"สิงคโปร์"

เป็นเส้นทางในลิสต์ของนักท่องเที่ยวหลายคน และเป็นเส้นทางต่างประเทศที่ไปไม่ยาก ตั๋วเครื่องบินก็มีโปรโมชั่นออกมาให้จองกันอยู่เรื่อยๆ "ขอให้ได้ไปสักครั้งหนึ่งก็ยังดี" นั่นคือสิ่งที่คิดอยู่ในใจมาตลอด หลังจากจองตั๋วเครื่องบินได้ราคาดีแล้วก็เริ่มเก็บข้อมูลรอบด้านเลยค่ะ จะแนบลิ้งค์ข้อมูลต่างๆที่ได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้ ให้สำหรับคนที่จะเดินทางไปท่องเที่ยวยังสิงคโปร์กันนะคะ




มาเริ่ม "13 ที่เที่ยวสิงคโปร์ ที่ห้ามพลาด" เป็นการรวบรวมสถานที่ท่องเที่ยวที่เราไปมาแล้วและอยากแนะนำว่าสวยจริง ที่สำคัญเลยคือแต่ละที่ไม่ต้องเสียเงินค่าเข้าเลย สิ่งดีๆแบบนี้อยากนำมาบอกต่อค่ะ

http://gowithampth.com/13-ที่เที่ยวสิงคโปร์





หลังจากได้ที่เที่ยวแล้ว มาดู "35 เรื่อง ที่ควรรู้ก่อนเที่ยวสิงคโปร์" กันต่อค่ะ รวบรวมข้อมูลและเกร็ดความรู้สำคัญๆเอาไว้ให้แล้ว เพราะก่อนที่เราจะไปเราก็หาข้อมูลอยู่พักใหญ่เหมือนกัน แต่ข้อมูลบางอย่างก็ไม่มีใครเขียนบอกเอาไว้ จึงรวบรวมมาเขียนไว้เอง

http://gowithampth.com/35-เรื่องเที่ยวสิงคโปร์





ถ้าชอบดูการแสดงแสงสี เรามี 4 สถานที่แนะนำว่าห้ามพลาดเลยค่ะ "4 โชว์แสงสี ดูฟรี!! ที่สิงคโปร์"

1. Wonder Full – Light & Water Spectacular

2. Sentosa Merlion Magic Lights Show Merlion plaza

3. Crane dance

4. Garden Rhapsody light and sound shows

ข้อมูลการแสดง : http://gowithampth.com/free-light-and-sound-singapore/






บัตรโดยสารใช้เดินทางในสิงคโปร์

การเดินทางในสิงคโปร์สะดวกสบายมาก เพราะมีทั้งรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อกันหลายสาย มีรถเมล์สาธารณะวิ่งแทบทุกเส้นทางค่อนข้างตรงเวลาซะด้วย หรือจะเลือกใช้บริการรถแท็กซี่ก็จะสะบายขึ้นมาอีกหน่อย แต่ค่าเดินทางจะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่สถานที่ท่องเที่ยวหลายๆจุดก็สามารถเดินถึงกันได้อย่างสบายๆเลยค่ะ


บัตรที่ใช้สำหรับการขึ้นรถโดยสารในสิงคโปร์ตอนนี้จะมีทั้งหมด 4 แบบด้วยกันคือ

1. EZ Link (Easy link) เรียกว่าเป็นบัตรสารพัดประโยชน์ เพราะสามารถใช้ได้กับรถไฟฟ้า รถแท็กซี่ รถเมล์ และสามารถใช้ซื้อของได้ตามร้านสะดวกซื้อที่มีสัญลักษณ์ แถมยังมีส่วนลดให้ในทุกๆการใช้บัตรอีกด้วย กล่าวคือเป็นเสมือนบัตรเงินสดที่ได้ส่วนลดในการใช้และใช้งานได้รอบด้าน โดยสามารถหาซื้อได้ที่ MRT ทุกสถานีที่ Passenger Service ราคา 12 เหรียญ แต่จะเป็นค่าบัตร 5 เหรียญ และสามารถใช้ได้ 7 เหรียญ หรือถ้าซื้อบัตรนี้ที่ 7-11 จะซื้อได้ในราคา 10 เหรียญ ซึ่งเป็นค่าบัตร 5 เหรียญ และใช้ได้ 5 เหรียญนั่นเอง ถ้าเงินหมดก็เติมเข้าไป ขั้นต่ำ 10 เหรียญ เติมได้มากสุด 100 เหรียญ ซึ่งเติมได้ที่ตู้ หรือเติมกับพนักงานในสถานีรถไฟฟ้า MRT ได้ทุกสถานี บัตรนี้มีอายุการใช้งานนานถึง 5 ปี หลังจากจบทริปถ้ามีเงินเหลือก็สามารถนำไปแลกเงินคืนได้ที่ Passenger Service (แต่อย่าลืมว่า 5 เหรียญค่าบัตรนั้น จะไม่ได้คืนนะจ๊ะ)

