พา "หัวใจ" ไปพักผ่อนที่ "หลีเป๊ะ" จ.สตูล

         เกาะหลีเป๊ะ เป็นเกาะเล็ก ๆ กลางทะเล ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของเกาะอาดัง ในจังหวัดสตูล ขึ้นชื่อว่าเป็น "มัลดีฟส์เมืองไทย" เนื่องจากมีความสวยงามทางทะเลที่ขึ้นชื่อมากแห่งหนึ่งในเมืองไทย จึงมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศเดินทางมายังเกาะแห่งนี้เป็นจำนวนมากในแต่ละปี นับว่าเป็นเป็นสวรรค์ย่อม ๆ ของคนรักทะเลเลยทีเดียว

          ทริปนี้เราเดินไปกับเพื่อน 2 คน ด้วยเครื่องบินในช่วงเช้ามืด ซึ่งพอไปถึงสนามบินหาดใหญ่ จะมีรถตู้มารอรับเราเพื่อพาเราไปขึ้นเรือที่ท่าเรือปากบารา จ.สตูล ซึ่งรถตู้และค่าโดยสารเรือจะครอบคลุมในแพ็คเก็จที่เราติดต่อกับทางที่พักบนเกาะหลีเป๊ะไว้

           พอไปถึงท่าเรือ จะมีพี่ไกด์มารอรับเรา ช่วยเหลือและดูแลพาเราตั้งแต่ติดต่อซื้อตั๋วเพื่อขึ้นเรือ SpeedBoat 

       การเดินทางมาเที่ยวเกาะหลีเป๊ะในรอบนี้ นับได้เป็นครั้งที่ 2 ของเรา ถือเป็นเกาะที่เราชอบมากๆ พอๆกับหมู่เกาะสุรินทร์เลย

          เมื่อเรือ Speed Boat แล่นออกไปยังท้องทะเลกว้าง ได้สักพัก เรือก็พาเรามาแวะเที่ยวจุดแรก คือ "อุทยานแห่งชาติตะรุเตา " “ตะรุเตา” เป็นคำที่เพี้ยนมาจากคำว่า “ตะโละเตรา” ในภาษามลายู แปลว่า มีอ่าวมาก ตะรุเตาเป็นอุทยานแห่งชาติที่อยู่ในทะเลอันดามัน บริเวณช่องแคบมะละกา มหาสมุทรอินเดีย ในท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดสตูล 

       เรามาเที่ยว เกาะตะรุเตา เป็นครั้งแรกเพราะรอบแรกที่เรามาเกาะหลีเป๊ะ เรือพาเราไปถึงเกาะ ไม่มีแวะเที่ยวที่ไหน เลยรู้สึกตื่นเต้นมากๆและแอบคิดว่าทะเลที่นี่จะสวยไหม จะสะอาดไหม แต่ปรากฎว่าคือทะเลสวยมาก เป็นสีฟ้าคราม น้ำทะเลก็ใสสะอาด แล้วที่เกาะตะรุเตามีที่พัก ที่กางเต็นท์ของอุทยานด้วยนะ ห้องน้ำห้องอาบน้ำพร้อมบนเกาะ แต่ต้องทำการจองกับทางอุทยานก่อนนะคะ

           หลังจากเราเที่ยวบนเกาะตะรุเตาจนครบ 20 นาที ที่เรือให้เวลาเที่ยวไว้ จุดต่อไปเมื่อเรือแล่นออกท้องทะเลไปไม่นาน ก็พาแวะจุดเที่ยว จุดที่ 2 คือ เกาะไข่ จ.สตูล

         เกาะไข่ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา อยู่ห่างจากเกาะตะรุเตาประมาณ 15 กิโลเมตร โดยใช้เวลาเดินทางจากเกาะตะรุเตาประมาณ 40 นาทีค่ะ ซึ่งจุดไฮไลท์ของเกาะนี้ก็คือ ซุ้มประตูหินธรรมชาติที่เรียกกันว่า ซุ้มรักนิรันดร์ เป็นซุ้มประตูหินโค้งขนาดใหญ่ มีความเชื่อว่าหากใครพาคู่รักลอดเข้าประตูช่องหนึ่งแล้วลอดกลับออกมาทางอีกช่องหนึ่งจะได้พบกับความรักที่มั่นคงยืนยาว...

