A "ไปไหนดี ที่ไม่ใช่ทะเล เบื่อแล้ว"

B "เอาจริง ๆ ก็อยากไปลาวอยู่นะ"

..........................................................................

นั่นคือจุดเริ่มต้นของการไปเที่ยวครั้งนี้ คนหนึ่งไม่อยากไปทะเล อีกคนอยากไปลาว ลาวที่ไม่ใช่ทะเล คงเป็นที่ไหนไปไม่ได้นอกจาก วังเวียง สถานที่ท่องเที่ยวเชิงธรรมชาติที่กำลังฮิตอยู่ตอนนี้ ซึ่งมิตรสหายของเราทั้งสอง ไม่มีใครว่างไปด้วย สุดท้ายก็ไปกันสองคนค่ะคุณ เราไป 4 วัน 3 คืน ตั้งแต่วันที่ 4-7 มิถุนายน 2560 ที่ผ่านมา

จากการไปใช้ชีวิตที่วังเวียง เมืองเล็ก ๆ ที่ถึงแม้จะเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว แต่ก็เป็นเมืองที่สงบ ปลอดภัย ใกล้ชิดธรรมชาติ และผู้คนก็เป็นมิตรมาก ๆ เช่นกัน

สิ่งที่ขาดไม่ได้ในการไปวังเวียง คือ Passport แล้วก็พกปากกาไปด้วยนะ

ทริปนี้เป็นการbackpack ค่ะ ไป4วันด้วยกระเป๋าใบเดียว ไม่มีกล้อง ไม่มีไม้เซลฟี่ มีแค่ของที่จำเป็น

แผนการท่องเที่ยวทั้ง 4 วัน

วันที่ 1 ( 4 มิถุนา ) เดินทางจากขอนแก่น-อุดรธานี แล้วต่อรถอุดรธานี-วังเวียง หาที่พัก

วันที่ 2 ( 5 มิถุนา ) เช่าจักรยานไปถ้ำจัง เดินเล่นในตัวเมือง กินส้มตำริมแม่น้ำซอง

วันที่ 3 ( 6 มิถุนา ) One day trip : พายเรือคายัก นั่งห่วงยางลอดถ้ำ กินข้าวกลางวัน บลูลากูน

วันที่ 4 ( 7 มิถุนา ) เดินทางกลับ วังเวียง-อุดรธานี-ขอนแก่น

เพื่อให้การรีวิวเป็นไปอย่างราบรื่น เราจะสรุปค่าใช้จ่ายทั้งหมดไว้เลยนะคะ เป็นค่าใช้จ่ายของเราคนเดียว ไม่ได้เอาทั้งหมดมารวมกันหาร 2 เพราะมีบางอย่างที่กินไม่เหมือนกัน เป็นค่าใช้จ่ายโดยประมาณ ซึ่งคิดเป็นเงินไทยเรียบร้อยแล้วค่ะ

ค่าเดินทาง : 900 บาท

ที่พัก 3 คืน : 750 บาท

อาหาร : 950 บาท

ท่องเที่ยว : 825 บาท ค่าผ่านแดน 55 บาท

ค่าเข้าวังเวียงรีสอร์ต 10 บาท

ค่าเข้าถ้ำจัง 60 บาท

เช่ารถจักรยาน 30 บาท

one day trip 670 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมด 3,425 บาท


วันที่หนึ่ง

เริ่มเดินทางกันเลยค่ะ เรากับเพื่อนเช็ครอบเดินทางรถไฟในเว็บไซต์เอาไว้ ซึ่งรอบที่คิดว่าเหมาะสมที่สุดคือ ตอนตี 4 ค่ะ จึงนั่งรถแท็กซี่ไปที่สถานีรถไฟขอนแก่นที่ปรับปรุงแล้ว ถึงประมาณตี 3 ครึ่ง เมื่อเดินไปที่ห้องซื้อตั๋ว ไม่พบใครสักคนจึงไปถามลุงยาม

เรา : พนักงานขายตั๋วไปไหนกันหมดคะ

ลุงยาม : นอนอยู่ในห้อง เขาจะตื่นอีกทีช่วงใกล้ ๆ ขายตั๋ว ตอนตี5นู่น

เราและเพื่อน : มองหน้ากัน ส่งสายตาที่แฝงไปด้วยคำถามว่า"ว้อททท นอนเหรอ? ตี 5 เหรอ"

แล้วก็ได้มารู้จากปากลุงยามทีหลังว่ารถไฟรอบตี 4 จะราคา 500 บาท ถ้ารถไฟฟรีต้องรอบตี 5 ซึ่งถ้าเราขึ้นรอบนี้จะไม่ทันรถอุดร-วังเวียงที่จะออกตอน 8.30 น. แน่ ๆ ความคิดแรกที่ผุดขึ้นมาในหัวคือ "เอาแล้วว งานเข้าละ"

ณ เวลานั้นคิดแผนสองเลยว่า ต้องไปขึ้นรถตู้ขอนแก่น-อุดรธานี ที่จะออกตอน 6 โมงเช้า ก็เลยทำได้แค่นั่งรอให้เวลาผ่านไปจนถึงตี 5 ถึงได้ออกจากสถานีรถไฟแล้วไปสถานีปรับอากาศ

**เหตุการณ์ครั้งนี้สอนให้รู้ว่า หากต้องการเดินทางด้วยรถไฟ ควรมาเช็ครอบรถไฟที่สถานีจะชัวร์กว่าเช็คในเว็บไซต์**

พอเข็มนาฬิกาเดินมาถึงเลข 5 เราสองคนจึงนั่งรถสามล้อไปสถานีปรับอากาศ แล้วรีบไปหาอาหารเช้ารองท้องก่อน ซึ่งก็เดินไปไม่ไกลมาก อยู่แถว ๆ สถานีปรับอากาศเลยค่ะ จำชื่อร้านไม่ได้ แต่เป็นร้านข้าวต้ม ไข่กระทะ อยู่ตรงข้ามเซเว่น

