เหนือสุดฝัน...วัคคาไน เหนือสุดแดนญี่ปุ่น
การเดินทาง : 18-29 พฤศจิกายน 2018
พิกัด : ฮอกไกโด, ญี่ปุ่น
เมือง : วัคคาไน อะซาฮิคาวะ คุชิโระ ฮาโกดาเตะ โอตารุ โนโบริเบ็ทสึ ซับโปโร
“ฮอกไกโด” จังหวัดหนึ่งของญี่ปุ่นที่หลายคนฝันอยากไปเยือนสักครั้ง ดินแดนแรกที่จะได้สัมผัสหิมะก่อนใครในญี่ปุ่น และซากุระหลังสุดของญี่ปุ่น
การเดินทางไปฮอกไกโด
• การไปฮอกไกโด สามารถไปโดยเครื่องบิน (เออนั่นสิ จะไปทางเรือหรือเดินไปคงไม่ดี) โดยบินตรงจากกรุงเทพฯ สู่สนามบินนิวชิโตเสะ โดย 2 สายการบินคือ การบินไทย และแอร์เอเชีย โดยรอบนี้ผมบินกับการบินไทยครับ เพราะคิดค่าโหลดกระเป๋าช่วงหน้าหนาว ของฝาก ของกินอีก อันนี้ตอบโจทย์พอดี
ช่วงเวลาการเดินทาง
• ผมเลือกไปช่วงรอยต่อใบไม้ร่วงเข้าฤดูหนาว โดยเดินทางตั้งแต่ 18-29 พฤศจิกายน 2018 แต่ต้องกาดอกจันไว้เลยนะครับ ในปี 2017 ฮอกไกโดหิมะตกก่อนปี 2018 ถึงสองสัปดาห์ แต่ปีนี้ (2018) ฮอกไกโดมีปรากฏการณ์หิมะตกช้าสุดในรอบ 132 ปี เรามาลุ้นกันจะเจอหิมะตกกันไหม
ใช้เวลาการเดินทางจากไทยไปซับโปโรประมาณ 6 ชั่วโมง 45 นาที เครื่องบินก็แล่นเข้าสู่เกาะฮอกไกโด เกาะเหนือสุดของญี่ปุ่น สภาพบรรยากาศวันที่ 19 พย. 2018 บรรยากาศอึมครึม ดูหม่นหมอง ไร้แววหิมะตก
เครื่องบินของการบินไทยมาถึงสนามบินชินชิโตเสะเวลา 08.20 น. และบรรยากาศดูหม่นหมองซึ่งอาจเป็นเพราะเป็นช่วงรอยต่อฤดูจากใบไม้ร่วงไปฤดูหนาว เครื่องการบินไทยมาถึงลำแรก ทำให้คิวตม. ว่าง เพราะพพวกเรามาถึงกลุ่มแรก แต่สักพักไม่ถึง 10-15 นาที สายการบินแอร์เอเชียก็ตามมา เมื่อผ่านตม.และศุลกากรแล้ว พ้นประตูก็จะเจอโดราเอมอนต้อนรับ และตอนนี้เราจะไปเมืองเหนือสุดแดนญี่ปุ่นกัน ไปกันเลย
การเดินทางในฮอกไกโด
การเดินทางในฮอกไกโด สามารถเดินทางได้ 3 แบบ คือ
1. เครื่องบินภายในประเทศ
2. เช่ารถขับ (มีใบขับขี่สากล)
3. รถไฟ (รถไฟฟ้าใต้ดิน, รถไฟ JR)
แต่ในรีวิวนี้ผมก็จะอธิบายการเดินทางโดยรถไฟ การเดินทางโดยรถไฟระหว่างเมือง สิ่งที่ต้องคิดไว้คือ ต้องเดินทางระหว่างเมืองกี่วัน ใกล้ไกลไหม ค่าใช้จ่ายเปรียบเทียบระหว่างจ่ายรายเที่ยวและแบบใช้พาสเดินทาง
• การเดินทางในฮอกไกโด สามารถใช้ HOKKAIDO RAIL PASS ได้ ซึ่งแบ่งได้เป็น
1. Hokkaido Rail Pass 3 วัน
2. Hokkaido Rail Pass 5 วัน
3. Hokkaido Rail Pass 7 วัน
4. Hokkaido Rail Pass Flexible 4 วัน
การจะใช้ Pass แบบใดก็ต้องคำนวณว่าเราไปฮอกไกโดกี่วัน พาสเหล่านี้จะคุ้มเมื่อต้องไปนอกเมืองไกล ๆ แต่ถ้าใกล้ ๆ ลองคำนวณค่าพาสกับแบบรายเที่ยวจาก Hypedia อย่างผมไป 11 วัน เมืองที่ไปไกล ๆ ทั้งนั้น เช่น วัคคาไน อะซาฮิคาวะ คุชิโระ ฮาโกดาเตะ โนโบริเบ็ทสึ แค่ไปกลับเมืองเดียวก็หลายพันเยนแล้วครับ ในการเดินทางครั้งนี้ผมใช้พาส 7 วัน ราคาพาส 7 วันราคา 24000 เยน แต่เมื่อคำนวณแบบรายเที่ยว ราคา 37970 เยน ประหยัดเงินตั้ง 13970 เยน (เกือบ ๆ 4000 บาท)
