ไปเชียงใหม่ เที่ยวไหนดี.. บ้างก็พาขึ้นดอย บ้างก็เที่ยวนิมมาน หรือหาร้านกาแฟเก๋ๆจิบกาแฟ แต่วันนี้ผมจะพามาเที่ยวเชียงใหม่ในอีกมุม พาไปเรียนรู้และหลงรักธรรมชาติ ที่ Queen Sirikit Botanical Garden หรือสวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ได้สัมผัสกับพันธุ์ไม้แปลกตา แถมยังได้ถ่ายภาพเท่ๆ สไตล์คนรักธรรมชาติ อีกด้วย
..
สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ ตั้งอยู่บนนถนนสาย 1096 แม่ริม - สะเมิง บนถนนเส้นเดียวกันกับทางไปม่อนแจ่ม ทางก็เลี้ยวลดคดเคี้ยวตามสไตล์ แต่ก็ชวนให้เราสดชื่นกับใบไม้สีเขียวตลอดเส้นทาง สังเกตง่ายๆอยู่ทางซ้ายมือ
การ เที่่ยวเชียงใหม่ ครั้งนี้ ผมมาพร้อมกับ www.reviewsiam.com และ www.trailtrav.com พวกเราเลยเลือกเช่ารถเพื่อความสะดวกในการเดินทาง ขนย้ายสัมภาระ และช่วยให้ทริปนี้ประหยัดลงไปได้เยอะ
สำหรับ THAI RENT A CAR ตอนนี้มีโปรโมชั่น วันธรรมดาน่าเที่ยว ดูรายละเอียดเพิ่มเติม บอกเลยว่าคุ้มมากๆ
..
..
ที่ สวนพฤกษศาสตร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ มีพื้นที่ใหญ่ถึง 6,500 ไร่ ตั้งอยู่ที่อุทยานแห่งชาติดอยสุเทพ – ปุย อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ดูผิวเผิน อาจคิดว่า สวนพฤกษศาสตร์ ที่เชียงใหม่แห่งนี้ สร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงพันธุ์ไม้สวยๆ ดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ที่จริงแล้ว ที่นี่ มีไว้สำหรับรวบรวมพันธุ์ไม้ เพื่อการอนุรักษ์ ขยายพันธุ์ ศึกษาวิจัย และที่สำคัญ ที่นี่ ถือเป็นสวนพฤกษศาสตร์สากลแห่งแรกของไทย อีกด้วย
..
..
ภายใน สวนพฤกษศาสตร์ ประกอบด้วยหลายโซน แต่โซนท์ที่เป็นไฮไลท์และพลาดไม่ได้สำหรับที่ชื่นชอบการถ่ายรูป นั่นก็คือ Canopy Walk / Glasshouse Complex / Natural Science Museum รับรองว่าต้องได้ภาพสวยๆกลับไปอัพโปรไฟล์เพียบ!
..
ขอเริ่มต้นจากส่วนแรกกันก่อน
Glass House Complex หรือ กลุ่มอาคารเรือนกระจกเฉลิมพระเกียรติ เป็นโรงเรือนขนาดใหญ่ ใน สวนพฤกษศาสตร์ ที่พรรณไม้ไว้และแบ่งหมวดหมู่อย่างชัดเจน ภายในแต่ละอาคารจะมีการจัดตกแต่งพรรณไม้ชนิดเดียวกันไว้อย่างสวยงาม โดยมีการจำลองสภาพแวดล้อมที่ใกล้เคียงกับธรรมชาติ มีการควบคุมความชื้น แสง อุณหภูมิ ได้ในระดับที่เหมาะสมกับพืชแต่ละชนิด น่าตื่นเต้นมากสำหรับการมา เที่ยวเชียงใหม่ ในทริปนี้
..
..
เริ่มจากเรือนกระจกใหญ่ที่สุดก่อนละกันครับ
โรงเรือนนี้เรียกว่า Tropical Rain forest Glasshouse Complex หรือ อาคารเรือนกระจกไม้ป่าดิบชื้น
ภายในเรือนกระจกประกอบด้วยพันธุ์ไม้ป่าดิบชื้นไว้หลากหลายสายพันธุ์ และถูกจัดตกแต่ง ปลูกสลับสับกัน ไว้อย่างสวยงาม เมื่อเดินเข้ามาในอาคารก็รู้สึกถึงความชื้นที่มากกว่าภายนอก รวมทั้งเสียงน้ำดังมาก ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในป่าลึกจริงๆ
ภายในมีการสร้างน้ำตกจำลอง สร้างบรรยากาศและความชุ่มชื้นที่เหมาะสมให้กับโรงเรือน
เราสามารถเดินเที่ยว ตามเส้นทางเดินที่ออกแบบไว้ ทั้งสะพานลอยฟ้าที่เลี้ยวขึ้นไปด้านบน ที่ทำให้เราได้เห็นสภาพแวดล้อมได้รอบจากมุมสูง หรือเส้นทางเดินบนพื้นที่ทำให้เราสามารถสัมผัสบรรยากาศและสัมผัสพันธุ์ไม้ได้ใกล้ชิด ที่นี่จึงถือเป็นอีกไฮไลท์หนึ่งของ สวนพฤกษศาสตร์ เชียงใหม่ แห่งนี้
..
