มาปากีสถานรอบนี้ ถือว่า “unplanned” พอสมควรเพราะใช้เวลาตัดสินใจว่า “จะไป” แค่วันเดียวและเตรียมการก่อนวันเดินทางแค่ 2 สัปดาห์เท่านั้น ดังนั้นเรื่องวีซ่าจึงต้องลุ้นพอควรแต่ก็เรียบร้อยดีทุกอย่าง ต้องยกความดีความชอบให้หัวหน้าทีมทัวร์ คุณ PJ Potjana ที่ช่วยจัดการให้ทุกอย่าง มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ(เดินทางปลายกรกฎาคม-ต้นสิงหาคม 2023 )
Day-1
Fri 28/7/2023 (Narathiwat-Bangkok-Islamabad)
ออกจากบ้าน 11 โมง ไปสนามบินบ้านทอน นั่งเครื่องลงสุวรรณภูมิต่อเครื่องไปอิสลามาบัด ถึงที่หมาย 4 ทุ่ม เวลาท้องถิ่น (ช้ากว่าไทย 2 ชม.) กว่าจะผ่าน immigration ที่สนามบินก็เข้าแถวยาวและนาน (ไม่ใช่โดนห้ามเข้าเมืองนะ ฮ่าๆ แต่ จนท. เค้าทำงานซ้ำซ้อนก็เลยช้า) รถของบริษัททัวร์มารับพาไป รร. Hill View Hotel, F-7 เมืองอิสลามาบัด กว่าจะได้นอนก็ปาไปเกือบตีหนึ่งตีสอง
Day-2
Sat 29/7/2023 (Islamabad-Skardu)
ช่วงนี้ที่ปากีสถานสว่างเร็ว ตี 5 ก็สว่างแล้ว นัดออกจากโรงแรมที่พักเพื่อไปสนามบิน 9 โมงครึ่ง ก็เลยมีเวลาเดินเล่นรอบๆ ที่พักเจอเด็กๆ ปากีฯ เดินมาขายดอกไม้ตั้งแต่เช้าก็เลยชวนกินอาหารเช้าด้วยกันซะเลย กินเสร็จกลับมาจัดข้าวของออกไปสนามบินเพื่อบินไป Skardu ด้วยสายการบิน Pakistan Airline เครื่อง แอร์บัส A320-200 บินผ่านเทือกเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะเต็มไปหมด ผ่านยอดเขา Nanga Parbat (สูง 8,126 เมตร จากระดับน้ำทะเล) ที่ทิ่มทะลุเมฆโผล่มาให้เห็น ก่อนถึงสนามบินกัปตันก็บินวนตามช่องเขาเพื่อเอาเครื่องลงและลงสู่พื้นโดยสวัสดิภาพ สภาพสนามบินคือที่ราบทะเลทรายกลางหุบเขาดีๆ นี่เอง ถึง Legend Lodge Hotel กลางเมือง Skardu กินอาหารเที่ยงเสร็จออกไปเดินบริเวณ Organic Valle จากนั้นขึ้นไปที่ Kharphocho Fort ซึ่งเป็นป้อมปราการโบราณอยู่บนภูเขามองเห็นเมือง Skardu ทั้งเมือง ป้อมปราการนี้สร้างโดย Maqpon Bokha ซึ่งเป็นผู้นำศาสนาพุทธคนสุดท้ายและเป็นผู้ก่อตั้งเมือง Skardu สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรศที่ 15 เข้าไปถ่ายรูปจนหนำใจเสร็จก็เดินกลับ ถึงที่พักค่ำพอดี กินข้าว อาบน้ำ ก่อนนอนเปิดเฟสฯ เปิดไลน์ ก็เห็นข่าวเหตุการณ์โกดังเก็บพลุระเบิดที่ตลาดมูโนะ ก็ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ และขอดุอาให้ทุกคนผ่านพ้นบททดสอบดังกล่าว จากนั้นก็นอนยาววววว
Day-3
Sun 30/7/2023 (Skardu-Hussainabad Village-Mansur Rock)