เมื่อถึงสนามบินชินชิโตเสะ เราก็จะนำ vocher ที่ได้รับจากไทยไปแลกเป็น JR PASS ตัวจริง โดยเมืองแรกที่ผมจะไป คือ วัคคาไน พนักงานที่เคาเตอร์ตกใจว่า ไปวัคคาไนเหรอ และพอรู้ว่าเป็นคนไทย พนักงานหญิงก็พยายามพูดไทยกับผม ปลื้มปริ่ม
สู่เมืองแห่งสายลม ... วัคคาไน
เหนือสุดแดนญี่ปุ่น
การเดินทางไปเมืองวัคคาไน
• เครื่องบิน จากซับโปโรไปวัคคาไน มีเพียงสายเดียวที่บริการคือ ANA
• รถไฟ
~ รถไฟไปวัคคาไน ที่แนะนำจะมีสองแบบ คือ
1. สาย SOYA วิ่งตรงจากซับโปโรไปวัคคาไน มีเพียงรอบเดียวคือ รอบเวลา 07.30 น. โดยไม่ต้องเปลี่ยนสถานีที่อะซาฮิคาวะ
2. ขบวนที่ต้องไปเปลี่ยนขบวนที่อะซาฮิคาวะ เพื่อไปวัคคาไน
3. ขบวนที่เปลี่ยนหลายสถานี (ไม่แนะนำเด็ดขาด)
เนื่องจากผมวางแพลนจะไปที่ไกลสุดก่อนเป็นอันดับแรก และค่อยมาซับโปโรตอนหลัง เลยให้วัคคาไนเป็นเมืองแรก และเครื่องบินมาถึงสนามบินก็เวลา 08.30 น. แสดงว่าไม่ทันสาย SOYA ทำให้ต้องรอรอบต่อไปคือเวลา 12.00 น. ซึ่งจะเป็นขบวนที่ต้องเปลี่ยนที่อะซาฮิคาวะ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5-6 ชั่วโมง
คำแนะนำ
• ถ้าทันรอบ 07.30 น. ที่เป็นสาย SOYA จะถึงวัคคาไนเวลา 12.40 น.
• ถ้าไม่ทันรอบ 07.30 น. อีกรอบที่แนะนำคือ รอบที่ 2 ที่จะออกซับโปโรเวลา 12.00 น. และเปลี่ยนขบวนที่อะซาฮิคาวะ ถึงวัคคาไนเวลา 17.21 น.
เนื่องจากรถไฟไปวัคคาไนออกตอนเที่ยง มาถึงสถานีซับโปโรเก้าโมงเลยหาอะไรกินรองเท้า และหาขนมไปกินบนรถไฟ โดยขนมที่จะแนะนำ คือ “แซนด์วิชไข่ แห่งสถานีซับโปโร” ที่มีจำหน่ายที่สถานีซับโปโรเท่านั้น มีจำหน่ายที่ร้าน KIOSK เท่านั้น
ร้าน KIOSK ในสถานีซับโปโร
แซนด์วิชไข่นี้ราคา 680 เยน โดยมีจุดเด่นคือ ไข่มาจากฟาร์มไก่ชื่อดังเมือง Ebetsu และขนมปังโฮมเมดจากร้าน Okameya ที่โด่งดังในซับโปโร กล่องหนึ่งจะประกอบด้วยแซนด์วิชไข่ 6 ชิ้น ขนมปังกรอบและสาหร่ายแผ่น
ส่วนความอร่อย 8.5/10 เหมาะเอาไปเป็นของว่างกินบนรถไฟ
ในที่สุดก็ได้เวลาออกเดินทางไปยังจุดเหนือสุดของแผ่นดินญี่ปุ่นแล้ว บรรยากาศค่อนข้างหนาวครับเพราะฝนตก และมีลมยืนสั่นบนชานชาลา บรรยากาศสองข้างทางเปลี่ยนไปตามเมือง สลับทุ่งหญ้าเขียวขจี ทุ่งหญ้าเหลืองน้ำตาล ฝนตก และบางบริเวณมีหิมะตก
บรรยากาศสองข้างทางจากเปลี่ยนไป ผู้คนจากที่ขึ้นจากซับโปโรก็หนาแน่น และเริ่มน้อยลงจนถึงอะซาฮิคาวะ เมื่อเปลี่ยนขบวนรถไฟไปวัคคาไน คนก็เริ่มน้อยลงตามระยะทางและเวลาที่มากขึ้น จนแสงสุดท้ายของวันก็หมดไป รถไฟก็มาถึงสถานีวัคคาไนเวลา 17.21 น.