6 โมงเช้า ได้เวลารถตู้ออกเดินทางไปอุดร ซึ่งมาถึงบขส.อุดร เวลาประมาณเกือบ 8 โมงเช้า เดินเข้าไปที่ห้องจำหน่ายตั๋วก็จะเห็นแบบนี้ค่ะ แล้วก็เลี้ยวขวา


เมื่อเลี้ยวมาแล้วจะเจอห้องจำหน่ายตั๋ว เราสองคนก็นั่งรอเวลาเพื่อจะซื้อตั๋ว

อันนี้เป็นตารางเวลาเดินรถ ของอุดรธานี-วังเวียง มีแค่วันละรอบตามที่เราโอดครวญกลัวว่าจะไม่ทัน คือรอบ 08.30 น. เท่านั้นนะคะ

หลังจากที่ถ่ายรูปตารางเดินรถเสร็จ สายตาก็เหลือบไปเห็นป้ายนี้เข้าพอดี "ช่องนี้คอมเสีย" แล้วความคิดเดิมก็ผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง "เอาแล้วว งานเข้าแล้ว" เราจึงเลื่อนสายตาขึ้นไปอ่านป้ายบน แต่ความที่เป็นคนต่างถิ่น และระยะเวลาก็บีบบังคับให้ต้องเร่งรีบ จึงทำให้รู้สึกกระวนกระวายวิ่งตามหาตึกสีส้มตามที่เขาเขียนเอาไว้

เจอแล้วค่ะ ตึกสีส้ม จากที่บอกว่าวิ่งตามหาเลยทำให้รู้สึกว่าตึกนี้อยู่ไกล แต่ไม่ไกลนะคะ5555 อยู่ตรงทางออกจากห้องซื้อตั๋ว มองออกไปทางซ้ายก็จะเห็นเลย แล้วทำไงต่อคะ.....ไปซื้อค่ะ ด่วนเลย วิ่งงงง!!

เมื่อซื้อตั๋วรถในราคา 320 บาท แล้ว ก็มานั่งรอรถออกที่ช่อง 14 ค่ะ รู้สึกโล่งมากหลังจากที่ได้ตั๋ว คิดว่าจะไม่ได้ไปแล้ว ระหว่างนั่งรอก็จะเห็นคนสะพายกระเป๋าเป้ แบกกล้อง ถือถุงขนม เดินมานั่งอยู่ที่เก้าอี้บริเวณเดียวกัน จนทำให้รู้ไปโดยปริยายว่านั่นคือเพื่อนร่วมทางของเรา วันนี้คนไม่ค่อยเยอะค่ะ มีแค่ 3-4 กลุ่มเล็ก ๆ

ระหว่างที่เดินทาง พี่พนักงานบนรถจะแจกบัตรขาเข้า-ออก ทั้งของไทยและของลาวให้เราเขียนไว้รอจะได้ไม่เสียเวลาเมื่อถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ปากกาที่ให้พกมาก็เพื่อเอาไว้ใช้ตอนนี้ค่ะ **อย่าลืมเก็บขั้วบัตรทั้งสองใบเอาไว้ใช้ตอนกลับไทยนะ อย่าให้หาย**

เวลาประมาณ 10 โมงก็เดินทางมาถึงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว หลังจากนั้นให้ลงไปตรวจpassport ที่ห้องกระจกกว้าง ๆ หาไม่ยากนะ เดินตามคนอื่นเข้าไปเลยจ้าา โกๆ **อย่าลืมเอาบัตรขาออกไปด้วยนะ**

เมื่อเข้าไปจะมีพนักงานเรียกให้ไปใช้บริการเครื่องตรวจpassportอัตโนมัติ สะดวก รวดเร็ว ใช้งานง่าย ไม่ต้องกลัวงงนะ จะมีพนักงานยินบอกอยู่ค่ะ แต่เราสรุปขั้นตอนมาให้

1. เปิดpassport หน้าที่เป็นรูปเราไว้ แล้วแนบเข้าไปในเครื่อง รอสักครู่แล้วเอาpassportออกมา

2.สแกนบาร์โค้ดบัตรขาออก แล้วประตูจะเปิด

3.เดินเข้าไปยืนประจำตำแหน่ง แล้วเงยหน้ามองกล้อง

4.สแกนนิ้วชี้ข้างซ้าย แล้วประตูจะเปิดออก

5.ถือpassportและบัตรขาออกไปให้เจ้าหน้าที่ แล้วเจ้าหน้าที่จะเก็บบัตรขาออกไว้ **อย่าลืมเก็บขั้วไว้ใช้ตอนกลับไทย**

6. วิ่งไปขึ้นรถที่จอดรออยู่

แล้วก็เดินทางไปฝั่งลาวกันเลยยย

ไม่นานก็มาถึงด่านของฝั่งลาว เมื่อมาถึงตรงนี้ ต้องลงไปจ่ายค่าผ่านแดน จุดที่ต้องเดินไปจ่ายก็ไม่ไกลจากรถค่ะ ลงไปจะเห็นคนต่อแถวยาว ๆ เดินไปต่อเลยค่า เตรียมเงิน55 บาท(เสาร์-อาทิตย์) และPassportไว้ให้พร้อมนะ เมื่อจ่ายเงินแล้วจะได้บัตร One way ticket มา

หลังจากนั้นเดินไปตรวจpassportและยื่นบัตรขาเข้าให้เจ้าหน้าที่ **อย่าลืมเก็บขั้วบัตรไว้เหมือนเดิมนะคะ** แล้วก็เดินตรงมาจะมีช่องให้ใส่บัตร One way ticket ที่ได้มา เครื่องมันจะคล้าย ๆ ของBTSเลยค่ะ เมื่อใส่บัตรไปแล้ว ไม่ต้องยืนรอนะ มันไม่คืนบัตรค่ะ