วันนี้ไกด์แจ้งว่าเป็น “วันเดินแห่งชาติ” หลังกินอาหารเช้าเสร็จ นั่งรถ Toyota Prado 4x4 ผ่านหมู่บ้าน Hussanabad ลัดเลาะริมเทือกเขามาถึงจุดเริ่มเดิน ที่หมู่บ้าน blok เริ่มเดิน 10 โมงเช้า เดิน trekking ขึ้นมาเรื่อยๆ เดินๆ หยุดๆ พักเหนื่อยบ้าง ถ่ายรูปวิวตามทางบ้าง ยิ่งเดินขึ้นก็ยิ่งชัน มากขึ้นเริ่อยๆ กว่าจะถึง Mansur Rock ก็เล่นเอาเกือบบ่าย 3 ครึ่ง ฝนก็เริ่มโปรยๆ ลงมา ยื่นถ่ายรูป/นั่งถ่ายรูปกันจนพอใจก็พากันเดินลง ลองจับเวลาดูเอาแบบเดินลงไม่หยุด สรุปทำเวลาได้ 40 นาที จาก Mansur Rock จนถึงพื้นหญ้าที่มีลำธาร สรุปวันนี้เล่นเอากรอบทั้งตัว ระบมทั้งร่าง นั่งรถกลับที่พัก กินอาหารเย็นเสร็จ อาบน้ำ พักผ่อนยาวๆ เลย
Day-4
Mon 31/7/2023 (Deosai National Park-Tarishing)
ไกด์แจ้งมาว่าวันนี้จะเป็น “วันนั่งรถแห่งชาติ” แอบดีใจว่าสบายแระ ไม่ต้องเดิน กินอาหารเช้าเสร็จ ออกจากที่พัก 9 โมงกว่า นั่งรถ Toyota Prado 4x4 ตะลุยไต่เส้นทางริมเขาที่เต็มเป็นด้วยหิน แวะชม Satpara Lake ที่อยู่ระหว่างทาง จากนั้นก็เริ่มขึ้นสู่ที่ราบสูง Deosai ซึ่งเป็นที่ราบสูงอันดับสองของโลก (สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 4,114 เมตร อันดับหนึ่ง คือ ที่ราบสูงทิแบต สูง 4,500 เมตร จากระดับน้ำทะเล) โดยมีพี่กิต Kit SuperSurf เป็นคนขับ พี่กิตน่าจะเป็นคนไทยคนแรกที่ขับ Toyaota Prado 4x4 จาก Skardu ข้ามที่ราบสูง Deosai มายัง Tarishing (ต้องแจ้ง Guinness World Records ด้วยไหมเนี๊ยะ!!?) ที่ราบสูงนี้จะถูกหิมะปกคลุมนานถึง 6-8 เดือน (ช่วงที่จะมาเที่ยวชมได้วิวสวยๆ งามๆ ก็จะเป็นช่วงหน้าร้อนนั้นคือประมาณช่วงเดือน มิ.ย.-ก.ย.) นั่งรถไปเรื่อยๆ บนทางออฟโร๊ดริมเขา ทั้งโยกเยก ตะลุงตุงๆ สลับทางเรียบบ้าง ชมวิวเว่อร์วังอลังการล้านแปดระหว่างทาง แวะถ่ายรูป ตามจุดต่างๆ จนเริ่มเข้าเขตที่ราบสูง Deosai ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 3,000 ตร.กม. กว้างสุดลูกหูลูกตา เจอตัว “มาร์มอต”เป็นสิบๆ ตัว ก็ลงแวะถ่ายรูปกับมันซักหน่อย มองหาหมีสีน้ำตาล (Himalayan Brown Bear) แต่ก็ไม่เจอซักตัว แวะเข้าห้องน้ำ ทานอาหารเที่ยง แวะถ่ายรูปต่างจุดต่างๆ จนมาถึง Deosai Lake (Sheosar Lake) ลมแรงหนาวมากกกกก จากนั้นก็นั่งรถต่อไปยังหมู่บ้าน Tarishing ถึง รร.ที่พัก Rupal Resort ประมาณสามทุ่มกว่าๆ สรุปวันนี้ นั่งรถ/แวะถ่ายรูป/แวะเข้าห้องน้ำ/กินข้าวเที่ยง ก็กินเวลายาวถึง 12 ชม. เล่นนั่งรถครึ่งวันบนเส้นทางแบบนี้ ก้นระบม เอวระบำกันเลยทีเดียว (นึกว่าจะสบาย ฮ่าๆๆ)
