รีวิวนี้เราจะพาหนีความวุ่นวายในเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น ไปตะลอนอีกสองเมืองเล็กน่ารัก ที่เราทั้งคู่หลงรัก
Shirakawa-go หมู่บ้านญี่ปุ่นโบราณ น่ารัก ตะมุตะมิ
Takayama เมืองที่มีเสน่ห์ความเป็นญี่ปุ่นยุคเก่าหลงเหลืออยู่ และโด่งดังเรื่อง เนื้อฮิดะ หนึ่งในเนื้อที่ดีที่สุดของญี่ปุ่น แบบว่านุ่มมมมละลายในปาก ที่ไทยขายกันสามสี่พัน แต่ที่นี่สามสี่ร้อยบาทก็ฟินได้แล้วเด้อออ บอกเลยว่า สายเนื้อ ห้ามพลาด!
แพลน 3 วัน 2 คืน แบบสโลว์ไลฟ์ ไปเรื่อยๆ แพลนไม่แน่น ไม่เน้นเก็บทุกอย่าง แต่ครบเครื่อง
Tokyo-Takayama-Shirakawago-Osaka
Day 1: Tokyo-Takayama
17:05 - Nohi Bus to Takayama from Shinjuku Expressway Bus Terminal [JPY6,690 / person]
22:35 - Arrive at Takayama Bus Station Takayama Bus Station
23:00 - Check-in at hotel J-Hoppers Hida Takayama [JPY11,187 / 2 nights]
Day 2: Takayama
- Lunch at Kotaro Restaurant [Hida Beef]
- Takayama Jinya
- Nakabashi Bridge
- Takayama Old Town
- Kokubun-ji Temple
Day 3: Takayama-Shirakawago-Osaka
08:10-12:10 - Shirakawa-go Half Day Bus Tour with J-Hoppers [JPY3,900 / person]
16:50 - Nohi Bus to Osaka [JPY4,700 / person]
ถ้าสนใจชมรีวิวแบบวิดีโอสั้นๆ ตามไปได้ที่นี่เลยจ้า > www.facebook.com/bestiewanderer
01. ออกเดินทางไป Takayama จาก Tokyo โดย Nohi Bus
การเดินทางไปทาคายาม่าจากโตเกียวมีทั้งแบบนั่งรถบัสและรถไฟ เราไม่อยากไปเปลี่ยนขบวน เปลี่ยนรถหลายรอบเลยเลือกเดินทางด้วยรถบัส Nohi Bus โดยซื้อตั๋วมาแล้วผ่านทางเว็บไซต์ www.nouhibus.co.jp/english/ และปริ้นท์ตั๋วไปจากบ้านเลย ราคาคนละ 6,690 เยน ไปขึ้นรถที่ชินจูกุตรง Shinjuku Expressway Bus Terminal เราเลือกรถรอบ 17:05 น. จะไปถึงทาคายาม่าตอน 22:35 น. ใช้เวลาประมาณ 5 ชั่วโมง มีแวะจุดพักรถระหว่างทางบ้าง 3-4 ครั้ง ดูตารางเวลารถออกได้ที่เว็บไซต์เลยจ้า
ก่อนขึ้นรถบัส เราเอากระเป๋าเดินทางไปฝากไว้ที่ Tourist Information Center เพื่ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกแป้บนึงค่ะ จะมีเค้าเตอร์ของ Sagawa Cloak & Delivery ให้บริการรับฝากอยู่ค่ะ (เสียค่าใช้จ่าย) จริงๆแล้วในสถานีจะมีล็อกเกอร์ให้ฝากด้วย แต่ช่วงที่เราไปดันปิดปรับปรุงพอดีเลย