เดินมาอีกนิดจะมีจุดแลกเงิน ซื้อซิมเน็ต ซื้อได้ที่นี่เลย หรือใครยังไม่อยากแลก ไปแลกในเมืองวังเวียงก็ได้นะมีให้แลกหลายที่มาก แต่เราไม่รู้ก็เลยแลกไปหมดเลย 4,000 บาท ส่วนซิมไม่ได้ซื้อค่ะ คิดว่าจะใช้แค่ wifi ของที่พักก็พอ 5555

ทำเรื่องทุกอย่างเสร็จประมาณ 11 โมง ต่อจากนี้ก็เดินทางยาว ๆ ไปจนกว่าจะถึงจุดพักรถ แน่นอนว่าคนขี้เซาอย่างเราไม่ปล่อยเวลาให้หมดไปโดยเปล่าประโยชน์อยู่แล้วค่ะ หลังจากรถออกได้ไม่ถึง 10 นาที สิ่งที่ทำคือ นอน นอน นอน และนอน

มิสชั่นการนอนคอมพลีทมากกก เราตื่นอีกทีบ่าย 1 เมื่อมาถึงจุดพักรถพอดี แวะพักที่ร้านอาหารไซโย มีเวลา 30 นาทีในการพัก

เรากับเพื่อนสั่งอาหารทานแก้หิวกันคนละอย่าง มื้อนี้คือ ข้าวกะเพราไก่ไข่ดาว 20,000 กีบ กับน้ำเปล่า 2,000 กีบ ระหว่างทานก็อดคิดเป็นเงินไทยไม่ได้ เราใช้วิธีคิดตามที่หลาย ๆ รีวิวบอกคือ ตัด0ออกสามตัวแล้วคูณ4 เมื่อคิด ๆ ดู หมดไปเกือบร้อยค่ะ โฮกกกก แต่การคิดแบบนี้ราคาไม่แม่นนะ แล้วค่าเงินก็เปลี่ยนไปทุกวัน ถ้าคนลาวคิดเงินกีบเป็นบาท เขาจะเอาเงินกีบหารด้วย 238 บางวันก็ 240 แล้วแต่วันค่ะ


สิ่งหนึ่งที่อยากแนะนำคนที่จะไปเที่ยว คือ ถ้าสามารถถือขนมขบเคี้ยวมาเป็นถุง ๆ ได้ ซื้อมาเลยนะคะ เพราะอยู่ที่วังเวียงค่าอาหารค่าขนมค่อนข้างแพง อาจจะเป็นเพราะค่าขนส่งและเป็นเมืองท่องเที่ยว

เมื่อกินอิ่มแล้วก็ขึ้นรถเดินทางต่อกันเลย เส้นทางต่อจากนี้จะเป็นภูเขา ทางแคบ และเส้นทางจะไม่ค่อยสะดวกสะบายต่อการนอนเท่าไหร่นะคะ ขนาดเราเป็นคนที่หลับได้ทุกที่ยังหลับ ๆ ตื่น ๆ ทุกครึ่งชั่วโมง ซึ่งตลอดเส้นทางจะมีหมู่บ้าน ภูเขาให้ได้ชม แล้วก็มาถึงวังเวียงเวลาประมาณ 15.30 น.

ระหว่างที่รอรถเมล์ออก สามารถไปซื้อตั๋วขากลับได้เลยนะ เผื่อวันกลับคนเยอะ ซื้อไว้เลยค่าา และถ้าได้ที่พักแล้วก็แจ้งกับคนขายตั๋วได้เลยว่าพักที่ไหน แล้ววันที่เรากลับเขาจะให้รถไปรับหน้าที่พักเลยค่ะ สะดวกสุดๆ แต่เรากับเพื่อนยังไม่ได้จองที่พักไว้ แต่เมื่อได้ที่พักแล้วสามารถใช้ใบเสร็จเพื่อยืนยันให้ที่พักโทรบอกได้ว่าเราพักอยู่ที่ไหน แล้ววันกลับเขาก็จะมารับเราหน้าที่พักค่ะ

รถเมล์ที่จะพาเราเข้าตัวเมืองคือคันแบบนี้ค่ะ ระยะทางที่จะเข้าตัวเมืองก็ไม่ไกลมาก ประมาณ 1 กิโลเมตร ขึ้นฟรีนะ^^ รถจะเข้าไปจอดแค่ที่เดียวคือหน้าโรงแรม Malany villa ใครไม่รู้เส้นทางเปิดGoogle map หาที่พักก็ได้ค่ะ แต่เรากับเพื่อนเดินหาที่พักไปเรื่อย ๆ ตอนนั้นคิดแค่ว่าวิวระเบียงต้องเป็นฝั่งแม่น้ำซองที่สามารถมองเห็นภูเขา

ระยะทางในตัวเมืองวังเวียงจะเป็นเนินสลับกัน ทำให้การเดินหาเป็นไปด้วยความเหนื่อยล้า ปวดขา ปวดหลัง เราจึงเดินดูกันแค่ไม่กี่ที่ สุดท้ายก็ได้ Popular View ซึ่งอยู่ท่ามกลางร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และอยู่ต้นทางที่สามารถเดินไปถึงสะพานข้ามไปอีกฝั่งได้ ก็เลยเอาที่นี่เลยค่ะ แต่ถ้าเพื่อน ๆ คนไหน ขยันเดิน อยากได้ราคาถูกๆ ก็เดินหาได้เลย ถ้าต่อราคาได้ก็จะประหยัดกว่าเดิม

