สวัสดีทุกคน เราชื่อ ดรีม เพิ่งเขียนรีวิวกับ readme ครั้งแรก ฝากตัวด้วยฮะ ;-D

ปัจจุบันเราเป็นมนุษย์เงินเดือนตัวเล็กๆ ที่คิดว่าเรื่องเที่ยวเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกๆในชีวิต

รู้สึกว่าปล่อยวันลาเหลือเป็นไม่ได้ ต้องเอาไปใช้ให้หมด.....

งั้นเราไปเที่ยวกันเถอะ :)


ถ้าให้นึกถึงจังหวัดที่เหมาะแก่การไปเที่ยวทริปแรกๆสำหรับมนุษย์เงินเดือนมือใหม่อย่างเราๆ เราว่า

"กาญจนบุรี" เป็นตัวเลือกที่โอเคเลยนะ ใช้วันลา 1 วัน พ่วงเสาร์-อาทิตย์

แค่นี้ก็สามารถเกิดทริป 3 วัน 2 คืน ได้แล้ว เผลอๆ 2 วัน 1 คืนก็เที่ยวได้แล้ว


“กาญจนบุรี” เราว่ามันเป็นจังหวัดที่โคตรจะมีความหลากหลายทางธรรมชาติมากๆ

ทั้งน้ำตก แม่น้ำ ภูเขา ทำให้จะเที่ยวแบบล่องแพ นอนแพ นอนแคมป์แบบเก๋ๆ ยันขึ้นเขาแบบถึกๆหน่อย

ก็ยังมีอ่ะ แถวในเมืองร้านคาเฟ่ชิคๆก็มีเยอะแล้ว มันครอบคลุมทุกสไตล์จริงๆ


สำหรับเราชอบเที่ยวโซนเขียวๆ ก็เลย scope มาที่ อ.ทองผาภูมิ นี่แหละ

เพื่อนๆอาจจะเคยได้ยินชื่อ อำเภอนี้ว่าเป็นที่ตั้งของเขาช้างเผือก อันโด่งดัง

แต่ถ้าไม่อยากขึ้นเขาแบบฮาร์ดคอร์เบอร์นั้น อำเภอนี้ก็ยังมีเนินเขา,หมู่บ้าน, น้ำตก

ให้เราเข้าไปเช็คอินเที่ยว ถ่ายรูปแบบคูลๆอยู่แน่นอน

ขอสรุปสถานที่คร่าวๆที่เราไปให้เห็นภาพกันก่อนนะ

เพราะ เราไม่ได้ไปแค่ทองผาภูมิ แต่ชอบทองผาภูมิมากที่สุด บอกเลยยยย :)


DAY 1 : อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ / เนินช้างศึก / หมู่บ้านอีต่อง
DAY 2 : ช่องเขาขาด / ผึ้งหวานรีสอร์ท(แถวแม่น้ำไทรโยคน้อย)
DAY 3 : น้ำตกไทรโยคน้อย / วัดถ้ำเสือ

ปอลอ. ค่าใช้จ่ายอยู่ท้ายรีวิวเน้ออออออ....


ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อพฤษภา 2016 ช่วงวันหยุดวิสาขบูชา ก็เลยไม่ต้องใช้วันลา :D

ไปด้วยกันทั้งหมด 3 คน แบบไม่ใช้รถส่วนตัวจ้า มันก็เลยจะหลายต่อหน่อยๆ...

Let's go! ~~~~~~~~


เราเริ่มเดินทางจาก กทม. ไปกาญฯ ด้วยรถตู้ สมัยที่วินแถวข้างๆเซนจูรี่ยังอยู่ มาส่งถึงขนส่งกาญเลย

จากนั้นก็หารถเมล์แดงสาย กาญฯ-สังขละ ไปลง อ.ทองผาภูมิ

ระหว่างทางเดินไปรถเมล์ จะเจอพวกพี่ๆคนขับรถสองแถว แท็กซี่เหมา มาทักตลอดไปไหนคับน้อง นู่นนี่นั่น

เนื่องจากศึกษาการเดินทางมาก่อนแล้ว ก็ไม่ต้องไปสนใจค่ะ

พุ่งเป้าหารถเมล์แดงโลด ถูกกว่าเย้อะะ 5555

คันนี้เลย กาญฯ-สังขละ บอกกระเป๋าก่อนเลยว่าจะขอลง ทองผาภูมิ 80 บาท

เห็นหน้าโหดๆงี้ พี่กระเป๋าแกใจดี ชี้เป้าให้ด้วยว่าถ้าถึงทองผาภูมิแล้วต้องไปขึ้นรถสองแถวตรงไหนเพื่อไปอทช.


