ทริปนี้แม่ประนอมได้รับเกียรติจากสายการบินนกสกู๊ตชวนไปเที่ยงเมืองนานกิง(Nanjing)ที่เพิ่งได้เปิดเส้นทางบินใหม่ดอนเมือง-นานกิงโดยมีเที่ยวบินบินตรงจากดอนเมืองสัปดาห์ละ 4 เที่ยวทุกวัน จันทร์ อังคาร พฤหัส และเสาร์โดยออกจากกรุงเทพเวลา 13.40 น.ถึงปลายทาง 18.50 น.และบินกลับในวันเดียวกันเวลา 20.00 น. ถึงกรุงเทพเวลา 23.40 น.แต่หลังจากวันที่ 25 ต.ค.จะเพิ่มเที่ยวบินเป็นสัปดาห์ละ 6 เที่ยวทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์วันเดียว



โดยทริปนี้ทางนกสกู๊ตได้ให้บริษัททัวร์ทางเมืองจีนเป็นผู้พาเราไปเที่ยวตามสถานที่น่าสนใจต่างๆแล้วเรามาดูกันครับว่าเมืองนานกิงมีอะไรน่าเที่ยวมั่งแต่เสันทางนี้ถ้าใครอยากไปเที่ยวเซี่ยงไฮ้ก็สามารถนั่งรถไฟหัวกระสุนจากนานกิงไปถึงเซี่ยงไฮ้ได้เลยใช้เวลาน่าจะไม่เกิน 2 ชั่วโมงถึงเซี่ยงไฮ้เลยครับ



พร้อมแล้วเรามาเริ่มเที่ยวกันเลยครับ

เพื่อนหากมีอะไรจะสอบถามเพิ่มเติมหรือเข้าไปพูดคุยกะแม่ประนอมได้ที่เพจนะครับที่ http://goo.gl/JiW3HZ



หรือที่เฟสบุ๊คส่วนตัวก็ยินดีรับแอ๊ดเพื่อนๆครับ https://www.facebook.com/luie.saetang



เช่นเคยคงต้องอ้อนขอแรงเชียร์หน่อยเนอะครับ



ยังไงถูกใจชอบใจรีวิวขอทิปเป็นกำลังใจแม่ประนอมคนทำรีวิวด้วยนะครับ



โดยกด + ที่มุมซ้ายด้านล่างนะครับ



ขอบคุณมากครับ



แม่ประนอมนะจ๊ะก่อนที่จะไปเที่ยวมาดูข้อมูลซักนิดๆหน่อยๆก่อนนะครับ



เมืองนานกิง มณฑลเจียงซูมีประวัติเก่าแก่ย้อนหลังตั้งแต่สมัย 500 ปีก่อนคริสตกาลเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรจีน

ช่วงศตวรรษที่ 3 – 6 จากร่องรอยทางประวัติศาสตร์ที่หลงเหลือ อยู่ คือประติมากรรมรูปสัตว์และหลักศิลารอบตัวเมืองนานกิง

ตั้งอยู่ริม แม่น้ำฉังเจียงฝั่งใต้ด้านตะวันออกเป็นเทือกเขาจื่อจิน แปลว่า ภูเขาม่วงอมทอง เพราะสีของหินที่ภูเขาเมื่อกระทบแสงอาทิตย์จะะเป็นสีม่วงอมทอง ทางด้านตะวันตกเป็นภูเขาชิงเหลียงซาน

แล้วก็มาเช็คอินกันครับได้ถุงยังชีพมา 1 ใบด้วย


ในถุกก็จะมีคู่มือเอาตัวรอดในเมืองจีนครับเดี๋ยวท่องไว้เลยดีก่า


สถานที่เที่ยวต่างๆที่ๆเราจะไปกัน


โรงแรมที่เราพักในทริปนี้ครับ


นานกิงในแผนที่ครับ


น้องปลายฟ้าลำนี้ละครับที่จะพาเราไปตะลุยนานกิงกันครับเป็นเครื่องโบอิ้ง 777-200 ครับ


