หลงรักเชียงใหม่ ปี 2(5 วัน 4 คืน )

ทริปนี้เกิดขึ้นเพราะเราอยากพาแม่ไปเที่ยวพักผ่อนบ้าง ซึ่งแม่เคยไปทำงานอยู่ที่เหนือมาเกือบ 2 ปี แล้วก่อนหน้านี้เราเห็นแกพูดถึงอยู่บ่อยๆ เลยตัดสินใจว่า พาแม่ไปเที่ยวย้อนวัยในวันวานบ้างดีกว่าจึงตัดสินใจจองตั๋วล่วงหน้า ซึ่งเป็นช่วงที่ Air Asia ออกโปรโมชั่นใหญ่พอดี เราจึงรีบจองเลย และเราชอบเมืองเชียงใหม่อยู่แล้วเป็นทุนเดิมเลยเที่ยวยาว หยุดทั้งที่เอาให้คุ้ม ^^ เราจองไฟล์ วันพุธที่ 7/12/2016 รอบ 10.30ถึง 11.40 เอาง่ายๆ กะว่าถึงเชียงใหม่สักเที่ยง จัดไป 3 ที่นั่ง 2100 บาทตกคนละ 700 บาท แพลนไว้ 5 วันเอาให้คุ้มก่อนต้องกลับไปทำงานต่อแบบมนุษย์เงินเดือนหาแต่เรื่องเที่ยว แต่ส่วนตั๋วกลับ และขากลับเราตั้งใจกลับนครชัยแอร์ First Class คนละ 759 บาท เพราะถ้าขึ้น 22.00 ถึง กทม 8.00 ก็จะพอดี ^^ แล้วสักพักก็เริ่มแพลนว่าจะไปไหนบ้าง .....

เมื่อวันเดินทางมาถึง .............. ^^

Day 1 (7/12/2016)

เราสามคนออกจากบ้านแล้วนั่ง BTS 7.15 น เนื่องจากวันที่เราเดินทางเป็นวันที่คนอื่นทำงาน เราจึงต้องออกเร็วหน่อย ถึง BTS หมอชิต 8.00 น. ณ เวลานั้นออกมาจากสถานีเห็นสาย A 1 ที่ตั้งใจจะขึ้นแต่วิ่งไปไม่ทัน คิดว่าจะรออีกคันแต่เอ๊ะ ไปก่อนดีกว่าเพื่อรถติด(เพราะเส้นนี้ติดอยู่แล้ว) โบกเลยจร้าพี่ Taxi โชคดีเจอแท๊กซี่ fast จึงไปถึงเร็วกว่าที่คิด 8.30. จึงมีเวลาหาอะไรรองท้องก่อนขึ้นเครื่อง จัดพาย S&P กับน้ำผบไม้ไปคนละอันสบายท้องและ ^___* แล้ว 9.15 เราก็ไปเช็คอิน

แล้วเดินไปที่ Gate (คิดในใจ "ดีนะที่มาเช็คอินเร็ว") แบบว่าไกลสุด เกตท้ายสุด บ๊ระเจ้า..... แต่พออารมณ์คิดถึงเชียงใหม่แล้วก็หายเหนื่อยเวลาเหลือเพียบเราเลยเดินเล่น นั่งเล่นรอ ชาร์ตแบตเต็มเอียดถึงเชียงใหม่ปุ๊ป พร้อมลุยปั๊บ

และแล้วก็ได้เวลาขึ้นเครื่อง อุ๊ยลืมบอก !!! ก่อนขึ้นเครื่องเราโทรหาพี่หน่อยเพื่อนพี่ที่ออฟฟิศ (บริการรถแดงพาเที่ยวเชียงใหม่ 1 วัน เพราะพาแม่ขึ้นดอยอินทนนท์ อยากให้แม่เที่ยวสบายๆ สไตล๋คนมีอายุ....^*^) ว่าอยู่สนามบินแล้วนะค่ะ ถึงเชียงใหม่น่าจะเที่ยงพอดีค่ะ


11.40 ยินดีต้อนรับสู่เชียงใหม่จ้าว ...^______^ แล้วเราก็รอรับกระเป๋าที่โหลดมาสักพักก็โทรหาพี่หน่อย พี่หน่อยบอกว่าให้เดินออกมาทางออกด้านหน้าเลยพี่เลยเราอยู่หน้าทางออกจ้า....

เรา : สวัสดีค่ะพี่หน่อย... หนูคุจ้ะ แม่ค่ะ มิ้นค่ะ

พี่หน่อย : เป็นไงบ้างเดินทางลำบากไหม

เรา : ตอบอย่างชัดเจนเลยค่ะ ไม่ลำบากเลยค่ะ ^^ ดีใจได้กลับมาเที่ยวอีกครั้งค่ะ^^

พี่หน่อย : งั้นไป... ขึ้นรถเลย (ลืมบอก..... เราคุยแพลนการเดินทางเที่ยว 2 วัน ที่ให้พี่หน่อยพาเที่ยวมาก่อนล่วงหน้าแล้ว) โดย......

วันที่ 1 วัดพระธาตุศรีจอมทอง -> น้ำตกวชิรธาร -> ตลาดม้ง -> ที่พัก (สถานีเกษตรหลวงดอยอินนนท์(จองเกือบปี)

วันที่ 2 ขึ้นดอยอินทนนท์ รอดูอาทิตย์ขึ้น -> เดbนกิ่วแม่ปาน -> จุดสูงสุดแดนสยาม -> อ่างกา -> พระมหาธาตุเจดีย์คู่ -> ส่งที่เมญ่าเชียงใหม่


งั้นเราเริ่มออกเดินทางกันเลย ..... ออกรถบรู๊น บรู๊นคุณนายแม่นึกขึ้นได้ว่าลืมเอาแปรงสีฟันมาเลยเคาะบอกพี่หน่อยว่าหรูขอแวะบิ๊กซีใกล้หรือระหว่างทางก่อนถึงหน่อยค่ะ พอดีแม่หนูลืมซื้อแปรงสีฟัน _*_! คุณนายเลยได้เข้า Big C สาขาใหญ่เลย ช้อปซะเพลินยังกะมาซื้อของเข้าบ้านทุกเดือน (แม่เรามาเที่ยวแค่ 5 วันนะ $~$) แล้วก็เดินทางต่อ ขับไปก่อนถึงทางขึ้นดอยเห็น ปตท แล้วอยากชาเขียวทันทีแต่เลย มาแล้วววววบอกไม๊ทัน จึงบอกพี่หน่อยอีกรอบว่าหนูแวะซื้อชาเขียวสักแก้วค่ะ ที่ไหนก็ได้ค่ะ ก่อนถึงพระธาตุจอมทองมีปั๊มบางจากแยู่พี่หน่อยเลี้ยว..... เข้าจอดประจำการ เราวิ่งไปที่ร้าน อินทนิล ทันทีชาเขียวปั่นแก้วนึงค่ะ 70 บาท แม่ไม่กิน แต่พอดีหน้าร้านอินทนิลเป็นร้านข้าวที่ดูไม่เยอะแต่น่ากินม๊วก จัดไปคนละ จาน 3 คนโดนไป 150 บาท ก่อนเดินทางขึ้นดอยอินทนนท์ รวมทั้งพี่หน่อยและแฟนพี่หน่อยด้วยอร่อย ถูกปาก ผ่าน ^^ อิ่มท้องแล้วเดินทางจริงๆ สักทีนะ หลังจากแวะไปเรื่อยแล้วก็มุ่งหน้าสู่ " วัดพระธาตุศรีจอมทอง " เอาฤกษ์เอาชัยก่อนการเดินทางมาเที่ยวพักผ่อนในครั้งนี้

ไหว้พระธาตุเรียบร้อยแล้วก็เดินดูบริเวณรอบๆ วัดความสวยงามศิลปะวัฒนธรรมของคนเหนือ ( วัดนี้จะเลยทางขึ้นดอยอินทนนท์ไปประมาน 500 เมตร เองลองไปไหว้สักการะขอพรเพื่อให้ทางเดินทางมาเที่ยวครั้งนี้เป็นไปอย่างราบรื่นสนุกและปลอดภัย ) แล้วออกเดินทางต่อขึ้นสู่ดอยออินทนนท์เมื่อเข้าสู่เส้นทางขึ้นดอยขับไปสักพักใหญ่ จะเจอด่านตรวจ 1 โดยจะเก็บค่าเข้าอุทยาน คนละ 50 บาท ค่ายานพาหนะ 30 บาท แต่พี่คนขับรถ กับแฟนพี่คนขับไม่เสียเพราะเป็นเหมือนคนพานักท่องเที่ยวมาเที่ยว (รถแดง) และอีก แม่หนูไม่เสียเพราะ แก่แล้ว 555 อายุ 60 ปีขึ้นไปไม่เสียค่าเข้า สบายไป ^_______*

นั่งชมวิวข้างทางกับอากาศน่าจะ 15 องศาได้สักพัก ถึงแล้ว " น้ำตกวชิรธาร " คือแบบได้ยินเสียงน้ำตกมาแต่ไกล สัมผัสได้ถึงความเย็น พอกำลังจะเดินขึ้นไปเพื่อไปที่จุดชมน้ำตกยังไม่ทันถึง ไอละอองของน้ำตกที่ตกมาจากที่สูงมากนั้น กระเด็นเป็นละออง เย็นสบายมาก เราก็ยืนดู ถ่ายรูปเล่น ถ่ายให้แม่ แล้วเลยให้คนแถวนั้นช่วยถ่ายรูป เรา 3 คนให้เป็นที่ระลึก