บรรยากาศตรงที่ขึ้นรถ จริงๆแล้วภายในจะมีที่งนั่งรอ มีมินิมาร์ท แต่เสียดายที่ไม่มีมุมให้ชาร์ทแบต (แต่บนรถบัสมีช่องให้เสียบชาร์ทแบตจ้า)
02. เข้าพักที่ J-Hoppers Hida Takayama 2 คืน
หลังจากที่เรานั่งรถมาถึง Takatama เวลาประมาณสี่ทุ่มครึ่ง ก็แวะซื้อเสบียงกันก่อนเข้าที่พัก เราจองห้องไว้กับ J-Hoppers Hida Takayama Guesthouse จองทางเว็บไซต์โรงแรมโดยตรง ถ้าจะมาเช็คอินหลัง 4 ทุ่มต้องอีเมลแจ้งทางโรงแรมก่อนนะคะ เพราะหลังสี่ทุ่มบางทีเค้าไม่มีพนักงานรออยู่ เค้าจะเตรียมกุญแจห้องไว้ให้เรา และให้พาสเวิร์ดเข้าโรงแรมมาค่ะ
เราเลือกเป็นห้องส่วนตัวสำหรับ 2 คน ราคา 11,187 เยน 2 คืน หารกันก็คนละห้าพันเยนนิดๆ โดยรวมถือว่าโอเคมาก ในเรื่องทำเล ราคา ฟูกก็นุ่มอยู่นะคะ ภายในห้องมีตู้เสื้อผ้าใหญ่พอที่จะใส่กระเป๋าเดินทาง 30 นิ้ว สองใบได้ มีโต๊ะนั่งทานอะไรได้นิดหน่อย มีฮีตเตอร์
ห้องน้ำในแต่ละชั้นคือเป็นแบบส่วนรวม ห้องอาบน้ำจะอยู่ที่ชั้นล้อบบี้ แยกชาย/หญิง มีเครื่องซักผ้า มีไดร์เป่าผมให้ยืม
พื้นที่ส่วนรวมจะมีโซฟาให้นั่งเล่น นั่งอ่านหนังสือได้ มีห้องครัว มีตู้เย็นส่วนรวม มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้ และมีรองเท้าบู๊ทให้ยืมใส่ด้วยนะคะ
ถ้าใครตั้งใจจะไป Shirakawa-go อยู่แล้ว เราว่าซื้อทัวร์กับทางโรงแรมก็สะดวกดีนะคะ เค้าลดราคาให้แขกของโรงแรมอีก 500 เยนด้วย จ่ายค่าทัวร์ไปคนละ 3,900 เยน เป็นทัวร์แบบครึ่งวัน เลือกได้ว่าเช้าหรือบ่าย ได้รถไป-กลับจาก ทาคายาม่า-ชิราคาวาโก และรถก็พาขึ้นมาจุดชมวิวของหมู่บ้านด้วยนะคะ
เซเว่นอยู่ห่างจากที่โรงแรมประมาณ 5-10 นาที
บรรยากาศแถวโรงแรม ช่วงต้นมีนา หิมะละลายจะหมดแล้ว แต่ยังหนาวอยู่นะคะ ตอนเราไปอากาศประมาณ 5-10 องศา
03. เดินเล่นในเมือง Takayama และชิม เนื้อฮิดะ ในตำนาน
วันรุ่งขึ้นหลังจากมาถึง เราเลือกที่จะพักก่อน ยังไม่ไปไหนไกลอีก เพราะเมื่อคืนนั่งรถมาไกล ยังเพลียกันอยู่ เลยขอตื่นสายๆแล้วไปเดินเล่นสโลว์ไลฟ์กันในหมู่บ้าน ยอมรับเลยว่าก่อนมาถึง เราแพลนกันเยอะมากเพราะนี่คือทริปญี่ปุ่นครั้งแรกของพวกเรา ว่าจะไปเล่นสกีเอย ไปแช่ออนเซ็นเอย ไปเดินตลาดเช้าเอย แต่พอจริงๆทั้งหนาวทั้งเหนื่อย แพลนแน่นไปมันไม่ไหวจริงๆ เราเลยปรับกันตรงนั้นเลยเอาให้สบายๆ ไม่หนักไปดีกว่า เดี๋ยวจะพาลป่วยกันซะตั้งแต่วันแรกๆ