น้องแอร์สวยๆมาฝากครับ


ทริปนี้โชคดีเค้าจัดให้นั่งชั้นบิซซิเนสทั้งไปและกลับด้วยครับใจดีผุดๆเลย


ทานอะไรรองท้องก่อนนะเดี๋ยวค่อยไปเที่ยวกันครับ


เมนูนี้อร่อยนะแนะนำครับ


อันนี้ห้องน้ำฝั่งโซนบิซิเนสครับกว้างขวางดีมากครับ


การเดินทางจากสนามบินเข้าเมืองนานกิงมีรถไฟฟ้าจากสนามบินเข้าไปถึงในเมืองเลยครับ



ออกจากต.ม.มาก็เลี้ยวซ้ายแล้วเดินตามป้าย Metro ไปเลยครับ

เดินตามป้ายไปเรื่อยๆครับอาจจะไกลนิดนุง


ลงไปชั้นล่างเลยครับ


แล้วก็ซื้อตั๋วจากเครื่องครับไม่ต้องกลัวมีภาษาอังกฤษครับ


อีกวิธีหนึ่งในการเข้าเมืองก็สามารถไปโดยแอร์พอร์บัสครับ


ออกจากต.ม.มาก็เลี้ยวขวาครับ

ค่าตั๋วเข้าเมืองก็คนละ 20 หยวนอันนี้ก็ง่ายดีครับเดินไม่ไกลออกมาก็เจอเลย


ที่ขายตั๋วก็อยู่ตรงกลางประตู 2 เลยซื้อตั๋วแล้วก็ออกไปขึ้นรถตรงนี้เลยครับ


รถบัสก็จอดหน้าประตู 2 นี่แหละครับ


ทริปนี้เรามีบริษัทนำเที่ยวพาเราไปกันครับก็เลยขึ้นรถทัวร์ของบริษัธครับ


แล้วเราก็ไปทานอาหารกันที่ ภัตตาคาร Zhenbaofang อยู่ใกล้ๆสนามบินนี่แหละขับออกมานิดเดียวเอง


ข้างในก็หรูหราดีราคาไม่แพงครับ


ที่พักคืนแรกในเมืองนานกิงเราพักที่ Sofitel Galaxy Nanjing ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองเลยครับ


ห้องหรูหรา 5 ดาวเลยครับ


ลองเช็คราคาในเวปดูก็ไม่ได้แพงมากมายอะไรนะ

มาดูห้องกันครับอันนี้เราได้อัพเกรดขึ้นมาอีกขั้นนึงเพราะเป็นสมาชิกเครือนี้เลยใช้บัตรสมาชิกแพลตตินั่มก็เลยได้อัพเกรด


ตื่นเช้ามาวันที่ 2หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จแล้วก็เก็บกระเป๋าเช็คเอาท์เลยเพื่อเดินทางไปเที่ยวและค้างเมืองโบราณอูเจิ้นระยะทาง 260 ก.ม.นั่งรถบัสไปประมาณ 4 ชั่วโมง



มาทำความรู้จักเมืองโบราณนี้กันหน่อยนะครับจะได้เที่ยวสนุก



ตำบลอูเจิ้นเป็นท้องถิ่นเก่าแก่อุดมไปด้วยโบราณสถานและโบราณวัตถุ ตำบลอูเจิ้นตั้งอยู่ในเมืองถงเซียง มณฑลเจ้อเจียงทางภาคตะวันออกของจีน อยู่ริมคลองขุด "ต้ายุ่นเหอ" ซึ่งเป็นคลองขุดที่ยาวที่สุดของโลก ห่างจากนครเซี่ยงไฮ้เพียง 100 กิโลเมตร ห่างจากเมืองหังโจวเมืองท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อเพียง 60 กิโลเมตร ตำบลอูเจิ้น มีประวัติอารยธรรมที่ยาวนานถึง 7,000 ปี มีประวัติในการสร้างตำบลที่นานกว่า 1,300 ปี