พี่หน่อยจะให้เราเดินเที่ยวตามแต่เราไม่ฟิกเวลาแถมแนะนำ แล้วแกยังแนะนำอีกว่าว่าเดินลงไปอีกทางมีทางลง เอาเท้าไปจุ่มน้ำเย็นเล่นได้นะ แล้วเราก็ออกเดินทางต่อ ... เนื่องจากเราใช้เวลาเที่ยวตรงน้ำตกวชิรธารไม่นานมาก (เวลาเหลืออีกเพียบ) พี่หน่อยจึงสามารถพาเราไปเที่ยวที่อื่น^^ นอกเหนือแพลนมุ่งหน้าสู่ " บ้านแม่กลางหลวง " เป็นพื้นที่ปลูกนาข้าวแบบขั้นบันได้แล้วมีโอมสเตย์เล็กให้พัก 7-8 หลัง ที่เขารีวิวกัน เย้..... ถึงแล้ว "บ้านแม่กลางหลวง" อากาศดี บรรยากากาศดี เจ้าของน่ารัก

พี่หน่อยจอดให้เราลงไปเดินเล่นแล้วพอดีเจอเจ้าของที่นานั้น เราจึงจออนุญาตไปเดินเข้าไปในพื้นที่พี่เค้า พี่เจ้าของมีความใจดีไม่หวง (ช่วงที่ไปเป็นช่วงที่เค้าเก็บเกี่ยวนาข้าวแล้ว) แล้วได้เจอเจ้าลูกหมา 3 ตัวของพี่เจ้าของ พาเราเดินลงไปเล่นตามนาขั้นบันได้ เล่นกับเจ้า 3 ตัวเอาซะเหนื่อยเลย วิ่งไล่จับ วิ่งหนี ส่วนแม่เราก็คุยโม้กับพี่หน่อย กับเจ้าของนา (เห็นแม่ยิ้มแล้วมีความสุขจัง) เล่นเสร็จถ่ายรูปสักพัก

พี่หน่อย : อยากไปไหนต่อไหม

เรา : หนูไม่รูเลยค่ะ พี่หน่อยเลยจัดออนทัวร์ดอยอินทนนท์เลยค่ะหนูไปได้หมด

เครื่องสตาร์ท .... เลยไปอีกนิดนึงจะเป็นที่ชาวม้งเลี้ยง "ปลาคาเวีย" สำหรับส่งสถานีเกษตรหลวง ส่งการบินไทย เท่านั้น ที่นี้เรียกว่า " โครงการหลวง โครงการประมง " เราได้ดูถึงให้บ่ออนุบาล บ่อแยก แบบว่าเนี่ยหรอปลาคาเวียที่แสนจะแพง ได้เห็นเป็นบุญตาก็ยังดี เราเห็นในบ่อเลี้ยงเห็นตัว

แต่ไม่สามารถจับขึ้นมาดูได้ก่อนกลับเห็นลูกของม้งที่เป็นคนดูแลปลาคาเวียนั่งเล่นทรายอยู่น่ารักดี จึงขอแช๊ะไว้เป็นที่ระลึกสักภาพ ^_^ แล้วก็ออกเดินทางต่อโดยที่ไม่รู้ว่าพี่หน่อยจะพาไปไหนแค่ที่รู้แน่ๆ คือที่แกพาไปมันต้องเจ๋งแน่ๆ ^__^ และแล้วพี่หน่อยก็พามาจอดที่เหมือนร้านกาแฟเก่าๆ " กาแฟ โถ่บิเบ (กาแฟสมศักดิ์) " แต่ขอบอกถ้าเข้าไปข้างในคุณจะได้รู้รสชาติการกินกาแฟสดแบบไม่ต้องเติมน้ำตาลก็อร่อยได้(เราเป็นคนไม่กินกาแฟ) แต่พี่ชาวม้งเค้าบอกว่าถ้ามาถึงแล้วไม่ชิมกาแฟพี่เค้าถือว่าไม่ให้เกียรติเค้า พี่เค้าเอาที่เพิ่งคั่วเสดใหม่มาบด้วยเครื่องบดแบบวิธีของม้ง(ชาวบ้านๆ) แล้วชงให้ชิมสดๆ คนละแก้ว จะบอกว่ามัน Wow....... มาก

เม็ดกาฟที่คั่วเสร็จแล้วเอามาบนสดๆร้อนๆ

บดเสร็จเรียบร้อยแล้วเตรียมเอามาชงให้เราชิม

พี่ม้งรินกาแฟสดให้ชิมคนละแก้ว

จิบกาแฟไปเม้าท์มอยไป

อร่อยแบบที่คนไม่ชอบกินกาแฟแต่กลับบอกว่าอร่อย พี่เค้าบอกว่าที่นี่ปลูกเอง คั่วเอว ขายเอง ระหว่าที่เรานั่งชิมอยู่นั่ง ภรรยาของพี่ชาวม้งท่านนี้คอยรับโทรศัพท์ รับออร์เดอร์เมล็ดกาแฟอยู่เรื่อยๆเลย ซึ่งก่อนหน้าที่เราไปถึงมีมีกลถ่มนักข่าวมาทำสกรูปกาแฟที่นี้ด้วย พี่เค้าบอกว่าข้าวหลังเป็นโรงคั่วกาแฟของที่นี้ .... "สุดยอดอะ" แบบว่ามีทั้งเมล็ดสดที่ยังไม่คั่ว ที่กำลังคั่งอยู่. ที่คั่วเสร็จแล้วพร้อมทานคือกลิ่นกาแฟหอมมากกกก แล้วจะบอกอีกอย่างว่าเค้าให้ชิมฟรีไม่คิดตังนะ กาแฟที่นี้ โคตรเจ๋ง

พี่หน่อยบอกว่าเวลายังเหลือเดี๋ยวพี่พาไปดูอะไรสวยๆ Wow........ O.O

ไม่ไกลกันนักเราก็มาถึงบ้านพักโฮมสเตย์อีกที่ที่เป็นของ พี่น้อง 2 สาว " Mae klang leng Hill Coffee " เป็นที่พักราคาถูกแต่บรรยากาศและวิวเกินราคา ที่พักมีเป็นร้านกาแฟ และขายของงานฝีมือในตัวด้วย มีทั้งผ้าพันคอ กระเป๋า ผ้าไหม ที่แม่ของเจ้าของที่พักเป็นคนทอเอง จะบอกว่าราคาถูกกว่าที่คิดแถมยังใจดีอีกด้วย ^^

หลังจากลั่นล้า ถ่ายรูปเสร็จ ซื้อของเสร็จ เราก็มุ่งหน้าสู่สถานที่ต่อไป .. " ตลาดม้ง " ซึ่งอยู่ระหว่าทางขึ้นไปยังสถานีเกษตรหลวงดอยอินทนนท์ เป็นตลาดขายของเกี่ยวกลับผลผลิตทางการเกษตรของชาวม้งเองเป็นส่วนใหญ่ เลือกช้อบไว้กินระหว่างทางเพื่อหิว ที่ขาดไม่ได้คือ สตอเบอรรี่สดๆ ^^ เหล้าผลไม้ที่นี้จัดว่าเด็ดเลยที่เดียวถ้าได้ชิมรับรองจะติดใจ

ขับรถไปทางเดียวกับที่จะไปที่พัก พี่หน่อยขับรถไปจอด ริมเขาด้านหนึ่ง .... สิ่งที่เห็นคือ " น้ำตกหลวงสิริภูมิ " ว้าววว สวยมาก Wow ........ที่เรามองคือจากมุมไกล

ดอกไม้เมืองเหนือที่ปลูกขาย

ส่วนด้านหน้าเป็นแปลงปลูกดอกไม้เมืองหนาว โดยเราสามารถขอเจ้าของเดินเข้าไปดูได้ ของจริงสวยมากกก เรายืนดูสักพัก พี่หน่อยบอกป่ะเดี๋ยวพี่พาไปดูใกล้ๆ ที่ไหนค่ะ " น้ำตกหลวงสิริภูมิ " ลุย .... ขับมากสักพักได้ยินเสียงน้ำตกกระทบพื้น เย้ๆ ถึงแล้วแล้วอากาศเริ่มหนาว ฟ้าเริ่มโพล้เพ้ ... ดูสักแปป แม่ มิ้นเริ่มหนาวเราก็เริ่มเย็นๆและ. เราเลยยอกพี่กน่อยค่ะ เราไปที่พักเลยก็ได้ค่ะ ^^ พรุ่งนี้ค่อยลุยต่อค่ะแล้วเราก็มุ่งหน้าสู่ " สถานีเกษตรหลวงดอยอินทนนท์ " เมื่อเข้าที่พักที่เรียกได้ว่าจองข้ามปี เพื่อความสบายของคุณนานแม่กับแสนอร่อยที่เค้าลำลือเราจองบ้านพักสิริภูมิ B เป็นบ้านพักกว้าง มีชั้นลอย สำหรับต้องการเตียงเสริม (ปกติ พักได้ 2 คน)เราเข้าไปเช็คอินเกือบทุ่ม แล้วก็จะมีเจ้าหน้าที่พาเราไปยังบ้านพักซึ่งก็ไกลจากที่ส่วนแต่แต่ระหว่างทางที่เดินไป รายล้อมไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้เมืองเหนือ กันอากาศหนาวๆ (12 องศาได้)


แล้ววางกระเป๋าเรียบร้อยเราก็ไปทานข้าวเย็นอันโอชะที่เรารอคอย ...ขาหมูหมั่นโถว(เมนูขึ้นชื่อ) ชุดน้ำพริกอ่อง เห็ดหอมทอด กะหล่ำปีผัดน้ำปลา ต้มข่าไก่ ข้าว 1 โถ. กินกันแบบไม่พูดไม่จา ปกติ แม่เป็นคนกินข้าวน้อย แต่มารอบนี้ แม่กินข้าว 3 จาน .... ถามว่าหมดไหม. ตอบเลยว่า ..... เกลี้ยง สมคำล่ำลือ

นั่งย่อยอยู่พักใหญ่อากาศเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ พอเช็คบิลเท่านั้นถูกกว่าที่คิดมาก......

