เวลาเหนื่อยล้าจากการทำงาน การเรียน เบื่อความวุ่นวาย หรือชิวิตประจำวันแบบเดิมๆซ้ำๆซากๆ วิธีแก้ปัญหาอาการนั้นของเราคือการแพ็คกระเป๋าออกเที่ยวกันสักที่ ทริปนี้ก็เกิดจากอาการเบื่อๆนี้แหละครับ

เข้าเรื่องกันดีกว่า พอเกิดอาการเบื่อๆที่ว่านี้ เราเลยต้องหาที่เที่ยวสักที่ แล้วก็ได้แพลนนี้ที่ “เชียงคาน” อำเภอเล็กๆสุดคลาสสิคในจังหวัดเลย


เริ่มคืนแรกโดยการเดินทางจากกรุงเทพฯ ขึ้นรถที่หมอชิต โดยรถทัวร์บริษัทแอร์เมืองเลย ค่าโดยสารคนละ 502บาท (จองตั๋วไปกลับลด 10%ด้วยล่ะ) รถรอบ 2ทุ่ม ใช้เวลาเดินทางประมาณ 9ชั่วโมงก็ถึงเชียงคานประมาณ ตี 5 กว่าๆด้วยอาการงัวเงียเพราะหลับมาตลอดทาง พอลงรถ ยืนมึนๆงงๆกันสักพัก มีคุณลุงคนนึงมาถามว่าจะไปที่ไหนกัน (คุณลุงเป็นคนขับรถสามล้อสกายแลปรับจ้าง) จากที่ลองๆหาข้อมูลมา เราเลยให้ลุงพาไปภูทอกก่อนเลยครับ ค่าโดยสารไปกลับคนละ 100บาท ลุงมาส่งที่ทางขึ้นภูทอกแล้วให้เบอร์โทรติดต่อเราไว้ให้โทรเรียกลุงแกมารับ มาถึงเราซื้อตั๋วรถกระบะขึ้นภูอีกคนละ 25บาท แล้วก็ขึ้นรถเลย แป๊บเดียวเราก็ขึ้นมาถึงยอดภูทอกก่อนพระอาทิตย์ขึ้นอีกครับ บรรยากาศบอกเลยว่าดีมากกกกก อากาศหนาวกำลังดี ที่สำคัญทะเลหมอกต้อนรับเราแบบจัดเต็มเลย


เราเดินสำรวจภูทอกก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ทั้งวิว ทั้งหมอก ทั้งอากาศเย็นๆยามเช้า มันทำให้รู้สึกดีจริงๆ



ระหว่างนั้นเรานั่งชมทะเลหมอก รอแสงตะวัน ... ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นนั้นว่าสวยแล้ว พอพระอาทิตย์ขึ้นมันยิ่งสวยขึ้นไปอีกครับ นี่ถ้ามัวใช้ชีวิตเดิมๆที่วุ่นวาย น่าเบื่อ ทุกวันคงไม่ได้เห็นอะไรแบบนี้แน่ๆ



แสงอาทิตย์ยามเช้า ท่ามกลางทะเลหมอก สวยมากจนทำให้ลืมความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้เลย


อากาศหนาวๆ ดอกหญ้า ทะเลหมอก และแสงตะวัน มันช่างดูเข้ากันจริงๆ


ยิ่งสาย หมอกยิ่งหนา ยิ่งงดงาม ขึ้นไปอีก


ยิ่งเป็นใครชอบถ่ายรูปด้วยแล้ว มาที่นี่ต้อได้ภาพสวยๆสมใจ ไม่ผิดหวังแน่ๆ (ถ้าอากาศดีดีนะ ฮ่าๆ)


มุมสวยๆ หลายๆมุม ณ ทะเลหมอก ภูทอก




ถึงช่วงที่เราไปถึงจะยังไม่หนาวแบบเต็มที่ แต่นักท่องเที่ยวนี่เยอะพอสมควรเลยครับ พอแดดเริ่มแรงหน่อยนักท่องเที่ยวเริ่มทยอยลงจากยอดภู เราเองก็เช่นกัน