เมืองโบราณอูเจิ้น

เมืองโบราณที่มีชื่อเสียงมากของมณฑลเจ้อเจียง ตั้งอยู่ริมทะเลสาบไท่หู ทะเลสาบขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมพื้นที่ของมณฑลเจ๋อเจียงและมณพลเจียงซู เป็นเมืองโบราณที่อนุรักษ์และคงสภาพบ้านเรือนตามแบบสมัยราชวงค์ชิง ไม่ว่าจะเป็นลวดลายการแกะสลักไม้ตามหน้าต่าง หรือการแกะสลักหินที่มีความประณีตงดงาม

ชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวเมืองอูเจิ้น เมืองที่ได้ชื่อว่า "นครเวนิชแห่งมณฑลเจ๋อเจียง" มีประวัติศาสตร์กว่า 1,000 ปี ชมชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านริมน้ำ สถานที่บ่งบอกความเป็นเจียงหนันซึ่งเป็นบ้านเกิด "เหมาตุ้น" ชมสิ่งก่อสร้างโบราณสมัยราชวงศ์ หมิงและราชวงศ์แมนจู สภาพแวดล้อมภายในเมืองโบราณอูเจิ้นนั้นยังคงความสวยงามน่าอยู่มีคูคลองไหลผ่านกลางหมู่บ้านสะพานข้ามคูคลองโบราณสถานและโบราณวัตถุที่น่าสนใจอีกมากมาย

ที่แห่งนี้ท่านจะได้สัมผัสถึงบรรยากาศความเป็นเมืองโบราณ และความเป็นโมเดิร์นที่ผสมผสานได้อย่างลงตัว

นั่งรถเกือบๆ4ชั่วโมงก็มาถึงแล้วครับ


ซื้อตั๋วแล้วเข้าไปกันครับ


มื้อเที่ยงวันนี้เราทานอาหารกันที่ ภัตตาคาร Yushengguanอยู่ภายในเมืองโบราณนี่แหละ


อาหารจัดเต็มมาเลยอร่อยมากครับไม่แพงด้วยนะ


อิ่มแล้วมาเดินเที่ยวในเมืองโบราณกันครับ


อันนี้เป็นการแต่งงานแบบโบราณครับ


ตรงนี้เค้ามีบริการให้เช่าชุดใส่ถ่ายรูปด้วยนะราคาตามป้ายเลย


ชุดเยอะมากจริงๆ


ว่าแล้วมีหรือจะพลาด


อันนี้ทุ่งลาเวนเดอร์ ในหมู่บ้านโบราณ อู่เจิ้นสวยๆไม่แพ้ที่ญี่ปุ่นเลยนะ


แล้วเราไปล่องเรือกันครับ


คืนนี้ 2 นี้เรานอนที่เมืองอูเจิ้งนี้เลยชื่อโรงแรมตามรูปเลยครับเป็นโรงแรมที่หรูหราของที่นี่เลยครับ


ล๊อบบี้เล่นไฟสวยมากครับ


ไปดูห้องกันครับ


มาดูเมืองตอนกลางคืนกันครับแนะนำเลยว่าต้องมาค้างซักคืนที่นี่ครับเพราะกลางคืนสวยงามมากครับ


ร้านเครื่องดื่มเรียงรายอยู่ตามริมคลองน่านั่งชิวมากครับ


วันที่ 3เราก็เที่ยวในเมืองอูเจิ้งต่อพอเที่ยงเราก็เก็บของกลับเข้าเมืองนานกิงแล้วก็จะเที่ยวในเมืองนานกิงตออีก 2 วัน