ขาหมู + หมั่นโถว 150

กะหล่ำปลีผัดน้ำปลา 80

เห็ดหอมทอด 100

ต้มข่าไก่ 120

ชุดน้ำพริกอ่อง 100

ข้าว 1 โถ 80

น้ำ 40

ทั้งหมด 640 บาท ( อิ่มหนักมากกกกก )

อากาศเริ่มหนาวเพิ่มขึ้นเรื่อยจนแบบว่าต้องกลับไปหาความอุ่นในน้อง (ตอนแรกกะนั่งกินบรรยากาศชิวๆแต่ไม่ไหวจริง) แล้วเราก็เดินกลับห้องพัก ระหว่าทางเจอน้องหมาสุดใจดีเดินไปส่งเราถึวบ้านพักเลย (นางต้อนรับแขกดีมาก) พอเปิดเข้าไปในห้องอากาศหนาวมาก.... ไม่ได้เปิดแอร์ (ไม่มีแอร์) แต่หนาวกว่าเปิดแอร์มากกก เรา 3 คนรีบอาบน้ำ ก่อนที่อากศจะเย็นกว่านี้ ตอนนี้วัดได้ 15 องศา ถึงขั้นห่มผ้าห่มคนละ 2 ผืน ฟินกับอากาศ โดยเรา 3 คนต้องนอนบนเตียงเดียวกันเพียงความอบอุ่นกันเลยที่เดียว ฝันดี

Day 2

04.30 รีบตื่น ล้างหน้าแปรงฟันพอ ..... เรานัดพี่หน่อยไว้ เพื่อจะขึ้นไป " ดูพระอาทิตย์ขึ้น " (เราไปกัน 2 คน เพราะคุณนายแม่หนาววววมากขึ้นไม่ไหว แก้ยากพักผ่อน ชมความงานในสถานีเกษตรยามเช้า เรา 2 คนขึ้นรถออกเดินทาง พี่หน่อยตรงเวลามากมารับเราตรงเวลาเป๊ะ แล้วขับไปสักพัก จะมีด่านตรวจ 2 โดยเราจะเสีย รายคนคนละ 20 บาท ยานพาหนะ 30 บาท คนขับรถไม่คิดแล้วก็ลุยต่อ

. พอก่อนถึงทางขึ้นที่ดูพระอาทิตย์ขึ้นประมาน 1 กม. เค้าจะกั้นเอาไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยจะเปิดตอน 5.30 เราถึงจะสามารถขึ้นไปถึงจุดได้จริงๆ เราจะเห็นทั้งมอไซด์ ปิคอัพ. เราว่าเราเช้าแล้วนะมีคนเช้ากว่า เราไปถุงเป็ประมานคันที่ 10 ได้ต่างจอดรอเพื่อขึ้นไปดูพระอาทิตย์ขึ้นระหว่างรอเราได้เป็นช่างภาพจำเป็นให้แก๊งเด็งมหาลัยแม่โจ้ ประมา15 คนได้ นางให้ถ่ายรูปให้ นางบอกว่าพวกผมขับขึ้นมากันเอง (เด็กปี1) อัยยะ แต่หน้าแต่ละคนนี้สายเหี้ยมมาก

พอถึงเวลาเจ้าหน้าที่เปิดทุกคนค่อนๆต่อคิวขับขึ้นไปแล้วไปรอตรงจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้น (หน้าทางเข้าทางเดินกิ่วแม่ปาน) พอถึงทุกคนต่างจับจองพื้นของตัวเอง สักพักคนเริ่มทยอนขึ้นมาเรื่อยๆ จนเยอะมาก.... ระหว่ารอเราก็คุยกับเด็กแก๊งเดิมเลยตุยไปเรื่อย ถามไปเรื่อย ได้เพื่อนเที่ยวร่วมทางใหม่ พวกนางแกล้งกันไปแกล้งกันมาตามประสาเด็ก(มหาลัย) จะบอกว่าอากาศ ณ ตอนนี้ 6 องศา แบบว่ายืนสั่นหงิกกันเลยทีเดียวสักพักฟ้าเริ่มมีสีแล้วค่อยๆเปลียนเรื่อยๆๆ ทุกคนต่างใจจดใจจ่อกับการดูแสงแรกของวันรับกับท้องป้าสวยๆเมฆสวยไที่ลอยอยู่ และแล้วพระอาทิตย์ก็เปร่งแสงเรืองรองสดใสสวยงามให้ทุกคนที่เฝ้ารอได้ชื่นชมตอนเวลาประมาน 6.10 ณ ยอดดอยอินทนนท์ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นได้สักพัก ชมความงามของแสงแรกของวันเรียบร้อยแล้ว

ด้านหน้าทางเข้ากิ่วแม่ปานก็จะมีร้านขายโจ๊ก อาหาร ซาลาเปา น้ำ นม กาแฟ โอวัลติน คอยบริการเราก็เริ่มการเติมพลังเช้าด้วย โจ๊ก 1 ถ้วย กินด้วยดัน ก่อนเดินลุยต่อกิ่วแม่ป่าน เมื่ออิ่มท้องเสร็จพร้อมลุย .... " กิ่วแม่ปาน " เรา 2 คนไปต่อคิวเพื่อเดินกิ่วแม่ปาน หางยาวมาก......

แต่เราก็ต่อ แล้วสักพักถึงคิวเรา การเดินกิ่วแม่ปานนั้น เจ้าหน้าที่จะจับกลุ่มให้กลุ่มละไม่เกิน 10 คน หรือน้อยกว่านั้นตามสมควร เราได้กลุ่ม 5 คน (3กลุ่มย่อย)5555 เพราะ เรา 2 คน(คุ มิ้น) พี่ผู้ชาย 1 คน น้องผู้ชาย 2 คน โดยเจ้าหน้าที่นำทาง 1 คน ต่อ 1 กลุ่มใหญ่ เราทั้ง 5 คนต่างไม่รู้จักกันเลยแต่เราต้องไปด้วยกัน ทุกคนต่างยิ้มแย้มพร้อมแล้วลุย ... เราได้เจ้าหน้าที่นำทางเป็นผู้หญิง โดยเค้าจะเดินกับเราไปตลอดทาง

จุดแรกเจ้าหน้าที่(ชาวเขา)จะอธิบายกับเราก่อนว่า การเดิน" กิ่วแม่ปาน" เป็นการเดินทาง 3 กิโลเมตร โดยเป็นการเดินอ้อมเข้า 1 ลูก มีทั้งหมด 21 จุด ใช้เวลาเดินทางประมานท2.30 ชั่วโมง แล้วเราก็เริ่มเดินทางจริง เดินไปได้สัก 600 เมตร แรก คุเหมือนจะเป็นลม ต้องนั่งลงกับพื้นตรงนั้นเลย_*_! เจ้าหน้าที่ถาม:เลยไหวไหม ถ้าไม่ไหวกลับได้นะค่ะ

เราตอบอย่างหนักแน่นและเด็ดเดียว "ไหวค่ะ ยังไงหนูก็ต้องเดินไปให้ได้" (พูดเลยว่าจุดนั้นต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้) เพราะทางชันมากเป็นทางเดินจึ้ๆ ลงๆ เขาตลอดทาง แ้ลวพี่ชายที่มาด้วยในกลุ่มเราพยายามหาขนมน้ำให้เพราะเราหน้าซีดมา น้องผู้ชาย 2 คน ถอดเป้รื้อกระเป๋า หายาดมให้ ขอบคุณน้ำใจทุกคนในตอนนั้นมาก _*_ แล้วคุก็บอกพี่ชายกับน้องอีก 2 คนว่า คุอยากไปด้วยไปให้สุดทางแต่อาจจะช้าหน่อยนะค่ะ ทุกคนต่างยิ้มรับและยินดี ตัดบท มีกลุ่มหลังที่ตามมาเดินเลยเราไปประมาน 3 กลุ่มได้แล้ว 555) พอมีแรงฮึด เราก็เดินลุยต่อจนมาถึงจุดแรก .... จุดสอง ..... 3 4 5 ..... ตลอดทางคนในทีมแล้วเจ้าหน้าที่จะได้ยินเสียงคุถามว่าอีกไกลไหมค่ะ เดินมาเท่าไหรแล้ว จุดชมวิวอีกไกลไหม ซึ่งทุกคนต่างให้กำลังใจและพร้อมที่จะรอ จะมีว่า หนูไม่ไหวแล้วขอพักแปปนะค่ะ _*_!!! .. แล้วพี่เจ้าหน้าที่บอกอีกนิดเดียว(หลอกล่อดาวตลอดๆ) อีกคำถามที่เด็ดสุด"ข้างหน้ามีบันไดไหมค่ะ "ที่ถามเพราะถ้าเจอบันได้ปุ๊บคุจะเหนื่อย*2 ปั๊บ บันได้ในป่าบนเขาเหนื่อยมากกกกกก จนถึงจุดชมวิวที่เป็น Topic ของกิ่วแม่ปาน(จุดกลางเข้า 1.5 กม. จาก 3 กม ) Wow.......⛰

