สวัสดีทุกคน ทริปนี้เป็นทริปที่สบายสุด เพราะช่วงนี้เที่ยวติดๆกันมาก นี้ก็เพิ่งกลับมาจากพม่าได้สองวันเอง ทริปฮานอยรอบนี้เลยตั้งใจว่าจะเน้นนั่งกินบรรยากาศเอาแล้วกัน ไม่เที่ยวนอกเมือง ไม่ไปเมืองอีก จริงๆแล้ว ฮานอยที่จุดเริ่มต้นที่จะไปเที่ยวได้อีกหลายที่เลยอย่างเช่น ฮาลองเบย์ ฮาลองบก หรือซาปานั้นเอง แต่เราเคยไปมาแล้ว ทริปนี้เลยขออยู่แต่ในเมืองอย่างเดียวก็แล้วกัน ทริปนี้ตะลอนทัวร์กันสามคนเหมือนเดิม พ่อ แม่ ลูก



รอบนี้เป็นทริปที่ถือว่าใช้เงินค่อนข้างน้อยมาก กินอิ่ม นอนสบาย

ราคาตั๋วเครื่องบินสายการบินนกแอร์ 9,204บาท

ราคาโรงแรม ห้องครอบครัว3คน จองAgoda 5,961บาท ราคาสำหรับ3คืนรวมอาหารเช้าแล้ว

แลกเงินไป 10,000บาท ใช้ไป 6,825บาท

ค่ารถแท็กซี่ค่ากลับ 15ดอลลาร์ ประมาณ540บาท

รวมทั้งสิ้น 22,530บาท หารสามคน ตกคนละ 7,510บาท

ราคานี้คือรวมทุกอย่างสำหรับทริปนี้แล้ว



DAY 1 วันอาทิตย์มีถนนคนเดิน

เดินทางด้วยสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD3202 06.20จาก ดอนเมือง สู่ ฮานอย หลังจากเช็คอินผ่านตม.แล้ว เรายังเหลือเวลากันพอสมควร คนยังน้อยอยู่เลย ไปนั่งชิวที่Starbuckหน่อยดีกว่าเพราะปกติคนจะแน่นมาก

หลังจากนั้นก็เดินมาที่เกท 23 รอเวลาเรียกขึ้นเครื่องพร้อมเดินทาง

ใช้เวลาประมาณ 1ชั่วโมงกับอีก20นาที เราก็เดินทางถึงสนามบิน Noibai International Airport (โหน่ยบ่าย) จากเกทเดินมาที่ตม.ค่อนข้างไกลเหมือนกัน สนามบินดูโล่งๆคนไม่เยอะมาก ที่เวียดนามเราแค่ยื่นพาสปอดได้เลยไม่ต้องเสียเวลากรอกเอกสาร หลังจากรับกระเป๋าเสร็จแล้วก็เดินไปแลกตัง เราตัดสินใจเอาเงินไทยแลก เพราะขึ้เกียจเอาดอลลาร์แลกขาดทุนหลายรอบ (อันนี้แค่ความคิดส่วนตัวของเค้าเองนะ) เอาเงินไทยแลก 10,000บาท ได้เงินดองกลับมา 6,076,000ดอง

หลังจากนั้นก็ซื้อซิมโทรศัพท์ตรงนั้นเลย ของVinaphone เน็ต8กิ๊ก แล้วมีค่าโทรแถมอีกในราคา 300,000ดอง ประมาณ 450กว่าบาท เราเลยซื้อแค่ซิมเดียวแล้วค่อยแชร์กันเอา

พอสอบถามเรื่องรถแท็กซี่กับบริษัทเค้ามีเรทเดียวคือ 25usd แม่บอกแพงเราเลยไม่ไป พอเดินไปซักพักก็มีคนเดินมาถามไปไหม 18Usd แต่เราก็คิดว่าแพงอยู่ดี เดินหันมาทางขวาอ่าว ร้านขายซิมเต็มเลยทีมองไม่เห็น แนะนำนะคะ หลังจากรับกระเป๋าเสร็จจะหาซื้อซิมหรือแลกตัง ให้หันดูทางขวาก่อนจะมีเคาท์เตอร์อยู่หลายบริษัทให้เลือกเพียบ

สรุปเราเลยตัดสินใจเดินไปขึ้นแท๊กซี่ที่จุดจอดรถกัน เราเลยบอกคนขับก่อนว่า กดมิตเตอร์นะไม่เหมา เค้าก็โอเคๆ ยกกระเป๋าขึ้นรถให้