เมืองนานกิง เมืองเอกของมณฑลเจียงซู

นานกิงมีประวัติศาสตร์อันยาวนาน เป็น 1 ใน 4 เมืองเก่าแก่ของประเทศจีน มีมรดกและโบราณสถานจำนวนมาก บริเวณชานเมืองตะวันออกปรากฏหลักฐานฟอสซิลกะโหลกศีรษะมนุษย์ apeman แสดงว่าเคยมีมนุษย์โบราณใช้ชีวิตอยู่ในนี้เมื่อ 30 ล้านปีก่อน และเมื่อ 5-6 พันปีก่อน ปรากฏหมู่บ้านดั้งเดิมจำนวนมาก



ในปี ค.ศ.1368 จูหยวนจาง สถาปนาเป็นจักรพรรดิราชวงศ์ต้าหมิง ประกาศเปลี่ยนชื่อ ยิ่งเทียนฝู่ เป็น นานกิงชื่อนานกิงจึงมาจากสมัยนั้น ในปี ค.ศ.1378 นานกิง เปลี่ยนชื่อเป็น จิงซี เป็นเมืองหลวงสมัยราชวงศ์หมิงตอนต้น และเป็นเมืองหลวงต่อเนื่องจากจักรพรรดิหงหวู่ จักรพรรดิเจี้ยนเหวิน ถึงจักรพรรดิหย่งเล่อ เป็นเวลานานถึง 53 ปี ในปี ค.ศ.1421 จักรพรรดิจูตี้ย้ายเมืองหลวงจากนานกิงไปยังกรุงปักกิ่ง แต่ยังคงรักษาสภาพราชวังเหมือนเดิมและตั้งสำนักงานราชการต่างๆ ระหว่างปี ค.ศ.1927-1949 สาธารณรัฐประชาชนจีนตั้งนานกิงเป็นเมืองหลวงอีกครั้ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงครั้งสุดท้าย



เรากลับไปถึงนานกิงเกือบค่ำพอเช็คอินทานอาหารเย็นเสร็จก็มาเดินเล่นที่ถนนคนเดิน ตลาดฟูจื่อเมี่ยว

วันที่ 4 เราไปเที่ยวที่อุทยานสุสานจงซาน ไปชมสถานที่สำคัญ 3 อย่าง ซึ่งตั้งอยู่บนยอดเขาจื่อจิงซาน ชานเมืองด้านตะวันออกของนานกิง



จุดแรกที่ชม สุสานดร.ซุนยัดเซ็น เป็นสุสานขนาดใหญ่โต ซึ่งสร้างขึ้นหลังจากดร. ซุนยัดเซ็นถึงแก่อาสัญกรรมในปี ค.ศ. 1925

มีอาณาบริเวณ 20 เอเคอร์ มีบรรไดหินแกรนิต 392 ชั้น(ซึ่งเท่ากับประชากรของชาวจีนขณะนั้นที่มี 392 ล้านคน) เพื่อขึ้นสู่หออนุสาวรีย์ ซึ่งหอนี้มีหลังคาดินเผาเป็นกระเบื้องสีน้ำเงิน

ส่วนอาคารที่เก็บศพอยู่ทางตอนล่างจากหออนุสาวรีย์ลงมาเล็กน้อย



ดร. ซุนยัดเซ็น ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาแห่งประเทศจีนใหม่ ภายหลังที่ท่านได้ถึงแก่อาสัญกรรม ท่านมีความปรารถนาที่ต้องการให้ฝังร่างของตัวเองเอาไว้ที่เนินเขาด้านใต้ของภูเขาจื่อจิงซานแห่งนี้



เมื่อไปถึงแล้วต้องจอดรถบัสไว้ด้านนอกแล้วขึ้นรถของทางอุทยานเข้าไปทีละจุด

แล้วก็ต่อรถเข้าไปกันครับ


นักท่องเที่ยวมากันเยอะจริงๆครับ


มื้อเที่ยงของวันนี้เราทานอาหารกันที่ ภัตตาคาร Dapaidangซึ่งก็๋อยู่ใกล้ๆบริเวณนี้ตรงเชิงเขาครับ