Day-5
Tue 1/8/2023Tarishing-Rupal-Herligkoffer Base Campตื่นตอนเช้าตี 4 ครึ่ง (ช่วงนี้ที่นี่ดวงอาทิตย์ขึ้นประมาณตี 5) ออกมาเดินชมบรรยากาศหน้าห้องพัก มันช่างอลังการงานสร้างของพระเจ้าเลย เพราะด้านหน้าคือเทือกเขา Nanga Parbat (สูง 8,126 เมตร จากระดับน้ำทะเล) วางขวางเด่นตระหง่านต่อหน้าต่อตา ภูเขาที่ถูกปกคลุมโดยหิมะตลอดทั้งปี มีธารน้ำแข็ง (Bazhin Gracia) ไหลลงมา ทานอาหารเช้าเสร็จ แพ็คกระเป๋าสำหรับค้างคืน 1 คืน เพื่อไปนอนค้างที่ Herligkoffer Base Camp วันนี้เป็นอีกวันต้องนั่ง Toyota Prado 4x4 เพื่อไปยังจุด trekking นั่งรถไปประมาณ 45 นาที ฝ่านเส้นทางที่แบบว่า…อืม…ต้องรถ 4x4 เท่านั้นจึงจะผ่านมาได้ มาถึงจุดที่ต้องเดินเท้าที่ Nanga Parbat Base Camp ก็เริ่มเดินแบกเป้ขึ้นมาเรื่อยๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ก็ถึงที่ Herligkoffer Base Camp วิวยิ่งอลังการงานสร้างเข้าไปอีก เพราะเข้าใกล้เขา Nanga Parbat มากขึ้นเรื่อยๆ เสียดายที่วันนี้ฟ้าปิดเมฆเยอะ ก็เลยไม่เห็นยอดเขา ถ่ายรูป นั่งชมวิว กินอาหารเที่ยงเสร็จสรรพ นอนพัก ช่วงเย็นก็เดินชมวิวรอบๆ base camp กินอาหารเย็นตอน 2 ทุ่ม เงยมองบนท้องฟ้า เมฆยังลอยเต็มฟ้ายังปิดอยู่ ก็เลยเข้าเต๊นท์ พักผ่อน นอน
Day-6
Wed 2/8/2023Herligkoffer Base Camp-Trekking-Tarishingเมื่อคืนนอนหลับๆ ตื่นๆ เพราะอากาศหนาวมากกกกก ขนาดใส่เสื้อ 3 ชั้น + เสิ้อหนาวอีกตัวใส่ทับ + กางเกง 2 ชั้น + ถุงเท้าผ้าทับด้วยถุงเท้าหนัง นอนในถุงนอนอีกชั้นก็เอาไม่อยู่ (ถุงนอน comfort at 9 c’) ออกมาจากเต๊นท์ ไปล้างหน้าล้างตาแปรงฟันกับน้ำที่เย็นเจี๊ยบเสียบเส้นประสาท ตอนนั้นฟ้าเริ่มสว่างแล้ว เหลือบไปมองเห็น Nanga Brapat Wall of Snow Mountain ก็…ว้าวววว….สตั๊นไป 1 วินาทีพอ นานไม่ได้เพราะอากาศหนาวมากๆๆๆๆ รีบแปรงฟันล้างหน้าอะไรเสร็จ ตี 5 ฟ้าสว่างโล่ง นั่งถ่ายรูป ชมวิว 6 โมงกว่าๆ ก็เริ่มออกเดินขึ้นไปบนเนินเขาเรื่อยๆ ระหว่างทางก็เจอทั้งตัวมาร์มอต ผึ้งดูดเกสรดอกไม้นานาพันธุ์ เดิน 2 ขม. ถึงจุดชมวิว ถ่ายรูป นั่งชมวิว มีช่วงที่หิมะถล่มให้เห็นด้วย เสียงดังครื้นๆ มาเลย จากนั้นก็เดินกลับที่พัก ทริปนี้เดินเยอะมากจนพื้นรองเท้าแหก หลังกินอาหารเช้า เดินลงมาที่จุดขึ้นรถที่ Nanga Prabat Base Camp ขึ้นรถ 4x4 ลงมาที่ รร.ที่พัก กินอาหารเที่ยง อาบน้ำ นอนพัก ตื่นมาช่วงเย็น เดินออกไปหาซื้อรองเท้ามือสองค่ำพอดีเลยกลับที่พัก กินอาหารเย็น นอนพัก