ซ้ายมือจะเป็นทางลงไปสะพานข้ามไปอีกฝั่ง ที่มีร้านส้มตำริมแม่น้ำซอง

เดินทางลงไปตามทางก็จะเจอสะพาน แต่สะพานนี้ไม่แนะนำให้นั่งพักผ่อนหย่อนใจห้อยขาลงมา เพราะจะมีรถมอเตอร์ไซค์ขับผ่านอยู่บ่อย ๆ ถ้าสามารถนั่งได้โดยไม่รู้สึกกลัวว่าจะตก นับถือเลยค่ะ55555

กลับมาที่ที่พักของเรา ราคาคืนละ 500 บาท ภายในห้องถือว่าโอเค ห้องนี้ติดระเบียงที่มองเห็นวิวแม่น้ำซอง ห้องก็เลยไกลไปหน่อย สัญญาณwifiเข้าไม่ถึง ถ้าจะเล่นต้องออกมานั่งให้ยุงหามตรงบันได

ภายในห้องมีของใช้บางอย่างที่พังนิดหน่อย เช่น พัดลมเปิดได้เบอร์เดียว แอร์ไม่ค่อยเย็น ประตูระเบียงเปิดไม่ได้แต่ที่พักได้ใส่กลอนที่หน้าต่างให้เราเดินเข้าออกเหมือนประตูได้อย่างสบาย5555 แต่ไม่เป็นไรค่ะ วิวดี บรรยากาศได้

เมื่อเปิดหน้าต่างบานตรงกลางก็จะเจอแม่น้ำซอง และภูเขา เมื่อสิ่งที่คิดไว้เป็นไปอย่างที่คิด มันเป็นความรู้สึกดีที่อธิบายไม่ถูกเลยจริง ๆ อยากตะโกนบอกรักเขาดัง ๆ เหมือนเวลาที่ได้ปลดปล่อยเรื่องไม่สบายใจทิ้งลงไปในทะเล แต่....ทำแบบนั้นไม่ได้ค่ะ เดี๋ยวคนที่เขากำลังก่อสร้างตึกข้างหน้าจะคิดว่าเราเป็นบ้าไป เก็บอาการและความสุขเอาไว้ในใจและในความทรงจำก็พอเนอะ

"แค่ได้เห็นเขา เราก็สุขใจ"


ช่วง 5 โมงเย็น เราและเพื่อนออกมาเดินเล่นที่สะพาน และในตัวเมือง ที่นี่มีบริษัทให้เลือกไปทัวร์เยอะมาก เดินหาตามที่สะดวกได้เลย ที่แลกเงินก็มีทุกมินิมาร์ท และร้านขายโรตี ขนมปัง น้ำผลไม้ก็มีทุกซอย ร้านให้เช่ารถมอเตอร์ไซค์ รถจักรยานก็มีค่ะ

เรารู้สึกชอบรถเมล์ของที่นี่มาก มันน่ารักปุ้มปุ้ย ๆ ดี ดูจากล้อรถก็คงทราบว่าผ่านอะไรมาเยอะฝน ลม แดด โคลนดินแดง และน้ำขัง55555 ตอนที่เดินเล่นในตัวเมืองจะได้ยินเสียงพ่อค้าแม่ขายทักทายอยู่เสมอว่า "สะบายดี" สิ่งที่เราทำได้คือส่งยิ้มกลับไป ถึงแม้ในใจอยากจะบอกว่า "บ่สบายเลยจ้า ปวดหลัง ปวดขาแฮง" 5555


เดินเล่นได้สักพักท้องเริ่มร้อง หาร้านข้าวประทังชีวิตกันอยู่นาน จบที่ร้านอาหารตามสั่ง เปิดดูเมนูเสียนานจบที่ข้าวผัดไก่สไตล์ไทย ๆ แบบบ้านเรา รสชาติโอเคแต่ใส่น้ำมันเยอะไปหน่อย ราคา 20,000 กีบ แต่กินยังไม่อิ่มฝนก็เทลงมา ทริปวันแรกจึงหมดไปกับการเดินเล่นไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนเลย


วันที่สอง

สิ่งที่คิดไว้เมื่อคืนก่อนนอนคือจะตื่นเช้ามาดูหมอก ออกไปเดินเล่นรับบรรยากาศยามเช้า แล้วความเป็นจริง ตื่น 10 โมงจ้าาา ขุ่นพระ!! แต่....หมอกเมฆที่ระเบียงยังปกคลุมทั่วท้องฟ้า หมอกบางกลุ่มก็ลอยมาด้านหน้าภูเขา บางกลุ่มก็อยู่ด้านหลังภูเขา ดูมีมิติที่สวยงามชวนมองเป็นที่สุด ซึ่งรูปที่ถ่ายได้จริง ๆ ไม่สว่างขนาดนี้นะ เพราะมันย้อนแสง รูปนี้เอาไปแต่งเพิ่มจ้า


เมื่ออาบน้ำแต่งตัว จึงเดินลงมาหาของกิน อ้ออ...ที่พักไม่มีอาหารเช้าให้นะ มีแค่กาแฟกับกล้วยน้ำว้า 2 หวี 5555 เรากับเพื่อนจึงซื้อโรตี หรือที่คนที่นี่เรียกว่าแพนเค้ก ความเคยชินจากการกินโรตีที่ไทย 1 แผ่นก็อิ่มท้องแล้วนั้น ทำให้เรากับเพื่อนสั่งกันคนละแผ่น เราสั่งนูเทลล่า+กล้วย แต่โรตีที่นี่แผ่นใหญ่อลังการมากค่ะ กินไม่หมด ได้ห่อรวมกันใส่กล่องเอาไว้กินระหว่างวัน555


ยังไม่ทันได้ไปเที่ยวที่ไหน วันเวลาก็หมดไปครึ่งวัน หลังจากกินโรตีจนอิ่ม เรากับเพื่อนก็ไปเช่าจักรยานเพื่อปั่นไปถ้ำจัง ค่าเช่าคนละประมาณ 30 บาท ต้องใช้บัตรประชาชนมัดจำไว้ แล้วเอารถมาคืนก่อน6โมงเย็น ได้แผนที่มาด้วยนะ แต่งงมาก หนีไม่พ้นการคลำทางเอา5555