เจอเด็กน้อยบนรถ...น่าร้ากกกกกกกกก


นั่งชิวบ้างหลับบ้าง ไปครึ่งทาง ก็จะเจอด่าน มีพี่ทหารขึ้นมามองหน้าขอตรวจบัตร ปชช. ยิ้มสวยๆแล้วก็ยื่น

ให้เขาไปเลยค่ะ 555


ใช้เวลาประมาณ 3ชม.ก็ถึงแล้วววว

พุ่งเป้าหารถสองแถวคันเหลืองๆเลยค่ะ จริงๆมันก็มีหลายสายอยู่นะ ให้มองคันที่เขียนข้างรถว่า

ทองผาภูมิ-ปิล็อก/อีต่อง ถ้าไม่ชัวร์ถามพี่ๆแถวนั้นได้เลยคนเมืองกาญ ใจดีทุกคน อิอิ

เจอรถแล้ว อยู่แถวๆตลาดเลย ถามเวลาออกรถจากพี่คนขับได้เลย

รอบรถจะมีประมาณ 3 รอบต่อวัน ตั้งแต่ 10.30น. จนถึง 12.30น. ราคา 70 บาท

ถ้ามาช้ากว่านี้อาจจะต้องเหมาทั้งคันไปเลยนะจ๊ะ


เราหาข้อมูลมาก่อนก็เลยกะเวลาให้ถึงประมาณ 11.30 น.

มีเวลาเดินเล่นในตัวเมือง แวะกินข้าวโดยถามจากคุณลุงคนขับ ลุงแกแนะนำ ร้านครัวรสแซ่บ

ขายพวกอาหารอีสาน ส้มตำ เดินจากที่จอดรถเหลืองมาเรื่อยๆก็จะเจอ แนะนำเลย แซ่บเวอร์ไม่แพงด้วย


และก็ได้เวลารถออกพอดี...ไปโลดดดดดดดดดด

คันเรามีคุณป้าจากหมู่บ้านอีต่องนั่งมาด้วย 1 คน และก็มีนักท่องเที่ยวอีก 2คน ที่ตั้งใจไปพักที่หมู่บ้านอีต่อง

ป้าแกก็แนะนำ ชวนคุยโน่นนี่ ดีใจที่มีคนรู้จัก และตั้งใจมาเที่ยวหมู่บ้านแกด้วย


ตอนแรกเราเข้าใจว่าหมู่บ้านอีต่องเป็นแค่ที่แวะเที่ยว มีจุดชมวิว และก็เข้าชมเหมืองปิล็อก อย่างเดียว

(อ่านรีวิวหมู่บ้านอีต่องแบบผ่านๆตามาก เลยไม่รู้ว่ามันจะมีที่พักด้วย)

ชักอยากรู้ละ...ว่าหมู่บ้านอีต่องมันเป็นยังไง


ท้องฟ้าสวยยยยยยยยยย :>

ยังไม่ถึงไหน ฝนก็เทลงมา T^T


นั่งยาวๆไป ลุงจันทร์คนขับรถแกซิ่งมาก ผ่านหลายโค้งมากจริงๆ แกก็ยังซิ่งได้

คือถ้าใครเมารถกินยาแก้เมาเผื่อไว้เลยจะดี ไม่งั้นก็หลับไปเลยจะดีที่สุด 555

ลุงแกแวะพักให้ตอนเหลืออีก 60กม.(คือนั่งมานานมากแต่ทำไมยังไม่ถึง TT)

ตรงที่ลุงแกแวะมีร้านขายข้าว ก๋วยเตี๋ยว น้ำหวาน แวะกินได้เลยอุดหนุนชาวบ้าน

มาถึงตรงนี้รู้สึกเลยว่าเริ่มอากาศเย็นล้าว จะดีมากถ้าฝนไม่ตก YY


บ่ายสามมมมมม...