ประมาณ45นาทีก็ถึงในเมือง วันนี้วันอาทิตย์ในเมืองมีปิดถนนบางเส้น ทำให้เราต้องขับรถอ้อมกันนิดหน่อย



ถึงด้านหน้าโรงแรมเราแล้ว ถ้าเข้าเล็กมากๆ

แต่ข้างในใหญ่อยู่ค่ะ พนักงานมารอรับ แล้วเราก็ทำการเชคอินห้องพัก เค้าก็มีน้ำแตงโมเย็นๆ และผลไม้มาเสิร์ฟให้ค่ะ

หลังจากนั้นพนักงานก็จะมาแนะนำ โปรแกรมทัวร์ แต่เราตั้งใจจะไม่ไปเที่ยวไหนอยู่แล้วเลยปฎิเสธเค้าไป ใครสนใจทัวร์สามารถจองกับโรงแรมได้เลยนะคะ ส่วนใหญ่ทุกโรงแรมก็จะเหมือนๆกันหมด ตอนนั้นเพิ่งจะสิบโมงเองแต่พนักงานก็ให้เราเข้าห้องพักได้เลย ดีงามมาก

หลังจากเก็บของเสร็จเราก็ไปหาอะไรกินแถวโรงแรม ใกล้ๆมีร้านเฝอไก่อยู่เลยกินเลย มื้อแรกที่ฮานอย เฝอไก่น้ำซุปร้อนๆ กับปาท่องโก๋

แม่ชอบมาก นางสั่งมาเบิ้ลอีกชาม สองพ่อลูกนั่งรอไปค่ะ

อิ่มแล้วเดินย่อยแถวละแวะโรงแรมซักหน่อย

แม่ยังคงไม่อิ่ม ขอชิมขนมปังร้านข้างๆโรงแรมอีก

แล้วเราก็กลับโรงแรมงีบกันซะหน่อย เพราะเมื่อเช้าตื่นเช้ามาก



ตื่นอีกทีก็เย็นแล้ว ไปเดินเล่นกัน วันนี้วันอาทิตย์โบสถ์เปิด มีโอกาสได้เข้าไปชมด้านใน โรงแรมที่เราพักอยู่ใกล้ๆโบสถ์ โบสถ์เซนต์โจเซฟ (St Joseph Cathedral)แต่อยู่คนละซอยกัน

ใครจะมาเดินเล่น ช็อปปิ้ง หรือสายปาร์ตี้ จิบเบียร์ชิวๆ แนะนำให้มาเสาร์ อาทิตย์นะคะ เค้าจะมีถนนคนเดินคล้ายๆถนนข้าวสารบ้านเราคนแน่นมาก ฝรั่งทั้งนั้น อากาศตอนค่ำๆก็แอบมีลมเย็นๆ



ช็อป Misino ที่ฮานอยก็มีนะ ที่ไทยมาเปิดสาขาใหญ่ที่เมกา บางนาคนแน่นมาก ของเยอะมากด้วย

เดินเล่นไปเรื่อยๆ

เดินไปเดินมา ขอกินร้านนี้แล้วกัน คล้ายๆร้านอาหารตามสั่งบ้านเรา มื้อนี้หมดไป475,000ดอง ประมาณ 712บาท

ขากลับเดินล้อมทะเลสาบชมวิวซักหน่อย เห็นเค้าเข้าคิวซื้อไอติมกันยาวเลย ไปลองตามเค้าละกัน อร่อยดีไม่แพงด้วย

ชมวิวแล้วกลับโรงแรมนอนกันเหอะ

Day2 วันจันทร์ พิพิธภัณฑ์ส่วนใหญ่จะปิดวันจันทร์ (แนะนำให้ซื้อทัวร์เที่ยวนอกเมืองนะ ฮาลองเบ , ฮาลองบก )



ทานข้าวเช้าที่โรงแรม จะมีเมนูให้เราเลือก แต่อาหารเช้าค่อนข้างจะโอเค ชอบขนมปังมาก ,club sandwich อร่อยเลย ยังคงเพลียๆกันอยู่

ขึ้นไปงีบต่อตื่นมาตอนเที่ยง ออกไปตะลอนกันดีกว่า

จากโรงแรม เราก็เดินไปกันที่ วัดเนินหยกหรือเค้าเรียกกันว่า วัดหงอกเซิน ที่มีสะพานแดงๆ สะพานแสงอาทิตย์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของเมืองฮานอย ที่มาเยือนฮานอยแล้วต้องมา

