กล้วยพม่า กินทีอิ่มยาว


อันนี้อะไรไม่รู้


เมืองนี้ ขึ้นชื่อเรื่องเมืองดอกไม้


คนเมืองนี้ จะหน้าออกไปทางแขกอินเดีย ซะส่วนใหญ่


ถ้าอยู่ไทย นี้จะเหมาผักป้าแกไปผัดให้หมดเลย อยากมาก


พี่ชายเลี้ยงหมากพรู คำแรกในชีวิต และจะจดจำไปอีกนาน นี้ชั้นกลายเป็นชะนีพม่าไปแล้วใช่ไหม


Kandawgyi National Botanical Gardens : สวนพฤกษาศาสตร์แห่งชาติกันดอว์จี


อยู่ห่างจากเมืองพินอูวิล ประมาณ4กิโลเมตร เสียค่าเข้าคนละประมาณ5 Us dollar เปิด8.00-18.00น. สวนที่นี้มีพื้นที่รวมๆแล้วกว่า 1,000ไร่เลยทีเดียว เค้าจะมีรถกอล์ฟให้บริการด้วย

แต่คุณพ่อของนั่งจิบกาแฟชิวๆรอก็แล้วกัน ด้านในจะมีร้านอาหารให้บริการอยู่ด้วย วิวดีเลย


วิวจากโต๊ะอาหาร


เราก็ไปเดินสำรวจสวนกันเหอะ


ที่นี้เป็นเมืองหนาว ทำให้ดอกไม้ที่นี้ปลูกง่าย ดินเค้าอุดมสมบูรณ์ มีดอกไม้นานาชนิด


ฝั่งด้านโน้น มีโซนจัดงานวันวาเลนไทน์พอดีเลย มีถ่ายรูปฟรีด้วย


ถึงจะมีแดด แต่อากาศก็ดีมาก


ไม่น่าเชื่อว่าคนพม่า จะชอบเที่ยวสวนดอกไม้กันเยอะขนาดนี้


เรามีเวลาจำกัดเพราะวันนี้เราต้องเดินทางไปพุกามกันต่อ


สวนด้านนอกก็มีดอกไม้จัดไว้สวยเหมือนกัน


จริงๆเป็นชะนีที่ไม่ค่อยจะอินกับสวนดอกไม้เท่าไหร่ แต่ชอบที่นี้มากๆ


รถม้าเป็น อีกหนึ่งสัญลักษณ์ของเมืองนี้


ดอกไม้สีผสมสวย


ดอกไม้สีชมพูสวยมากๆ คล้ายดอกซากุระเลย แต่ไม่ใช่พันธุ์ญี่ปุ่น


ดอกใหญ่และสีชมพูจัดจ้านมาก


อีกชื่อหนึ่งที่เค้าเรียกกัน เมย์เมียว


All Saints' Church


โบสถ์สีแดงเก่าแก่ของเมืองพินอูวิล สร้างขึ้นเมื่อปี1912

Downtown : Pyin Oo Lwin



Purcell Tower สร้างขึ้นเมื่อปี1936 อยู่แยกไฟแดงกลางเมืองพินอูวิลเลย

เป็นเรื่องปกติของที่นี้ คือจะเห็นรถม้า สัญจรไปมา


ตึกราบ้านช่องก็แปลกตา


เพิ่มความ Classic เพราะรถม้า


อนุเสาวรีย์ ที่สร้างขึ้นมาใหม่นอกเมือง


ระหว่างทางไป เมืองพุกาม ขับรถวนไปวนมา หลงไปหลงมาอยู่นั้นแหละ ไม่ถึงซักที เพราะทางนี้ไม่คุ้นเพราะไม่เคยมา


พิธีการบวชลูกแก้ว


ที่ไทยก็มีนะ ปีนี้จัดที่จ.แม่ฮ่องสอน วันที่1-3 เมษายนนี้นะจ๊ะ


Bagan : เมืองพุกาม


โชคดีว่ามาทันเวลาพอดี พระอาทิตย์ยังไม่ทันตก ก็รีบปีนเจดีย์ไปถ่ายรูปกัน

ถ้ามาเร็วกว่านี้ ชาวบ้านจะต้อนแพะกลับบ้านตรงนี้พอดี


คุณพ่อกำลังหาวิธีเปืดกล้องอยู่แน่ๆ


อากาศยังพอเย็นๆ สบายๆ หมอกเลยหนา จะสังเกตได้ว่าบางเจดีย์ได้รับความเสียดายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปีที่แล้ว


มาพุกาม ทุกฤดูกาล ก็สวยแตกต่างกันไป


พระอาทิตย์ดวงกลมๆ


วันนี้เมฆเยอะๆ แต่โรแมนติกไปอีกแบบ


แสงเริ่มหมดแล้ว


วันนี้พี่วัว มาแทน แพะ


ได้เวลาลับฟ้าแล้ว


ใกล้จะมืดแล้ว นักท่องเที่ยวที่ขับมอไซค์ หรือ จักรยานมาควรรีบกลับก่อนเพราะถามืดแล้วจะลำบากมาก ตามถนนไม่มีไฟ


ใบสุดท้ายก่อนไปทานข้าวเย็น


Dinner : มื้อเย็นวันนี้ ร้านเดิมร้านเดียวในใจ ไม่ต้องคิดเยอะ Queen Restaurant



ตื่นแต่เช้าตี4กว่าๆ ปีนเจดีย์ขึ้นไปรอพระอาทิตย์ขึ้นกัน แต่รอบนี้ เจดีย์ชันสูงสุดเค้าปิดปรับปรุง