        เกาะไข่ คือ สวยมากกกกกกก น้ำทะเลใสสีฟ้าคราม เป็นครั้งแรกอีกนั่นแหละที่มาเกาะไข่ เกาะเล็กๆแต่พลังความสวยของผืนน้ำทะเลไม่เล็กเลย โชคดีวันที่เราไปความสวยลงตัวไปหมด ทั้งท้องฟ้าและผืนน้ำทะเล

        เราใช้เวลาบนเกาะไข่ประมาณ 20 นาที ต้องเดินทางไกลไปยังเกาะหลีเป๊ะกันแล้ว    

           เมื่อเรามาถึงเกาะหลีเป๊ะ พี่ไกด์พาเราขึ้นรถสองแถวรับจ้างไปยังที่พัก ที่พักของเราอยู่บนเขาค่อนข้างมีความส่วนตัวดีและเราก็ทานมื้อเที่ยงด้วยความหิวและง่วงไปในตัว เมื่อทานมื้อบ่ายอิ่ม เราก็เข้าที่พักแล้วแอบหลับสักงีบเพราะตื่นเช้ามืดมาขึ้นเครื่องเลยมีอาการง่วงมากๆและเพลียจากการนั่งเรือนานๆ

          หลังจากที่ช่วงบ่ายเราพักผ่อนจนเต็มอิ่มแล้ว ตกเย็นจึงออกมาเดินเล่นและถ่ายรูปสวยๆบริเวณหาดทรายใกล้ๆที่พัก มีหลายคนก็เลือกทำกิจกรรมต่างๆ ถ่ายรูป พายเรือ ดำน้ำเล่นๆแถวริมทะเล บรรยากาศก็เย็นสบายออกแนวครึ้มๆ เพราะเพิ่งทราบจากพยากรณ์อากาศมาว่าเราอาจจะเจอ พายุ ก็เป็นได้

มื้อเย็นวันนี้ของเรา อร่อยมาก


เช้าวันที่ 2 วันแห่งการดำน้ำ

       วันนี้พี่ไกด์นัดเราประมาณ 9 โมง หลังทานมือเช้า ให้ไปเจอกันที่ชายหาดหน้าที่พัก เพื่อพาไปดำน้ำในจุดต่างๆ ของเกาะ เช้าวันนี้สดใสมาก เราถ่ายรูปทะเลหน้าที่พักจากจุดห้องอาหาร

         หาดทรายและทะเลสีครามตัดกับท้องฟ้าสวดสดใสบริเวณหาดทรายหน้าที่พัก เนื่องจากที่พักเราอยู่บนเขาเราจึงได้มุมสวยๆเช้านี้มา

        เวลา 9 โมงเช้าเราก็เตรียมตัวเดินทางไปดำน้ำกัน อารมณ์คึกคักมาก เพราะชอบดำน้ำดูปะการัง และเกาะหลีเป๊ะก็ขึ้นชื่อเรื่องความสวยใต้ท้องทะเลเช่นกัน

         ได้เวลาก็ออกทะเลไปลอยคอ ดูปะการังและปลาสวยๆกันเลย พี่ไกด์เราอย่างเท่มากๆ จะเห็นว่าท้องฟ้าสวยมากๆ แล้วเมื่อคืนฝนแอบตกปรอยๆ เราก็กลัวกันว่า ตอนเช้าเราจะได้ดำน้ำไหม แต่พี่ไกด์บอกว่าฝนตกก็ดำได้ ถ้าลมและคลื่นไม่แรง

       จุดแรกดำน้ำที่เราจำได้ น่าจะเรียกว่า "ร่องน้ำจาบัง" จุดนี้น้ำใสและปะการังสวยมากๆ เห็นแบบใกล้ๆเลย ปลาน้อยๆน่ารัก เราเสียดายมากๆ ที่ไม่มีกล้องถ่ายใต้น้ำไปในทริปนี้ ไม่อย่างงั้นคงมีรูปถ่ายใต้น้ำสวยๆไว้ลงรีวิวให้ชมกันคะ

