อุปกรณ์ : Sony A7Rii, 16-35 F4, 70-200 F4
โปรเซส: Capture one Pro (for Sony)
ขอบคุณ : ผู้ร่วมทริปทุกท่าน, ทริปบัตดี้ที่น่ารักมาก (พี่โภชหนุ่มแดนใต้), พี่จั๊ม และพี่ตั๋ว (TripChillChill)
![](/f/14037/5a291d44e821d86fdd42e8ac.jpg)
หากจะมีใครถามว่าไปทำไรที่อินโด
ไปทำไม ไม่รู้สินะ ไปเหนื่อยขึ้นเขา ไปอดนอน ไปเดินทางไกล ไปฝากใจที่อินโดนีเซีย (ก็แค่ชิลชิล..) หรือเปล่า
10.05.2017 (แสงสุดท้ายของบาหลี “Tanah Lot”)
ตื่นนอนขึ้นมากลางดึก ผิดปกติจากทุกๆ วัน อาบน้ำแต่งตัวลากกระเป๋า เรียกแท็กซี่ ราวตีสี่ถึงสนามบินดอนเมือง รายงานตัว เมื่อคณะเดินทางพร้อม และผ่านระเบียบปฏิบัติต่างๆ ที่สนามบินเรียบร้อย เครื่องบินพาพวกเราออกจากเมืองไทยเวลา 06.15 มุ่งตรงสู่บาหลีอินโดนีเซีย
![](/f/14037/5a291d3ce821d86fdd42e8a6.jpg)
ณ บาหลีอินโดนีเซีย เวลา 11.30 น. ตามเวลาท้องถิ่น (เวลาเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง) ผ่านระเบียบการเดินทางเข้าเมืองเรียบร้อย รถตู้สองคันพาพวกเราเดินทางทันที ระหว่างทางพวกเราแวะรับประทานอาหารเที่ยง ราวบ่ายสี่โมงพวกเรามาถึง Tanah Lot วัดที่ตั้งอยู่บนหินที่ยื่นออกไปในทะเล (จุดแรกของการมาเยือนบาหลี) พวกเราพากันเดินทอดน่องให้น้ำทะเลสาดใส่รองเท้า ตั้งกล้องรอแสงเย็น (ขอบคุณพี่ตั๋วสำหรับ ND หรือโดนป้ายยาก็ไม่รู้ 555) หยิบหมีโซ (Mirrorless ตัวน้อย)+ เลนส์ 16-35 F4 ออกมาบันทึกภาพทะเลยามเย็น (แอบเสียดายบางมุมน่าใช้เลนส์เทเล) จบทริปวันแรกด้วยการเดินทางเข้าที่พักติดกับทะเลสาบบราตั้น
![](/f/14037/5a291d3ae821d86fdd42e8a3.jpg)
11.05.2017 (บาหลีแลนด์มาร์ก “Bratan Temple”)
![](/f/14037/5a291d39e821d86fdd42e8a2.jpg)
ณ เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย อากาศยามเช้าหนาวเย็น กล้องและอุปกรณ์พร้อม สองเท้าก้าวเดินฝ่าความมืดมีแสงจันทร์ และแสงจากไฟฉายนำทาง ราว 10 นาที พวกเราก็มาถึงบริเวณวัดบราตั้น (Pura Ulun Duna Bratan) แลนด์มาร์กที่มักจะเห็นกันบ่อยๆ ของเกาะบาหลี คือศาลาทรงสูงกลางทะเลสาบ พวกเราต่างคนต่างเดินหามุมของตัวเองจัดเตรียมอุปกรณ์ ผมเองเดินดูทิศทางต่างๆ เช็คมุมพระอาทิตย์ขึ้น ลองกดภาพเช็คมุมไปด้วย ใช้ทั้งหมีโซ (Mirrorless ตัวน้อย)+ เลนส์ 16-35 F4 และ iphone
![](/f/14037/5a291d3ae821d86fdd42e8a4.jpg)