เป็นวัดที่ไม่ใหญ่มากเท่าไหร่ ก่อนจะเดินข้ามสะพานมา ต้องเสียค่าเข้า คนละ30,000ดอง หลังจากนั้นก็เดินข้ามสะพานมาบริเวณหน้าวัดจะมีเจ้าหน้าที่ยืนตรวจตั๋วอยู่ วัดมีวิหารพียงชั้นเดียว วัดบนเกาะเล็กๆ ในทะเลสาบ จึงมีมุมสวยๆ ที่ประดับประดาด้วยไม้ดัด รูปทรงงดงาม ให้เลือกนั่งพักผ่อนชื่นชมกับความงดงามของทะเลสาบที่อยู่รอบๆลมพัดอากาศค่อนข้างดี

ตุณพ่อ และ คุณแม่ นั่งพักผ่อนที่ศาลาซักหน่อย

วิวจากด้านหน้าวัดอีกฝั่งนึงจะเป็นวิวนี้ค่ะ

วิวด้านหลัง ห้องน้ำจะอยู่ฝั่งนี้เลย

เสร็จจากวัดเราก็ข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามจะมีร้านหมวกอยู่ แวะซื้อหมวก4ใบ100บาท และก็หมวกเวียดนาม 3ใบ100 บาท

เดินไปซักพักก็เจอ ที่บริการนักท่องเที่ยว มีบริการพาเที่ยวฟรีด้วย ใช้เวลาเดิน1ชั่วโมงครึ่ง แต่เราไปดูโบชัวร์เฉยๆ

หลังจากนั้นเราก็เดินเล่นไปกันไปเรื่อยๆ จนเริ่มหิวก็เลย

อีกสิ่งนึงที่ไม่ว่าไปไหนก็เจอ มีมันทุกซอย คือบริษัททัวร์ ใครจะไปฮานอยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีบริษัทให้จองทริปเลยค่ะมีล้นจนเลือกไม่ถูก

ร้านตัดผมสไตล์เวียดนามแท้ ไม่ต้องมีอะไรมาก ข้างถนนชิวๆไปเลย คลาสสิคสุด

ร้านน้ำชาสไตล์นี้ก็มีทั่วบ้านทั่วเมืองเช่นกัน

แวะทานข้าวเที่ยงกัน สั่งข้าวมันไก่ เฝอ และปอเปี๊ยะทอด ร้านนี้ ปอเปี๊ยะกรอบและบางมาก อร่อยเลย

ถนนเส้นนี้ก็ขายผ้าพันคอทั้งซอยเลย ที่เวียดนามขายของเหมือนกันทั้งซอยเลย ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า ,หมวก,ของที่ระลึก คือซอยไหนขายอะไรก็จะขายเหมือนกันทั้งซอยเลย

จักรยานคันนี้น่ารัก

อิ่มเราก็ไปนั่งกินขนมกัน มีBurger King , Popeye, Dunkin Donut ต่อเพราะร้านนี้มีระเบียงด้านนอกในชมวิว วงเวียนกลางเมืองได้เลย นั่งอยู่หลายชั่วโมง ถนนรถก็แน่นขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีไฟแดง อยากขับยังไงก็ขับ แต่ไม่ชนกันด้วย เก่งจริงๆ

สังเกตพ่อค้าขายลูกโป่ง ขายมันกลางแยกเลย ไม่มีการหลบรถนะคะ หลบต้องรถเอาเอง

ใกล้มืดแล้ว ไฟเริ่มเปิดแล้ว วุ่นวายหนักกว่าเดิมอีก รถเยอะมาก

รถเริ่มติดแล้ว เวลาคนเลิกงานกลับบ้าน

มืดแล้ว เราก็ลงไปเดินริมทะเลสาบกันซักหน่อย

Day 3



ทานอาหารเช้าที่โรงแรมเสร็จ เราก็เปิดแผนที่เดินไปวัดกันเปิดแผนที่จากโรงแรมไปเดินประมาณ1กิโล

เดินเข้าทางลัด ผ่านหมู่บ้าน คนมองเต็มเลย ชาวบ้านคง งง ว่ามาได้ไง

ซาลอนข้างๆวัด Classicตามเคย

ก็เดินไปเรื่อยๆ ก็ถึง Temple of Literature วิหารวรรณกรรมวันเหมียว เสียค่าเข้าคนละ30,000ดอง ทัวร์ลงคนแน่นแต่วัดกว้างอยู่ วัดเรียบง่าย แถมที่นี้ยังเป็นวิทยาลัยแห่งแรกของเมืองฮานอย