         ดำน้ำจุดที่ 2 สวยไม่แพ้กันเลย จำชื่อไม่ได้ว่าจุดนี้เรียกอะไร แต่สวยมากๆอีกแล้ว ฉันใช้คำว่าสวยเยอะไปแล้วนะ 555 คือว่าขนาดเรากลัวทะเล และไม่ชอบเล่นน้ำทะเลเลย แต่ถ้าดำน้ำเราจะชอบมาก เพราะได้เห็นสิ่งต่างๆใต้น้ำ รู้สึกตื่นเต้นตลอดเวลา

       ลั้ลลาเกินเบอร์ไปแล้วชะนีเมืองกรุง 555 ดำน้ำจุดที่ 2 ผ่านไป ก็ดำน้ำจุดที่ 3 กันต่อเลย แล้วพี่ไกด์ก็ลากห่วงยางที่เราเกาะ พาไปดูทุกจุด แกรู้ว่าเราว่ายน้ำไม่แข็งและกลัวทะเล กว่าจะลงได้ก็ทำสมาธิสร้างความหึกเหิมกันพอสมควร ฮ่าๆๆ

พี่ไกด์และพลขับเรือของเรา เท่สุดๆ

          จุดต่อไปเราจะไปเที่ยวที่ เกาะหินงาม กัน เกาะหินงาม Unseen หนึ่งเดียวในไทยของอุทยานแห่งชาติตะรุเตา จังหวัดสตูล เกาะขนาดเล็กที่เต็มไปด้วยก้อนกรวดสีดำมันวาว ลวดลายสวยงามไม่ซ้ำกันเลยคะ

        เกาะหินงาม นับเป็นอุทยานธรณีโลกแห่งแรกในไทย และแห่งที่ 5 ของอาเซียน ทั้งหาดจะเต็มไปด้วยก้อนหินสีดำ ลักษณะที่คล้ายกันทุกก้อนก็คือความกลมเกลี้ยง ที่พอโดนน้ำ และแสงแดดสาดส่องแล้ว จะกลายเป็นสีมันวาววับที่สวยงามมาก

         สิ่งที่ไม่ควนทำบนเกาะแห่งนี้ คือการนำหินบนเกาะเก็บกลับไปด้วย นอกจากจะผิดกฎหมายของอุทยานแล้ว ยังมีคำสาปของเจ้าพ่อตะรุเตาที่เชื่อกันว่า "ผู้ใดบังอาจเก็บหินจากเกาะนี้ไป ผู้นั้นจะพบแต่ความหายนะ นานาประการ จะกลับไม่ถึงบ้าน จะประสบอุบัติเหตุ จะหลุดพ้นจากหน้าที่การงาน จะพบภัยพิบัติไม่มีที่สิ้นสุด..."  

   เกาะหินซ้อน ความโดดเด่นของเกาะแห่งนี้ก็คือ หินก้อนใหญ่รูปทรงสี่เหลี่ยมที่วางซ้อนกันอยู่ราวกับจับวาง โดยที่หินก้อนล่างเริ่มมีการแตกร้าวแต่หินก้อนบนก็ไม่ยอมหล่นลงมา บางคนจึงเรียกเกาะหินซ้อนว่า "กองหินเรือดำน้ำ" บริเวณรอบเกาะหินซ้อนถือเป็นจุดที่มีแนวปะการังที่สวยงาม มีทั้งปะการังอ่อน
ปะการังแข็ง ดอกไม้ทะเล รวมไปถึงปลาการ์ตูนหรือปลานีโมด้วย นอกจากนี้เกาะหินซ้อนยังได้รับยกย่องจากองค์การยูเนสโก ให้เป็นมรดกแห่งอาเซียน (ASEAN Heritage Parks and Reserves ) ในปี พ.ศ. 2525

        พอเราเคลื่อนเรือขับผ่านเกาะหินซ้อนแล้ว พี่ไกด์พาเราและเพื่อนมาทานมื้อเที่ยงที่เกาะแห่งหนึ่ง ไม่รู้ชื่อเกาะเหมือนกัน อาหารเป็นข้าวกล่องง่ายๆที่แสนอร่อย กับวิวท้องทะเลสวยๆนั่งทานแบบฟินๆ วิวหลักล้านกันไปเลย แถมสดชื่นคาวหวาน ด้วยแตงโมหวานฉ่ำดับกระหายคลายร้อนไปในตัว