มันคุ้มค่ามากกับการเดินป่า+ความชันของเขา ถึงกับหายเหนื่อยเลยทีเดียว. กลุ่มเราถ่ารูปเล่นกันสักพัก เราชวนทุกคนเซลฟี่ แต่ละจุด ถ่ายเดียว ถ่ายคู่ เรามาหมดเมื่อเราฟินกับจุดนี้เสร็จแล้วออกเดินทางต่อ เริ่มมีแรงเดินต่อสิ่งแรงที่ถามไกด์ พี่ค่ะ มีบันได้ที่หนูต้องเดินขึ้นลงอีกไหมค่ะ หรือลงอย่างเดียวไกด์ตอบอย่างเต็มปากว่ามีทั้งขึ้นทั้งลงค่ะ แล้วทุกคนก็หันมายิ้ม เราก็เริ่มเดินต่อไปเรื่อยๆ สักพักนึกได้ทำไมไม่ Live เพราะตอนแรกไม่คิดว่าจะมีสัญญาน แต่จะบอกว่า DTAC มีสัญญานนะจ้ะ ดีบ้างไม่ดีบ้างปนกันไป. Liveสักพักเราก็หยุดระหว่างเดินกลับอีกครึ่งทาง

หนทางข้างหน้าช่างสวยงาม คุ้มค่ากับความเหนื่อย

สมาชิกกลุ่มหนู ^^ ไกด์ พี่ตั้ม คุ มิ้น น้องเปรม น้องโจ้

ต้นกุหลาบพันปี


เริ่มถามแต่ละคนมาจากไหนยังไง (เริ่มตีสนิทตามคอนเซปคุ^*^) พี่ชายคนโตสุดของกลุ่ม นั่งรถไฟมาจาก หัวลำโพง - เชียงใหม่ พระเจ้ามารถไฟคนเดิน สุดยอดมาก แกเป็นสายลุยมาก คอยจดเก็บรายละเอียดเล็กน้อยเป็นความทรงจำระหว่างเดินทาง ^^ ส่วนน้องผู้ชายอีก 2 คน เป็นนักศึกษามหาลัยแม่โจ้ ซึ่งมีสอบบ่าย ..... ปาด.... คุณน้องกล้ามาก แบบว่าชิวเกิ๊น 555 แล้วเราก็เดินเม้ามอยไปเรื่อยๆ คุไม่ไหว ทุกคนค่ะ คุขอพักแปปแล้วทุกคนจะหลอกล่อด้วยการคุอีก100 เมตรถึงจุดบ้างแหละ อีกนิดเดียวมีที่นั่งบ้างแหละ 555 แล้วเราก็เชื่อซะด้วยะพอถึงจุดก่อนจุดสุดท้าย เรานั่งพักนานหน่อย

สักพักมีกลุ่มหลังเดินมาบอกว่า "นี้พี่เดินตามเสียงหัวเราะเรามาเลยนะเนี่ย ". คิดวนใจ เสียงหนูดังขนาดนั้นเลยหรอ*_* 55

แล้วกลายกลุ่มก็มานั่งพักเหนื่อยกับพักใหญเพราะจุดนี้เป็นจุที่มีที่นั่งเยอะสุดแล้วเราก็เดินทางต่อจนถึงปลายทาง เย้ๆฉันทำได้ แต่ฉันเดอนนานไปหน่อย 3 ชม. เนื่องจากเป็นมนุษย์อ้วนที่ไม่เคยออกกำลังกาย และที่สำคัญต้องขอบคุณเตี้ยที่ดูแลเราทุกอย่างเป็นอย่างดี เราเหนื่อยหอบจะเป็นลมตั้งแต่ 600 เมตรแรก นางถึงกระเป๋าอันหนักอึ้ง กล้องเราอีก 1 ตัวแบกให้ตลอดทาง แล้วให้เราเดินตัวเปล่าเพื่อเราจะได้ไปดูสิ่งที่เราตั้งใจมาด้วยกัน นางให้เราเดินตัวเปล่ากับน้ำ 1 ขวด แล้วพอเรากอนของเราหมดนางสละของนางครึ่งขวดให้ ขอบคุณที่ไม่ทิ้งกัน ขอบคุณที่สู้กับฉันในวันที่ฉันลำบากแล้วเรา 5 ก็ทำหน้าที่เดิม ขอ Facebook ทุกคนเพื่อแท๊กรูปให้ทู๊กคน...

แล้วเราก็ออกเดินทางต่อ ขึ้นไปจุดสูงสุดแดนสยาม เพื่อถ่ายรูปเป็นที่ระทึก ^^ สักหน่อย ระหว่างถ่ายรูปเล่นเราได้เห็นนก หลากสีเกาะอยู่บนต้นไม่บริเวณนั้น ทุกตัวสวยงามมากแต่ไม่รู่ว่าเรียกว่านกอะไร บางตัวก็สีซะกลมกลืนกับต้นไม้เชียว ^^.

แล้วต่อที่ " อ่างกา " เป็นป่าดิบเขียว เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ ส่วนใหญ่จะเป็นต้นไม้สูงโปร่ง เป็ทางเดินไป - กลับประมาน 1 กิโลเมตร


ขับรถต่อไปอีกหน่อยไม่ไกลจากอ่างกามากนักเป็นที่เป้าหมายหลักที่เราต้องการไปชมวิวเลย " พระมหาธาตุเจดีย์ นภเมทนีดล - นภพลภูมิสิริ " ซึ่งเป็นพระธาตุที่ทางกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทยทั่วประเทศ ร่วมใจสร้างถวายแด่องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา เมื่อปีพุทธศักราช 2530 และเทิดพระเกียรติแด่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เนื่องในมหามงคลสมัยที่ทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2535 โดยรอบบริเวณพระมหาธาตุเจดีย์ทั้ง 2 องค์ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของดอยอินทนนท์โดยรอบได้อย่างชัดเจน

เมื่อมาถึงที่จองดรถสำหรับคนที่ต้องการเข้าเยี่ยมชมแล้วเอารถมาทางอุทยานจะมีบริการรับ - ส่ง จากที่จอดรถไปส่งยังสถานที่ในอุทยานเลย โดยทางอุทยานจะมีเก็บค่าเข้าเพื่อนำไปบำรุงรักษาคนละ 40 บาท

ค่าเข้าอุทยานคนละ 40 บาท

หลังจากเดินเสร็จเราก็กลับที่พักเพื่อไปเช็ตเอ้าท์รับคุณหญิงแม่ โทรถามนางว่า แม่กินข้าวเช้ายัง คำตอบคือ เรียบร้อยแล้ว ชั้นมาเดินถ่ายรูปข้างนอกดอกไม้สวยมาด อากาศดีมาก แล้วนางก็ไปคุยกบคนที่พักในรีสอร์ทโม้อย่างเมามันส์

นางมีความสุข ยิ้มหน้าตาสดใส แม่บอกว่าอากาศดี อาหารเช้าอร่อยนะ แกอดกิน เนื่องจากห่วงเที่ยว 5555 ก่อนกลับขอถ่ายรูปหน้าบ้านพักสักหน่อยเพราะเมื่อวานมาตอนที่ท้องฟ้ากำลังมืดแล้ววว ^^ แล้วเราก็ Check Out ออกแล้วมุ่งหน้าสู่เมืองเชียงใหม่ ^____^มุ่งหน้าลงจากดอยอินทนนท์ พี่หน่อยขับมาส่งถึงที่พักเลยซึ่งไม่ไดลจากห้างเมญ่ามากนั้นแล้วพอมาถึง B2 Santitham (Wat Jed Yod)

Check In..... สวัสดีเจ้า ปีนี้มากี่วันก๊า 2 ห้อง 1 คืน แล้ว1ห้องอีก 2 คืน น้องหน้าเค้าเตอร์จำเราได้ ^^ เพราะแม่กลับพี่กลับ กทม พรุ่งนี้จ้ะ^^ เจ้า ... (มนต์เสน่ห์แห่งเมืองเชียงใหม่ คือ ความน่ารัก อู้กำเมือง)

เราจะเช่ารถมอไซด์สามารถแจ้งที่พักได้เลยเค้าจะมีรุ่น ให้เลือกแล้วเราแล้วน้องจะขับรถมาส่ง ไม่เกิน 15 นาที โดยเราเลือกเป็น Zoomer x โดยจะคิดค่าเช่า 300 /วัน (24 ชม.) เราเช่า 2 คัน 1 วันเพราะ เราขับแม่ซ้อนเรา โดยทางร้านจะขอเก้บบัตรประชาชน 1 ใบต่อรถ 1 คัน พร้อมกับให้หมวกกันน๊อก 1 - 2 ใบสามารถแจ้งทางร้านได้ และแถมกุญแจสำหรับล๊อกรถเพิ่มต่างหากด้วย .....