สมัยก่อนเป็นวัดและเป็นแหล่งศึกษาวิชาชั้นสูงของบรรดาโอรสของกษัตริย์ และขุนนาง เพื่อที่จะนำความรู้ที่ร่ำเรียนมาใช้ในการปกครองประเทศ ต่อมาได้ขยายขอบเขตมาถึงบุตรของข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ เมื่อเรียนจบและสอบผ่านก็จะได้รับการสลักพระนาม และสลักชื่อบนแผ่นศิลาที่อยู่บนหลังเต่า ซึ่งเชื่อว่าเป็นสัตว์ที่ฉลาดฉลียวและมีอายุยืนยาว

เข้าไปบริเวณชั้นในกันดีกว่า

ด้านในชั้นสุดท้าย ค่อนข้างกว้าง และโล่ง

ด้านในเหมือนพิพิธภัณฑ์ของโบราณขนาดย่อยๆ สามารถเดินบันไดขึ้นไปชั้นสองได้นะคะ

ส่วนด้านข้างก็จะเป็นหอกลอง

หลังจากนั้นนั่งแท็กซี่ไปสุสานโฮจิมินท์ ระหว่างทางนั่งรถไปก็ผ่าน หอธงหรือป้อมปราการเมืองฮานอย หอธงนี้เป็นสิ่งก่อสร้างเพียงอย่างเดียวที่ยังหลงเหลืออยู่หลังสงครามเวียดนาม

ไม่นานมากเราก็มาถึง รถสามารถจอดได้แต่ถนนข้างนอกเราต้องเดินไปเอง

จุดที่เราลงรถ จะเห็นตึกสีเหลืองๆสวยงามมาก และมีธงชาติประเทศเวียดนามและกัมพูชาอยู่ ตอนแรกนึกว่าเป็นสถานฑูตสรุป เป็นทำเนียบเหลือง (Presidential Palace) : ซึ่งเคยเป็นที่ทำงานของคนมีอำนาจสูงสุดอินโดจีน ทำเนียบประธานาธิบดีเป็นอาคารทรงโคโลเนียลสีเหลือง ที่ฝรั่งเศสสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1901 ปัจจุบันเป็นที่รับแขกเมืองของเวียดนาม รอบๆ ทำเนียบมีสวนดอกไม้และสระน้ำ

เราก็เดินจากถนนเข้าไปหน้าบริเวณสุสานโฮจิมินท์แต่ไม่ได้เข้าไปบริเวณด้านในส่วนใครที่อยากจะเข้าไปด้านในกรุณาแต่งกายให้สุภาพด้วยนะ

เดินไปต่ออีกนิด ก็จะเป็น วิหารเสาเดียว (One Pillar Pagoda) : ชาวเวียดนามเขาเรียกที่นี่ว่า “จั่วโมดโกด” สร้างเป็นศาลาเก๋งจีนหลังเดียวขนาดเล็กตั้งอยู่บนเสาต้นเดียว อยู่กลางสระบัวรูปสี่เหลี่ยม วัดรูปทรงดอกบัว วัดแห่งนี้ ถูกสร้างขึ้นเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาให้แก่ เจ้าแม่กวนอิม (

เข้าชมฟรี)

แล้วเราก็นั่งแท็กซี่ไปต่อ ที่ทะเลสาบฝั่งตะวันตก

เพื่อไปเจดีย์รังก๊อก ( Tran Quoc Pagoda ) ทะเลสาบฝั่งตะวันตก โดยรอบเป็นย่านเมืองใหม่ที่ได้ชื่อว่า เบฟเวอรี่ฮิลล์ของฮานอย กระนั้นโยรอบทะเลสาย ก็ยังเป็นที่ประดิษฐานของเจดีย์ทาง พระพุทธศาสนาหลายหลัง โดยเฉพาะเจดีย์ตรังก๊อก ที่เก่าแก่ที่สุดในเวียดนาม สร้างขึ้นในศตวรรษ ที่ 6 โดนกษัตริย์ Ly Nam De ครั้งเมื่อมีการสร้างเมืองขึ้นใหม่ โดดเด่นด้วยเจดีย์ทรงสูง และยังมีต้นศรีมหาโพธิ์ ที่เป็นของขวัญจากอินเดียปลูกไว้ด้วย แต่วัดเปิดปิดเป็นเวลา มีปิดพักช่วงเที่ยง แล้วเปิดอีกทีบ่าย2ครึ่ง เราไปบ่ายสองขี้เกียจรอเลยได้ถ่ายแต่บริเวณด้านหน้าเท่านั้น