ในที่สุดเราก็มาถึงอทช.ทองผาภูมิ

จ่ายค่าเข้าตรงป้อมข้างหน้าเลย คนละ 40บาท

จากนั้น จนท.ก็จะบอกให้เดินเข้าไปตรงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเพื่อจ่ายค่าที่พัก

เราโทรไปจองไว้ก่อนแล้ว กลัวจะเต็ม แต่เอาเข้าจริง เหลืออีกหลายหลังเลยแหละ

เดินเข้าไปตามป้ายนี้เลยจ้า จะนอนเป็นบ้านหรือเต๊นท์ก็ทางเดียวกัน

สีเขียว :)))))


เราพักบ้านริมผา1 ในสุดเลย พักได้ 2-3คน 800 บาท ต่อหลัง

ถ้าจะนอนเต็นท์ ที่นี่ก็สามารถเช่าได้นะ มีเครื่องนอนให้ครบ หรือจะเอามาเองก็ได้

จุดกางก็จะอยู่บนเนินกูดดอย แถวๆบ้านพักนี่แหละ

เจอแล้ว หลังในสุดเลย

ภายในบ้านมีห้องน้ำในตัว หมอน ผ้าห่ม ฟูกรองนอน พร้อมค่ะ

ขาดแต่พัดลม ซึ่งตอนแรกคิดว่ามี แต่คือพบว่าอากาศเย็นมาก เข้าใจเลยว่าพัดลมไม่จำเป็น

มีระเบียงให้ออกไปนั่งชมวิวจิบชาสวยๆด้วย คือวิวดีเลยแหละ

วิวจากระเบียง :->

เก็บของแล้วก็เดินเล่นกัน

นี่ไงบ้านทาร์ซานอันโด่งดัง ชอบบบบบ...น่ารักมาก เป็นความฝันของเราที่อยากมีบ้านแบบนี้ในวัยเด็กเลยอ่ะ

จริงๆมันว่างด้วย แต่ด้วยความที่มันราคา 1500บาท เลยแค่เดินมาดูเฉยๆก็ด้ะ ทริปนี้เน้นประหยัด 5555


เดินต่อๆๆๆ...

ตรงนี้เลย จุดชมวิวเนินกูดดอย ฟ้าหลังฝน ก็สีสวยดี =)


ทีนี้ก็ถึงเวลาออกไปแว๊นซ์กันแล้ว......

เราขอเช่ามอเตอร์ไซด์ของเจ้าหน้าที่อทช.ไป 2คัน คันละ 250 บาท (เต็มวัน500บาท)

มุ่งหน้าไปหมู่บ้านอิต่อง ก็จะผ่านน้ำตกจ๊อกกระดิ่น ตอนแรกจะแวะไปซะหน่อย แต่น้ำมันดันจะหมด

เลยต้องเลยไปเติมที่หมู่บ้านอีปู่ก่อน(เป็นหมู่บ้านที่จะถึงก่อนอีต่อง)

ขับผ่านเนินช้างศึก เนินเสาธง ด้วย ซึ่งเป็นจุดชมวิวและกางเต็นท์ ที่ทุกๆคนรู้จัก กะมาแวะตอนขากลับค่า


เจอป้ายหมู่บ้านแล้วจ้า แว๊นซ์ไปต่อกัน


เข้าเขตหมู่บ้านอีต่อง...สงบมาก แบบนั่งท่องเที่ยวน่ามีอยู่ไม่กี่กลุ่ม ที่เหลือก็จะเป็นชาวบ้านล้วนๆเลย

local สุดๆ บรรยากาศดี ขับชะลอดูหมู่บ้าน แล้วก็เลยไปจุดสานสัมพันธ์ไมตรีไทย-พม่า ก่อน

เดี๋ยวกะมาแวะหมู่บ้านขากลับ


นี่ไงเขตไทย-พม่า มีแค่รั้วบางๆกั้น อิอิ

เจอพี่ทหารที่เป็นคนเฝ้าเขตนี้ เขามาแนะนำและบอกว่าต้องจอดรถไว้ที่นี่ จะดูวิวต้องเดินเข้าไป ไม่ไกลมาก