เช้ามืดแบบนี้จากบริเวณวัดกับตัวศาลาที่ตั้งอยู่กลางทะเลสาบ น้ำขึ้นจนมองไม่เห็นทางเดินไปยังตัวศาลาทรงสูง ภาพที่เห็นประหนึ่งศาลาลอยอยู่กลางน้ำ เก็บภาพไปเรื่อยๆ แสงพระอาทิตย์เริ่มสาดส่องบนไหล่เขาหยอกเย้าหมอกที่ลอยล่องจากทะสาบ ภาพเบื้องหน้าสะกดสายตา ช่างราวกับภาพฝีแปรงของศิลปินเอก ล้นลานตะลึงกับภาพเบื้องหน้า สมองมึนงง ไม่รู้จะบรรจงถ่ายภาพออกมาให้สวยงามได้อย่างไร “ผมคงบันทึกภาพได้ไม่เท่ากับที่ตาเห็นเป็นแน่” ผมบอกกับตัวเอง
12.05.2017 (ไฟสีน้ำเงิน “Blue Frame”)
![](/f/14037/5a291d3ee821d86fdd42e8a8.jpg)
ความหนาวเย็นยังคงเป็นเฉกเช่นวันก่อน เช้ามืดออกเดินทางจากที่พักบนเขาด้วยรถตู้ไปยัง คาวาอิเจี้ยน (Kawah ijen) รวมพล ณ จุดเดินขึ้นเขา จัดแจงของให้ลูกหาบช่วยถือ ลูกหาบหนึ่งคนดูแลคณะเดินทางสองคน ระยะทางราวๆ สามกิโลเมตรจากจุดนี้ไป เดินกันไปชิลๆ ระดับเริ่มชันขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงยอดเขา อากาศที่หนาวเย็นทั่วบริเวณ ยังไม่อาจสู้ความอบอ้าวจากภายในร่างกายที่ใช้พลังงานกับการเดิน บวกกับเสื้อผ้าที่สวมใส่ เล่นเอาปาดเหงื่อกันเชียว แต่ถ้าใครไม่ไหวเขาก็มีแท็กซี่ให้นั่งนะ สนนราคาก็อยู่ราวหนึ่งล้านรูเปีย
![](/f/14037/5a291d3ce821d86fdd42e8a7.jpg)
ทางจะไกลจะยากจะเหนื่อยเพียงใด ถ้าเรายังเดินหน้าต่อไปเป้าหมายข้างคงไม่เกินจริง ควันสีเทาที่โพยพุ่งจากเบื้องล่างไกลๆ และเปลวไฟสีน้ำเงิน (Blue Frame) ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ แสงจันทร์ในวันเดือนเพ็ญสุกสกวาเปล่งประกายรัศมี ลอยเด่นอยู่เหนือยอดเขาไกลๆ สาดส่องแสงสว่างเจิดจรัสเป็นวงกว้าง ทำให้พอเห็นรายละเอียดลวดลายริ้วลอยของไหล่เขาที่ถูกกัดกร่อนจากราวาภูเขาไฟมาเนินนานปี เดินขอบรอบปล่องภูเขาไฟไต่ระดับเป็นเนินสูงขึ้นไปเรื่อยๆ แสงจันทร์ลับฟ้า แสงอาทิตย์เจิดจ้าเข้ามาแทนที่ ภาพที่ลางเลือนเบื้องหน้าค่อยๆ เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ ความอลังการของธรรมชาติที่ปรากฏรอบตัวมันสวยงามสุดบรรยาย
![](/f/14037/5a291d3fe821d86fdd42e8a9.jpg)
“จะมีกล้องใดบันทึกภาพได้งดงามเท่าสายตาที่มองออกไปเบื้องหน้าได้บ้างหนอ?” ผมครุ่นคิดในใจ
ความง่วง ความเหนื่อยล้าจากการเดิน หายไปจากใจเป็นปลิดทิ้ง
ผมบอกกับตัวเองว่า “มันคุ้มเกินคุ้มกับการอดหลับอดนอน และความเหนื่อยแสนเหนื่อยในการปีนมาถึงจุดนี้”
ผมอยากตะโกนดังๆ “Kawah ijen สวยงามมาก”
13.05.2017 (ลมหายใจของเทพเจ้า “Breathe of God”)