อยู่ใกล้ๆกับโรงแรม Pan Pacific

แล้วก็นั่งแท็กซี่กลับโรงแรม กินเฝอไก่ข้างโรงแรมร้านเดิม แล้วก็ขึ้นไปนอนงีบ ตื่นอีกทีเย็นๆ ก็ออกไปเดินเล่น แล้วก็หาอะไรทานแถวนั้น มีข้าวแกงเวียดนามด้วย

แล้วใกล้ถึงโรงแรมเราก็เดินผ่านร้าน ข้าวเกียบปากหม้อ คือ เค้าเรียก บั่นก่วน ก็เลยลองซักหน่อย

ก่อนเข้าโรงแรมก็เลยไปเดินย่อยซักหน่อย

อยากจะแนะนำร้านนี้ ร้านนี้ติดท็อปในลิสต์ของร้านแนะนำของฮานอยด้วย รอบที่แล้วมาฮานอยก็เคยได้ลองแล้ว อร่อยอยู่ราคาไม่แพง

ส่วนวันนี้คนก็แน่นร้านมาก ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติ

วันนี้โบสถ์จัดไฟคริสมาสใกล้เสร็จแล้ว คนเยอะกว่าปกติ

DAY4 วันสุดท้ายแล้ว



หลังจากเชคเอาท์ตอนเที่ยง เราก็ลงมาจากกระเป๋าที่เคาท์เตอร์ และเดินไปซื้อขนมที่ซุปเปอรใหญ่อยู่บริเวณริมทะเลสาบ

Intimex Supermarket ชาพีชชงน้ำเย็น บอกเลยหอมและอร่อยมาก แม่ตามหามาหลายวัน สรุปมาได้ที่นี้ แม่เหมาไปเลย10กล่อง คุณพ่อก็ขาดไม่ได้ กาแฟG7 ส่วนหนุงหนิงก็ขนแต่ช็อกโกแลตและขนม

ข้ามถนนมาก็จะเจอโรงหุ่นกระบอกน้ำ

แล้วก็ไปนั่งพักดูวิวริมทะเลสาบ แม่เพิ่งจะมาทักว่ามาหลายวันเพิ่งจะเห็นเห็นเจดีย์โบราณโผล่ขึ้นพ้นน้ำ สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 18 มีชื่อเรียกว่า ทาพรัว ซึ่งหมายถึง หอคอยเต่าและในปัจจุบันยังมีหลายคนบอกว่าเห็นเต่าขนาดใหญ่อยู่ในทะเลสาบคืนดาบแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเปลี่ยนฤดูกาล น้ำในทะเลสาบคืนดาบ (ฮว่านเกี๋ยม) โดยปกติจะเป็นสีเขียว จึงได้อีกชื่อหนึ่งว่า "ทะเลสาบลึกถวี๋" หรือ "ทะเลสาบน้ำเขียวทะเลสาบฮว่านเกี๋ยม

เจดีย์หนูเห็นตั้งแต่วันแรกที่มาแล้วนะแม่ อยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้วเนี่ย หันไปมองหน้าแม่แบบงงๆ

เห็นวัดเนินหยกอยู่ไกลๆ

คนเวียดนามชอบมานั่งเล่น ออกกำลังกาย พบปะเพื่อนฝูงกันรอบๆทะเลสาบนี้แหละเพราะบรรยากาศดี

ร้านอาหารที่คนแน่นมาก เห็นวิวทะเลสาบ

หลังจากนั้นก็เอาของไปเก็บที่โรงแรม แล้วก็เดินไปกินขนมที่ร้าน Joma Bakery

ถ้าใครเคยไปเที่ยวที่ลาวคงจะคุ้ยเคยกับร้านนี้ดี เป็นร้านขนมชื่อดังในลาว ดูข้างหน้าเหมือนจะเล็กๆ แต่พอเข้าไปร้านลึกไปถึงด้านใน มีโซนนั่งด้านในอีกเยอะเลย นั่งอยู่เกือบสองชั่วโมง