สถานีวัคคาไน สถานีเหนือสุดแห่งญี่ปุ่น
บรรยากาศสถานีวัคคาไนเวลา 17.30 น. มืดและเงียบเนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว เมื่อออกจากรถไฟก็จะเจอป้ายไม้ (รูปขวา) ที่เขียนว่า
“Northernmost Tip of Japan
Wakkanai Station”
แปลว่า “ปลายเหนือสุดของญี่ปุ่น สถานีวัคคาไน”
ส่วนป้ายด้านซ้าย แปลคร่าว ๆ คือ “จากสถานีซับโปโรมาสถานีวัคคาไน เป็นระยะทาง 396.2 กิโลเมตร”
บรรยากาศบริเวณหน้าสถานีวัคคาไน เงียบสงบ และไร้ผู้คน ได้เวลาหาโรงแรมที่พักกันแล้ว โรงแรมที่พักในวัคคาไนคือ Dormy inn Wakkanai ที่เลือกที่นี่เพราะใกล้สถานีวัคคาไนและกำแพงกั้นลม รวมถึงมีออนเซ็นและราเมนมื้อดึก (รีวิวตอนท้ายนะครับ)
ยามเช้าก่อนแสงวันใหม่จะโผล่พ้นเขา ณ เมืองเหนือสุดแผ่นดินญี่ปุ่น วัคคาไน
ยามเช้าจากวิวหน้าต่างห้องพักของผมที่โรงแรม Dormy Inn Wakkanai แสงอาทิตย์โผล่พ้นจากภูเขาเห็นสถานีวัคคาไนเบื้องต้น และกังหันลมบนภูเขาอย่างเด่นชัด
มุมถ่ายรูปบริเวณหน้าต่าง เห็นวิวเมืองวัคคาไน
ยามเช้าจากโรงแรมดอร์มี่ อินน์ ไปยังกำแพงกั้นลม (Wakkanai Port North Breakwater Dome) ใช้เวลาประมาณ 5-6 นาที ซึ่งระหว่างเดินไปนั้นก็จะเห็นภาษารัสเซียเป็นระยะ เนื่องจากพื้นที่วัคคาไนใกล้รัสเซีย
กำแพงกั้นลม (Wakkanai Port North Breakwater Dome)
แนวกำแพงกันคลื่นลม อันเป็นสัญลักษณ์เมืองแห่งสายลม วัคคาไน มีลักษณะเป็นโดมกำแพงสำหรับกันคลื่นลมทรงโค้ง เลียบตามแนวชายฝั่งสร้างในปี 1936 เพื่อป้องกันคลื่นและลมพัดเข้ามาบริเวณท่าเรือ ภายในโดมกำแพงนี้ประดับด้วยเสาแบบโรมัน ถึงกลายเป็นแลนมาร์คจุดถ่ายรูปของเมืองแห่งนี้
ยามเช้า ณ แนวกำแพงกั้นลม วัคคาไน
การถ่ายรูปที่กำแพงกั้นลมแนะนำให้ไปช่วงเช้าตอนพระอาทิตย์กำลังขึ้นหรือตกนะครับ เพราะแสงแดดจะลอดผ่านเสาแต่ละเสาดูสวยงามยิ่งขึ้น
ทางม้าลายนั้นหลายคนคิดว่าถ่ายเวลาใดก็ได้ สำหรับผมแสงตอนพระอาทิตย์ขึ้นจะทำให้ภาพถ่ายตรงทางม้าลายสวยงามกว่าปกติ
หิมะแรกแห่งวัคคาไน เหนือสุดญี่ปุ่น
ในระหว่างเดินชมบรรยากาศไปเรื่อย ๆ ตัวผมเองก็มองท้องฟ้าบอกกับเพื่อนว่า ดูท้องฟ้านั่นสิ เมฆครึ้มมากอาจมีหิมะตกก็ได้ ตัวผมเองพูดไปอย่างนั้นไม่คิดว่าหิมะจะตกเพราะในพยากรณ์อากาศบอกว่าที่วัคคาไนจะตกวันถัดมา
