เส้นทางเดินขึ้นเขา ตามความสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง จะเห็นว่า ช่วงที่หนักที่สุดก็คือ ช่วงแรก และช่วงสุดท้าย ที่มีความชันค่อนข้างมากเลยทีเดียว แต่ถึงอย่างไรก็ต้องไม่ย่อท้อครับ มาจนถึงจุดนี้ได้ เราผ่านความยากลำบากมากว่า 70% ละ อีกแค่ 30% ที่เหลือ เราก็จะถึงยอดภูกันแล้ว ว่าแล้วเราก็มาดูเส้นทางจากซำกกโดนไปยังหลังแปกันเลยดีกว่า

ระหว่างที่นั่งพักที่ซำกกโดน ผมหันไปเจอกับเธอคนนี้ครับ ผมจำได้ว่าเดินแซงเธอมานานพอสมควรละ ทำไมผมถึงจำได้น่ะเหรอครับ เห็นกระเป๋าใบสีดำแถบส้มสองเส้นมั้ยครับ ใช่ครับ ใบล่างสุดด้านซ้ายนั่นแหละครับ กระเป๋าเสื้อผ้าของผมเอง :-D ผมทึ่งและยอมรับในความแข็งแรงของเธอสุดๆอ่ะ อายุยังไม่ถึง 20 เลยด้วยซ้ำ (ป้าที่ร้านค้าเค้าบอกมาครับผม)


ระหว่างนั้น ผมหันหน้าไปทางอื่นบ้าง ก็พอดีมาเจอน้องคนนี้ครับ อนาคตช่างภาพฝีมือดีชัวร์เลย เห็นแล้วผมรีบเก็บภาพเลยครับ เชื่อมั้ยว่าผมได้เห็นรูปนี้ตอนนี้ ผมยังนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้นได้เลยนะ จำได้ว่าผมแอบยิ้มคนเดียวด้วย ;-)



ลูกหาบที่นี่แต่ละคน ไม่ว่าจะหญิงหรือชาย วัยรุ่นหรือสูงวัย ทุกคนสู้ชีวิตจริงๆครับ ปรกติเค้าจะแบกขึ้น และถ้านักท่องเที่ยวเยอะ เค้าก็จะแบกลงมาด้วยนะครับ เคยถามๆดู บางคนทำวันละ 2 รอบก็มีนะครับ สุดๆอ่ะ เยี่ยมสุดๆเลย


หลายๆคนพอถึงที่นี่ จัดหนักกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ ลาบ ตับหวาน ก๋วยเตี๋ยว ข้าวผัดปลาเค็ม ขนมหวาน ขอบอกเลยว่าอร่อยทุกอย่าง ไม่ต้องถามนะว่าอร่อยจริงหรือเพราะหิว ชั่วโมงนั้นบอกได้คำเดียวว่า อร่อย ;-)



ระหว่างยืนรอเข้าห้องน้ำ (ห้องน้ำที่จุดนี้สะอาดมากครับ) ด้านหลังจะเป็นร้านขายของที่ระลึก เสื้อผ้า ย่ามใส่ของ ผ้าพันคอ หมวกไหมพรม ขอบอกเลยว่าราคาเท่าข้างล่างเลย อย่างเสื้อยืดก็เริ่มต้นที่ 150 จนถึง 199 ขึ้นอยู่กับขนาดไซส์ แค่ค่าลูกหาบแบกขึ้นมานี่ก็โดนไปหลายแล้วครับ ส่วนตัวผม มาแต่ละครั้งก็ต้องแวะซื้อไว้เป็นที่ระลึกครับ คือนิสัยผมคือ ไม่ชอบขนเสื้อผ้าเวลาไปเที่ยวที่ไหนก็ตาม ผมชอบสร้างครับ ติดตัวไปแค่ชุดที่ใส่และชุดสำรองในกระเป๋าเป้ ที่เหลือก็ซื้อเอาครับ ;-)


เผลอแว๊บเดียว หันมาอีกที เธอมีกาแฟโบราณใส่ถุงกระดาษเก็บความเย็นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเธอเดินดูดจนถึงที่พัก น้ำแข็งยังละลายไม่หมดเลยครับ สุดยอดจริงๆเลย ใครเป็นคนคิดนะ เอาถุงกระดาษมาหุ้มถุงน้ำแข็ง ผมนี่ยกนิ้วให้เลยครับ ;-)


แม้ว่าหัวเข่าจะเริ่มปวด แต่เธอก็ยังไม่ยอมแพ้ เดินถือไม้ตีสุนัขดุ่ยๆ ไม่ย่อท้อ ส่วนผมน่ะเหรอครับ เดินไปถ่ายรูปไป ถือเป็นการหยุดพักแบบเนียนๆไปในตัว 5555

จากซำกกโดน เดินอีกเพียงแค่ 450 เมตร ก็มาถึงซำสุดท้ายละ จุดนี้เรียกว่าซำแคร่่ ว่าแต่...ทำไมถึงเรียกว่าซำแคร่นะ?