เริ่มจากที่แรกเลยละกันนะคะ เราออกจากโรงแรมกันประมาณเกือบ 11 โมง และเดินตามหาร้านเนื้อฮิดะ แบบมั่วๆ เดินไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอร้านเนื้อฮิดะชื่อ kotaro เป็นร้านเล็กๆ มีโต๊ะอยู่ประมาณ 4 โต๊ะ และหน้าบาร์นั่งได้อีก 5-6 คน มีคุณลุงกะคุณป้าชาวญี่ปุ่นช่วยกันทำช่วยกันเสิร์ฟ
ร้านเปิดสองช่วงเวลา ตอน 11.30 - 14.00 และ 17.00 - 20.30
จากที่เราเดินๆสำรวจมา ร้านนี้ถือว่าราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับร้านอื่นๆ มีชาเขียวให้ดื่มฟรี ส่วนเมนูอาหาร ดูตามด้านล่างนี้ได้เลยค่ะ
เมนูแรกที่เราเลือกสั่งคือ เนื้อฮิดะย่างบนใบมิโสะ ราคา 2400 เยน เสิร์ฟมาพร้อมซุป สลัด และข้าว
เซตนี้ สุกี้ยากี้เนื้อฮิดะ 1700 เยน เสิร์ฟมาพร้อมข้าว สลัด น้ำซุบเข้มข้นกลมกล่อม เส้นก็เหนียวนุ่ม ทานเพลินมากๆๆ
บอกตามตรงว่าตอนแรกที่เคยอ่านๆมาก็ไม่ค่อยเชื่อว่าจะอร่อยอะไรขนาดนั้น แต่พอได้มาชิมเองจริงๆ คำแรกที่เข้าปากไปก็ประทับใจมากกกก มันนุ่ม มุนละลายในปากอย่างบอกไม่ถูก มีความละมุนในตัวของมันเอง ใครชอบทานเนื้อต้องไม่พลาดเลยจริงๆนะคะ!
หลังจากทานอิ่มแล้วเราจะเดินเล่นในเมืองทาคายาม่ากันต่อ จุดหมายแรกคือสะพานแดงนากาบาชิ แบบเดินไปเรื่อยๆ เจอจุดไหนสวยก็หยุด แล้วค่อยไปต่อ อากาศดีเย็นสบาย ให้เดินทั้งวันก็ไหวเนาะ ^^
ระหว่างทาง เราเจอ อาคารทาคายาม่าจินยะ(Takayama Jinya) ลองหาข้อมูลดูแล้วเจอว่า เป็นที่ทำงานและที่อยู่อาศัยของผู้ว่าราชการจังหวัดฮิดะ เป็นเวลากว่า 176 ปี จะมีเอกสารเก่า อาวุธ ชุดของข้าราชการสมัยโบราณ จัดแสดง
ค่าเข้าชม: 430 เยน เวลาเปิด-ปิด: 08:45 - 17:00
รอบๆอาคารทาคายาม่าจินยะ มีต้นไม้และสวนสวยๆ น่าถ่ายภาพเป็นที่ระลึก ถ้าไม่ได้เข้าไปในส่วนที่จัดแสดงก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย
ใกล้กับสะพานแดงจะมีร้านขายแป้งญี่ปุ่นปิ้งแบบนี้อยู่ ไม้ละ 80 เยน เราลองซื้อมาชิมกัน 1 ไม้ รสชาติจะเค็มๆซอส และแป้งจะเหนียวๆนิดๆ
หลังจากเดินๆแวะๆกันมาพักนึง เราก็ถึงจุดแลนด์มาร์กของทาคายาม่ากันสักทีจ้า นี่เลยค่ะ สะพานแดงนากาบาชิ