ร้านนี้ดูดีมีเอกลักษณ์โบราณๆครับ


ร้านนี้อาหารอร่อยและราคาไม่แพงคนทานกันเยอะเลยครับ


เมนูขึ้นชื่ออันดับหนึ่งของนานกิง "เป็ดหมักเกลือ" ที่ใครไปใครมาเมืองนี้จะต้องมาชิมกัน


จุดต่อไปเราจะไปชมสุสานจักรพรรดิหงอู่ หรือ สุสานหมิงเสี้ยวหลิง



เป็นสุสานหลวงตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติเขียวขจีที่จักรพรรดิหงอู่ประสงค์ให้สร้างขึ้นก่อนที่พระองค์จะเสด็จสวรรคตหลายปี

สุสานหงอู่หรือในภาษาจีนว่า “หมิงเซียวหลิง" ตั้งอยู่ทางใต้ของสุสานดร. ซุนยัดเซ็น เส้นทางเดินสู่ตัวสุสานจะมีรูปสลักหินและทหารขนาบตลอดสองข้างทาง

แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายยิ่งนักที่สุสานถูกปล้นในช่วงกบฏไท่ผิงทำให้สมบัติล้ำค่าที่เป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ภายในถูกนำออกไปจนหมดจนเกือบจะกลายเป็นสุสานร้าง



เราก็ต้องนั่งรถไปอีกจุดครับ

แล้วเราก็ไปต่อกันที่ วัดหลิงกู่



วัดหลิงกู่วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่ 14สำหรับสิ่งก่อสร้างสำคัญที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นอยู่ได้แก่ “หออู๋เหลียง"

เป็นหอไม่มีคาน ซึ่งสร้างด้วยศิลาทั้งหลัง ที่ด้านหลังวัดมีเจดีย์หลิงกู่ เจดีย์ 9 ชั้น สูง 60.5 เมตร สร้างในปีค.ศ. 1929เพื่อระลึกถึงเหยื่อสงครามในยุคขุนศึกที่มีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก



ตกเย็นเราไปล่องเรือกันครับขึ้นเรือที่ ตลาดฟูจื่อเมี่ยว



ล่องเรือแม่น้ำฉิงขวายเหอ เป็นแม่น้ำใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองนานกิง ถือเป็นแม่น้ำสายย่อยของแม่น้ำแยงซีเกียง แม่น้ำฉิงขวายเหอมีความยาว 110 กิโลเมตร โดยแบ่งออกเป็น 2 สาย ได้แก่ สายนอกและสายใน สายนอกไหลออกไปนอกเมือง ส่วนสายในไหลผ่านเมืองนานกิง และไหลไปบรรจบกับแม่น้ำแยงซีเกียง ซึ่งจะได้ล่องเรือชมช่วงไฮไลท์ ที่มีความยาว 4.2 กิโลเมตร สองข้างทางเป็นบ้านเรือนของเศรษฐีและร้านค้าต่างๆ ตกแต่งประดับประดาอย่างสวยงาม



ซื้อตั๋วเรือคนละ 60หยวนแล้วไปล่องเรือกันครับ


ล่องเสร็จแล้วก็เดินเล่นต่อบริเวณนี้สวยงามมากครับ


วันที่ 5 ซึ่งเป็นวันกลับเช้าเราไปชมสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียง



สะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงสะพานทอดข้ามแม่น้ำอันเชี่ยวกรากแห่งที่ 3 ของจีนต่อจากสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงในอู่ฮั่นและฉงชิ่ง

ซึ่งมีความยาวประมาณ 4.5 กิโลเมตร ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง เป็นสะพานเหล็กสองชั้น