เราลงจากภูทอกมาเราก็โทรหาคุณลุงคนเดิมมารับเรา แล้วให้ลุงพาไปส่งที่พักที่เราจองไว้ก่อนที่จะมาไม่กี่วัน ใครจะมาเที่ยวช่วงไฮซีซั่น แนะนำให้จองที่พักแต่เนิ่นๆเลยนะครับ เพราะเต็มแทบทุกที่เลย
พอเก็บของเข้าที่พัก อาบน้ำธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อย ก็เริ่มจะหิว เรา เราออกไปหาอะไรกินแถวๆถนนคนเดิน เดิน ตอนเช้ายังไม่ค่อยมีร้านอะไรเปิดเลยครับ เดินไปเดินมาจนได้ไข่กระทะรองท้องกันเช้านี้


อิ่มท้องกันแล้ว ก็ได้เวลานอนเอาแรงหลังจากการเดินทาง

นอนไปเต็มที่ เต็มที่จริงๆครับตื่นมาอีกทีก็บ่ายสามเลย มีแรงกันแล้วเราเลยออกมาเดินเล่นริมโขง สังเคราะห์แสงยามบ่ายกันครับ



ริมแม่น้ำโขงที่เชียงคาน ทำทางเดินไว้อย่างดี ให้เราได้เดินชมบรรยากาศริมแม่น้ำโขงกันสบายๆ บางคนก็เอาจักรยานมาปั่นชมวิวริมแม่น้ำกันด้วยครับ



สุดทางเดินริมแม่น้ำมีที่ให้นั่งพักชมวิวแม่น้ำโขง กับฟ้าใสๆ นั่งพักกันสักนิดแล้วค่อยไปต่อ


มองไปฝั่งตรงข้ามนั่นคือประเทศลาวนะครับ ถามคนท้องถิ่นแถวนั้นเค้าบอกว่าสามารถนั่งเรือข้ามไปเที่ยวฝั่งลาวได้ด้วย แต่เราไม่ก็ไม่ได้ไปหรอกนะ ระหว่างรอแดดร่มลมตก เรานั่งถ่ายรูปเก็บบรรยากาศริมแม่น้ำตรงนี้ไปก่อนไม่ต้องรีบร้อนไปไหน




นั่งพักไป ถ่ายรูปไปจนแดดเริ่มหมด หันไปท้องฟ้ายามอาทิตย์ตกริมแม่น้ำสวยมากๆเลย


หลังจากนั่งสโลไลฟ์กันพักใหญ่ๆ ฟ้าเริ่มมืดเราเดินออกไปชมบรรยากาศยามเย็นของถนนคนเดินที่เชียงคานกัน ยิ่งมืดลงคนก็ยิ่งเยอะขึ้นเรื่อยๆ ที่นี่มีทั้งของฝาก ของกิน ถ้าใครเป็นขาช๊อป ขาชิม ต้องชอบแน่ๆ


ที่ถนนคนเดินเชียงคาน มีของน่าอร่อยให้เลือกกินเยอะแยะเลยครับ อร่อยๆทั้งนั้น นักเที่ยวสายกินนี่ไม่ผิดหวังแน่นอน

ที่ไม่อยากให้พลาดก็จะเป็น “กุ้งเสียบ” เป็นกุ้งแม่น้ำโขงเสียบไม้ย่าง กลิ่นหอมๆ รสชาติอร่อยใช้ได้เลย เราเองก็จัดไปหลายไม้เหมือนกัน และปลาท่องโก๋ยัดไส้ อันนี้ก็วนมาซื้อหลายรอบเหมือนกัน



จริงๆมีของอร่อยๆอีกหลายอย่างเลย เช่น มะพร้าวแก้ว ข้าวเปียกเส้น ข้าวปุ้นน้ำแจ่ว กล้วยอบ เมี่ยงคำ ฯ หลายอย่าง ที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ดูเนื่องจากเราสนใจกินมากกว่า คงไม่ว่ากันนะครับ

เดินไปเดินมา เริ่มจะได้ของฝากติดไม้ติดมือบ้าง เราก็เดินเล่นเพลินๆถ่ายรูปนู่น นี่ นั่น กันอีกสักพักก่อนจะกลับไปนอน เป็นอันว่าจบวันแรกที่เชียงคาน


เช้าวันต่อมาเราตื่นตั้งแต่ ตี5 อาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อย โปรแกรมแรกของวันนี้คือ การใส่บาตรข้าวเหนียว ที่พักบางที่จะมีชุดใส่บาตรเตรียมไว้ให้ แต่สำหรับคนที่ยังไม่มีชุดใสบาตร ก็มีร้านมาจำหน่ายพร้อมปูเสื่อจัดเตรียมที่ให้เรานั่งใส่บาตรด้วยครับ