สะพานแดงนากาบาชิที่ข้ามแม่น้ำมิยาคาวาเชื่อมไปยังย่านเมืองเก่า ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองทะคะยามา เดินจากสถานี JR มาประมาณ 10 นาที สะพานนี้ถูกล้อมรอบด้วยต้นหลิวและดอกซากุระทำให้ดูสวยงามจากสีที่ตัดกันระหว่างสีแดงและสีเขียว ในฤดูใบไม้ผลิที่นี่มีชื่อเสียงมากเกี่ยวกับดอกซากุระและในเวลากลางคืนจะสวยงามเป็นพิเศษเนื่องจากมีการประดับต้นไม้ด้วยแสงไฟ
เราไปกันช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว หิมะละลายหมด และดอกไม้ก็ยังไม่ออก เลยดูเหงาๆหน่อยนึง แถวสะพานจะมีรถลากสไตล์ญี่ปุ่นคอยให้บริการลากชมเมืองด้วยค่ะ ราคาประมาณ 5000 เยน
หลังจากข้ามสะพานแดงมา เราจะพบกับโซนเมืองเก่า หรือ ย่าน Old Town นักท่องเท่ยวส่วนใหญ่ที่มาเมืองนี้ ต้องแวะมา เดินชมสถาปัตยกรรม บ้านเรือนทรงเก่า มีของพื้นเมืองขาย เป็นของฝากที่ระลึก และมีร้านอาหารอยู่ตรงนี้เยอะพอสมควร ตรงนี้ใช้เวลาเดินๆแวะๆ ซื้อของบ้าง ถ่ายรูปเล่นบ้าง ประมาณ 1 ชั่วโมงก็ทั่วแล้วจ้า
ถ้าใครมาเมืองนี้ ไม่ต้องแปลกใจเลยที่จะเห็นเจ้าตุ๊กตาตัวแดงๆนี่เต็มเมืองไปหมด เจ้าตัวนี้มีชื่อเรียกว่าซารุโบโบะ(Sarubobo) Saru = ลิง Bobo = เด็ก (มาจากคำว่าเบเบี้เป็นทับศัพท์นะ) ตัวสีแดงเป็นเอกลักษณ์แต่ความจริงแล้วมีหลายสี แต่ละสีจะมีความหมายเช่นสีทองเรื่องเงินทอง สีชมพูเรื่องความรัก สีฟ้า,น้ำเงินเรื่องการเรียน ประมาณนี้ ปัจจุบัน มักจะเป็นของที่ระลึกจากหมู่บ้านฮิดะแล้วก็เป็นเครื่องรางต่างๆนาๆ
ต่อไปเราไป วัดฮิดะ โคคุบุนจิ (Hida Kokubunji) กันค่ะ อาคารหลักของวัดนี้เป็นอาคารที่เก่าแก่ที่สุดของทาคายามะ และได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมด้วยนะ
เนื่องจากเราเดินกินมาตลอดทาง เลยขอลองกันแค่ 3 ลูก ราคา 500 เยน
มีความหนึบนอกนุ่มใน และเนื้อหอมกรุ่นสุดๆ
ปล. กัดระวังๆเนาะ ร้อนมากจริงๆ เดะปากพองเอาเด้อ
หน้าร้านทาโกยากิเนื้อ ขอโทษจริงๆไม่รู้ชื่อร้านอะไร เค้าเดินมั่วมาเจอ เค้าอ่านไม่ออก TT
ใกล้กันนั้นมีซุปเปอร์มาเก็ต เราไปสะดุดตาที่แผงสตรอเบอร์รี่เรียงรายกันอยู่ แดงก่ำน่ากินมากกกก แพ็คละ 409 เยนเท่านั้นเองเด้ออออ ร้อยกว่าบาทเท่านั้นค่ะท่านผู้ชม!! เหมาๆๆๆๆ
มาต่อกันที่ซาลาเปาเนื้อฮิดะ!! คนเยอะมาก หมดเร็วมาก ต้องรีบมานะ พิกัดคือ...ถามโฮสเทลมาค่ะ เค้าแนะนำร้านนี้มา
ถ้าไม่กินเนื้อ ก็มีไส้อื่นๆเช่น แตงกวาดอง ถั่วแดง หรือฟักทองก็มีนะ แล้วก็มีไอศกรีมซอฟต์เสิร์ฟขายด้วย ใครไม่กลัวหนาวก็จัดไปจ้า