เข้ารั้วมาก็เจอเลยเรียกว่าช่องเขาขาด ลมกำลังแรงใช้ได้ ท่าโพสมันก็จะคูลๆหน่อย



นี่เลยจุดชมวิว มองไปอีกฝั่งก็จะเป็นพม่า อากาศเย็น ลมแรงมาก

คืออยากถ่ายรูปตรงไหน อยากได้มุมไหน จัดได้เต็มที่

เพราะมันไม่มีคนเลย ทุกวิวไม่มีทางติดคนแน่นอน 555

แต่ฟ้ามันก็จะครื้มหน่อยๆ U.U


เย้ยย…เจอหินรูปหัวใจ น่ารักดี

ฟ้าเริ่มส่งเสียงเตือนว่าหมดเวลาของพวกเราแล้ว

สูดอากาศให้เต็มปอดแล้วลงไปเดินเล่นในหมู่บ้านกันเถอะ


จอดรถแล้วเดินเล่นกัน ;D

จากที่เห็นบรรยากาศน่ารักมาก ให้ฟีลคล้ายเดินเล่นเชียงคานที่คนน้อยกว่าเยอะ ร้านยังไม่เยอะมาก

homestay ก็พอมีหลายเจ้า ที่กำลังสร้างก็พอมีให้เห็นอยู่บ้าง เสียดายที่คืนที่สองเราน่าจะมาพักที่นี่ ><

ร้านอาหารส่วนใหญ่เป็นตามสั่งก็จะมีอาหารขึ้นชื่อของที่นี่ก็คือ ปูทะเล

เพราะว่าที่นี่อยู่ห่างจากทะเลอันดามันเพียง 60 กม.

ร้านขึ้นชื่อคือ ปูพม่า (พี่ทหารเขาแนะนำมา)

ร้านกาแฟก็มีบ้าง แต่ยังไม่เยอะมาก ราคาต่อแก้วไม่แพงเลย ประมาณ 30-35 บาท


เด็กๆชาวอีต่อง มีความเขินหน่อยหน่อย


แมวเผ้าร้านกาแฟ


เนื่องจากกลัวจะมืด และฝนตก เราเลยแวะซื้อข้าวเย็น ที่นี่เลยไว้ก่อน

เป็นข้าวแกงตักกลับไปกิน 1 อย่าง 40, 2 อย่าง 50

เดินออกมาจากหมู่บ้าน เจอเหมืองปิล็อก อยู่ตรงข้ามหมู่บ้าน แต่ตอนนี้ปิดซะแล้ว

สุดท้ายคงต้องกลับแล้ว........เสียดายจุง ครั้งหน้าจะมานอนที่นีแน่นอน

บ๊ายบายหมู่บ้านอีต่อง


ระหว่างทางกลับฝนไม่ตกแล้วแค่ฟ้าครึ้มมาขู่ เลยได้โอกาสขับขึ้นไปเนินช้างศึก

ทางก็ไม่ชันมากขับขึ้นไปได้เรื่อย จอดรถละเดินเท้าขึ้นไปต่ออีกนิดเดียวก็ถึงเลย

วิวที่เห็นมันก็จะดีหน่อยๆ



มุ้งมิ้งกันเฉย -.- 555

เค้าเอง...ลมแรง ผมพังมาก 555+

ที่จอดเฮลิคอปเตอร์ อยู่นี่


เจอนักท่องเที่ยวมาหลายกลุ่ม แบบมากางเต๊นท์ที่นี่ นอนนี่เลย ถ้าเป็นช่วงเทศกาลคนคงเยอะกว่านี้มาก

แต่นี่คนน้อยดี เหมือนได้ดูวิวแบบ private มีพื้นที่แบบ private มันก็ดีเหมือนกันนะ

และแล้วฟ้าก็จะมืดจริงๆละ กลับไป อทช.กันดีกว่า


18.30 เราก็มาถึงกลับมาอช. คืนมอเตอร์ไซด์ นั่งกินข้าวที่ศูนย์สวัสดิการ

จริงๆที่นี่ร้านข้าวเปิดถึง 18.00 แต่ยังพอสั่งกับข้าวได้อยู่

เราเลยสั่งไข่เจียวหมูสับมาเพิ่ม กินกับกับข้าวที่ซื้อมาจากอีต่อง

ส่วนสวัสดิการที่ขายของเบ็ดเตล็ดเปิดถึง 20.00

สำหรับไฟฟ้า ที่นี่ จนท. บอกว่าปกติจะปิดตอน 20.30 แต่วันที่เราไปพักเขาปิดจริงๆตอนสามทุ่ม.....