ในขณะที่ผู้คนหลับไหลบนที่นอนอันแสนอบอุ่น อากาศด้านนอกที่ห้อมล้อมด้วยขุนเขาหนาวเย็น ลมพัดเอื่อยๆ เป็นครั้งครา รถจิ๊บสองคันพอให้นั่งคันละ 6 คน เคลื่อนตัวออกจากรีสอร์ทกลางหุบเขามุ่งหน้าไปตามหาลมหายใจของเทพเจ้า (Breathe of God) แล้วพวกเราก็มาถึงจุดชมวิว Penanjakan เป็นคณะแรกๆ ด้วยความคาดหวังจะได้จับจองมุมดีๆ สำหรับการบันทึกภาพแสงเช้า
![](/f/14037/5a291d3ce821d86fdd42e8a5.jpg)
พวกเราเดินขึ้นเนินเขา ตั้งกล้องเซ็ตค่าไว้รอ (ต้องให้เครคิดกับทางทริปชิลชิล ไม่งั้นคงต้องร้องไห้นักมาก) ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลากลางดึก แต่ทั่วบริเวณยังคงสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ ทำให้เรามองออกไปเบื้องหน้ายังคงมองเห็นความงามของ Bromo ค่ำคืนนี้จึงเป็นค่ำคืนที่ช่างงดงามน่าอัศจรรย์ใจ
พวกเรายืนบ้าง นั่งบ้าง สนทนากันไปคุยกันไป ด้วยอากาศทั่วบริเวณราว 10-13 องศา ขาสั่นเป็นครั้งคราด้วยความหนาวเย็นที่สายลมพัดพามาเป็นระยะๆ ไออุ่นจากแผ่นความร้อนที่ติดข้างในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ตจากมิตรไมตรีระหว่างการเดินทาง ช่วยคลายความหนาวเย็นได้อย่างมาก (ขอบคุณพี่โภชยิ่งนัก) พร้อมกับจิบกาแฟทรีอินวันร้อนๆ ทำให้ร่างกายอบอุ่นได้บ้าง เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว จากจุดที่เรายืนแสงทองที่เส้นขอบฟ้าสาดส่องจนกระทบหมอกจางๆ ที่เบื้องล่างหุบเขา “โอ้ววว...ความงามของธรรมชาติ” รำพรรณบอกตัวเองไม่หยุด
แสงมา หมอกมา ฟ้าระเบิด โอ้วววว..แม่เจ้า สุดยอด ณ เวลาแบบนี้กดซัตเตอร์รัวๆ สุดยอดวิวอุทยานแห่งชาติโบรโมเทงเกอร์เซเมรู บนเกาะชวาตะวันออก ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว สายตาจดจ้องไปที่ภาพเบื้องหน้า หมู่บ้านบนเนินเขา ภูเขาไฟที่ยังไม่หลับใหล ยังคงคุกรอุ่นควันไฟโพยพุ่งจากปากปล่อง เวลาผ่านไปไม่รู้ว่าเนินนานเพียงใด รับรู้เพียงแต่ว่าแสงเจิดจ้าอบอุ่นเริ่มเต็มทั่วท้องฟ้าแล้ว หันหลังกลับไปผู้คนมากมายมาจากทุกสาระทิศหลายชาติหลายภาษา แออัดกันเต็มลานด้านบนไปหมด ทุกคนหน้าตาเอิบอิ่มหัวใจพองโต
![](/f/14037/5a291d40e821d86fdd42e8ab.jpg)
สายๆ พวกเรามีมาม่าคัพจากร้านค้าที่ตั้งอยู่ด้านล่างช่วยประทังความหิว ท้องอิ่มพวกเราเดินทางไปชมปากปล่องภูเขาไฟ ผ่านพื้นทรายแห่งท้องทุ่งแห่งลมหายใจเทพเจ้า รถจิ๊บหลากสีจอดเรียงรายเป็นหลายร้อยคัน รถหยุดลงพี่ม้าก็เดินมาเข้าใกล้รถทันที จากจุดนี้พวกเราต้องอาศัยม้าเป็นพาหนะเดินทางไปตรงบันไดสำหรับเดินเท้าขึ้นเขา พวกเราเดินขึ้นบันไดที่ทอดยาวสู่เบื้องบนเพื่อไปสัมผัสสายลมราว 1 กิโล ใจเต้นแรง เหนื่อยหอบ พอถึงปากปล่อง สูดลมหายใจแรงๆ กำมะถันวิ่งเข้าไปถึงลำคอ โอ้วววแม่เจ้า... (เรามาถึงแล้ว)