บรรยากาศรอบๆแถวนั้น ค่อนข้างเงียบ ไม่มีอะไรเท่าไหร่ค่ะ จะเป็นบ้านคน ร้านอาหารนิดหน่อยประมาณนั้น
แต่ระหว่างทางที่เรากำลังจะกลับโรงแรม ดันไปเจอโซนนี้เข้าโดยบังเอิญ น่าจะเป็นจุดที่รวมร้านอาหาร ร้านเหล้า อะไรทำนองนี้ เราผ่านไปตอนประมาณ 4 โมงเย็น ร้านยังไม่เปิดกันสักร้านเลยจ้า
ร้านแถวนั้นยังไม่เปิด เราเลยซื้อเบียร์ในมินิมาร์ทมากินกันแก้เก้อไปก่อน แหะๆ กระป๋องซากุระนี่มันน่ารักเนาะ ^^
มาถึงมื้อเย็น เราสองคนตัดสินใจไปหาเนื้อฮิดะทานกันอีกแล้วจ้า ถ้าสายเนื้อมาทาคายาม่าแล้วไม่ชิมเนื้อฮิดะ ถือว่าผิด! ลองเหอะ เราไม่รู้จะพูดยังไง คือมันนุ่มมาก ละลายในปากมาก เรากินทุกมื้อที่อยู่เมืองนี้เลย กลับมายังอยากตามหากินในไทยอีกนะ แต่แม่เจ้า! ลองดูแล้วมีแค่สองสามร้านที่นำเข้ามาขาย และราคาโหดเด้ออออ จานละ 3000-4000 บาท ไปกินที่เมืองต้นตำรับนี่ 300-400 บาทก็ฟินได้แล้วอ่ะ
รอบนี้เหนื่อยไม่อยากเดินมั่วเอง เลยสอบถามเจ้าหน้าที่ที่โรงแรม และเค้าแนะนำร้านนี้มาเพราะบอกว่าคนไทยชอบมากินกัน โดยเข้าเปิดกูเกิ้ลแมพให้ แล้วเราก็เดินตามแมพมาเลยค่ะ จาก J-Hoppers ไม่เกิน 10 นาทีก็ถึงร้าน
ร้านนี้เปิดเฉพาะตอนเย็น บรรยากาศภายในร้าน มีที่นั่งอยู่ประมาณ 5 โต๊ะ และเค้าเตอร์หน้าบาร์นั่งได้อีกประมาณ 5-6 คน
เมนูของทางร้าน มีภาษาอังกฤษด้วย หายห่วงจ้า
นี่คือที่เราสั่งกันมาจ้า มี เนื้อ Deluxe loin ราคา 1600 เยน เนื้อ Loin 950 เยน เซตผัก 600 เยน มิโสะซุป 300 เยน ข้าว 150 เยน และ สาเก 800 เยน
สาเกนี่ เรากินกันไปได้แก้วเดียว ก็ขอบายค่ะ มันแรงมากและบาดคอจัง สงสัยจะเลือกยี่ห้อพลาดไปหน่อย T-T
กลับห้องไปก็สลบ รีบเข้านอน เตรียมตัวไปหมู่บ้าน Shirakawa-go วันรุ่งขึ้นจ้า
04. ชมหมู่บ้าน Shirakawa-go หนึ่งในมรดกโลก
เราจองทัวร์มาจากโรงแรมที่เรานอนคือ J-Hoppers ปกติทัวร์จะราคา 4,400 เยน แต่ถ้าเป็นแขกของโรงแรม จะเหลือ 3,900 เยน/คน ได้รถไป-กลับจาก ทาคายาม่า-ชิราคาวาโก และรถก็พาขึ้นมาจุดชมวิวนี้เลย สะดวกดีนะเราว่า ออกจากทาคายาม่า 8 โมงกว่า และกลับตอนเที่ยง
จุดขึ้นรถคือใกล้กับสถานี JR ค่ะ
ตรงข้ามกับร้านขายของที่ระลึกร้านนี้
ระหว่างทางไปหมู่บ้านชิราคาวาโก เต็มไปด้วยหิมะ และมีเมฆเยอะมากๆ ฝนทำท่าจะตก แต่ก็ไม่ตกค่ะ
จุดแรกที่ทัวร์จะปล่อยให้ลงคือ จุดชมวิว ที่ใครไปก็ต้องไปถ่ายรูปจุดนี้ ไม่งั้นเหมือนจะมาไม่ถึง!