:-D ได้คำตอบละ ที่เรียกว่าซำแคร่ ก็เพราะมีแคร่เล็กๆให้นั่งนี่เอง 5555 อันนี้ผมล้อเล่นนะครับ ระหว่างทางขึ้นเขา จะมีสัญญาณ 3G เป็นระยะๆนะครับ มีครบทุกค่าย แต่ถ้าถามผมว่าค่ายไหนเจ๋งสุด ผมบอกได้เลยครับ ค่ายสีส้มแรงสุด ครอบคลุมสุดครับ ทำไมน่ะเหรอครับ เพราะผมมีโทรศัพท์สองเครื่อง อีกเครื่องนึงเป็นค่ายสีเขียว แค่สัญญาณโทรศัพท์ยังหายากเลยครับ


มีคนเคยสงสัย ว่าร้านอาหารข้างบนภูเค้าเอาวัตถุดิบมาจากไหน ภาพนี้น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดนะครับ ข้าวสาร ไข่ไก่ น้ำตาล เกลือ พริกไท M100 M150 ลิโพ คาราบาวแดง น้ำดื่มสิงห์ น้ำดื่มคริสตัล และอีกหลายๆอย่าง ล้วนแล้วมาจากการแบกขึ้นของลูกหาบเหล่านี้แหละครับ ผมนับถือตรงที่แบกไข่ไก่เป็นสิบๆแผง โดยที่ไข่ไม่แตกเลยนี่สิ เจ๋งคอด :-) อ้อ...ไหนๆพูดถึงวัตถุดิบไปแล้ว นึกขึ้นได้ว่า เชื้อเพลิงก็เป็นสิ่งสำคัญมากๆไม่แพ้วัตถุดิบเลย ใช่ครับ ผมกำลังพูดถึงแก๊สหุงต้มครับ

เอาภาพไปชมกันเลย


แก๊สหมดไม่มีเติมนะครับ ต้องขนลงไปเติมข้างล่างแล้วแบกกลับขึ้นมาใหม่ แต่โดยปรกติแม่ค้าที่นานๆจะลงเขาซักที จะใช้วิธีโทรไปสั่งลูกหาบให้ขนโน่นนี่นั่นมาให้ครับ เคยถามแม่ค้าว่าลูกหาบคิดค่าแบกขึ้นมายังงัย เค้าบอกว่าเท่ากันกับของนักท่องเที่ยวเลย ดังนั้น เวลาสั่งอาหารกินข้างบนก็จงรู้ไว้เลยว่าราคาสูงกว่าข้างล่างแน่นอน แล้วอย่าไปบ่นว่าแพงล่ะ เพราะต้นทุนเค้าสูงจริงๆ


จากภาพ จะเห็นว่า ไม่ใช่เฉพาะคนไทยนะครับที่อยากจะขึ้นภูกระดึงซักครั้งในชีวิต ชาวต่างชาติเองก็สนใจธรรมชาติแบบนี้เหมือนกันครับ บางคนมามากกว่าหนึ่งครั้งด้วย :-)

ผมเคยเจอสาวเกาหลีแต่โตที่อเมริกา ชวนเพื่อนขึ้นมา 3 คน เสร็จแล้วก็ลงเลย โดยไม่ได้พักค้างคืน ผมถามเค้าว่าทำไมไม่อยากค้างคืนเหรอ เค้าบอกว่า ขึ้นมาถึงข้างบนได้ยิ่งรู้สึกเสียดายที่จะไม่ได้นอนค้างคืน เพราะพวกเค้ามีเวลาน้อย โปรแกรมการเดินทางถูกเตรียมไว้หมดแล้ว เพียงแต่ได้ข้อมูลจากเพื่อนมา ว่าบรรยากาศข้างบนนี่ดีใช่เล่น ถ้าอยากจะมาก็ได้ ใช้เวลาแค่วันเดียวก็พอ คือขึ้นแล้วก็ลงเลย ผมนี่.....เสียดายแทนพวกเค้าเลยครับ แต่พวกเค้าก็บอกนะครับ ว่ามาเที่ยวเมืองไทยบ่อย โปรแกรมหน้าพวกเค้าจะกลับมานอนกางเต๊นท์แน่นอนครับ เค้าว่างั้น :-)



จุดหมายอยู่แค่เอื้อม สู้ๆนะสาวน้อย ;-)


ดูสภาพเส้นทางซะก่อน แล้วลองนึกถึงช่วงหน้าฝนสิ 5555 ทั้งเละ ทั้งทาก ได้อารมณ์ไปอีกแบบนะ ;)


เอ่อ..... ผมไม่ได้ลำเอียงนะครับ เดี๋ยวจะมีคำถามว่า ผมเอาเพื่อนไปทิ้งไว้ไหน จริงๆแล้วเค้าเดินนำหน้ามาก่อนแล้วครับ คนนี้ขาใหญ่ของจริงครับ (ตอนลงเขา ขาเค้าใหญ่จริงๆนะ เอ...หรือจะเรียกว่าบวมถึงจะถูก 5555) นี่ก็ตากล้องฝีมือดีอีกคน ถ่ายไปเรื่อยครับ :)


