"Good morning Day2 " ค่ะ :)

สำหรับวันนี้เราจะเที่ยวในเขตนครวัด นครธม กันทั้งวัน

เนื่องจาก ที่นี่กว้างขวางและยิ่งใหญ่อลังการ

หากจะเก็บให้ครบทุกที่ ก็คงจะใช้เวลาซัก 3 วันเป็นอย่างน้อยเลย

สำหรับเรา เป็น One Day Trip ก็เลยพาไปแต่ที่สำคัญๆ แล้วกันนะคะ


การเข้าชมปราสาทในเขตนครธม หากมากับทัวร์หรือรถตู้

จะส่งให้เราลงที่ประตูทางเข้า ทิศใต้ ซึ่งรูปปั้น และ สลักที่ประตูยังคงความสมบูรณ์

เราจะต้องเดินผ่านสะพานนาคราช ความยาวประมาณ 100 เมตร

เดินผ่านประตูเมือง เพื่อชมปราสาทในนครธมกันต่อ

รูปศิลาสลักบนสะพานด้านหนึ่งจะเป็นเทวดา ซึ่งกำลังฉุดพญานาค

ส่วนอีกด้านหนึ่งเป็นอสูรซึ่งมีขนาดใหญ่ถึง 5 เท่าของขนาดคนจริง

ข้อสังเกตของรูปสลักทั้งสองฝั่ง ใบหน้าจะแฝงด้วยรอยยิ้ม

ประตูยอดรูปพรหมสี่หน้า ๓ ยอด

บรรยากาศแม่น้ำระหว่างเดินข้ามสะพานนาคราช

ประตูอีกฝั่งหลังจากเข้ามาในเขตนครธม


หลังจากผ่านเขตประตูนครธมเข้ามาปราสาทแรกที่เราจะพบเลย ก็คือ

"ปราสาท บายน"

ปราสาทแห่งพระพักตร์ผู้สร้างรอยยิ้ม

สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ถือเป็นศูนย์กลางและไฮไลท์การท่องเที่ยวของนครธม

ปราสาทบายน เป็นปราสาทเดียวที่ไม่มีกำแพงล้อมรอบ

ซึ่งมีผู้ตั้งสังเกตไว้ว่า อาจเนื่องจากปราสาทบายนมีกำแพงนครธมอยู่แล้ว

เลยไม่มีการสร้างกำแพงล้อมอีกชั้น

ภาพลักษณ์อันชัดเจนของปราสาทบายน ที่ปรากฏแก่สายตาชาวโลกนั่นก็คือ

ภาพสลักหิน“พระพักตร์ของพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร” 4 ทิศ

ขนาดมหึมาบนปรางค์ต่างๆของปราสาทนับร้อยภาพ


ประตูด้านหน้าทางเข้า ทางทิศตะวันออก

กราบสักการะพระพุทธรูป เพื่อเป็นสิริมงคล ก่อนเข้าชมด้านในปราสาท


จิตรกรรมแกะสลักบนต้นเสา รูปนางอัปสรา

หลายๆคนมักจะเข้าใจผิด คิดว่า นครธม คือ ชื่อของปราสาท

ซึ่งในความจริงแล้ว นครธม คือ ชื่อ ของเมือง

และปราสาทบายน คือ หนึ่งในเมืองนครธม นั่นเอง

และสิ่งที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวงก็คือยิ้มบายนที่สวยที่สุด

ซึ่งหากอยากรู้ว่ายิ้มบายนหน้าไหนยิ้มสวยสุด

เพียงเดินชมไปเรื่อยๆ หากพบยิ้มบายนใบหน้าไหนมีรั้วเชือกเล็กๆกั้นไว้

นั่นแหละใช่เลยค่ะ ยิ้มที่สวยที่สุด

รอยยิ้มแบบบายน

หนึ่งในรอยยิ้มอมตะที่อยู่คู่โลกมาร่วม 800 ปี

ระหว่างเดินชมตัวปราสาทไปเรื่อยๆ

แอบรู้สึกเหมือนมีคนคอยจ้องมองตลอดเวลา

เพราะหันไปทางไหนก็จะพบกับรอยยิ้มแบบบายน ซึ่งเป็นรอยยิ้มแห่งความเมตตา


เดินเท้าจากปราสาทบายน ไม่ไกลมากนัก เราก็จะได้พบกับปราสาทถัดมานั่นก็คือ

"ปราสาท บา-ปวน"