ที่เห็นในรูปนี้คือเราไปมาเมื่อต้นเดือนมีนาคม 2017 ที่หมู่บ้านยังพอมีหิมะอยู่บ้าง แต่ไม่หนาจนเต็มหลังคาบ้าน อากาศตอนนั้นอุณหภูมิ เลขหลักเดียว มีฝนบ้างประราย บางวันก็มีหิมะตกมานิดหน่อย เรามีเวลาอยู่ตรงนี้ประมาณ 15 นาที ทางไกด์ก็เรียกขึ้นรถเพื่อพาไปที่หมู่บ้านค่ะ
ถ่ายตารางเวลารถที่จะมาจุดชมวิวจากหมู่บ้าน Shirakawa-go มาฝากค่ะ เผื่อใครไม่ได้มากับทัวร์และไม่อยากเดินขึ้นมาตรงนี้ ต้องใช้บริการรถราคา 200 เยน/คน/เที่ยว
บรรยากาศใกล้ๆกับจุดชมวิว ลองเทียบกับตัวคนในภาพดูแล้วจะเห็นว่าหิมะยังหนามากจ้า
พอไปถึงแล้วทัวร์จะปล่อยฟรีนะ ให้เราเดินกันเอง ไม่ได้มีไกด์ถือธงนำขบวนอะไรแบบนั้น มีเวลาให้อยู่นี่ 2 ชั่วโมงค่ะ พอถึงเวลานัดก็กลับมาเจอกันที่รถ
ป้ายมีภาษาไทยด้วย ดูก็รู้ว่าคนไทยไปกันเยอะแค่ไหน ฮ่าๆ
บริเวณในหมู่บ้านห้ามสูบบุหรี่นะคะ เพราะหลังคาบ้านติดไฟได้ง่าย
ถ่ายกับฝาท่อน่ารักๆก่อนสักหน่อย
ที่เห็นในรูปนี่คือ เราต้องเดินข้ามสะพานแขวนนี้ เพื่อเข้าหมู่บ้านจ้า มันจะโยกๆหน่อยๆ แต่ว่าดูแข็งแรงปลอดภัยดีนะคะ
พอข้ามสะพานเข้าหมู่บ้านเราแค่เดินชมวิว ถ่ายรูปเล่น ซื้อของที่ระลึก ไม่ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์และไม่ได้เข้าร้านอาหาร เราว่าถ้าต้องการแค่นี้ มาครึ่งวันกับทัวร์ก็สะดวกมากเลย มีคนคอยบรรยายให้ฟังบนรถด้วยว่าอะไรเป็นอะไร ควรไปตรงไหน ไกด์น่ารักดี คือปลื้มมมม
ร้านต่างๆจะขายของแฮนด์เมก ของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆน่ารักๆ
มีตู้ไปรษณีย์ด้วยนะ เผื่อใครอยากส่งโฟสการ์ดเป็นที่ระลึก
บรรยากาศโดยรวมคือหิมะเริ่มค่อยๆละลาย ตามหลังคาแทบไม่มีเหลืออยู่แล้วค่ะ อากาศถึงจะหนาว แต่ก็มันส์จ้า ถ่ายรูปกับหิมะกันเพลินเลย นานๆได้มาเจออากาศแบบนี้ทีก็เอาซะเต็มที่เลยจ้า ฮ่าๆ
ขอปิดท้ายทริปที่รูปใบนี้แล้วกันนะคะ สำหรับใครที่กำลังวางแผนไปเที่ยวญี่ปุ่น เราอยากให้ลองมองเมืองเล็กๆน่ารักๆอย่าง Shirakawa-go และ Takayama ไว้ในแพลน ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเองจริงๆ แล้วคุณอาจจะประทับใจสองเมืองนี้เหมือนเราสองคน
ขอบคุณทุกคนที่อ่านกันจนจบ แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางครั้งต่อไปของเราสองคนเร็วๆนี้นะคะ
ติดตามอ่านรีวิวอื่นและดู VDO ท่องเที่ยวแบบฉบับสองสาวคู่ซี้ได้ที่ช่องทางด้านล่างนะคะ
Facebook: https://www.facebook.com/bestiewanderer/
Bestie Wanderer
วันพุธที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 17.09 น.