แม่บอกว่าเดินผ่านร้านเฝอมาร้านวันและ มื้อนี้ขอกินหน่อย บอกเลยว่าเวียดนามแค่4วัน มื้อหลักๆส่วนใหญ่ก็เฝอเนี่ยแหละค่ะ แต่ที่พิเศษคือ เฝอ10 ร้านนี้เมนูมีแต่เนื้อวัวอย่างเดียวนะคะ ถ้าใครไม่ทางเนื้อวัวก็ข้ามไปเนอะ ถ้าใครทานเนื้อ แนะนำให้ไปลองทานค่ะ น้ำซุปหอมมากๆ เนื้อวัวชิ้นใหญ่ๆ อร่อยโครต

มาแล้วๆ หอมมาก น้ำซุปเลิศ เค้ามีน้ำจิ้มให้ใส่ แนะนำใส่ทีละนิดก่อนมันเผ็ดมาก บีบมะนาวอีกนิด จัดไป

ร้านเฝอ10 และJoma อยู่ซอยเดียวกับโบสถ์ ซอยนี้จะมีร้านอาหาร และร้านกาแฟค่อนข้างจะเยอะบอกเลยใครพักแถวนี้หาของกินได้สบาย

ร้านขายโจ๊ก ชิวชิว ข้างถนน น่าจะอร่อยนะเนี่ย แต่ไม่ไหวแล้ว ท้องจิแตก

ก่อนถึงโบสถ์ร้านนี้เหมือนขายของทอด คือน่ากินมาก คนเวียดนามต่อคิวกันเยอะมากแต่ท้องไม่มีที่จะใส่แล้วค่ะ อดไปเลย

ตรงโบสถ์ก็มีร้านขายBingsuร้านดัง ตอนเย็นๆวัยรุ่นแน่นร้าน

นักท่องเที่ยวนิยมนั่งสามล้อเที่ยวรอบๆเมือง

ละแวกโบสถ์อีกซอยก็มีร้านขนม ร้านอาหาร และร้านสำหรับช็อปปิ้งมากมาย

อีกซักรูป แสงสวยชอบ

คุณยายนี้ขยันมาก มาขายของทุกวัน ตรงนี้ที่เดิม

ราคาทัวร์คร่าวๆ มีหลายระดับ แบบถูกสุด แบบปานกลาง แล้วแบบLuxury แนะนำแบบกลางโอเคสุดไม่แย่มาก

ทานเสร็จแล้วก็กลับโรงแรม

ทางโรงแรมติดต่อรถให้ ในราคา15USD ตอนแรกบอกเป็นรถเก๋ง แต่พอมารับดันเป็นฟอร์จูนเจอร์เลยค่ะ มากัน3คนนั่งสบายเลย

............................................................................



ขอบคุณทุกคนที่ติดตามชะนีน้อยตะลอนทัวร์มาโดยตลอดนะคะ

ทริปฮานอยรอบนี้ เราไปแบบชิวๆ ถือว่าไปพักผ่อนเต็มที่เลยค่ะ เมืองฮานอย ดูวุ่นวายน้อยกว่าโฮจิมินท์แต่เมืองนี้ คนพื้นที่จะพูดอังกฤษได้น้อยกว่านะคะ แต่บริษัททัวร์เยอะมาก เที่ยวเมืองนี้ไม่ต้องระวังตัวมากเพราะผู้คนน่ารัก แต่แนะนำว่าอยากจะดูของหรือซื้อของให้คิดให้แน่ใจก่อน เพราะถ้าเรียกหรือถามเค้า แล้วไม่ซื้อ นางจะบ่นยาวมากๆ 555



ทริปนี้เดินทางเที่ยวในเมืองโดยการเดินซะส่วนใหญ่ แต่ก็มีใช้บริการแท๊กซี่บ้าง เมืองนี้ค่าเดินทางไม่แพงค่ะแถมแอร์เย็นอีก รถแท๊กซี่จะมีหลายขนาด เล็ก กลาง ใหญ่ มิตเตอร์จะไม่เท่ากันนะคะ คันใหญ่สุดจะแพงกว่าเท่าตัวเลย



สำหรับใครที่มีแพลนจะไปเที่ยวฮานอย ก็ขอให้สนุกนะคะทุกคน ถ้าใครไม่มีเวลาแค่อยากเที่ยวฮานอยเฉพาะในตัวเมือง3วัน2คืนไปเลยชิวๆ



สุดท้ายขอฝากเพจเค้าไว้ในอ้อมใจด้วยนะคะติดตามกันได้ตลอดใครมีอะไรสอบถามเพิ่มเติมได้ทางInboxเลยนะ

Fanpage: https://www.facebook.com/sanungningdiary/

IG: @sanungningdiary

ชะนีน้อยตะลอนทัวร์

 วันอาทิตย์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 20.27 น.

ความคิดเห็น