ระยะทางจากตัวเมืองไปถ้ำจังประมาณเกือบ 2 กิโลเมตรมั้งคะ ไม่แน่ใจ ทางไปให้ตั้งต้นที่แยกตัวYตรงแถวๆโรงแรมวังเวียง พาราไดซ์ แล้วให้ไปทางซ้ายมือ ตรงไปเรื่อย ๆ จะเจอโรงพยาบาล โรงเรียน ระหว่างที่เพื่อนเราปั่นจักรยาน เพื่อนบอกว่า "ก็ว่าอยู่ทำไมรู้สึกเหมือนรถวิ่งใส่รถจักรยานเราตลอด ทีไหนได้...ปั่นผิดเลน" นั่นแหละค่ะ ถึงแม้จะบ้านใกล้เรือนเคียงกัน แต่ก็มีบางวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน การเดินทางที่นี่ขาไปจะอยู่เลนขวา ขามาอยู่เลนซ้าย เพราะพวงมาลัยบนรถที่นี่อยู่ฝั่งซ้ายค่ะ ใครไปก็สังเกตดี ๆ นะคะ อย่าเด๋อแบบเราและเพื่อน5555

ปั่นไปได้สักพักจะเจอแลนมาร์คของเส้นทางไปถ้ำจัง คือ ต้นมะพร้าวแฝด ถ้าเจอต้นนี้แสดงว่ามาถูกทางแล้วค่าา

ปั่นไปอีกเรื่อย ๆ จะเจอป้ายของวังเวียงรีสอร์ต ให้เลี้ยวขวาเข้าไปเลย เส้นทางในซอยนี้จะคล้าย ๆ เส้นทางไปดวงจันทร์นิดหน่อยนะคะ เป็นหลุมเป็นบ่อ มีน้ำขัง ถ้าอยากเล่นอะไรมันส์ๆก็ลองออกเสียงว่า "อาาาา" แล้วเสียงจะกลายเป็น "อะ อะ อะ อะ อะ" พร้อมกับจังหวะเด้งดึ๋งๆๆ ตลอดทาง

เมื่อปั่นไปถึงทางเข้าวังเวียงรีสอร์ตต้องเสียค่าเข้า 3,000 กีบ ปั่นไปอีกนิดจะเห็นสะพานสีส้ม แล้วจอดรถจักรยานเอาไว้ก่อนเดินเข้าไปนะ

ที่ปลายสะพานจะมีร้านขายของ ทั้งกล้วยปิ้ง ผลไม้ ขนมครก เดินไปอีกนิดจะมีร้านอาหารของถ้ำจังให้บริการค่ะ

เดินตรงไปเรื่อย ๆ ลองมองขึ้นไปบนท้องฟ้า เห็นภูเขา เห็นต้นไม้ แล้วมีความรู้สึกเหมือนมาบุกกองถ่ายละครของฉลอง ภักดีวิจิตร ฟีลแบบนั้นเลย เป็นป่าเป็นเขามีนกบินผ่าน บรรยากาศเงียบสงบ ในขณะเดียวกันก็เหมือนได้ยินเสียงน้ำไหล ใช่แล้วค่ะ....มีน้ำตกเล็ก ๆ อยู่ก่อนทางเข้าถ้ำ น้ำใสมากๆ สีออกฟ้าเขียว มีสะพานให้เดินเล่น


นั่งดูน้ำตกจนเย็นตาแล้ว ก็ไปดูถ้ำกันเลยค่ะ เสียค่าเข้าประมาณ 60 บาท นี่เป็นบันไดเดินขึ้นไป มองดูเหมือนไม่สูงเท่าไหร่ แต่หารู้ไม่บันไดแต่ละขึ้นห่างกันจากตาตุ่มถึงหัวเข่าเราเลยค่ะ มันอาจจะไม่สูงเท่าไหร่แต่เราขาสั้นเอง555

เมื่อขึ้นมาแล้วจะเจอทางเข้าถ้ำแบบนี้ บอกเลยว่าเดินเข้าไปยังไม่ถึง10ก้าวก็สัมผัสได้ถึงความเย็น เย็นกว่าแอร์ที่ที่พักหลายเท่าจนอยากร้องขอหมอนกับผ้าห่มอุ่นๆสักผืน ฮ่าาา

นี่คือการเข้าถ้ำครั้งแรกในชีวิต เราอาจจะไม่มีใจที่เป็นศิลปะจนสามารถมองหินงอกหินย้อยให้เป็นรูปต่าง ๆ ได้ เราว่าความเป็นธรรมชาติแบบนี้มันก็สวยดี แต่ว่าบางทีก็น่ากลัว

เดินไปจนสุดทางจะมีจุดชมวิว มองเห็นภูเขา ต้นไม้ ก้อนเมฆ

แล้วก็เดินกลับ ไม่ต้องกลัวหลงนะคะ เส้นทางไม่ซับซ้อน เมื่อลงบันไดมาแล้วจะมีศาลาพระพุทธรูป สามารถไปกราบไหว้ได้ค่า มีเสี่ยงเซียมซีด้วยนะ เรากับเพื่อนออกจากถ้ำจังประมาณเกือบบ่าย 3 แล้วก็มานั่งคิดกันว่าจะไปไหนต่อดี แต่ถ้าไปไกลก็กลัวจะคืนรถจักรยานไม่ทัน จึงปั่นเข้าไปในตัวเมืองเหมือนเดิม แล้วก็ไปนั่งเล่นร้านกาแฟ ร้าน Offbeat อยู่ซอยตัวYตรงข้ามร้านหลวงพระบาง เบเกอรี่เลยค่ะ

