เราลากกระเป๋าวิ่งตากฝนไปในอาคารท่าเรือ คนขับแท็กซี่บอกว่านอกจากบริษัท Super Cat ที่เราซื้อตั๋วเรือไปโบโฮลแล้ว ยังมีอีกหลายบริษัทที่ให้บริการเรือเฟอร์รี่ไปโบโฮล โดยมีเรือออกเกือบทุกชั่วโมง ฉะนั้นวันนี้เราได้ไปเกาะโบโฮล (Bohol) ตามที่วางแผนไว้แน่ เพียงแต่ต้องเสียเงินซื้อตั๋วใหม่เท่านั้นเอง

จุ๋ยเสียสละกางร่มออกไปซื้อตั๋วเรือที่ช่องจำหน่ายตั๋วนอกอาคารผู้โดยสาร ในขณะที่ผมยืนเฝ้ากระเป๋าพร้อมอาการหนาวสั่นจากเหตุที่เสื้อเปียกไปค่อนตัว

เป็นอันว่าเราต้องซื้อตั๋วเรือใหม่ โดยเรือที่กำลังจะออกเป็นของบริษัท Ocean Jet ในราคาคนละ 400 เปโซ โดยระบบต่างๆก่อนขึ้นเรือแทบไม่ต่างจากการขึ้นเครื่องบิน มีทั้ง Boarding Time, Check in และการโหลดกระเป๋าลงท้องเรือ ซึ่งต้องเสียค่าบริการอีกคนละ 50 เปโซ

นอกจากหนาวแล้ว ตอนนี้เรายังหิวอีก แม้ภายในอาคารผู้โดยสารจะมีร้านอาหารพอให้รองท้อง แต่ด้วยเวลาที่จำกัดก่อนเรือจะออก เราจึงมีตัวเลือกเดียวคือ การกินไส้กรอกสีแดงที่ผมเคยปฏิเสธที่จะกินที่มะนิลาโอเชียนปาร์ค แต่ในเวลาที่หิวไม่มีตัวเลือกเช่นนี้ ต่อให้ไส้กรอกจะสีแดงจนหน้ากลัวมากกว่านี้ ผมก็จะกิน

เพราะมาซื้อตั๋วเอาตอนเรือจะออก ที่นั่งที่เหลือสำหรับเราจึงเป็นแบบ Outdoor ที่อยู่บริเวณตอนหลังของดาดฟ้าเรือ หากเดินทางในเวลาปกติที่ฝนไม่เทกระหน่ำแบบนี้ เราคงได้รับลมชมวิวท้องทะเลไปตลอดทาง แต่การเดินทางในเวลานี้ช่างแสนอึดอัด ด้วยผ้าใบที่ถูกปลดลงมาปิดหน้าต่างเพื่อกันฝนสาด ที่นั่งที่แสนแคบ ประกอบกับไม่มีการระบายอากาศ การเดินทาง 2 ชม.นี้จึงชุ่มไปด้วยเหงื่อ

โบโฮลเป็นหนึ่งในเกาะขนาดใหญ่ของฟิลิปปินส์ มีรูปร่างเกือบเป็นสี่เหลี่ยม อยู่ทางตะวันตกของเกาะซีบู เมืองท่าและเป็นเมืองหลวงของเกาะคือแทงบิลารัน (Tagbilaran) แต่สำหรับที่พักของเราสำหรับ 2 คืนต่อไปนี้ ไม่ใช่อยู่บนเกาะโบโฮล หากแต่อยู่บริเวณหาดอโรนา บนเกาะพังเลา (Panglao) เกาะขนาดเล็กที่อยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะโบโฮล ซึ่งไม่ไกลจากตัวเมืองแทงบิลารันมากนัก โดยมีสะพานเชื่อมถึงกัน

 บริเวณท่าเรือมีสามล้อเครื่องจำนวนมากมารอรับผู้โดยสาร ซึ่งสามล้อเครื่องที่นี่ไม่เหมือนตุ๊กตุ๊กในบ้านเรา เพราะเป็นการนำรถมอเตอร์ไซค์มาต่อที่นั่งด้านข้าง แล้วทำหลังคาครอบ มีช่องใส่สัมภาระด้านหลัง แม้จะสามารถนั่งแบบเบียดๆกันได้ 2 คน แต่ก็คงไม่พอสำหรับการไว้กระเป๋า เราจึงเรียกแท็กซี่ให้ไปส่งยังที่พัก

ที่พักของเราคือ Palms Cove เมื่อเราไปถึงประตูรีสอร์ตปิด แถมบรรยากาศยังเงียบและแทบจะไม่มีแสงสว่าง จนเราคิดว่าเป็นรีสอร์ตร้าง แต่หลังจากที่ประตูถูกเปิด และได้เห็นบรรยากาศภายใน จึงพบว่าที่พักแห่งนี้สวยงามและน่าอยู่มาก โดยเกือบจะเป็นที่พักส่วนตัว เพราะมีห้องพักไม่ถึง 10 ห้อง ราคาจึงสูงเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าเป็นการคืนกำไรให้กับชีวิตที่ตรากตรำทำงานมาถึงทุกวันนี้

ค่ำนี้ไม่ต้องคิดอะไรมากว่าจะหาอาหารค่ำที่ไหนดี เพราะเหนื่อยจากการเดินทาง อีกทั้งเวลานี้ก็ค่ำมืด เราจึงเลือกที่จะทานอาหารที่ห้องอาหารของรีสอร์ ทีแรกคิดจะสั่งเมนูพิเศษที่มีป้ายแนะนำ แต่เมื่ออ่านภาษาอังกฤษที่สะกดแบบตรงๆ อ่านได้ว่า ข้าวผัดกะเพรา เราจึงหยุดความคิดไว้แค่นั้น เพราะเราคนไทยคงไม่อยากกินข้าวผัดกะเพราอาหารของไทยในประเทศฟิลิปปินส์ หากอยากกินกลับไปกินที่บ้านถูกกว่า จานละแค่ 30 บาท ไม่ต้องจ่ายถึง 500 เปโซ เมนูที่เราเลือกจึงเปลี่ยนมาเป็นอีกเมนูที่ทางรีสอร์ตแนะนำ คือไก่ทอดซอสมะม่วง ที่ฟิลิปปินส์อะไรๆก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับมะม่วงไปเสียหมด ทีแรกคิดจะสั่งคนละจาน แต่ดีที่พนักงานห้ามไว้ ว่าจานใหญ่มาก กินได้ 2 คน โดย 1 จานมีไก่ทอด 2 ชิ้นโต ความอร่อยอยู่ที่ซอสมะม่วงรสชาติหวานซ่อนเปรี้ยว ตัดกันได้ดีกับไก่ชุบแป้งทอดที่กรอบนอกนุ่มใน

กินเสร็จเราเริ่มภารกิจในการสอบถามเรื่องการท่องเที่ยวในเกาะโบโฮล เพื่อแลกกับความสะดวกสบายได้เที่ยวพักผ่อนแบบจริงๆ เราจึงเลือกให้ทางรีสอร์ตจัดรถให้พาเราไปเที่ยวแบบส่วนตัว ซึ่งราคาสูงกว่าการไปซื้อ One Day Trip จากเอเจนซี่ทัวร์แถวหาดอโรนาราวเท่าตัว

กระทิงเปลี่ยวเที่ยวโลกกว้าง

 วันพฤหัสที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565 เวลา 13.17 น.

ความคิดเห็น