......เหนื่อยเดินทาง เหนื่อยเที่ยวมาทั้งวัน หัวถึงหมอนก็หลับเลย Zzzzzzzzzzzzz

_________________________________________


เช้าวันใหม่ ตั้งใจจะตื่นมาดูพระอาทิตย์ขึ้นแต่เช้าที่เนินกูดดอย เนินช้างเผือก

แต่ฝนเจ้ากรรมตกทั้งคืนยันตอนนี้ TT เลยไม่ได้ออกไปจากบ้านพักเลย

สุดท้ายออกมาเกือบ 8.00 เดินออกมาลุ้นอยู่ที่หน้าป้อมกับพี่จนท. ว่าจะมีรถสองแถวมาอีกมั้ย

(จริงๆนัดกับลงจันทร์คนขับเมื่อวานว่าจะมารอตอน 7.30)

พี่จนท.แกบอกว่าถ้าไม่มีก็ต้อง รถอาแล้ว …… ฮืม รถอาไหนพี่ ? ....อาศัยไง -.-

พี่แนะนำให้โบกรถที่กำลังจะกลับไปเอาเลยน้อง แต่ตอนนั้นฝนก็ยังตกปอยๆอยู่

ถ้าให้นั่งท้ายกระบะคงหนาวยะเยือก แต่แล้วก็มีรถสองแถวเหลืองผ่านมาพอดี เลยได้กลับกับรถคันนี้ เฮ่


หลับๆตื่นๆเพราะความมึน แต่สุดท้ายเราก็ถึงตัวอำเภอแล้น

นี่ๆ เข้าเมืองกาญ ต่อด้วยรถแดง ต้องเดินมาทางนี้ เป็นเหมือนป้ายรถเมล์ มารอเลยยยยย

Let’s go...


ตามแพลนที่คิดกันไว้เราจะไปเที่ยวที่อุทยานประวัติศาสตร์ช่องเขาขาดกันต่อ

เพราะมันเป็นทางผ่านของที่พักเรานั่นคือไทรโยคน้อย

ขึ้นรถเราก็บอกพี่กระเป๋าเลยว่าขอลง ช่องเขาขาดนะพี่ ประมาณ 1 ชม. ถึง

ลงจากรถเมล์แล้ว ต้องเดินข้ามถนน เข้าไปที่หน่วยทหาร ต้องเดินต่อเข้าไปอีกจากตรงนี้

ถามพี่จนท บอกประมาณ300 เมตร เอาเข้าจริงก็แอบไกลกว่านั้นนะ 555

นี่เลยถ้ามาถูกจะต้องเห็นต้นไม้อันนี้ ในหน่วยทหาร เดินต่อเข้าไปกันค่ะ

ถึงแล้วมันก็จะเขียวๆหน่อย


ที่นี่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนแรกจะเป็น นิทรรศการภายในตึก “พิพิธภัณฑ์แห่งความทรงจำ ช่องเขาขาด”

พิพิธภัณฑ์ฯได้รวบรวมภาพถ่าย ข้อมูล และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ

ที่เกิดในระหว่างการสร้างทางรถไฟสายมรณะ


อีกส่วนก็คือ เส้นทางศึกษาธรรมชาติ ช่องเขาขาดนั่นเอง เดินออกมาข้างหลังเจอบันได ก็ลงมาเบย

R.I.P


เดินครบแล้ว ก็ถึงเวลาเข้าที่พักของวันนี้กัน

ถ้าไปแบบปกติก็ต้องออกไปทางที่เข้ามาแล้วข้ามถนนไปรอรถเมล์แดงนั่งไปลงน้ำตกไทรโยคน้อย

แต่ด้วยความร้อนและเมื่อย เลยกะลองหารถนักท่องเที่ยวแถวนั้นขอเขาติดไปด้วย 5555

แล้วก็เจอจริงๆจ้า เป็นรถสองแถวที่นักท่องเที่ยวเหมามา เขาจะไปน้ำตกไทรโยคน้อยพอดี

บังเอิญไปอีก ก็เลยขอติดรถพวกพี่ๆเค้าไปด้วยจ้า โชคดีมั่กๆ


เราพักกันที่ผึ้งหวานรีสอร์ท เนื่องจากใกล้น้ำตกไทรโยคน้อย และที่สำคัญไม่แพงด้วย 555

พอถึงน้ำตกไทรโยคน้อย ก็สามารถเรียกรถบริการของที่พักมารับได้จ้า

ถ้าสนใจอยากเล่นน้ำล่องแพ ที่นี่ก็มีบริการ คนละ 350 บาท แต่เรางก ไม่เล่นละกัน เดินเล่นเอา 555