การก่อสร้างสะพานต้องใช้แรงงานกว่า 9,000 คนและกินเวลายาวนานถึง 8 ปี โดยเริ่มสร้างเมื่อปี ค.ศ. 1960 แล้วเสร็จเมื่อปี ค.ศ. 1968 เนื่องด้วยก่อนก่อสร้างจีนใช้เทคโนโลยีและเหล็กกล้าของรัสเซียหลังจากที่จีนมีปัญหากับรัสเซียรัสเซียก็ยกเลิกความช่วยเหลือทั้งหมดรัฐบาลจีนจึงต้องมาออกแบบและหาวิธีทดลองเหล็กกล้าของจีนเป็นเวลาหลายปี

ดังนั้นสะพานข้ามแม่น้ำที่นานกิงนี้จีนจึงได้ประสบการณ์อย่างมากทั้งทางด้านเทคโนโลยีด้านอุปกรณ์และวัตถุดิบนับตั้งแต่นั้นมาประเทศจีนจึงมีความสามารถสร้างสะพานต่างๆที่สลับซับซ้อนด้วยเทคโนโลยีทุกรูปแบบ

โดยสะพานข้ามแม่น้ำแยงซีเกียงแห่งนี้ถือเป็นสะพานแห่งแรกที่ออกแบบและสร้างโดยเทคนิคของสถาปนิกจีนซึ่งถือเป็นความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของจีนภายใต้สายตาอันกว้างไกล

สะพานแห่งนี้ยังเคยได้รับการบันทึกในสถิติโลกว่าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำสำหรับรถยนต์และรถไฟที่ยาวที่สุดของโลก สุดยอดความยิ่งใหญ่แบบนี้

สถานที่สุดท้ายที่เราเที่ยวก่อนไปสนามบินคืออนุสรณ์สถานการสังหารหมู่นานกิง (Nanjing Massacre Memorial)



อนุสรณ์สถานการสังหารหมู่นานกิง อนุสรณ์สถานนี้สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ในนานจิงที่เปรียบเสมือนเป็นฝันร้ายที่ไม่มีวันลบเลือนได้ของชนชาวจีน

ภายในพิพิธภัณฑ์จัดแสดงภาพถ่าย รูปปั้นของชาวจีนที่พยายามหนีเอาชีวิตรอดและหลักฐานแสดงถึงความโหดร้ายของกองทัพญี่ปุ่นที่กระทำต่อชาวเมืองเมื่อเดือนธันวาคม ปี 1937ทั้งการทำลายล้างบ้านเรือน การข่มขืนสตรีไม่เลือกหน้าและการสังหารชาวจีนกว่า 300,000 คน



การเดินทางมาที่นี่มีรถไฟใต้ดินมาถึงข้างหน้าเลย


อันนี้จะเป็นดาบปลายปืนนะครับ


....

สถานที่ใหญ่โตมากครับแต่เต็มไปด้วยความโหดเหี้ยมและความเศร้าจริงๆครับ


เข้าไปดูข้างในกันครับข้างในเค้าห้ามถ่ายรูปเด็ดชาดเลยครับ


ภายในครับอันนี้แอบถ่ายจากกล้องมือถือครับเห็นคนจีนเค้าก็ใช้มือถือแอบถ่ายเหมือนกันภาพเลยไม่ค่อยชัดเท่าไหร่


อันนี้ของจริงนะครับเค้าบอกว่าสถานที่นี่สร้างบนสถานที่จริงที่ฆ่าหมู่กัน


การสังหารหมู่นานกิง (อังกฤษ: Nanking Massacre หรือ Nanjing Massacre) หรือรู้จักกันในนามการข่มขืนนานกิง (อังกฤษ: Rape of Nanking)เป็นการสังหารหมู่และการข่มขืนยามสงคราม (war rape) ซึ่งเกิดขึ้นเป็นเวลาหกสัปดาห์หลังญี่ปุ่นยึดนครนานกิง อดีตเมืองหลวงของสาธารณรัฐจีน เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม 1937 ระหว่างสงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่สอง