ปริศนาพระพุทธไสยาสน์ ด้านตะวันตก

ปราสาทปาปวน อีกหนี่งปราสาทในเขตนครธม

ซึ่งเป็นปราสาทที่มีความสูงใหญ่ ถึง 3 ชั้น

เป็นปราสาท ลักษณะรูปทรงพีระมิดขนาดใหญ่

ในแต่ละชั้นของตัวปราสาท สามารถเดินได้โดยรอบ

การเดินขึ้นปราสาทในแต่ละชั้น จะมีความชัน

ซึ่งต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินเป็นพิเศษ

ภาพสลักเสลาหินเรื่องราวมหากาพย์มหาภารตะ

รามเกียรติ์ และวิถีชีวิตในสมัยก่อน

ชั้น 3 ซี่งเป็นชั้นบนสุด ตามแนวระเบียงคต

สถูปรูปทรงปิรามิดส่วนบนสุดของปราสาท

ซึ่งใช้ทำพิธีกรรมตามศาสนา ความเชื่อในสมัยนั้น

แนวระเบียง จิตรกรรมบนเสาต่างๆ ยังคงไว้ซึ่งความสวยงาม

ภาพมุมกว้าง จากระเบียงชั้น 3

ปราสาทสูงเหมาะแก่การชมทัศนียภาพรอบๆ ได้ในมุมกว้าง

ตัวปราสาทถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ โดยรอบ

แต่แปลกที่ต้นไม้ เยอะขนาดนี้ ยังร้อนอบอ้าว ไม่มีลมทำให้พริ้วไหว

ปราสาทนี้ ถือว่าคนให้ความสนใจแวะเข้ามาน้อย

เนื่องจากตัวปราสาทที่มีความสูงชัน

จึงทำให้รู้สึกได้ถึงความสงบของที่นี่

และปราสาทยังคงความสมบูรณ์เป็นอย่างมาก

สะพานทอดยาว เชื่อมปราสาท ปาปวน

เดินครบทั้งสองปราสาทนี้ เวลาก็ใกล้จะเที่ยงเต็มทน

กองทัพ ต้องเดินด้วยท้อง ออกไปหาอะไร ทานกันก่อนดีกว่า

แล้วกลับมาเที่ยวกันต่อที่ปราสาทถัดไป นั่นก็คือ


"ปราสาทตาพรหม"