![](/f/14037/5a291d40e821d86fdd42e8aa.jpg)
ช่วงบ่าย หลังจากอาบน้ำล้างตัวให้สบาย พักผ่อนเพื่อเอาแรง เปลี่ยนชุด พวกเดินทางไปน้ำตก “Madakaripura Waterfall” นั่งรถตู้จากที่พักใช้เวลาพอประมาณเราก็มาถึงจุดจอดรถ ลงรถแล้วแว้นมอไซต์เข้าลัดตามป่าเขาไปอีกราวสักสิบนาที พอลงมอไซต์ต้องเดินเท้าเข้าไปอีกราวๆ 1 กิโล แต่เดินแบบสบายๆ ชิลๆ อากาศกำลังดี น้ำตกอยู่เบื้องหน้าแล้ว จากจุดนี้พวกเราต้องใส่เสื้อกันฝน ไม่งั้นคือมีเปียกชัวร์ เพราะต้องเดินผ่านช่องแคบที่มีละอองน้ำจากหน้าผาผ่านลงมามากบ้าง น้อยบ้าง แล้วแต่จุด เพื่อผ่านเข้าไปด้านใน พอเข้ามาด้านในเรียบร้อย ก็เลือกมุมกันเอาเองครับจะชม จะเก็บภาพมุมใด จัดองค์ประกอบแบบไหนเลือกันได้เลย เย็นชุ่มฉ่ำกันไปในวันนี้
![](/f/14037/5a291d4be821d86fdd42e8af.jpg)
![](/f/14037/5a291d56e821d86fdd42e8b0.jpg)
14.05.2017 (ลมหายใจของเทพเจ้า แล้วเราจะพบกันใหม่)
![](/f/14037/5a291d47e821d86fdd42e8ae.jpg)
เช้าตรู่ของอีกวันในชวา ประเทศอินโดนีเซีย อากาศยังคงหนาวเย็น ท้องฟ้าเช้านี้ยังสว่างไสวด้วยแสงจันทร์ ไร้เมฆหมอกมาบดบัง ทำให้มองเห็นแสงจากดวงดาวเล็กใหญ่เต็มท้องฟ้า การเดินทางยังคงดำเนินต่อไปด้วยพาหนะที่พาเราทั้ง 9 ชีวิต (บางท่านขอพักผ่อนรอที่รีสอร์ท) สู่เนินเขาเพื่อขึ้นไปบันทึกภาพโบรโมอีกครั้ง แต่ในครั้งนี้เราใช้เวลาในการเดินทางด้วยรถตู้ไม่นานนักก็ถึงจุดหมาย จากจุดจอดรถเราต้องเดินกันราวๆ 15-30 นาที พอให้หัวใจเต้นแรง บททดสอบของผู้ไม่ยอมแพ้ แสงดาว แสงเดือน พร่างพรายบนท้องฟ้า มองไปเบื้องหน้าภูเขาสลับซับซ้อนซ่อนตัวในความมืดยิ่งใหญ่อลังการ เรานั่งบ้าง ยืนบ้าง นอนบ้างสลับปรับเปลี่ยนอิริยาบทกันไปจนแสงแรกของวันโผล่มาบนขอบฟ้าทางด้านขวามือจากจุดที่เรายืน โบรโมยังคงความสวยงามเสมอ
![](/f/14037/5a291d45e821d86fdd42e8ad.jpg)
ฟ้าสางแล้วสินะ ถึงเวลาที่พวกเราต้องโบกมือลำลาขุนเขาที่ยังมีลมหายใจ “ลมหายใจของเทพเจ้า Breathe of God” ด้วยความทรงจำที่งดงาม แล้วเราคงได้พบกันใหม่ด้วยหัวใจพองโตอินโดนีเซีย....
ThanTakeTravel
วันศุกร์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.22 น.