ปีนี้พระอาทิตย์ขึ้น ตรงเจดีย์พอดีเลย


ส่วนบอลลูนจะขึ้น หรือไม่ขึ้นอยู่ที่ทิศทางลมด้วย ถ้าวันไหนลมไม่แรง บอลลูนก็อาจจะไม่มีนะ


บอลลูนมาแล้ว


บอลลูนเต็มไปหมดเลย ถ้าใครจะขึ้นแนะนำให้จองล่วงหน้าหลายๆเดือนหน่อย เพราะค่าใช้จ่ายแพงไม่ว่า คิวจองแน่นมาก


แสงมาแล้ว ชอบที่สุด พุกามเป็นเมืองที่ทำให้ชะนีใจเต้นเร็วทุกครั้ง


ช่วงเดือนกุมภาปีนี้ ยังหนาวสู้ปีที่แล้วไม่ได้ แต่หมอกหนากว่าปีที่แล้วเยอะ ทำให้เข้ากับบรรยากาศสุดๆ


กลับโรงแรมไปอาบน้ำ ทานข้าวเช้า และเชคเอาท์เข้าย่างกุ้งกันต่อYANGON : ย่างกุ้ง



ทริปในย่างกุ้ง และสิเรียม ก็เป็นทริปคล้ายๆกับที่ใครๆไปกัน แต่เราเพิ่งมีโอกาสไปเที่ยวในทะเลสาบกันดอร์จี เพราะเห็นใครๆก็ไปถ่ายรูปกันที่นี้คือที่ไหน เลยถามพี่ชาย สรุปนางก็พาไปจ๊ะ แต่ต้องบอกก่อนเลยว่าถ้าใครจะอยู่ถึงมืดเตรียมยากันยุงไปด้วย เพราะยุงเยอะมากจริงๆ

พระอาทิตย์จะตกแล้ว วิ่งไปถ่ายไม่ทัน


วิวดีจริงๆ มองจากต้องนี้เห็นเลยว่าพระธาตุชเวดากองอยู่บนเนินเขาสูงมากปกติขึ้นไปยังไม่รู้สึกว่าสูงขนาดนี้นะ


พอพระอาทิตย์ตกได้ซักพัก เค้าก็จะเริ่มเปิดไฟแล้ว ยิ่งเปิดไฟยิ่งสวยกว่าเดิม


ไฟส่อง สีเหลืองทองมาก


วันสุดท้ายก็ไหว้พระในเมืองย่างกุ้งตามปกติ แล้วก็แวะไปกินข้าวหมกไก่ในตำนาน อร่อยมาก


สไตล์คคนพม่าแท้ๆ ร้านอยู่ไม่ไกลจากพระนอนมากอันนี้ข้าวหมกแพะ


ข้าวหมกไก่


ก่อนถึงสนามบิน แวะไปให้อ้อยกับช้างเผือก


จบแล้วว.. กระทู้นี้ข้อมูลอาจจะไม่ได้แน่นเหมือนกระทู้ก่อนๆ เพราะชะนีเขียนเรื่องพม่าเยอะมากและไม่อยากเขียนเรื่องที่เขียนไปแล้ว ก็เลยจะขอลงลึกกับสถานที่ใหม่ก็แล้วกันนะคะ ขอบคุณทุกๆคนที่ติดตามกันมาจนจบนะ รอบหน้าถ้ามีโอกาสไว้จะพาไปเที่ยวทะเลพม่ากันบ้างดีกว่าเนอะ



ติดตามกันได้ทาง IG: @sanungningdiary

Facebook Fanpage (ชะนีน้อยตะลอนทัวร์) : https://www.facebook.com/sanungningdiaryหลายๆชอบมาถาม เรื่องรถเช่า ราคาทัวร์ ปกติชะนีไปทริปพม่า ยาวๆ หลายวันใครเป็นคนดูแลเทคแคร์ จริงๆพม่าก็มีหลายบริษัทให้เลือกมากมายแต่ในเมื่อเราเจอคนที่โอเค ดูแลเราอย่างดี บางทีไปถ่ายรูปแต่ละที่ต้องใช้เวลานาน เราจำเป็นต้องไปกับคนที่เข้าใจเราจริงๆด้วย ราคาแต่ละที่คงไม่ต่างกันมากเท่าไหร่หรอก แต่บอกก่อนว่า เที่ยวบ่อยจนสนิทเหมือนพี่น้องแล้ว คุณพี่เนลิน Nay Linn พี่ชายชาวพม่าของหนุงหนิงนั้นแหละ แต่ส่วนใหญ่คนที่ไปดูแลตลอดทริปก็คือ น้องชายคนเล็กของเนลินอีกที คือ Soe Thein โสเต หรือคนไทยรู้จักว่า SU TE




หลายๆคนจะสงสัยกันว่าทำไมเวลาคุยงาน คุยกับเนลิน แล้วเวลามาดูแลเทคแคร์กับเป็นคนอื่น ต้องบอกก่อนว่าเนลินเป็นเจ้าของบริษัทวันๆนึง มีเป็น10กลุ่ม เนลินจะดูแลทุกกลุ่มเลยคงจะไม่ทันนะคะ เนลินก็จำเป็นต้องส่งไม่น้องชาย ก็หลานชายมาดูแลแขกทุกๆท่าน โปรดเข้าใจในกรณีแบบนี้ด้วยนะคะ


การันตี ว่าทุกคนจะเที่ยวพม่าอย่างมีความสุข และไม่ผิดหวังแน่นอนค่ะ ฝากพี่ชายเค้าด้วยนะคะ


ไว้เจอกับพวกเราพ่อแม่ลูกใหม่ ในทริปหน้านะคะ

ชะนีน้อยตะลอนทัวร์

 วันพุธที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2560 เวลา 23.45 น.

ความคิดเห็น