..
สำหรับโรงเรือนถัดไปคือ Arid Plants Glasshouse Complex หรือ โรงเรือนพืชทนแล้ง
ก้าวแรกที่เข้ามาปุ๊บ.. เหมือนเห็นอูฐเดินมา คือมันดูแห้งแล้งจริงๆ และสิ่งที่เราจะได้เจอคือกระบองเพ็ชร ต้นไม้สะสมของเหล่าฮิปส์เตอร์ แต่ที่นี่ไม่ใช่ต้นเล็กๆอยู่ในกระถางเก๋ๆ แต่มาเป็นต้นขนาดใหญ่เกิน 1 ฟุต ถูกจัดอยู่ในสวนทะเลทราย สลับกับดินและหินสีแดงอิฐ เหมือนยกเนินเขาจากทะเลทรายโกบี มาวางเอาไว้ที่ สวนพฤกษศาสตร์ แห่งนี้
ที่นี่เราจะได้ชมพืชชนิดต่างๆที่มีการปรับตัวเพื่อให้ทนต่อสภาพความแห้งแล้ง ตัวอย่างง่ายๆและชัดที่สุดคือกระบองเพชร ที่วิวัฒนาการเปลี่ยนจากใบกลาย (ที่คายน้ำเก่งๆ) เป็นหนามแหลมคมเพื่อลดการคายน้ำและปกป้องตัวเอง
รับรองว่าจะสนุกกับการถ่ายรูปเท่ๆ ใครอยากได้แบคกราวแบบนี้ต้องมาที่นี่เท่านั้น ไม่ก็ต้องทะเลทรายโน่นเลยครับ
ที่ สวนพฤกษศาสตร์แห่งนี้ นอกจากกระบองเพชรแล้วก็ยังมีพืชทนแล้งอื่นๆ เช่น Zebra Haworthia ต้นนี้ ที่มีหน้าตาเหมือนว่านหางจระเข้ผสมม้าลาย พร้อมดอกที่มากับก้านยาวๆ สูงๆ
หรือจะเป็นกุหลาบหินที่มีใบอวบน้ำ (Flaming Kathy) สีเขียวอมฟ้า ที่มีใบเรียกสลับสับหว่าง และไล่ขนาดเล็กไปใหญ่แบบนี้
..
อีกเรือนที่พลาดไม่ได้ในการมาเที่ยว สวนพฤกษศาสตร์ นั่นคือ สวนพืชกินแมลงเอา Carnivorous Plant
ที่นี่เป็นอีกจุดที่น่าสนใจของ สวนพฤกษศาสตร์ ที่จะรวบรวมพืชกินแมลง ที่วิวัฒนาการมาเพื่อความอยู่รอดกับการอยู่ในดินที่มีสารอาหารน้อย จึงต้องดักกินแมลงหรือสัตว์ตัวเล็กๆเพื่อให้ได้รับสารอาหารที่เพียงพอ ใครชอบดูสารคดีคงคุ้นหน้าคุ้นตากันดีกับหม้อข้าวหม้อแกงลิง ที่นี่มีให้ชมหลากหลายสายพันธุ์ กำลังอ้าปากรอให้แมลงตัวน้อยๆตกลงไปในกระเปาะที่เต็มไปด้วยน้ำย่อยเหนียวๆ ก่อนจะดูดซึมสารอาหารไปเลี้ยงลำต้นต่อไป
..
..
นอกจากนี้ยังมีเรือนกระจกอื่นๆ เช่น พรรณไม้น้ำ เฟิน กล้วยไม้ เป็นต้น บอกเลยว่าต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการเที่ยวชมเรือนกระจกให้ครบ ถ้าไม่เช็คเวลาให้ดีอาจจะเพลินจนเลยเถิดไปหมด เพราะมีต้นไม้แปลกตาและมุมถ่ายรูปสวยๆให้เลือกเยอะแยะเลย
หลังกลุ่มอาคารเรือนกระจกของ สวนพฤกษศาสตร์ จะมีบันไดนำไปสู่อุโมงค์ต้นไม้สีเขียว
ตลอดอุโมงค์จะได้สัมผัส ลมเย็นๆ พัดผ่านหน้าเราไป มันช่างร่มรื่นจริงๆ
ถ้าใครกำลังหาของที่ระลึก หรือ ของฝากจากเชียงใหม่ แนะนำให้แวะร้านขายของที่ระลึกที่ข้างในมีสินค้ามากมายให้เลือกซื้อ รับรองว่าของน่าซื้อน่าสะสมเพียบเลย
..
..