ระหว่างถ่ายรูปให้เพื่อน ก็มีอะไรตกใส่หัวแล้วหายไป แล้วสักพักก็ตกใส่หัวอีก เลยบอกเพื่อนว่า เฮ้ย หิมะ ตก แต่เพื่อนทำหน้าไม่เชื่อคำพูดเรา สักพักหิมะแรกแห่งวัคคาไนก็โปรยปรายลงมาจากฟ้าให้หนำใจกันเลยทีเดียว
หลังงจากเดินชมกำแพงกั้นลมแล้ว ก็ได้เวลาไปจุดเหนือสุดแผ่นดินญี่ปุ่นสักที โดยไปซื้อตั๋วรถที่สถานีรถบัสวัคคาไน ตั้งอยู่ในบริเวณสถานีรถไฟวัคคาไน
•ขั้นตอนการไปแหลมโซยะ (จุดเหนือสุดวัคคาไน)
~ เมื่อถึงสถานีรถบัสวัคคาไน (อยู่ใกล้สถานีรถไฟวัคคาไน สามารถเดินจากภายในสถานีรถไฟวัคคาไนไปสถานีรถบัสได้เพราะอาคารเดียวกัน) ก็ทำการซื้อตั๋วรถบัสไปวัคคาไน
~ แนะนำให้ซื้อแบบไปกลับ ราคา 2500 เยน (เที่ยวละ 1390 เยน) ถ้าซื้อแบบเที่ยวเดียวราคา 1390 เยน ซึ่งจะแพงกว่ามาก เมื่อซื้อแบบไปกลับก็จะได้ตั๋วแบบภาพด้านบน ซึ่งไม่ต้องทำอะไรกับตั๋วนะครับ เพราะคนขับรถจะฉีกตั๋วออกมาเองเมื่อถึงปลายทางที่เราจะลง
บรรยากาศระหว่างทางรายล้อมไปด้วยภูเขาและเรียบทะเลตอนเหนือ
การเดินทางจากสถานีวัคคาไนไปแหลมโซยะนั้น ใช้เวลาประมาณ 50 นาที โดยเที่ยวแรกที่ออกจากสถานีวัคคาไนคือรอบ 05.45 น. และรอบที่สองคือ 08.38 น. แนะนำรอบที่สองครับเพราะไปถึงก็สว่างรวมถึงร้านขายของที่ระลึกก็เปิดแล้ว เพราะถ้าไปรอบแรกก็ถึงเช้าเกินไป รวมถึงหน้าหนาวก็ไม่มีที่ให้หลบหนาวด้วย
การเดินทาง 50 นาทีก็มาถึงแหลมโซยะ ภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Soya Misaki เป็นจุดเหนือสุดของฮอกไกโดและของญี่ปุ่น ถ้าวันไหนสภาพอากาศปลอดโปร่งด้านหลังจุดแลนมาร์คก็จะเห็นเกาะซาคาลิน (Sakhalin Island) เกาะใหญ่ที่สุดของรัสเซีย ห่างจากวัคคาไนเพียง 43 กิโลเมตร
บริเวณใกล้เคียงก็จะมีรูปปั้น มามิยะ รินโซ หันหน้าไปทางเกาะซาคาลิน เพราะท่านเป็นนักสำรวจที่มีชื่อเสียงในปลายสมัยโชกุน และเป็นผู้คนพบเกาะซาคาลิน
จุดแลนมาร์คเหนือสุดแผ่นดินญี่ปุ่น
ถ่ายรูปคู่กับนักสำรวจชาวญี่ปุ่น มามิยะ รินโซ
เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาวทำให้บริเวณแหลมโซยะ ลมพัดแรงมมาก อุณหภูมิอยู่ที่ 7 องศาเซลเซียส ทำให้สภาพอากาศครึ้มสลับกับแดดออก
ถัดจากบริเวณแหลมโซยะ ก็จะมีเนินเขาที่มีบันไดขึ้นไปเมื่อขึ้นไปก็จะเจออนุสรณ์รำลึกและรูปปั้นตั้งตระหง่านบริเวณนี้
อนุสรณ์รำลึกผู้เสียชีวิตสายการบินโคเรียนแอร์ KAL007