บรรยากาศภายในร้านตกแต่งด้วยโทนสีน้ำตาล ดำ กำแพงร้านเป็นอิฐแดง มีโต๊ะไม้สีแดงเปลือกไม้ และกำแพงสีแดงอิฐ ที่กำแพงด้านขวาจะมีนาฬิกาบอกเวลาของประเทศเด่น ๆ ทั่วโลก

ส่วนกำแพงด้านซ้ายมีพื้นที่ให้เราเขียนอะไรลงไปก็ได้ ซึ่งมีชอล์กหลากหลายสีให้เขียนได้ตามใจชอบ หรือถ้าใครแพ้ชอล์กก็เขียนใส่กระดาษโดยใช้สีไม้ แล้วปักหมุดได้ที่กรอบไม้ตรงกำแพงค่ะ น่ารักมาก

เราสั่งชาเขียวเย็นมาดื่ม ราคา 23,000 กีบ เป็นชาเขียวมัทฉะ ทันทีที่ดูดน้ำเข้าไปผงมัทฉะก็ล่องลอยอยู่ในปากผ่านปุ่มรับรสต่าง ๆ จนต้องออกอาการทางสีหน้าว่ามันปะแล่มๆ ทั้งๆที่คนให้ชั้นทั้งสองเข้ากันดีแล้วนะ555 รสชาติไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แค่พอกินแก้กระหายได้ อาจจะเป็นเพราะปกติเราไม่ชอบกินชาเขียวมัทฉะด้วย555

นั่งเล่นไปเรื่อย ๆ พอใกล้จะ 6 โมงเย็นก็เอารถจักรยานไปคืนร้าน แล้วก็มานั่งกินส้มตำที่ริมแม่น้ำซอง สั่งส้มตำ ต้มยำปลานิล และไก่ทอด ส้มตำอร่อยดีค่ะ แต่เผ็ดไปหน่อย ต้มยำปลานิลถึงเครื่องถึงรสมาก ส่วนไก่ทอดก็ทำสดๆใหม่ๆ ไม่ได้ทอดไว้ อันนี้ก็อร่อยค่ะ

ริมแม่น้ำซองบรรยากาศดีมาก ช่วงเย็นๆจะมีเรือยาวๆแล่นพานั่งท่องเที่ยวชมริมแม่น้ำ เราก็นั่งมองไปเรื่อย ๆ เพลินตาดี นักท่องเที่ยวที่ผ่านไปมาบางคนก็โบกมือทักทายเรา เราก็โบกมือกลับพร้อมยิ้มให้เบาๆ5555 ตรงริมแม่น้ำที่เรานั่ง น้ำไม่ลึกนะคะ เลยตาตุ่มขึ้นมานิดหน่อย ไปเดินเล่น ถ่ายรูปได้ตามสบาย

ระหว่างที่นั่งกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย ลมก็กรรโชกแรงพัดฝุ่นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย จนข้าวบนจากเหมือนโรยด้วยพริกไทยดำ แต่เราก็ไม่เลิกค่ะ กินกันต่อท่ามกลางมรสุมลมโหมกระหน่ำเพราะเสียดายเงินหลานแสนกีบ เมื่อคิดว่าคุ้มและแน่นพุงแล้วก็เดินไปหาบริษัททัวร์ เพื่อจะซื้อ One day trip ของวันพรุ่งนี้ค่ะ มีบริษัทให้เลือกเยอะมากจนเลือกไม่ถูก แต่เราพิจารณาจากตำแหน่งที่ตั้ง บรรยากาศในที่ขายทัวร์ เอาที่น่าเชื่อถือ ดูปลอดภัยและคุ้มค่า จนสุดท้ายซื้อของบริษัท Wonderful Tour ในราคา 160,000กีบ ถ้าที่พักอยู่ไกล พรุ่งนี้เช้าจะมีรถไปรับหน้าที่พักนะคะ แต่เราอยู่ใกล้พี่เขาเลยบอกว่าให้เดินมารอประมาณตอน 8.30 น.

ช่วงกลางดึกคืนนี้ฝนตกหนักกว่าเมื่อคืนค่ะ เท่าที่อยู่มาสองวันทำให้รู้ว่าช่วงนี้อากาศวังเวียงช่วงกลางวันจะร้อน กลางคืนจะฝนตกจะหนักจะเบาแล้วแต่วัน คืนนั้นเราภาวนาขอให้พรุ่งนี้แม่น้ำไม่ขุ่น อยากพายเรือเล่นน้ำแบบน้ำใส ๆ ให้ชื่นใจฉ่ำปอด


วันที่สาม

จากเหตุการณ์เมื่อวานที่ตื่นสายทำให้มาถ่ายหมอกตอนเช้าไม่ทัน จึงทำให้เมื่อคืนเราตั้งนาฬิกาปลุกตั้งแต่ ตี 5 ให้สามารถตื่นเช้าได้ ซึ่งก็ตื่นจริงค่ะ ตื่นตี 5 มาถ่ายหมอกแล้วกลับไปนอนต่อ แล้วก็ตื่นอีกที 6 โมงมาถ่ายหมอกอีกแล้วก็นอนต่อ และตื่นอีกที 2 โมงเช้าแต่ไม่ได้นอนต่อเดี๋ยวไม่ทันไปOne day trip ฮ่าาา พอเวลาประมาณ 8 โมง 40 เรากับเพื่อนก็เดินไปที่บริษัททัวร์ และนั่งรอ

แพลน One day trip : พายเรือคายัก นั่งห่วงยางลอดถ้ำ ทานอาหารกลางวัน พายเรือคายัก ไปบลูลากูน