ในช่วงนี้ พลเรือนและทหารจีนที่ถูกปลดอาวุธหลายแสนคนถูกทหารกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นฆ่าทั้งยังเกิดการข่มขืนและฉกชิงทรัพย์อย่างกว้างขวางนักประวัติศาสตร์และพยานประเมินว่ามีผู้ถูกฆ่าระหว่าง 250,000 ถึง 300,000 คน

ผู้ก่อการสังหารหมู่หลายคน ซึ่งขณะนั้นถูกตราว่าเป็นอาชญากรรมสงคราม ภายหลังถูกไต่สวนและตัดสินว่ามีความผิด ณ ศาลชำนาญพิเศษอาชญากรรมสงครามนานกิง และถูกประหารชีวิต ในการนี้ เจ้าชายยะซุฮิโกะ อะซะกะ พระอนุวงศ์ญี่ปุ่น อันเป็นผู้ก่อการสำคัญคนหนึ่ง ทรงรอดจากการฟ้องคดีอาญา เพราะฝ่ายสัมพันธมิตรได้ให้ความคุ้มกันไว้ก่อน



จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรีเหตุการณ์นี้ยังเป็นประเด็นพิพาททางการเมือง เพราะนักลิทธิแก้ประวัติศาสตร์ (historical revisionist) และนักชาตินิยมญี่ปุ่นบางคนแย้งหลายแง่มุมของเหตุการณ์ดังกล่าวโดยอ้างว่า การสังหารหมู่มีการบรรยายเกินจริงหรือแต่งขึ้นทั้งหมดเพื่อจุดประสงค์ด้านโฆษณาชวนเชื่อ ผลของความพยายามของนักชาตินิยมที่จะปฏิเสธหรืออ้างความชอบธรรมในอาชญากรรมสงคราม ทำให้เกิดข้อโต้เถียงเกี่ยวกับการสังหารหมู่ยังเป็นอุปสรรคในความสัมพันธ์จีน-ญี่ปุ่น ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับชาติอื่นในเอเชีย-แปซิฟิก เช่น เกาหลีใต้และฟิลิปปินส์



การประเมินยอดผู้เสียชีวิตในการสังหารหมู่อย่างแม่นยำนั้นทำไม่ได้ เพราะบันทึกทหารญี่ปุ่นเกี่ยวกับการสังหารจำนวนมากถูกทำลายหรือเก็บไว้เป็นความลับโดยเจตนาไม่นานหลังญี่ปุ่นยอมจำนนในปี 1945 ศาลทหารพิเศษระหว่างประเทศภาคพื้นตะวันออกไกลประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์กว่า 200,000 คนทางการจีนประเมินว่ามีผู้เสียชีวิตราว 300,000 โดยอิงการประเมินของศาลชำนัญพิเศษอาชญากรรมสงครามนานกิง การประเมินจากนักประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นมีหลากหลายตั้งแต่ 40,000 ถึง 200,000 คนนักลัทธิแก้ประวัติศาสตร์บางคนปฏิเสธว่าไม่มีการสังหารหมู่เป็นระบบกว้างขวางเกิดขึ้นเลยโดยอ้างว่าการเสียชีวิตทั้งหมดมีคำธิบายทางทหารเป็นอุบัติเหตุหรือเป็นเหตุการณ์ความทารุณที่ไม่ได้รับอนุญาตที่ไม่เกี่ยวข้องกัน