ส่วนมิ้นขับอีก 1 คัน มุ่งหน้าสู่เป้าหมายการมาในครั้งนี้ของแม่ " พระธาตุหริญูชัย " เมืองลำพูน มุ่งหน้าสู่ทางเลี่ยงเมืองซุปเปอร์ไฮเวย์แล้ว ตรง ตรง ตรง อย่างเดียว แล้วเจอป้ายบอกทาง "ลำพูน" เราก็เลี้ยวขวาเข้าเมืองลำพูนเลย ตรงไปยังพระธาตุเข้าทำการสักการะขอพร

จุดธูปเทียน พร้อมดอกไม้ ถือไหว้เวียนสักการะพระธาตุหริญูชัย เรียบร้อย

เข้ามากราบสักการะพระประธานในโบสถ์

แม่เดินชมบรรยากาศเมืองลำพูนไปยิ้มไป นางมีความสุขกับการที่ได้มาเที่ยวที่เก่าบรรยากาศเดิมคอยเป็นไกด์แนะนำเมืองลำพูนแล้วต่อด้วยการไหว้" พระนางจามเทวี" ซึ่งวันที่เราไปนั้นเป็นวันที่ทางจังหวัดลำพูนมีงานของพระนางจาเทวีพอดีเลยแต่เป็นวันเริ่มงานวันแรก แล้วเรา 3 คนสักการะเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งบริเวณนั้นสักพัก มีนักเรียนจากโรงเรียนในจังหวัดมารำถวามพระนางจามเทวี

หลังจากดูการแสดงเสร็จเราก็เริ่มหิวเรา เราจึงเดินทางของกินง่ายซึ่งอยู่ใกล้ๆ เป็นเหมือนตลาดโต้รุ่งเพราะว่ามีทุกอย่างให้เลือกเลย ก๋วยเตี๋ยว ข้าวตามสั่ง ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู ผัดไท-หอยทอด ฯ เราเลือกกินก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำตก (พิเศษ) 35บาท

ลูกชิ้นลอยน้ำ อีก 40 บาท( หิวหนักมาก)

มิ้นกินก๋วยเตี๋ยวน้ำใส 30 บาท

แม่กินข้าวต้มทรงเครื่อง 40 บาท

ทุกคนแบบว่าหิวหนักมาก เที่ยวจนเพลินลืมกิน ^^ หลังจากอิ่มท้องเรียบร้อยแล้วเราเป็นเวลาโพล้เพล่แล้วแล้วระยะทางค่อนข้างไกล เราจึงมุ่งหน้ากลับเมืองเชียงใหม่เลย โดยใช้เส้นทางอำเภอ สารภี ตลอดทางจะเจอต้นใม้สูงตลอดทางเรียกได้ว่าเป็นจุดเด็นของอำเภอสารภีเลยที่เดียว ขับมาเรื่อยจนถึงตัวเมืองเชียงใหม่เมญ่า เราถามทุกคนว่าหิวไหม ต่างตอบพร้อมกันว่าไม่หิว เลยมุ่งหน้ากลับที่พัก วางของนอนถึงกับสลบเลยที่เดียวออนทัวร์ แล้วเผลอหลับไปสักพัก ZZZzzz ... คุสะดุ้งตื่น!! 22.30 น. อาการหิวเริ่มมาก่อกวนเลยนึกได้ว่าตั้งใจมากินโรตีชื่อดัง " โรตี กู " อยู่หน้าซอย นิมมาน 3 ทางด้านซ้ายมือ เห้ย!! ดึกป่านนี้คนเต็มร้านพอมาถึงก็พบว่าคนเต็มร้านจริงๆนี้ขนาดร้านมีด้านในและชั้นบนแล้วนะ เรายืนรอสักแปป มีคนเช็คบิลแล้วเราก็ได้มานั่งที่เรานั่งเป็นที่นั่งด้านหน้าร้านนั่งชิวชอบ ^^ แล้วก็เริ่มเปิดเมนูกันเลยตอนแรกคิดว่าจะมีแต่โรตีที่ไหนได้มีน้ำปั่นชนิดต่างๆ และอาหารทางง่ายไม่ยาก สั่งเรียบร้อยสักพักพนักงานเอาชาร้อนมาเสิร์ฟเป็นบริการทางร้านฟรี(ชาร้อน) กินรอระหว่างหิวเพราะเนื่องจากร้านนี้คนเยอะมากกกคิวยาว

โรตีแฮมชีส (เห็นเค้าว่าเด็ด) ...... เด็ดจริง ดีงาม

ผัดมาม่าทรงเครื่อง เห็นหน้าตาอาหารธรรมดาแต่จะบอกว่าเด็ดถึงกับจะมีซ้ำ 555 แต่ต้องเบรคเพราะมีโรตี

สปาเก็ตี้คาโบนาร่า ของโปรดมิ้น

นั่งกินไปโม้ไปชมบรรยากาศยามค่ำคืนของนิมาน ^^ จนรู้สึกหนังท้องตึงหนังตาหย่อนแล้วก็เรียกเช็คบิล

โรตีแฮมชีส 69 บาท

ช็อคโกแลตร้อน 59 บาท

สตอเบอรรี่สมูทตี้ 79 บาท

ผัดมาม่าทรงเครื่อง 69 บาท

สปาเก็ตตี้คาโบนาร่า 89 บาท

ทั้งหมด 365 บาท

Day 3

เช้านี้เป็นเช้าที่เราต้องไปส่งแม่ที่ขนส่งเชียงใหม่นางบอกว่าอยากนั่งรถทวร์กลับ แต่เราจองล่วงหน้ามาให้นางเรียบร้อยแล้ว แล้วเอาตั๋วไปเช็คอินจะบอกว่าคนที่มาหวังซื้อตั๋วหน้านั้นผิดหวังกันเป็นแถบเพราะว่า เป็นช่วงเทศกาลตั๋วเต็มยาวเลยจ้า เกือบ 4 วันเลยจร้าโชคดีนะที่เราจองล่วงหน้ามาแบบ First Class ให้คุณนายนั่งแบบสบายรับรองความปลอดภัยให้การเดินทาง ระหว่างรอรถมาเหลือเวลาเกือบชั่วโมงจึงชวนแม่ไปกินข้าว ในบริเวณศูนย์นครชัยแอร์จะมีร้านข้าวร้านขายของมากมาย แล้วเราก็ไปเจอร้านนึงแบบว่าขายเกือบทุกอย่าง อาหารตามสั่ง ข้าวราดแกง โจ๊ก ต้มเลือดหมู ข้าวขาหมู แม่จัดข้าวขาหมู 1 จาน เราต้มเลือดหมู + ข้าวเปล่า 1 ชุด มิ้น ราดหน้า 1 ชาม รวมน้ำอะไรทั้งหมด 150 บาท แล้วก็ไปส่งคุณนายขึ้นรถ เราจองให้นั่งแบบโซน Lady เพราะเป็นห่วงนางนางต้องนั่งรถไกล คอยโทรถามเป็นระยะ ถึงไหนแล้ว หิวอะไรไหม (นางบอกไม่ต้องห่ววงเสบียงชั้นเพียบ 5555 ขนมที่ซื้อมาจาก Big C ก่อนขค้นดอยต้องขนกลับ กทม รับรองหมดห่วง ^_^ ) แค่ได้เห็นรอยยิ้มแม่ (เสือยิ้มยาก) แค่นี้หนูก็มีความสุขแล้ว ^^

หลังจากส่งแม่เรียบร้อยแล้วเราก็มาที่พักอีกครั้งเพื่อส่งรถคืนก่อน 1 คัน(เนื่องจากเราเที่ยวยาวกลับอีกทีเย็นเที่ยวยาว) หลังจากคืนรถเรียบร้อยแล้ว เตรียมพร้อมลุยอ้วนเตี้ยพาเที่ยว (หลังจากทำภารกิจสร้างความสุขให้แม่เรียบร้อยแล้ว)

ออกเดินทาง .......มุ่งหน้าสู่ " ม่อนแจ่ม " ใช้เส้นทาง แม่ริม - สะเมิง แถวนี้ที่เที่ยวเยอะ แต่เราจะเริ่มจากไกลสุดเพราะการเดินทางขากลับจะได้ไม่ลำบาก ^^

ที่มา : ยืมภาพมาจาก Google

ทางไปม่อนแจ่มช่วงครึ่งแรกวิ่งง่าย แต่พอขึ้นเนามีความชัน ทางแคบ ต้องขับอย่างระมัดระวัง ขับเรื่อยไม่ต้องรีบเที่ยวอย่างสนุกปลอดภัย ระหว่างทางเราจะเจอสถานที่น่าเที่ยวเยอะมากกว่าจะถึงม่อนแจ่ม แต่เอาว่าใครสะดวกแบบไหนลองดูแต่ที่รู้ๆ ม่อนแจ่มนี้ห้ามพลาด ^^


และแล้วก็มาถึงแล้ว "ม่อนแจ่ม " สวยจริงๆ สมชื่อม่อนแจ่มมาก แต่ด้วยความที่ว่าเราขึ้นไปถึงตอนเที่ยงทำให้อากาศด้านบนค่อนข้างร้อน แต่สัมผัสได้ถึงไอเย็นๆบ้าง ด้าานบนจะมีวิวอยู่หลายมุมเลย สามารถหามุมสวยๆถ่ายรูปได้เพียบ

ถ่ายรูปเล่นสักพักพอได้เวลาท้องก็เริ่มปฎิบัตการหิวขึ้นมาทันที

ต้มแซ่บกระดูกอ่อน 150

ไขเจียว 60

ข้าวเปล่า 2 จาน 20

โกโก้ร้อน 50

ชาเขียวร้อน 60

รวม 360 บาท ราคาแพงหน่อยแต่อรุ่ยสมราคานะจ้ะ ต้องลองกินข้าวหลักร้อยดูวิวหลักล้าน ^^

แล้วที่ขาดไม่ได้เลยคือมุมมหาชนเพื่อเช็คอินว่ามาม่อนแจ่มแล้ว ....... ^___^

แล้วมุ่งหน้าเที่ยวต่อ กลับลงมาทางที่เราขับผ่านเป้ามหายเราคือ " สวนพฤกษศาสตร์พระนางเจ้าสิริกิตติ์ฯ "

โดยที่นี้มีค่าเข้าเพิ่งบำรุงดูแลรักษาคนละ 40 บาท ส่วนมอไชด์คันละ 30 บาท รถยนต์ 50 บาท เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วเราก็ลุยเลย...... พร้อมแผนที่เที่ยวแต่ละโซน ซึ่งเจ้าหน้าที่จะวางไว้หากใครต้องการสามารถหยิบได้เลย

แผนที่พร้อม คนพร้อม

มุมนี้นี้ไฮไลท์เลยมุมแลนด์มาร์คที่ทุกคนต้องไปถ่าย *_* มีความขาสั่น มีความกลัว ^^!