Day-7
Thu 3/8/2023Tarishing-Rama Vallay-Rama Lake-Chilasตื่นตี 4 ครึ่ง นอนต่อจนภึง 7:30 กินอาหารเช้าเสร็จเตรียมตัว 9:15 ออกจาก รร.ที่พัก Rupal Resort นั่งรถคันเดิม 4x4 เพื่อไปยัง Rama Valle ผ่านเมือง Astore บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยก้อนหินสลับลาดยางบ้างเล็กน้อยเป็นช่วงๆ ถึงที่หมายช่วงเที่ยงๆ จากนั้นก็ขึ่ม้าต่อเพื่อไปยัง Rama Lake ชมวิว ถ่ายรูปเสร็จ ก็ขี่ม้ากลับมาที่จุดพัก ทานอาหารเที่ยงเสร็จ 15:45 น. ก็นั่งรถ 4x4 คันเดิมลงมายังเมือง Astore เปลี่ยนจากรถ 4x4 เป็นรถ Coach เพื่อเดินทางไปยังเมือง Chilas ถึง รร.ที่พัก Shangrilla Chilas เวลา 20:30 น. Check in กินอาหารเย็น วันนี้มีเมนูปลา Trout ทอดด้วย กินเสร็จพักผ่อน อาบน้ำอาบท่า นอน
Day-8
Fri 4/8/2023Chilas-Lalusar Lake-Naran -Saiful Malookตื่นเช้ามา ออกไปเดินเล่นหลัง รร.ที่พัก ดูวิวแม่น้ำสินธุติดภูเขาสูงตระหง่าน อาบน้ำอาบท่า กินอาหารเช้าเสร็จ 8 โมง ออกเดินทางไปยังเมือง Naran ผ่านทาง Babusar Pass ที่อยู่สูงกว่าระดับน้ำทะเลกว่า 4,000 เมตร อากาศเย็นสบาย ไม่หนาวมากเหมือนสถานที่ๆ ผ่านมา แวะชม Lalusar Lake ซึ่งอยู่ระหว่างทาง มาถึงเมือง Naran ก็กินอาหารเที่ยงกัน จากนั้นพากันไปขึ้นรถจี๊ปเพื่อไปยัง Lake Saiful Malook ซึ่งตั้งอยู่ในหุบเขา Kaghan สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 3,000 เมตร เดินชมรอบๆ Lake ถ่ายรูป ลงเรือล่องกลางทะเลสาปจนเบื่อบวกกับหวาดเสียวกลัวเรือล่มด้วยแหละเพราะอัดกันบนเรือ 15 คน รวมคนพาย จากนั้นก็ขึ้นรถจี๊ปกลับลงไแยังเมือง Naran เข้าที่พัก Northern Retreat Hotel กินอาการเย็น พักผ่อน นอน
Day-9
Sat 5/8/2023Naran-Taxilla-Islamabad ตื่นเช้ามาเดินออกไปชมวิวหน้า รร.ที่พัก เห็นทัศนียภาพเมืองนารานที่อยู่ท่ามกลางหุบเขา (Kaghan Valle) วันนี้เป็นวันสุดท้ายของทริปนี้ หลังกินอาหารเช้าเสร็จก็ขึ้นรถยาวจากเมือง Naran ลงยังเมือง Taxilla แวะกินอาหารเที่ยงระหว่างทาง เข้าชม Taxilla Musium เสร็จก็ไปต่อที่ร้านอาหาร Monal บนเขา Margalla เป็นร้านอาหารนั่งชิลด์ๆ มองเห็นทั้งเมืองอิสลามาบัดและราวัลปินดี พอ 3 ทุ่ม ก็ไป Islamabad International Airport ทำการเช็คอิน ขึ้นเครื่องกลับประเทศไทย
Lutfee Hajimad
วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2566 เวลา 11.28 น.