ถ้าใครที่ได้มาสัมผัสกับบันไดเหล็กนี้จะรู้ได้เลยว่า ความทรมานเป็นเช่นไร ลองนึกถึงเวลาที่ขาทั้งสองล้า อ่อนแรงจากการออกกำลังกาย แล้วต้องมาเดินขึ้นบันไดดูนะครับ ขอบอกเลยมันทรมานสุดๆอ่ะ ต้องแบบก้าวยกก้าวชิดก้าวยกก้าวชิด ไม่งั้นตะคริวถามหาแน่นอน T_T


แต่เมื่อผ่านบันไดแห่งความปวดร้าวมาได้ ก็จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ 555 เงยหน้าไปมองบันไดชุดสุดท้ายทีไร ผมนี่....หายเหนื่อยก่อนเลยครับ 5555






เก่งใช่ย่อยนะเราน่ะ ;-)

ได้ไม้ตีสุนัขอันนี้ช่วยไว้ได้เยอะเลย น้องเค้าว่างั้น


ให้รางวัลกับชีวิตซะหน่อย หลายๆคนที่ได้ถ่ายภาพคูกับป้ายอันนี้จะบอกเป็นเสียงเดียวเลยว่า ลืมไปเลยว่าเหนื่อยๆอยู่ 5555

นี่แค่บทเริ่มต้นบนยอดภูเท่านั้น ระยะทางไปจุดกางเต๊นท์หรือ วังกวาง ต้องเดินอีก 3.5 โล บางช่วงของเส้นทางเป็นทรายละเอียดด้วยนะ คงรู้นะว่าเดินบนทรายละเอียดๆน่ะ มันต้องออกแรงเพิ่มขนาดไหน (ตรงนี้ผมมีทริกนิดนึงครับ ให้เดินบนขอบทางได้ทั้งซ้ายและขวา เพราะดินตรงนั้นจะแน่น เดินไม่เหนื่อยเหมือนเดินบนทราย)


สู้ตายจริงๆนะ เป้ที่สะพายมาน่ะ มีแต่เลนส์หนักๆทั้งนั้น ดีนะที่เป้รุ่นนี้ช่วยซับแรงกดที่ไหล่ได้มากทีเดียว จำได้ลางๆว่าจะเป็น LowePro CompuRover ใช้ดีจริงๆ ด้านล่างใส่อุปกรณ์กล้อง ส่วนด้านบนก็ใส่เสื้อผ้าพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำไว้ 1 ชุดนอกเหนือจากที่ฝากมากับลูกหาบ ถามว่าทำไมต้องแบกมาเองน่ะเหรอครับ คืออย่างนี้ครับ ครั้งหนึ่งผมขึ้นมาเร็วกว่าลูกหาบที่ต้องรอสะสมสัมภาระให้ได้ระดับหนึ่งถึงจะขึ้นมาได้ แล้วผมก็ขึ้นมาเร็วกว่าลูกหาบมาก แล้วยังงัยล่ะ เนื้อตัวก็เต็มไปด้วยเหงื่อ คราบเกลือเต็มเสื้อเลย อยากจะอาบน้ำก็ไม่มีเสื้อผ้าเปลี่ยน ผ้าเช็ดตัวก็ไม่มี เต๊นท์ก็อยู่กับลูกหาบ แล้วเราก็เดินทางคนเดียวซะด้วย ครั้งนั้นจำได้แม่นเลยว่า ลูกหาบขึ้นมาถึงตอนสามทุ่มกว่าๆ ครับ ไม่ผิดหรอกครับ สามทุ่มกว่าๆจริงๆครับ ไอ้ผมก็รอจนหนาวแล้วน่ะสิครับ ลืมบอกไปครับ บนภูกระดึง อากาศหนาวเย็นตลอดปีนะครับ แล้วเมื่อไหร่พระอาทิตย์ลับฟ้า บวกกับมีลมพัดเนี่ย บรึ๋ยยยย หนาวจับจิตจับใจเลยแหละ

ร่ายมาซะยาวเลย และนั่นจึงเป็นที่มา ว่าทำไมผมต้องเตรียมเสื้อผ้ามาเองด้วยนอกเหนือจากที่ฝากมากับลูกหาบ ;-)


และแล้ว เราทั้งสามคนก็สามารถพิชิตยอดภูกระดึงได้สำเร็จ จำได้ว่าถ่ายรูปกันคนละหลายแอ๊คมาก เพราะไม่มีใครมาแย่งถ่ายเลย 5555


ทิ้งท้ายตอนนี้ด้วยภาพวิวจากหลังแป โชคไม่ค่อยเป็นใจเลยครับ ท้องฟ้าครื้มเมฆเยอะมากจนดูอึมครึม แต่ก็สวยไปอีกแบบครับ ;-)

ตอนหน้าจะเป็นการเดินทางไปยังวังกวาง ซึ่งเป็นจุดให้บริการนักท่องเที่ยว และแน่นอนว่าเป็นที่ๆพวกเราจะต้องพักค้างคืนด้วย โปรดติดตามตอนต่อไปครับ ;-)










Wattanabhol McJames Uangsakul

 วันพุธที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2558 เวลา 12.11 น.

ความคิดเห็น