บรรยากาศดีเลยยยย~


เดินเล่นไปเรื่อย ก็เจอกับกลุ่มเด็กกำลังเล่นวอลเล่ย์กันอยู่ (เนื่องจากรีสอร์ทค่อนข้างกว้าง มีสนามเล่นวอลเล่ย์ไปอีก)

เด็กชายตัวเล็กเล่นกับพี่ๆไม่ได้ นางเห็นกล้อง ก็เลยโพสท่าโชว์หน่อย

_______________________________________


วันสุดท้ายล้าววววววววว

ออกจากรีสอร์ท กะไปเดินเล่นที่น้ำตกไทรโยคน้อยเป็นที่สุดท้าย

แต่กลับพบว่า น้ำแห้งเหือดมากถึงมาก เกือบนึกว่ามาผิดแล้ว ไม่มีน้ำเลยจริงๆ เงิบไปอีก 555

ไม่มีน้ำตกให้ถ่าย เลยถ่ายป้ายแทน เดี๋ยวลืมว่าเคยมา 555

มันก็ดูญี่ปุ่นหน่อยๆ 555+

ที่นี่เราสามารถนั่งรถไฟกลับกทมได้เลยนะ ที่สถานีน้ำตก

แต่รถไฟมารอบบ่ายโมง ซึ่งอีกนานเลย ไม่มีไรทำ เลยนั่งรถเมล์สายเดิมเข้าตัวเมืองดีกว่า


ถึงตัวเมือง ก่อนกลับกทม.แวะไหว้พระที่วัดถ้ำเสือ เพื่อความเป็นสิริมงคล กันสักกะหน่อย -//\\-

ขอให้มีคนเข้ามาอ่านมาเเชร์เย้อะๆ.....สาธุ >//\\<

----- เป็นอันจบทริป โดยสมบูรณ์ล้าววว -----

สำหรับเรากาญจนบุรีมันดีต่อใจมากจริงๆ

จะมาเป็นครอบครัว กลุ่มเพื่อน คู่รัก ลุยเดี่ยว

ขับรถเที่ยว แว๊นซ์มอไซด์ หรือ จะรถสาธารณะ

เที่ยวเขื่อน แพ น้ำตก ภูเขา แม่น้ำ ก็ได้ก็ดีหมด

ส่วนเราพื้นที่สีเขียวของที่นี่ดีที่สุดแล้ว

นอกจากความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ยังให้ความรู้สึก คลีนๆ สบายตา สดชื่น ไปอีก

นี่แหละส่วนหนึ่งของกาณจนบุรีที่ฉันเห็น...มันเป็นสีเขียว :)


สรุปค่าใช้จ่าย

DAY 1
    รถตู้ กทม.-กาญ  = 120 บาท
    รถเมล์แดง กาญ-สังขละ (บอกตั๋วรถเมล์ว่าขอลง อ.ทองผาภูมิ) = 80 บาท
    รถสองแถวเหลือง ทองผาภูมิ-ปิล็อก (บอกคนชับว่าขอลง อทช.ทองผาภูมิ) = 70 บาท
    ค่าเข้าอุทยาน 40 บาท , ค่าทีพัก (บ้านริมผา1 พักได้ 2-3คน) = 800/3 = 267 บาท
    ค่ามอเตอร์ไซด์ แว๊นเที่ยว ครึ่งวัน 250 บาท/คัน, ค่าเติมน้ำมัน = 30 บาท/คัน รวม2คัน = 187 บาท
    ค่าอาหาร 180 บาท
DAY 2
    รถสองแถวเหลือง ปิล็อก-ทองผาภูมิ = 70 บาท
    รถเมล์แดง สังขละ-กาญ (ลงช่องเขาขาด) = 25 บาท
    ค่าที่พัก (ผึ้งหวานรีสอร์ท) = ประมาณคนละ 600 บาท
    ค่าอาหาร 300 บาท
DAY 3
    รถเมล์แดง สังขละ-กาญ (ลงกาญ) = 40 บาท
    รถตู้ กาญฯ-กทม. = 120 บาท
    อาหาร+ขนม = 100 บาท
รวม 2199 บาท

ขอบคุณผู้อ่านทุกคนนะคะ ที่เปิดเข้ามา อ่านบ้างข้ามบ้าง ก็ดีใจแล้วค่ะ

ไว้พบกันใหม่ทริปหน้า มาแน่ อิอิ ;-D

จอบอ

dreamm.

Everyone has a Dreamm

Everyone Has A Dreamm

 วันจันทร์ที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 11.17 น.

ความคิดเห็น