อนุสรณ์รำลึกผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เครื่องบินสายการบินโคเรียนแอร์ เที่ยวบิน KAL007 บินจากนครนิวยอร์คมุ่งหน้าสู่กรุงโซล ถูกยิงตกด้วยมิสไซด์ของสหภาพโซเวียต โดยแวะพักที่แองเคอเรจ (รัฐอลาสกา สหรัฐอเมริกา) อันเนื่องมากจากสงครามเย็น ทำให้มีผู้โดยสารและลูกเรือเสียชีวิตทั้งสิ้น 269 คน มีคนไทยรวมอยู่ด้วย
อนุสรณ์รำลึกผู้เสียชีวิตสายการบินโคเรียนแอร์ KAL007
ป้ายบอกทางว่าแต่ละสถานที่อยู่ห่างจากแหลมโซยะเป็นระยะทางเท่าใด ซึ่งจากตรงนี้ห่างจากเกาะซาคาลิน รัสเซีย 43 กิโลเมตร ห่างจากเกาะอิชิกากิ โอกินาวา จังหวัดตอนใต้สุดของญี่ปุ่น 2849 กิโลเมตรเลยทีเดียว
บรรยากาศบนเนินเขาบริเวณแหลมโซยะ
บริเวณด้านล่างก็จะเห็นทิวทัศน์รอบ ๆ
ตึกสีฟ้าที่ดูสดใสแม้ฟ้าจะครึ้มหรือแดดจะออก กับร้านจำหน่ายของที่ระลึก
อุณหภูมิตอนที่ไปที่แหลมโซยะ 1.7 องศาเซลเซียส ขนาดหิมะยังไม่มีนะนี่ เฉียดติด
เมื่อเข้าไปร้านจำหน่ายของที่ระลึก เมื่อไปตรงเคาเตอร์บอกว่า ใบแบบภาพด้านบน ราคา 100 เยน ซึ่งมันก็คือ “หนังสือรับรองการมาถึงตอนเหนือสุดของญี่ปุ่น” ไว้เก็บเป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราเคยมาเหยียบแล้วนะ
ข้อความระบุว่า “หลักฐานการมาถึงตอนเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่น วันนี้คุณได้อยู่ที่ละติจูดเหนือ 45 องศา 31 นาที เหนือสุดของญี่ปุ่น วันที่ 20/11/2018 เวลา 10.24 น.”
ก่อนจากลาอย่าลืมเอาตราประทับเก็บเป็นที่ระลึกอีกอย่างนะครับ เพราะใช่ว่าเราจะได้มาเยือนจุดเหนือสุดได้ทุกรอบ เพราะมันไกลและค่าเดินทางแพง
แหลมโซยะ จุดเหนือสุดแผ่นดินอาทิตย์อุทัย
ป้ายรถบัสสำหรับรอรถไปสถานีวัคคาไน มีที่ให้หลบลมหนาวยะเยือกในนี้ ส่วนภาพขวาเป็นตารางเวลารถบัสมีรอบขาไปและขากลับ จะบอกเวลาออกจากสถานีวัคคาไนถึงแหลมโซยะ มีแค่วันละ 7 เที่ยวเท่านั้น
ห้องน้ำ ณ จุดเหนือสุดของญี่ปุ่น ไหนๆ ก็มาก็ไปปล่อยของหน่อย มันเป็นฟิลลิ่ง
ในที่สุดรถบัสก็มาได้เวลากลับเข้าเมืองแล้ว เมื่อถึงสถานีวัคคาไน ก็ได้เวลากินอาหารกันแล้ว
Website: http://sakanaya.uroco1.com/index.htm
ร้านที่ผมไปกินก่อนจะลาจากเมืองวัคคาไนในตอนเย็น คือร้านชื่อ Urokotei ติดกับท่าเรือวัคคาไน เดินมาจาก JR wakkanai ประมาณ 10 นาที
เมนูุทที่ผมสั่งคือ Oversize Hokke Set Meal ราคา 1800 เยน (หิวมาก) เมื่อกินเสร็จทางร้านจะเอากาแฟมาเสิร์ฟปิดท้ายครับ
บรรยากาศนอกร้าน วิวท่าเรือวัคคาไน เมื่ออิ่มแล้วก็เดินทางไปสถานีวัคคาไนเพื่อรอรถไฟไปอะซาฮิคาวะในตอนเย็น