แม้รัฐบาลญี่ปุ่นจะยอมรับการกระทำการฆ่าพลเรือนจำนวนมาก การฉกชิงทรัพย์และความรุนแรงอื่นโดยกองทัพบกจักรวรรดิญี่ปุ่นหลังนานกิงแตกทว่า เสียงข้างน้อยกลุ่มเล็กแต่ทรงอิทธิพลทั้งในรัฐบาลและสังคมญี่ปุ่นแย้งว่ายอดผู้เสียชีวิตนั้นแท้จริงเป็นทหารและไม่มีอาชญากรรมเกิดขึ้น การปฏิเสธการสังหารหมู่กลายเป็นส่วนสำคัญของลัทธิชาตินิยมญี่ปุ่น ในญี่ปุ่น ความเห็นสาธารณะต่อการสังหารหมู่มีหลากหลาย และมีน้อยคนที่ปฏิเสธการสังหารหมู่ทั้งหมดกระนั้น ความพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าของนักลัทธิแก้ที่จะสนับสนุนประวัติศาสตร์เหตุการณ์ของลัทธิแก้ได้สร้างข้อโต้เถียงซึ่งปรากฏในสื่อระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในจีน เกาหลีใต้และชาติอื่นในเอเชียตะวันออก เป็นระยะ

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

แฟ้มผู้เสียชีวิตครับไม่แน่ใจว่าครบทุกคนไม๊แต่ใหญ่โตมาก


ลองหยิบมาแฟ้มนึงเปิดดูกัน


เป็นข้อความแบบนี้ครับ


ให้เพื่อนในเฟสแปลให้ได้ประมาณนี้ครับ

ปี1937. บ่าย3 ฉันกับพ่อ. จางปู้โจว ต้องไปหลบซ่อนที่บ้านคนอื่น.

พ่อของฉันมีใบ หรือบัตรที่สามารถให้ทหารญี่ปุ่น ตรวจสอบแล้วผ่านได้.

พ่อเลยพาหนี ไปบ้านเพื่อน แต่เพื่อนโดนทหารญี่ปุ่นฆ่าตายแล้ว

เวลาเจอทหารมาตรวจก็จะให้พวกเราหลบหลังบ้าน พ่อออกมารับหน้า

แต่มีบัตรแสดงก็โดนยิงตายเหมือนกัน. หลังจากพ่อตายพวกเราก็หลบหนี.

ปี1937 หน้าหนาว คนญี่ปุ่นมาถึงเมืองจีน ฆ่าคน เผาบ้านเรือน ลุงของฉัน2คน เชียะต้าห้าว กับ เชียัต้าหู ถูกทหารญี่ปุ่นฆ่าตาย


คนนึงโดนยิงที่หัวตายทันที คนนึงโดนยิงที่หน้าอกมีคนพากลับบ้านสามารถอยู่ได้อีกหลายวันถึงตาย

มองจากด้านหน้าข้างในยังมีซ้อนเข้าไปอีกหลายชั้นเลย


ออกจากอนุสรณ์สถานเราก็เดินทางไปสนามบินเลยเพื่อขึ้นเครื่องกลับไทยเที่ยวบินXW 087เวลาออก 20.00 น.


สนามบินที่นี่ใหม่กิ๊กๆเลยครับ

นกสกู๊ตเช็คอินแถว A นะจ๊ะ


เวลาออกตรงเวลาเป๊ะจ้า


น้องปลายฟ้าลำเดิมพาเรากลับบ้านจ้า


และก็จบแล้วละครับ



ขอบคุณนกสกูตที่พาเราไปเที่ยวนานกิงก็สนุกและสวยงามมากครับ



ขอบคุณพันธทิพย์พื้นที่ดีๆที่ให้เราได้เก็บข้อมูลและศึกษาข้อมูลเพื่อการไปเที่ยวเองได้ง่ายๆและมาแบ่งปันกันให้กับเพื่อนๆต่อไป



ขอบคุณเพื่อนๆทุกท่านที่ติดตามกันมาตลอดๆแล้วพากันมาเที่ยวนานกิงดูนะครับ



จากแม่ประนอมนะจ๊ะ

แม่ประนอม

 วันจันทร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2558 เวลา 21.09 น.

ความคิดเห็น