หนึ่งในสถานที่ถ่ายหนังฉากสำคัญในเรื่อง Tomb Raider

ด้านหน้าทางเข้าจะมีพนักงานตรวจ บัตรผ่านของเราค่ะ

ลองตรวจอีกที บัตรไม่หายไปไหนใช่มั้ย #ใจหายแว๊ป

เป็นปราสาทที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

แอบตื่นเต้น จะได้ เห็นหนึ่งในฉากหนังฮอลลีวู้ด

ปราสาทตาพรหมจัดได้ว่าเป็นวัดในพุทธศาสนา

และเป็นวิหารหลวงในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7

ซึ่งสร้างถวายแด่ พระราชมารดาของพระองค์

ลักษณะเด่นของปราสาทนี้ นั่นก็คือ

ต้นไม้ที่เลื้อยขนาดใหญ่ ที่ชอนไช ปกคลุม จนทั่วตัวปราสาท

ส่งผลให้ปราสาทเริ่มพังทะลายลงมา

บางส่วนของตัวปราสาทที่เริ่มพังทะลาย

ส่วนที่ไม่ถูกต้นไม้ปกคลุม ยังคงความสมบูรณ์

ทางเข้า โคปุระชั้นใน ด้านทิศตะวันออก

จะสังเกตเห็นต้นสะปงขนาดใหญ่ โผล่ออกมาเหนือตัวปราสาท


อดีตเทวสถานอันศักดิ์สิทธิ์


เมื่อเข้ามาด้านในแล้ว สิ่งแรกที่จะเห็นนั่นก็คือ

รากไม้ขนาดใหญ่ของต้นสะปง ซึ่งเป็นจุดถ่ายรูปของที่นี่เลยก็ว่าได้

ถ้าหากคนเยอะ ต้องรอต่อคิวถ่ายรูปกันเลยทีเดียว

เดินชมตามจุดต่างๆ สิ่งที่จะเห็นในทุกๆจุดนั่นก็คือ

รากไม้ ที่เริ่มแผ่ขยายไปเรื่อยๆ โดยรากไม้ส่วนใหญ่ คือ ต้นสะปง บ้านเราเรียก ต้นสมพง

เป็นไม้เนื้ออ่อนซึ่งสามารถชอนไช ไปได้ทุกทิศทาง

ปราสาทถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้

ที่รู้สึกมีความร่มรื่น และมีความขลัง ไปพร้อมกัน


ว่ากันว่า เป็น รากไม้พญานาค เนื่องจากรากมีการขดไปมา และ ลำต้นที่มีขนาดสูงใหญ่

ใครที่ยังไม่เคยมา แนะนำให้รีบมาเลยค่ะ

ตัวปราสาทเริ่มทรุดโทรมไปตามกาลเวลา


รับรู้ถึงความลึกลับ ซับซ้อน

รากไม้ขนาดใหญ่ เรานี่ตัวจิ๋วไปเลย

โดยรวมแล้ว ปราสาทแห่งนี้ ให้ความรู้สึกที่ ต้นไม้ใหญ่ กับ ปราสาทอันเก่าแก่

สามารถเข้ากันได้ อย่างลงตัว สวยงามเป็นธรรมชาติมากที่สุด

ต้นไม้บางต้น ไม่ได้แค่ทำลายตัวปราสาท

ยังช่วยพยุงตัวปราสาทให้คงความงดงามต่อไปอีกหลายร้อย หลายพันปี



และปราสาทสุดท้ายในวันนี้ และเป็นไฮไลท์ที่สุด เลยก็ว่าได้

"ปราสาทนครวัด-Angkor Wat"

สิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก

ทางเดินระยะทาง 350 เมตร เพื่อตรงไปยังเทวสถาน

กำแพงซุ้มประตูทางเข้ายังสวยเลย

ระหว่างทางเดินผ่านสนามหญ้าเขียวๆ

ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่ ที่ได้รับความนิยม

สำหรับถ่ายพรีเวดดิ้งของคนท้องถิ่น

เจอกับ บ่าว-สาว 2 คู่ด้วยกัน

หอสมุด ปราสาทนครวัด

ลองฟังประวัติศาสตร์ของ ปราสาทนครวัดกันดูบ้างนะคะ

นครวัดสร้างในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2

ทรงสร้างปราสาทนครวัดเป็นเทวาลัยบูชา และเป็นที่เก็บพระศพของพระองค์

นครวัดจึงสร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

ต่างจากปราสาทอื่นๆที่หันทางทิศตะวันออก ตามขนบ

ปราสาทนครวัด เป็นปราสาทที่ใหญ่ที่สุด สง่างามที่สุด

มีการวางผังและจัดองค์ประกอบได้อย่างกลมกลืนลงตัวที่สุด

ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยรุ่งเรือง

และได้กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศกัมพูชา

และเนื่องจากนครวัด สร้างหันหน้าไปทางทิศตะวันตก

จึงเป็นหนึ่งในเหตุผลให้คนมักจะเยอะในช่วงบ่าย

ซึ่งเป็นช่วงที่แสงอาทิตย์สาดส่องเข้าตัวปราสาทได้อย่างเต็มที่

เหมาะแก่การถ่ายรูปสวยๆ #ใช่เลย

มองผ่านเลนส์ไปมุมไหน ก็งดงามตราตรึงใจเป็นอย่างยิ่ง

มองกลับไปจากประตูด้านหน้าที่เราเดินเข้ามา

สนามหญ้าโล่งๆ เขียวสบายตา

ผนังหินรอบระเบียงจะสลักลวดลายอย่างวิจิตรงดงาม

เป็นแผ่นภาพนูนต่ำสูงราว ๒ เมตร

มีเนื้อหาเกี่ยวกับพระนารายณ์และอวตารปางต่างๆ ของพระองค์

ระเบียงคต เดินชมลายสลักไม่รู้เบื่อ

มองเข้าไปจากระเบียงคต จะพบกับตัวปราสาท

มองไปทางไหน ก็สวยงดงาม




ปราสาทชั้นใน หากต้องการขึ้นไปบนด้านบน

ต้องได้รับบัตรคิวจากเจ้าหน้าที่ก่อน ค่ะ

จากนั้นจะต้องปีนบันไดสูงๆ ขึ้นไป

ยอดพระปรางค์ขนาดใหญ่ด้านบนสุด

ภาพสลักนูนสูงรูปนางอัปสรฟ้อนรำ

บรรยากาศด้านบนมองออกไปทางทิศตะวันตก

เห็นบอลลูนไกลลิบๆ

ด้านข้างปราสาทมองจากด้านบน

กราบสักการะพระพุทธรูป เพื่อเป็นสิริมงคลก่อนกลับ


ก่อนกลับออกจากปราสาท สังเกตเห็น ไกด์พานักท่องเที่ยวมาอธิบายตรงจุดนี้

ถ้าให้เดา น่าจะเป็นจุดที่เชื่อมต่อหิน ของแต่ละตัวปราสาทเข้าด้วยกัน

ยิ่งเริ่มเย็น จำนวนนักท่องเที่ยวจะยิ่งเพิ่มจำนวนมากยิ่งขึ้น

แนะนำให้ไปช่วงประมาณ บ่ายโมงค่ะ ร้อนหน่อย แต่ไม่ต้องเบียดเสียด กับ คนเยอะ

ได้มุมถ่ายรูปสวยๆ อีกเพียบเลย :)

เดินออกมาลานจอดรถ ก็จะเจอกับร้านขายของต่างๆ

แวะใช้เงินเรียลให้หมดก่อนกลับ

ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่ได้มาสถานที่ ซึ่งมีประวัติความเป็นมานับร้อยๆ ปี

เข้าใจลึกซึ้งในคำกล่าวของ อาร์โนลด์ ทอยน์บี

นักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษผู้เดินทาง ข้ามน้ำข้ามทะเลมาทั่วโลก

ได้กล่าวไว้เมื่อมาเห็นนครวัด ว่า "See Angkor Wat and Die"

หรืออังรี มูโอต์ (Henri Mouhot) นักธรรมชาติวิทยาชาวฝรั่งเศส

ก็ได้เขียนบรรยายถึงนครวัดที่เขาได้ไปเห็นในปี พ.ศ. ๒๔๐๓

ไว้ในหนังสือเรื่อง "การท่องโลก" ว่า "เป็นนฤมิตกรรมทางสถาปัตย์

ซึ่งไม่อาจมีสิ่งก่อสร้างอื่นใดที่สร้างมาแล้ว

หรือที่จะสร้างต่อไปในโลกเสมอเหมือนได้

อาจถือได้ว่าเป็นคู่แข่งของวิหารที่สร้างโดย กษัตริย์โซโลมอนผู้ยิ่งใหญ่ ..."


แล้วพบกันใหม่ ทริปหน้าเร็วๆ นี้นะคะ ♬。 ♫♫~♬

เพจ หนีนาย มารีวิว .•*´¨`*•.¸¸.•♥

DoubleP Traveller

 วันศุกร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 16.14 น.

ความคิดเห็น