ช่วงการใส่บาตรตอนเช้า จะมีพระมาบิณฑบาตจากหลายวัด มาเรื่อยๆตั้งแต่ 6 โมง จนถึงสายๆ 7โมงกว่าเลยครับ ผู้คนก็ออกมารอใส่บาตแต่เช้าเหมือนกัน



อีกอย่างที่เราว่าน่าสนใจของเชียงคานคือบ้านเรือน สิ่งปลูกสร้าง ที่พักและเกสเฮาส์ต่างๆบริเวณถนนคนเดินนี้ จะสร้างด้วยไม้ เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศดั้งเดิมของเชียงคาน นี่คืออีกเสน่ห์ที่ทำให้เชียงคานเป็นเมืองที่หลายคนอยากมาเยือน ตามเกสเฮาส์แต่ละที่ก็จัดการตกแต่งสไตล์วินเทจ สวยงามน่าสนใจ หลายที่เลย ขอเอาภาพบางส่วนมาให้ชมละกันนะครับ





ามเช้าเดินชมเมืองแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะออกมาชมบรรยากาศริมน้ำโขง ภาพไปหมอกที่ลอยอยู่เหนือน้ำท่ามกลางอากาศเย็นสบายมันช่างสดชื่น



เดินชิลกันตั้งแต่หนาว จนเริ่มอุ่นเรา เดินกลับที่พักหาอะไรทานเบาๆกันนิดนึงที่บ้านรวมมิตรที่เราพักอยู่นี่แหละครับ ก่อนจะต่อด้วยข้าวเหนียว ส้มตำ ไก่ย่าง ในมื้อเที่ยง (ไม่ทันจะถ่ายรูป กินกันหมดซะก่อน ฮ่าๆๆ)

กินอิ่มกันเต็มที่นั่งรอย่อยกันสักกพัก ช่วงบ่ายวันสุดท้ายของทริปจะอยู่เฉยๆก็เสียดายเวลา ออกไปเดินตากแดดเล่นกันดีกว่า


บรรยากาศช่วงบ่ายที่เชียงคานเงียบสงบมากๆ เงียบจริงๆ แทบจะไม่มีคนเดินเลย มีร้านค้าของฝากเปิดบ้างประปราย




สุดท้ายก่อนกลับ หลังจากเดินไปเรื่อยๆไปจนสุดถนนคนเดินมีร้านกาแฟน่านั่งอยู่ร้านนึง อยู่แถวๆลานริมแม่น้ำโขง ชื่อร้าน "Chiang Kan Tea" ว่าแล้วก็แวะซะหน่อย




สิ้นแสงอาทิตย์ของวันนั้น นั่นคือการสิ้นสุดทริปนี้ของเรา เดินเก็บบรรยากาศสุดท้ายก่อนกลับเข้าทีพักเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ ซึ่งเราจองตั๋วรถขากลับไว้รอบ 1 ทุ่ม

จบทริป “เชียงคาน” อย่างสุขสมใจ กับหลากหลายบรรยากาศที่เมืองคลาสสิคสโลว์ไลฟ์ไทยแลนด์แห่งนี้ ที่ช่วยชาร์ตพลังให้เรามีแรงไปสู้ชีวิตกันต่อ เป็นอีกที่ที่อยากแนะนำให้คนที่ยังไม่เคยมาเยือนได้ลองมาเที่ยวกันดูสักครั้งรับรองไม่ผิดหวังแน่ๆ



สุดท้ายขอฝากเพจท่องเที่ยว ถ่ายภาพ สัพเพเหระ https://www.facebook.com/journeygallery/เอาไว้ด้วย ส่วนใครที่ชอบรีวิวนี้หรือคิดว่ามีประโยชน์ต่อการเดินทางก็ช่วยกันแชร์ต่อไปนะ ไว้ถ้าเราได้ไปเที่ยวที่ไหนอีกจะแวะมาเล่าให้ได้อ่านกันใหม่นะครับ บ๊ายบายยยยยย


ปล. รีวิวนี้เป็นบทความรีไรท์จากกระทู้เก่าใน Pantip ของผมเอง ฉนั้น ถ้าใครเคยได้อ่านหรือเคยเห็นภาพจากรีวิวนี้มาก่อนก๋ไม่ต้องแปลกใจนะครับ

Journey Gallery

 วันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2560 เวลา 17.08 น.

ความคิดเห็น