เที่ยวทุกโซนจนเกือบหมดแรงเราก็ไปหาอะไรผ่อนคลายเย็นสบายกันต่อเลยดีกว่า ^^ ..........

แล้วลงมาอีกไม่ไกลมากนั้นเราก็เข้ามายัง " น้ำตกแม่สา " จะบอกว่าเรามีถึง 16.10 เจ้าหน้าที่เกือบจะไม่ให้เข้าแล้วเพราะที่นี้บางวันปิด 16.30 , 17.00 ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและสถานการณ์ ที่นะเจ้าหน้าที่แพ้ความอ้อนหนูตั้งใจมา หนูอยากมาหนูจะรีบเข้าไปแล้วออกมาไม่เย็นมาก โอเคครับงั้นห้ามออกเกิน 17.00 น นะครับ .... ขอบคุณค่ะ ^____^ ค่าเข้าวนอุทยานคนละ 20 บาทครับ รถมอไซด์อีก 10 บาท ครับ ขอให้เที่ยวให้สนุกนะครับ ^^ ขอบคุณค่ะ มาช่วงแรกของน้ำตกเราจะเจอสะพานไว้นั้งดูน้ำไหลผ่าน สะพานสวย รับน้ำหนักได้เยอะ เพราะเราพิสูจน์แล้ว 555


แล้วเดินไปอีกนิดจะเป็นที่เล่นน้ำ ^^ น้ำตกแม่สาเป็นน้ำตกที่มีชื่อเสียงของอ.แม่ริม เป็นน้ำตก 10 ชั้น แต่ตอนที่เราไปนั้นเป็นช่วงที่น้ำไม่ค่อยเยอะแม่มีน้ำให้เล่นอยูนะ เราขึ้นแค่ชั้น 2 ของน้ำตก เพราะว่าเรามาเกือบจะปิดแ้ลวกลัวลงมาไม่ทัน ^^ (ไว้มาแก้ตวใหม่) จะบอกว่าน้ำใสไหลเย็นเห้นตัวปลากมาก น้ำเย็นสบายหายเหนือจากทางมาราธอนมาทั้งวันเลย ^^

ข้างหลังเป้นครอบครัวที่เขามากันมาปิคนิคพาหลานมาเล่นน้ำ เล่นน้ำอย่างสนุกสนานเลยทีเดียวเชียว ^^ เห็นแล้วยิ้มตามนึกถึงตอนเด็กได้เล่นน้ำตกเย็นๆ สนุกมากกกก ^_____________^

ก่อนกลับเอาเท้าแช่น้ำอีกสักหน่อย นั่งแช่จนเริ่มหนาวแล้วก็ได้เวลาหิวววว เป้าหมายที่เราจะฝากท้องไว้เย็นนี้คือ " โอ้กะจู๋ Organic สาขาสันทราย (สาขาแรก) " มุ่งหน้าสู่สันทรายขับไปเรื่อยแล้วจะเจอร้านอยู่ทางซ้ายมือ (จะสังเกตได้ง่ายมากคือรถเต็มร้านมาก^^)

ว้าว....... เข้ามาในร้านคนเยอะมากต้องรอคิวสักแปป ร้านนี้จะมีหลายโซน โซน Open , ห้องแอร์ หรือ วิวสวนผัก ที่นี้มีที่นั่งพิเศษด้วยแต่ต้องจองมาล่วงหน้าคือเหมือนนั่งอยูในถ้วยแบบสวีทกลางแปลงผักออแกนิค อยากนั่งมาก แต่เค้าจองกันเป็นเดือน _*_ เราเลยนั่งห้องแอร์ นั่งไหนได้หมดขอให้ได้กินเพราะตอนนี้หิวหนักมาก สั่ง สั่ง สั่ง มีพี่ๆที่เคยมาแนะนำว่าไม่ต้องสั่งสลัดเพิ่มนะถ้าสั่งสเต๊กเพราะว่า สลัดที่มากะจานสเต๊กมันเยอะมว๊ากกก... และแล้วของก็มา โฮ้ว....... จานใหญ่มากกกกกสเต็กสะพานโค้ง Size S ดีนะที่เชื่อพี่เค้า แล้วก็กินอยู่พักใหญ่เลย แบบว่าอิ่มหนักมากก แบบว่าไม่หมดด้วย _*_ !! แล้วก็นั่งย่อยสักพักเช็คบิล

สะพานโค้ง Size S 195

ยำแซลมอนมะม่วงน้ำดอกไม้ 175

กีวี่ มะม่วง 85

ชามะลิ (ร้อน) 75

รวม 530 บาท

กินเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มาเดินย่อยอีกสักหน่อยที่สวนออแกนิคผักที่เค้าเอามาให้เรากิน คือแบบว่า สด สะอาด บรรยากาศดีมาก ทำตามแนวทางพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพล ฯ

เรียกสวนผักออแกนิคนี้ว่า " สวนผักแห่งศรัทธา FARM OF FAITH "

ที่ร้านจะมีโซนจัดนิทรรศการของ " พ่อหลวง "

และที่ขาดไม่ได้เลยคือ จุดถ่ายรูปกับเจ้าของทั้ง 3 คน ^^ 1 2 ซัม แชะ ^____^

เรียบร้อยกับการถ่ายรูปทเป็นที่ระลึกเรียบร้อยแล้วก็มุ่งหน้ากลับที่พัก ขับไปสักพักก่อนถึงเมืองเชียงใหม่รู้สึกหิวนมร้อนเพราะจำได้ว่าที่เชียงใหม่มี " มนต์นมสด " 555 ขอหน่อยนะ ^^ แล้วก็จัดนมร้อนคนละแก้ว ^^ กินนมอุ่นๆจะได้หลับสบาย ^____^

และแล้วพอจัดคนละแก้แล้วกำลังจะกลับ มิ้นเค้าอยากกินของหวานอะ เรากินมื้อเย็นแล้วเรายังไม่ได้กินของหวานตบท้านเลยนะ ^^ เรากิน "โรตีกู " กันวันนี้เปลี่ยนเมนูอยากลองโรตีฝอยทอง (อ้อนแปป) แล้วเราก็แวะร้านโรตีกูเป็นที่เรียบร้อย สิ่งที่ได้มาคือ พ่าม พ้าม พ๊าม .... ผัดมาม่าทรงเครื่อง มาม่าต้มยำทรงเครื่อง โรตีแฮมชีส +โรตีฝอยทอง นี้คือกินมื้อเย็นกันแล้วนะ ผักมันย่อยเร็วเนอะ ^_____^ !!! (ก็ของมันอร่อยนิ ^^!)

หลังจากที่กินกันอย่างดุเดือด ..... แบบว่านี้ ทริปเที่ยว หรือ ทริปเที่ยว กันแน่หว่า ??? 555 แล้วก็งงกับตัวเองแบบหาคำตอบไม่ได้ก็กลับที่พักตามเดิมเตรียมนอนพรุ่งนี้ยังมีต่อ ^____^

Day 4

เราสองคนมุ่งหน้า " GRAND CAN YON Chaing Mai " ใช้เส้นทางหางดง ระหว่างทางรู้สึกท้องร้องเลยกะว่าเจอร้านไหนจอดร้านนั้น

และแล้วเราก็เจอร้านข้าวมันไก่พิเศษ ^^ (ของชอบคุ) 35 บาทข้างร้านข้าวมันไก่เป็นขนมจีนน้ำเงียว 1 ชาม 25 บาท จัดเบาๆเช้านี้เพราะเมื่อกี้จัดหนัก (ของกินนะจ้ะ) กินเสร็จแล้วลุยต่อ ^^

ถึงแล้ววว " แกรนด์แคนยอนเชียงใหม่ " ตอนนี้ที่นี้แบ่งเป็น 2 ส่วน ส่วนนึงเป็นเหมือนสวนน้ำมีของเล่น เครื่องเล่นบนน้ำ เสียค่าเข้าคนละ 300 บาท (แอบแพงสำหรับเรานะ) ส่วนฝั่งที่เราเข้าเสียค่าเข้าคนละ 50 บาท ที่มีที่โดดน้ำจากสันแกรนด์แคนยอน แล้วจะบอกว่าตอนนี้ที่นี้เค้าคิดตั้งรั้วหมดแล้วนะเพื่อความปลอดภัยของนักท่องเที่ยวไม่ได้เป็นสันโล้นๆแล้ว หลังจากถ่ายรูป แล้วแอบดูฝรั่งกระโดดน้ำแบบเมามันส์เรียบร้อยแล้วเราก็ออกไปหาอะไรกินคลายร้อนกันดีกว่า ..... งานกินมาอีกแล้ว ^_____^