**อันนี้อยากบอกทุกคนว่า สามารถพกครีมกันแดด ของใช้เล็ก ๆ น้อย ๆ มาได้ เพราะบริษัทมีถุงกันน้ำไว้ให้ใส่ของ** แต่เราไม่รู้ค่ะ เลยไม่มีอะไรมาเลยนอกจากมือถือที่ใส่ซองกันน้ำมา เตรียมดำ(กว่าเดิม)ได้เลย ฮือๆ

ระหว่างที่นั่งรอให้รถออก เราภาวนากับเพื่อนว่าให้มีไกด์หล่อ ๆ สักคน แต่มันไม่เป็นผลค่ะ ไม่มีเลย 5555 เมื่อถึงเวลาก็ออกเดินทางกันเลยค่า ขึ้นรถเมล์คันแบบเดิม แต่เป็นของบริษัททัวร์นะ เดินทางได้สักพัก รถก็ไปจอดรอนักท่องเที่ยงคนอื่น ๆ รวมลูกทัวร์บนรถมีทั้งหมด 11 คน มีคนไทย 2 คน (เราและเพื่อน) คนจีน 1 คน ฝรั่ง 2 คน เกาหลี 3 คน ไต้หวัน 3 คน รวมเป็น 11 คน

รูปข้างล่างเป็นทางระหว่างไปจุดเริ่มปล่อยเรื่อคายัก ไม่ไกลมากแต่เดินไปคงไม่ถึง


เมื่อมาถึงจุดปล่อยเรือ ไกด์จะแนะนำวิธีพายเรือ ข้อห้าม ข้อควรปฏิบัติต่าง ๆ แล้วก็จะแบ่งคนให้ประจำอยู่บนเรือแต่ละลำ ซึ่งจะให้ผู้ชายพายกับผู้หญิง แต่ถ้าคู่ไม่พอ ผู้หญิงก็จะได้อยู่กับไกด์ แน่นอนค่ะว่าเรากับเพื่อนอยู่คนละลำ ตรงจุดเริ่มต้นนี้ไม่ได้ถ่ายรูปมาเพราะว่าเก็บมือถือใส่ไว้ในกระเป๋ากันน้ำแล้ว

สิ่งที่เรากังวลเมื่อคืนมันเป็นจริงค่ะ น้ำขุ่นมาก ไม่ใสเลย เป็นสีน้ำตาลออกเหลือง ๆ แต่ก็ไม่เป็นไร ไหน ๆ ก็มาแล้ว น้ำสีนี้ก็พายได้ 555 เส้นทางพายเรือน้ำจะไม่ค่อยลึกมากนะคะ มีโขดหินเป็นชั้นๆพอให้ได้ตื่นเต้นอยู่บ้าง สนุกสนานดีค่ะ

ระหว่างทางที่พายเรือคายัก ถ้าพายไปเฉย ๆ ต่างคนต่างพายมันก็จะไม่มีอะไรให้ประทับใจเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ได้รับคือการได้พูดคุยกันทั้งกับไกด์ และลูกทัวร์ ด้วยความที่ไทยและลาวภาษามันคล้าย ๆ กันเลยคุยง่าย สงสัยอะไรอยากคุยอะไรเราก็ถามน้าไกด์ตลอดทาง (อ้อ...น้าไกด์คนนี้อัธยาสัยดีมากค่ะ ทีแรกเราอยากเรียกแกว่าลุงเหมือนกัน แต่คิดว่าไม่ดี แก่ไป เรียกน้าดีกว่า เพื่อการเดินทางที่ปลอดภัย เพราะเราฝากชีวิตบนเรือไว้ที่น้าคนนี้ ฮ่าาาาา) ระหว่างที่พายเรือเราก็ถามน้าไกด์เรื่องน้ำที่บลูลากูนว่ามันจะขุ่นแบบนี้ไหม น้าบอกว่า "ขุ่นแบบนี้แหละ" เราก็เลยเตรียมใจไว้รอว่าไปบลูลากูนไม่สนุกแน่ ๆ แอบเสียใจนิดนึง ฮืออ เส้นทางในการพายเรือคือพายไปตามลำน้ำแม่น้ำซอง ใช้เวลาประมาณ 2 ชม.กับแดดแรง ๆ ตลอดเส้นทาง

พายมาได้ระยะหนึ่งก็หยุดพัก ตรงนี้สามารถถ่ายรูปได้แล้วค่ะ เพราะระหว่างทางไกด์ไม่อนุญาตให้ถ่าย กลัวมือถือจะตกน้ำ เราก็เลยได้ภาพนี้มา น้าไกด์กำลังเอาน้ำออกจากเรือ

ข้างหลังเป็น เขาผาลาย(ถามน้าไกด์มา อิอิ)

พักประมาณ 10 นาทีก็พายเรือต่อยาว ๆ แล้วก็จะถึงจุดพักของบริษัท Wonderful Tour เป็นสถานที่เล่น Zipline นั่งห่วงยางลอดถ้ำ ทานอาหารกลางวัน ตรงนี้มีห้องน้ำ ร้านขายน้ำ มีที่นั่ง มีเปลให้พักผ่อนระหว่างที่รอลูกทัวร์เล่น Zipline ประมาณ 20 นาทีค่ะ เพราะไกด์จะให้ลูกทัวร์ทุกคนทานอาหารกลางวันพร้อมกัน

ตรงนี้เป็นวิวแม่น้ำซองจากระเบียงที่ยื่นออกมาหน้าร้านขายน้ำ

เมื่อลูกทัวร์เล่น Zipline กันเสร็จ ก็ถึงเวลาทานอาหารกลางวัน มีข้าวผัด บาร์บีคิว 2 ไม้ แต่เราเอาแค่ไม้เดียว ขนมปังชิ้นใหญ่ 1 อัน แล้วก็ผลไม้ สำหรับเราข้าวผัดรสชาติดี อร่อยกว่าข้าวผัดร้านอาหารตามสั่งที่ไปกินเมื่อวันแรกที่มา ส่วนบาร์บีคิวก็อร่อยมาก สับปะรดหวาน ๆ รสชาติตัดกันกับซอสบาร์บีคิวอย่างลงตัว ระหว่างทานข้าวเพื่อนร่วมทริปก็พากันคุยภาษาอะไรก็ไม่รู้ใส่กัน เขาพูดอะไรมาเราก็ทำได้แค่ ยิ้มๆแล้วก็ "แหะๆ" กลับไป ถึงจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่องแต่การมา One day trip วันนี้เรามีความสุขมาก ๆ