เดินเที่ยวกลางแจ้งกันไปพอสมควร เดี๋ยวผมจะพาไปเดินเที่ยวและเรียนรู้ แบบเย็นๆสบายๆ ถือเป็นอีกจุดที่ห้ามพลาดของ สวนพฤกษศาสตร์ ครับ
ที่นี่คือ พิพิธภัณฑ์ธรรมชาติ (Natural Science Museum) ที่นี่จัดแสดงนิทรรศการตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน แบบ Interactive ไม่ว่าจะเป็นจอสัมผัส แสง สี เสียง ที่ทำให้สามารถเรียนรู้ได้อย่างสนุกขึ้น
แม้เรื่องราวของธรรมชาติจะมีความยาวนานและซับซ้อน แต่ที่นี่ก็เล่าอธิบายให้ทุกอย่างดูง่ายขึ้น เหมาะกับทุกเพศทุกวัย
เรื่องป่าไม้เราก็เรียนกันตั้งแต่ประถม ก็คืนครูไปเยอะ แต่พอมาที่นี่เหมือนได้มาปัดฝุ่น รื้อฟื้นใหม่ จากภาพขาวดำในอดีต วันนี้เราได้เห็นหน้าตาและเข้าใจธรรมชาติมากขึ้น มุมนี้อธิบายลักษณะของป่าทั้ง 10 ชนิดในประเทศไทยรวมถึงลักษณะเฉพาะของพันธุ์ไม้ที่มีทั้งหมด ด้วย Info Graphic ที่เข้าใจได้ง่ายมากๆ
ทุกอย่างล้วนมีที่มา ประวัติศาสตร์การศึกษาพฤกษศาสต์ในประเทศไทยก็เช่นกัน มุมนี้เลยให้เราได้รู้จักบุคคลสำคัญ ที่มีบทบาทต่อการเรียนรู้พฤกษศาสตร์ตั้งแต่ยุคล่าอาณานิคมจนถึงปัจจุบัน
เรียนรู้เรื่องราวของผึ้งในทุกแง่มุม ตั้งแต่การแบ่งชนิดของผึ้งเพื่อทำหน้าที่ต่างๆในรัง ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวและใช้ประโยชน์จากผึ้ง
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีจุดถ่ายรูปกับภาพวาด 3D
ไม่ว่าจะเป็นพันธุ์ไม้กินแมลง ดอก Dandelionและอีกหลากหลายมุมให้สนุกกับการถ่ายรูป ปลดปล่อยจินตนาการได้อย่างเต็มที่
..
..
หลังจากสนุกสนานไปกับการถ่ายภาพ 3D ก็เข้ามาเรียนรู้สู่เรื่องราวที่ใกล้ตัวเรามากยิ่งขึ้น
ในส่วนนี้จัดแสดงเรื่องราวความสำคัญของ พฤกษศาสตร์ ต่อมนุษย์ ตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เช่นเรื่องราวการใช้ประโยชน์จากของป่า การพึ่งพิงธรรมชาติ หรือการประยุกต์เอาหินมาต่อกับด้ามไม้ กลายเป็นอาวุธสำหรับล่าสัตว์
หรือ ในยุคอิยิปต์โบราณมีการหยิบเอาเส้นใยจากธรรมชาติ มาถักทอเป็นเครื่องนุ่งห่ม และใช้ในการทำมัมมี่
การใช้เส้นใยจากต้นปาปิรุสมาทับและสานกันจนเกิดเป็นกระดาษสาน ถือเป็นต้นกำเนิดกระดาษชนิดแรกของโลก
จักรยานไม้ที่มีต้นกำเนิดจากเยอรมัน ถูกออกแบบเพื่อใช้เดินทางแทนม้า ก่อนจะถูกพัฒนาเรื่อยมาจนเป็นจักรยานโลหะในปัจจุบัน
..
..
ส่วนสุดท้ายที่อยากแนะนำคือ เส้นทางเดินเหนือเรือนยอดไม้ (Canopy Walks)
ถือเป็นอีกเส้นทางเดินชมธรรมชาติที่ยาวที่สุดในประเทศไทย ยาวถึง 400 เมตร ที่เราจะสามารถเพลินกับวิวเหนือยอดไม้แบบพาโนราม่า กับแบคกราวต้นไม้ ภูเขา รวมไปถึงทะเลหมอก ที่เห็นไกลอยู่ลิบๆ
ที่ Queen Sirikit Botanical Garden หรือ สวนพฤกษศาสตร์ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ที่เชียงใหม่ นี้ ผมเชื่อว่าใครมาใครก็ชอบ ให้เราได้เรียนรู้และหลงรัก กลับบ้านอย่างอิ่มเอมใจ ไม่คิดเลยว่าว่าแค่เวลาไม่กี่ชั่วโมงที่นี่ จะทำให้ผมรู้สึกสดชื่นกับธรรมชาติและสนุกได้มากถึงขนาดนี้ ถ้าใครมีโอกาสอยากให้ลองมากันรับรองเลยว่าจะได้ภาพสวยๆ ไว้ไปโพสต์โชว์เพื่อนๆได้ไม่รู้จบครับ
Temmax : กิน เที่ยว แบบเต็มแม็กซ์
วันพุธที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 22.02 น.