งานกินของเรารอบนี้เป็นของว่างทานเล่นชิวๆ เรียกว่าชมวิวไปกินของว่างไป " ภูฟิน " ที่นี้เป็นร้านกาแฟ และมีที่พักด้วย เป็นร้านนั่งบนเบาะชิวๆ ดูบรรยากาศฟินๆสมกับชื่อ ^^

แล้วเราก็สั่ง สั่ง สั่ง ^^ ลาเต้ร้อน ชาเขียวเย็น ไอศรีมบราวนี่เซท


ลาเต้ร้อน ฟองนมนุ่ม พร้อมแครเกอร์ทานคู่กันฟินจริง

ไอศรีมบราวนี่เซทนี้ทีเด็ดร้านเลย แนะนำ ^^

ฟินๆ กันไป ^___^ กินเรียบร้อยแล้วรีบเช็คบิล เพราะ ภูฟินมีมุมสำหรับถ่ายรูปด้านหลังเพียบมากต้องลองมากันแล้วจะรู้ว่าฟินจริงๆ เช็คบิล

ไอศรีมบราวนี่เซท 139

ลาเต้ร้อน 75

ชาเขียวเย็น 85

รวม 299 บาท

เช็คบิลเรียบร้อยแล้วเราก็ไปถ่ายรูปเล่นกัน ...................

หลังจากถ่ายรูปเล่นกันจนหนำใจแล้ว ก็มุ่งหน้าออกเดินทางต่อ..... " พระธาตุดอยคำ " ทางกลับเข้าเมืองเราก็ค่อยๆเก็บกันไป ^^ .... ระหว่างทางเข้ามายังวัดพระธาตุดอยคำเราจะเห็น 2 ข้างทางว่ามีดอกมะลิร้อยเป็นพวงยาวและสั้นตลอดทาง แล้วแต่ร้านแต่ราคาจะไม่ห่างกันมาก 2 บาท 1.75 บาท 1.50 บาท แล้วแต่ชอบว่าชอบแบบไหนเพื่อซื้อขึ้นมาถวายเนื่องจากบนวัดไม่มีจำหน่าย โดยจะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่องค์สีขาวมาแต่ไกล แล้วเราก็มาถึงเข้าไปกราบสักการะด้านใน

แล้วเข้ามากราบขอพร " หลวงพ่อพระเจ้าทันใจ " พร้อมถวายดอกมะลิ (ทางวัดเตรียมถาดไว้ให้สำหรับคนที่นำมะละมาถวาย) หลังจากไหว้พระขอพรเรียบร้อบแล้วก็เริ่มใกล้เที่ยงแล้ว ท้องเริ่มปฎิบัติการหิวทันทีเราก็ไม่พลาดที่จะหาของอร่อยร้านดังอาหารเหนืออยุ่ใกล้เมือง ร้านน่ารัก ต้องร้านนี้เลย " ฮ้านถึงเจียงใหม่ "

แกงเดิร์ฟเมืองเหนือ (น้ำพริกหนุ่ม ไส้อั่ว ลาบหมู แกงโอ๊ะ ไข้ต้ม ผักเคียง) 150

ไข่เจียวไขมดแดง 80

ต้มผักหวานปลาเค็ม 80

ข้าวเหนียว 2 40

ร้านนี้น้ำเปล่าฟรีบริการตัวเองจร้า

รวม 340 บาท



หลังจากกินอิ่มเรียบร้อยแล้วร้านนี้ยังมีส่วนที่เป็นคาเฟ่ ไว้นั่งพักผ่อนชิวๆในโดมกระจกสามเหลี่ยมน่ารัก ชิค ชิค

นั่งเล่นพักจนหายเหนื่อยแล้วก็ขับรถไปจากร้านนิดเดียวจะเจอ " วัดอุโมงค์ " วัดอุโมงค์ถือเป็นวัดเก่าแก่ของเมืองเชียงใหม่ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่ผู้ปฎิบัติธรรม มีจุดเด่นอยู่ที่อุโมงค์ที่มีทางเดินเชื่อมต่อถึงกันได้ ที่สำคัญบรรยากาศอันร่มรื่นและความเงียบสงบนี่เองที่ดึงดูดผู้คนที่อยากหลีกหนีความวุ่นวายต่างๆ ได้เป็นอย่างดี ได้ยินมาว่าสมัยก่อนที่นี้ใช้เป็นที่หลบภัยของคนสมัยก่อนอีกด้วย

ภายในอุโมงค์

ทางเดินลงเป็นอุโมงค์ด้วย

ด้านหน้าก่อนเข้าอุโมงค์

บริเวณทางขึ้นไปดูพระเจดีย์ด้านบน

พระเจดีย์ของวัดอุโมงค์

เที่ยวพักจนถ่ายรูปเสร็จเรียบร้อยแล้วเราก็มุ่งหน้าไปยัง หลัง มช (มหาลัยเชียงใหม่) เพราะหัวหน้ามิ้นบอกว่ามีร้านนึงเด็ดและดังมากก โดยฌฉพาะเรื่อง ชีส ......................ส เลยต้องไปโดนสักหน่อนด้านหน้าก่อนถึงร้านเป้าหมายจะเป็นร้านหมูกระทะ และร้านขายของต่าง ซึ่งร้านที่เป็นเป้าหมายเรานี้คือ " The Volcano " ถึงร้านนี้เป็นร้าน 2 ชั้น ร้านนี้ถึงเป็นร้านดังเลยก็ว่าได้เด็ก มช แทบจะรู้จักเกือบหมด ^ ที่ร้านมีชีสยืด เครื่องดื่ม ไอศรีม ของทางเล่นมากมาย


โดยเมนูของทานเล่นเราสามารถเลือกใส่ของได้เองตามชอบว่าจะใส่อะไรบ้างแล้วร้านก็สิร์ฟ Wow.......น่ากินมาก

Pocket Cheese 90 บาท

โกโก้ร้อน 80 บาท

Mix Tost 155 บาท

รวม 325 บาท

หลังกิน..... เรียบร้อยแล้ว เป้าหมายของมิ้นคือการมาซื้อเลนส์กล้องแบบหน้าชัดหลังเลอที่ " กาดมาริน (ตลาดหน้ามอ) " แบบว่า กทม ก็มีนะ แต่หอบมาซื้อถึงนี้ เรา 2 คนนี้แปลก กทม มีแทบทุกอย่างแต่ชอบไปซื้อของ หรือได้ของที่ กรุงเทพมีอยู่แล้วตามสถานที่เที่ยว 5555 หลังจากลองแล้วถูกใจนางก็จัดมา 1 อัน

เรียบร้อยแล้วเราก็มาลองเล่นกันดีกว่า ..... ^^ เหอของใหม่

หลังจากเดินช้อบเล่น .... เรียบร้อยแล้วก็เกิดอาการหิว ....................... ห๊ะ !!! หิวอีกแล้ว เลยเดินมองหาอยู่สองสามรอบได้กินไรดีหนา แล้วก็มาเจอร้านเล้งคนแน่นร้านตลอด เอาหว่ะ ร้านนี้แหละ เล้งพิเศษ 1 ข้าว 2 จาน เห้ยดูเป็นร้านธรรมดาแต่รสชาติ อร่อยดีงามมาก

กินกันซะจนน้องหมาร้องไห้ก็ว่าได้เลยแล้วเรียกเช็คบิล เล้งพิเศษ 90 ข้าวสวย 20 รวม 110 บาท แล้วต่อด้วยการเดินย่อยที่ถนนคนเดินวัวลาย (เปิดเฉพาะวันเสาร์) ช้อปต่ออีกสักหน่อย ..... แล้วก้เข้ามาไหว้พระเวียนเทียนที่ " วัดศรีสุพรรณ " ที่มีอุโบสถเงินหลังแรกของโลก แต่ที่นี้ห้ามผู้หญิงเข้าไปในอุโบสถ เพราะเนื่องจากด้านล่างมีพระและของขลังต่างๆอยู่ใต้อุโบสถนี้ (เสียดาย_*_!!!) เข้าได้เฉพาะผู้ชาย ด้านในสวยงามมากขนาดมองจากข้างนอกยังสวยขนาดนี้

ภายนอกอุโบสถเงิน

การซื้อเทียนเพื่อเวียนเทียนจะมีเทียนประจำวันของแต่ละคน หลังจากเวียนครบ 3 รอบแล้ว ก็นำเทียนมาปักยังบาตรที่เป็นบาตรประจำปีเกิดของตนเอง เป็นอันว่าเรียบร้อย แล้วก็มุ่งหน้ากลับที่พัก..... บรึ้น บรึ้น บรึ้น กำลังเลี้ยวเข้าท้ายซอยที่พัก เอ๊ะ!!! .... ร้านอะไรนิ...... " ควัน จุ๊ง จุ๊ง หมาล่า " เราลองดูกันมะ จัดไป 10 ไม้ มีทั้ง หมู เนื้อ เห็ด ไส้กรอก ฯ ราคาอยู่ที่ 5 - 10 บาท นั่งกินไปก็จะเผ็ช...ช ไปจึงต้องหาอะไรมาดับความเผ็ชสักหน่อย เอาเบียร์ขวดนึง โค้กขวดนึง มีแบบกินที่ร้านและสั่งกลับบ้าน ...... นั่งชิววนไป .......