         หลังจากทานมื้อเที่ยงเรียบร้อย เพื่อนเราก็กลายร่างเป็นนางเงือกแหวกว่ายไปกับทะเลสีฟ้าคราม ส่วนเรานั่งชมวิวบนโขดหินใกล้ๆ เพราะไม่ชอบเล่นน้ำทะเลและเวลานี้ท้องฟ้าก็เริ่มเปลี่ยน จากฟ้าสดใสยามเช้า กลายเป็นตั้งเค้าพาฝน พาลมมาเรื่อยๆ

       เกาะต่อไปหลังมื้อเที่ยง ก่อนที่พี่ไกด์พาไปดำน้ำ อีก 2 จุด พี่ไกด์ก็พาเรามาเดินย่อยมื้อเที่ยง โดยการพาขึ้นจุดชมวิวตรงเกาะใกล้ๆ นั่งเรือประมาณ 10 นาทีก็ถึง เราต้องเดินขึ้นเขามาประมาณ 200 เมตร จะเจอ จุดชมวิว ทางขึ้นไม่น่ากลัวคะ มีเชือกให้จับ เพราะบางทีเท้าอาจลื่นได้

        ช่วงบ่ายก่อนฝนจะมา ลมจะแรง คลื่นจะน่ากลัวไปมากกว่านี้ พี่ไกด์รีบพาเราไปดำน้ำอีก 2 จุดที่เหลือ การดำน้ำช่วงบ่ายที่มีคลื่นลมแรง ทำให้เรากลัวนิดหน่อย แต่ความมืออาชีพพี่ไกด์ดีมากๆ ดูแลและให้ข้อมูลเรื่องดำน้ำในแต่ละจุดเป็นอย่างดี

         เรากลับถึงฝั่งบ่าย 4 โมงเย็น เข้าที่พักเพื่ออาบน้ำและพักผ่อน พอตอนเย็นก็ออกมานั่งเล่นริมหาดดูวิว ดูพรอาทิตย์ตกเหมือนเคย แต่อากาศเย็นนี้ ฟ้าครึ้มและในที่สุดฝนก็ตกลงมา รีบวิ่งขึ้นที่พักแทบไม่ทัน


เช้าวันที่ 3 เดินทางกลับ...

        วันนี้เป็นวันเดินทางกลับในช่วงสายๆ เรารีบตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นและเดินเล่นสูดอากาศยามเช้า แต่ส่วนมากเน้นถ่ายรูปเล่นมากกว่า 5555

       แสงเช้าในวันกลับดีต่อใจ คิดว่าอากาศครึ้มๆเช้าวันนี้จะไม่เห็นแสงเช้าแล้ว เราเดินเล่นไปเรื่อยๆ หลายๆคนก็เริ่มตื่น และออกจากที่พักเพื่อมาเดินเล่นถ่ายรูปกัน

        หลังจากเราใช้เวลาเช้านี้บนเกาะพอสมควรจึงชวนเพื่อนกลับที่พักเพื่อทานข้าว อาบน้ำและเตรียมตัวไปลงเรือที่ท่าเรือ ช่วงที่เราเก็บของในห้องพักทั้งลมและฝนแบบพายุนั้นแรงมาก ใบไม้สิ่งของปลิวว่อนไปหมด แอบกลัวว่าเราจะขึ้นฝั่งได้ไหม

     การเดินทางกลับที่น่ากลัว ไม่อยากจะเชื่อว่าระหว่างทางที่เรานั่งเรือกลับ เราจะเผชิญลมฝนและ "คลื่นสูงถึง 2 เมตร" หลายลูกในท้องทะเล ถ้าความโชคดีและความไม่ชำนาญเรือของคนขับไม่มากพอ ไม่อยากนึกเลย ช่วงเวลาที่พายุเล่นงานเรา เราจะเป็นอย่างไร...

    สุดท้ายเราก็ผ่านพ้นมาได้อย่างปลอดภัย

        จบทริปหลีเป๊ะแบบทุลักทุเลนิดๆในวันกลับ ท้องฟ้าและอากาศหลากหลายอารมณ์มาก ตามไม่ทัน คิดว่าช่วงนั้นไม่เจอพายุ ก็ต้องเจอจนได้ ทุกอย่างดีงามเป็นทริปทะเลที่ชอบมาก

      ฝากติดตามเพจด้วยคะ -> แมวพเนจร


😺 แมวพเนจร 🌿

 วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2565 เวลา 19.26 น.

ความคิดเห็น