ทานข้าวอิ่มแล้วก็ไปพายเรือกันต่อ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ปลายทางอยู่ที่ในตัวเมือง อยู่เลยสะพานข้ามฝั่งที่อยู่ใกล้ที่พักเราไปนิดนึงค่ะ เมื่อไปถึงจะมีรถของบริษัททัวร์มารับไปบลูลากูน เส้นทางในการไปบลูลากูนต้องข้ามสะพานและต้องเสียเงิน แต่ถ้ามากับทัวร์ก็ไม่ต้องค่ะ ระยะทางค่อนข้างไกล บรรยากาศข้างทางมีภูเขาสลับซับซ้อน มีทุ่งหญ้า ให้ชมตลอดทาง

เมื่อมาถึงแล้วจะเห็นรถจอดเต็มไปหมด

วินาทีแรกที่เห็นบลูลากูนนั้น อุทานกับตัวเองในใจว่า "กรี้ดดด น้ำไม่ขุ่น" คือดีใจมากกก เพราะเผื่อใจไว้แล้วว่ามันจะขุ่น เนื่องจากเมื่อคืนฝนตกหนัก แต่วันนี้น้ำที่นี่จะใสๆ สีฟ้าอมเขียว เหมือนในรูปที่เคยเห็น บลูลากูนจะเป็นสระน้ำเล็กๆ มีห่วงยาง และเสื้อชูชีพให้เช่า มีสะพานข้าม ถ้าเอาสะพานเป็นตัวแบ่งเขตก็จะมี 2 ฝั่ง ฝั่งที่คนนิยมไปเล่นกันก็คือฝั่งที่มีต้นไม้ให้กระโดดลงมา

อีกฝั่งจะมีสไลเดอร์เล็ก ๆ และมีลูกบอลใหญ่ ๆ ให้คนเข้าไปวิ่งเล่นได้ ฝั่งนี้คนน้อยมากค่ะ น้อยจนเหมือนเป็นคนละที่กัน เรากับเพื่อนลงเล่นน้ำที่ฝั่งนี้ก่อน เพราะเราว่ายน้ำไม่เป็น ถึงจะมีเสื้อชูชีพก็กลัว ๆ อยู่ ได้แค่ไต่เชือกที่เขาผูกไว้ให้ น้ำหนาวมาก หนาวจนปากสั่น เล่นๆอยู่ก็เจอกลุ่มคนไทยที่มากันเกือบ 10 คน เขาดูสนุกสนานเฮฮากันมาก เราก็เลยเข้าไปทักทายตามประสาคนบ้านเดียวกัน แล้วเขาก็ชวนพวกเราว่ายลอดสะพานไปอีกฝั่ง แต่เราว่ายน้ำไม่เป็นไง ทำได้แค่ตีขาไปเรื่อย ๆ ให้มันไหลไปตามน้ำ ข้ามไปอีกฝั่งก็ไม่พ้นไปเกาะเชือกดูคนอื่นเขากระโดดลงมาจากต้นไม้เหมือนเดิม

เรากับเพื่อนเล่นไม่นานก็ขึ้นจากน้ำแล้วมานั่งรอบนรถ เพราะรู้สึกเหนื่อย หมดพลังงานจากการตากแดด พายเรือมาทั้งวัน


เมื่อถึงเวลากลับ รถจะไปส่งเราหน้าที่พักเลยค่ะ จบทริปนี้บอกเลยว่ามีความสุขมาก ๆ ได้ผจญภัย ได้พายเรือคายัก ได้เรียนรู้วัฒนธรรมของคนที่นี่ เราบอกกับตัวเองว่าถ้ามีโอกาสก็จะมาอีก เพราะยังเที่ยวไม่หมดเลย มีอีกหลายที่ที่ยังไม่ได้ไป ขึ้นบอลลูน ปีนเขา ชมหมู่บ้านม้ง และอีกมากมาย

การมาเที่ยวครั้งนี้ทำให้เรากล้าออกเดินทางมากขึ้น เป็นทริปที่ขัดใจที่บ้านมาก แต่เราดื้อไง5555 ก็ใจมันมาแล้วจะให้ล่มกลางคันก็ยังไงอยู่ คืนวันนี้เรากับเพื่อนออกมานั่งเล่นริมแม่น้ำซองที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับร้านส้มตำ ไม่ได้เล่นมือถือ แต่พูดคุยกันเกี่ยวกับเรื่องที่มาเที่ยวในครั้งนี้ ความประทับใจที่เรามีมันไม่ได้เกิดแค่กับเรา เพราะเพื่อนเราก็รู้สึกเหมือนกัน ผู้คน วัฒนธรรม ธรรมชาติ การผจญภัยและการเดินทางมาที่นี่มันเลยเป็นทริปที่ทำให้เรากับเพื่อนรู้สึกมีความสุขมากกว่าการไปเที่ยวครั้งก่อน ๆ ที่เคยไปในช่วงปิดเทอม

วันที่ 4 เป็นวันเดินทางกลับ เราต้องจากกันแล้ว ขอบคุณเขาที่มอบความสุขให้เราตลอด4วัน3คืน ที่ผ่านมา

"คิดถึงเขานะ"

"หวังว่าเราจะได้พบกันอีก"

"วังเวียงที่รัก"



Ruedeedow

 วันพุธที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 11.25 น.

ความคิดเห็น