หลังจากชิวๆ จนได้ที่แล้วก็กลับที่พักสักที พักร่างกายพรุ่งนี้ต่ออีกวัน ....... ZZZzzz.....................

Day 5

เช้านี้เราตั้งใจมาไหว้พระที่วัดเจ็ดยอดหรือ ชื่ออย่างเป็นทางการคือ “วัดโพธารามมหาวิหาร” เป็น สถานที่เคยมีการประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘ ของโลก ที่วัดเจ็ดยอด ซึ่งเป็นวัดพระอารามหลวง ชั้นตรี ชนิดสามัญ เป็นวัดประจำปีคนเกิดปีมะเส็ง หรือ ปีงูเล็ก ซึ่งตามความเชื่อของชาวล้านนา พระธาตุประจำปีเกิดปีมะเส็งก็คือ “โพธิบัลลังก์ วิหารมหาโพธิเจดีย์” รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย แต่เนื่องจากสถานที่ประดิษฐานโพธิบัลลังก์อยู่ไกล จึงอนุโลมให้เป็นพระเจดีย์ที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน ซึ่งก็คือ “พระเจดีย์เจ็ดยอด” หรือ “มหาเจดีย์พุทธคยา”

หลังจากเราสักการะขอพรจากพระธาตุประจำปีเกิดเรียบร้อยแล้ว ก็มุ่งหน้าออกหาของกินสิค่ะ .......^^ ร้านแรกในวันนี้คือ " ก๋วยเตี๋ยว 3 บาท " ซึ่งร้านอยู่ทางเดียวกับทางไปศูนย์นครชัยแอร์ไม่ไกลกันมากนัก มาถึงก็จัดเลย เส้นใหญ่ 5 เส้นเล็ก 5 ข้าวซอย 1 หมูสะเต๊ะ 1 ชุด เป๊ปซี่ 1 น้ำแข็ง 2 แม่ค้ามีมองหน้า 5555 จะบอกว่าถ้าเป็นคนชอบน้ำใสอยู่แล้วนี้รสชาติกลมกล่อมมากไม่ต้องปรุงเลย นั่งกินสักพับแบบว่า เกือบจะไม่หมดตอนสั่งไม่คิด *_*!

ก๋วยเตี๋ยว 10 ชาม 30

ข้าวซอย 20

หมูสะเต๊ะ 50

เครื่องดื่ม 15

รวม 115 บาท

กินคาวแล้วต้องมีหวานตบท้าย.... เราหาข้อมูลมาว่ามีไอศรีมร้านนึงเป็นแบบ Home Made มีรสแปลกๆ หลายอย่าง " Johoney "เราจึงต้องไปลอง เช่น มะม่วงพริกกะเกลือ ฮันนี่บอมส์ ฯ ที่นี้มีทั้งขายไอศรีมเป็นลูกๆ เป็นคู่กับ Toast Lava มีให้เลือกหลายแบบ แต่ตอนเราไปพี่เจ้าของร้านแนะนำเป็น ลาวานมฮ๊อกไกโด แล้วเลือกรสชาติไอศรีมทานคู่กัน เราเลยเลือกเป็นชาเขียว แต่เราขอชิม มะม่วงพริกกะเกลือ แบบว่าอร่อยมากเหมือนกินมะม่วงจิ้มพริกกะเกลือจริงๆ แล้วแบบที่ร้านนี้เป็นธุรกิจครอบครัว เจ้าของร้านมีลูกชายตัวน้อย วัยกำลังซน ที่สำคัญหล่อด้วยหล่อแต่เด็กเลย ^^


รอไม่นานนัก .......... มาแล้วของหวานของชั้น ลาวานมฮอกไกโด+ชาเขียว , Mix Berry Smoothie , ลาเต้ร้อน นั่งกินเรื่อยๆ ชิวๆ เล่นกับ 2 หนุ่มน้อยสักพัก

เราก็กลับมาที่พักเก็บของเตรียม Check Out เที่ยง แล้วเราก็นอนเล่นนั่งเล่นสักพัก ก็ขนของลงมา Check Out แล้วฝากกระเป๋าไว้ที่น้อง Reception แล้วแจ้งน้องให้จองรถตุ๊กๆมารับตอน 3 ทุ่ม น้องบอก OK เจ้า แล้วเราก็ออกเดินทางต่อ เอ๊ะ!! ว่าแต่นี้บ่ายแล้วนี้หน่า....... โกร๊ก ... กร๊าก.... หิวเลยอะมิ้นเรากินไรดี ??? หาไรกินแถว มช. ไหม ^^ เพราะเราต้องไปเที่ยวใน มช. อยู่แล้ววนิ ^^ เค้าจำได้ว่าหน้าร้าน The Volcano มีร้านหมูกระทะ ^^ มีชีสด้วยนะ OK งั้นร้านนั้นและแล้วเราก็มุ่งหน้ากันเลย ถึงแล้วหยิบๆ ลุย ..


เป็นการกินแบไม่จำกัดเวลามีของกินให้เลือกมากมาย ราคาหัวละ 199 บาท ยาวไป .......

หลังจากอิ่มพุงกางหนักมาเราก็มานั่งย่อยกันที่ " อ่างแก้ว มช " ที่นี้จะเป็นเหมือนอ่างเก็บน้ำ ด้านหลังเป็นวิวภูเขา เราก็นั่งย่อยสักพักใหญ่เลย แหละ รอให้แสงได้ที่แล้วค่อยออกไปถ่ายรูปเล่นที่สันอ่างแก้ว ช่วงที่เราไปเป็นช่วงที่ มช ใกล้จะรับปริญญา ก็จะมีบรรดาว่าที่บัณฑิตมาถ่ายรูปกันมากมาย เราก็นั่งมองน้องๆไปพอเป็นอาหารตา ^____*

เมื่อเวลาแสงเริ่มอ่อนลงก็ได้เวลาเราบ้างแล้ว ไปถ่ายรูปเล่นกัน ^__________^


หลังจากถ่ายรูปเสร็จแล้ว เก็บบรรยายกาศเชียงใหม่แล้วเราก้ต้องเตรียมตัวกลับมาที่โรงแรมเพื่อเตรียมพร้อมเดินทาง เราก็แวะมาสระผมร้านประจำ เมื่อปีที่แล้วเราก็มาสระร้านพี่เค้า ชื่อร้านจำไม่ได้อะ แต่รู้ว่า เลยที่พักมานิดเดิน เดินได้สบายๆ แล้วตรงข้ามก็จะเป้นร้ายประจำก่อนกลับเราอีกตามเคย " หลู่กลางซอย " เป็นร้านกับข้าวอีสาน รสชาติจัดว่าเด็ด ร้านนี้มีอยู่ 6 - 7 โต๊ะ แต่ร้านคนเต็มตลออด ถึงเป็นร้านเล็กๆข้างทางก็ตาม เราสั่งเมนูเดิมเลย ต้มแซ่บกระดูกอ่อน หมูน้ำตก เป๊ปซี่ เบียร์ ข้าวเหนียว 2 นั่งกินชิวๆ ไปเรื่อย เวลายังเหลือเลยขับไปซื้อ หมาล่ามาอีกเซต 10 ไม้ 100 บาท นั่งกันเพลินๆ จนได้เวลาใกล้ 3 ทุ่ม เราก็เรียบเช็คบิล

ต้มแซ่บ 70

น้ำตก 50

ข้าวเหนียว 20

เครื่องดื่ม 80

รวม 220 บาท + หมาล่า 100 = 320 บาท

แล้ว 21.00 น . พี่คนขับตุ๊กๆก็มารับไปส่งที่ศูนย์นครชัยแอร์ ไม่ถึง 15 นาทีก็ถึงที่หมายแล้ว เราก็นั่งรอสักพัก (เราจองตั๋วล่วงหน้าไว้แล้ว) พอได้เวลา 22.30 น. (First Class) เราก็ขึ้นไปที่นั่งเราจัดแจงหนูฟังเลือกหนังเสียบหูฟัง แล้วบอกฝันดีมิ้น ......ZZZzzz.....

ตารางเดินรถนครชัยแอร์เชียงใหม่

=

พอผู้โดยสารขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่จะเอา Box Set (แซนวิช + ผลไม้ ) มาให้ ขนม น้ำ เราจัดแจงหนูฟังเลือกหนังเสียบหูฟัง แล้วบอกฝันดีมิ้น ZZzz........ ถึง หมอชิต 8.00 น. ตามที่แจ้งไว้แล้วกลับบ้านอย่างปลอดภัยและมีความสุข ^_______________^


Bye Bye....... Chiang Mai ไว้ฉันจะกลับมาเที่ยวอีกนะ ฉันหลงรักมนต์เสน่ห์ของเมืองเชียงใหม่เข้าแล้วจริงๆ ทริปกินจัดหนัก เที่ยวจัดแน่น เมืองเชียงใหม่ยังมีอะไรให้หลงรักอีกมากมาย แล้วฉันจะไปรู้จักเธอให้ทั่วนะ " เชียงใหม่ "



จบชีวิต

 วันอังคารที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.22 น.

ความคิดเห็น