หน้าสถานีวัคคาไนก็จะมีสัญลักษณ์และรางรถไฟยื่นออกมานอกสถานี เป็นหหมุุดแแสดงจุดที่เคยเป็นนนนชานชาลาเก่า ก่อนปรับปรุงเป็นแบบที่เห็นในปัจจุบัน แต่อย่างไรมันมีเพื่อบ่งบอกว่า นี่คือสถานีเหนือสุดของญี่ปุ่นสิ้นสุดที่วัคคาไนแล้วนะจ้ะ ไปต่อไม่ได้แล้ว
ป้ายด้านบนนี้บอกรายละเอียด ดังนี้
“ Wakkanai Station สถานีเหนือสุดและปลายทางเหนือสุดของญี่ปุ่น”
ป้ายด้านล่างบอกรายละเอียด แปลแบบงูๆปลาๆ ได้ความว่า
“ Northernmost Railway “
• ช่องสี่เหลี่ยมด้านซ้าย
อักษรด้านบน แปลว่า “Ibusuki Makurazaki Line จังหวัดคาโงชิมา (ภูมิภาคคิวชู) เป็นปลายทางใต้สุดของญี่ปุ่น”
อักษรด้านล่าง แปลว่า “สถานีNishi Oyama Station เป็นสถานีใต้สุดของญี่ปุ่น”
• ช่องสี่เหลี่ยมด้านขวา
อักษรด้านบน แปลว่า Soya Line
อักษรด้านล่าง แปลว่า สถานีวัคคาไน
ส่วนอักษรตรงกลาง แปลว่า จากส่วนใต้สุดถึงส่วนเหนือสุดเชื่อมต่อด้วยระบบรางรถไฟ และนี่คือจุดสิ้นสุดทางรถไฟ
ภายในสถานีวัคคาไนนอกจากจะมีร้านค้าก็ยังมีโรงภาพยนตร์ที่ถือได้ว่าเป็นโรงภาพยนตร์ที่ตั้งเหนือสุดของญี่ปุ่นอีกด้วย และเป็นโรงภาพยนตร์ที่เดียวและความบันเทิงเดียวในวัคคาไนและศูนย์รวมของวัยรุ่นวัคคาไน แต่บรรยากาศค่อนข้างเงียบเหงามากครับ เพราะเมืองนี้คนไม่ค่อยเยอะ
บรรยากาศสถานีวัคคาไน
ในที่สุดรถไฟก็มาถึง ผมขึ้นรอบ 17.45 น. เป็นรอบรถไฟสาย Soya ที่วิ่งตรงไปซับโปโร แต่ก็แวะตามสถานีใหญ่ ๆ ไม่ต้องเปลี่ยนขบวน คนขึ้นน้อยมาก บรรยากาศวังเวงสุด ๆ เมืองต่อไปที่ผมจะไปคือ อะซาฮิคาวะ นั่นเอง
สุดท้ายฝาท่อเมืองวัคคาไน สัญลักษณ์คือ กำแพงกั้นลม นั่นเอง
สุดท้ายผมมีความประทับใจวัคคาไน ตรงที่เงียบสงบ คนไม่พลุกพล่าน ทำให้มีเวลาอยู่กับตัวเองนั่ง ยืน คิดทบทวนสิ่งต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี แต่เมืองนี้เหมาะกับสายชิว สโลว์ไลฟ์ ไม่เร่งรีบ และไม่ชอบชอปปิ้ง เพราะที่นี่ไม่มีห้าง มีแค่ร้านสะดวกซื้อที่ชื่อ Seico Mart เท่านั้น ไม่มี 7-11 Family Mart และ Lawson นะครับ สุดท้ายผมก็อยากให้ทุกคนมาเยือนเมืองนี้สักครั้ง ในฐานะจุดเหนือสุดของญี่ปุ่น และถ้ามีโอกาสก็สามารถข้ามไปรัสเซีย ที่เกาะซาคาลินได้ด้วยครั
เพราะโลกนั้นกว้าง
วันเสาร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2562 เวลา 22.05 น.