2. Standard Ticket หรือบัตรโดยสารแบบทั่วไปนั้นเป็นบัตรเดินทางแบบเที่ยวต่อเที่ยว สามารถซื้อได้ทางเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ โดยระบบจะคิดค่าประกันบัตรโดยสารอีก 1 เหรียญ ราคาค่าตั๋วเดินทางจะขึ้นอยู่กับแต่ละสถานีปลายทางที่เลือก หลังจากเดินทางสามารถแลกเงินคืนได้ที่จุดขายตั๋ว ระบบก็จะทำการคืนเงินให้ ซึ่งสามารถแลกเงินคืนได้ภายใน 1 เดือนเท่านั้นค่ะ

3. STP (The Singapore Tourist Pass) บัตร STP นั้นเป็นบัตรแบบเหมาจ่าย สามารถขึ้นได้ทั้ง MRT, LRT หรือ รถเมล์ได้แบบไม่จำกัดจำนวนครั้ง มีให้เลือกเหมาแบบ 1 วัน ราคา 10 เหรียญ / 2 วัน 16 เหรียญ และ 3 วัน 20 เหรียญ มีค่ามัดจำบัตรอีก 10 เหรียญ ซึ่งจะต้องเอาไปคืนภายใน 5 วัน เพราะเมื่อซื้อแล้วก็จะถือว่าเปิดใช้งานแล้ว แต่ถ้าไม่คืนภายใน 5 วัน จะไม่สามารถรับเงินคืนได้ และบัตรก็จะกลายเป็นบัตร EZ Link ทันที เงินที่เหลือในบัตรก็สามารถใช้ได้ในครั้งต่อๆไป ซึ่งหาซื้อได้ที่ Ticket Office นะคะ

4. iVenture Card Singapore เป็นบัตรที่รวมที่เที่ยว ร้านอาหาร และกิจกรรมต่างไว้หมดแล้ว ซึ่งเราสามารถใช้บัตรนี้เที่ยวรอบเมืองสิงคโปร์ตามสถานที่ที่ได้รับความนิยมอย่างครบถ้วน ไม่ว่าจะเป็น Universal Studios, Singapore Night Safari, Singapore Flyer, Singapore Zoo, Sea Aquarium, Hard Rock Cafe และอื่นๆมากมาย สามารถสั่งซื้อทางออนไลน์ได้ที่ https://www.iventurecard.com/sg/singapore/



สามารถติดตามบันทึกการเดินทางครั้งต่อๆไปของแอมได้ที่

GowithAmp

เฟสบุ๊ค : https://www.facebook.com/gowithamp
เว็บไซต์ : http://gowithampth.com/




ทริปนี้เริ่มจากเห็นราคาโปรโมชั่นตั๋วเครื่องบินไปสิงคโปร์ แล้วเกิดความอยากไป แต่เอ....จริงๆก็อยากหลายครั้งแล้วนะ แต่ไม่ได้จริงจังกับการจองตั๋วสักที พอมาครั้งนี้ชวนผู้ร่วมทริปสำเร็จ จึงรีบจองทันทีค่ะขืนชักช้าเดี๋ยวเพื่อนเปลื่ยนใจ! -- เห็นราคาโปรโมชั่นของหน้าเว็บเจ็ทสตาร์แล้วแต่ได้ราคาดีแค่ขาไป จึงเข้าไปส่องในเอ็กซ์พีเดีย ปรากฎว่าเจอราคาไปกลับสวย วันสวย


ขาไป Jetstar 735 บาท / ขากลับ Scoot 1,269.05 บาท รวมแล้ว ไป - กลับ 2,004.05 บาท/คน!!!!




ได้ตั๋วบินราคาดีมาแล้ว ก็เริ่มหาข้อมูลกันต่อ ไปตรงไหนยังไงได้บ้าง ค่าครองชีพเป็นอย่างไร ค่าเงินล่ะ SGD (ดอลล่าสิงคโปร์) = THB? ค่ากินอย่างต่ำกี่เหรียญ ฯลฯ เรียกว่าศึกษาข้อมูลแทบทุกอย่างที่จำเป็น แม้กระทั่งศึกษาแผนที่จาก Google Map และการเดินทาง


เราแลกเงินไว้ เรท 24.60 ของเรา 200 SGD (4,920 บาท) ผู้ร่วมทริปแลกไว้ 180 SGD (4,428 บาท) แลกไว้เผื่อก่อนค่ะ ใช้จริงๆก็เหลือกลับมาแลกคืนเยอะเลย เราเหลือ 132 SGD / เพื่อนเหลือ 116 SGD ( เดี๋ยวรอดูข้อมูลจากที่พัก ที่กิน ที่เที่ยวของเราก่อนนะคะว่ามีความเป็นอยู่อย่างไรบ้าง ถ้าสายช็อปก็เตรียมเงินไปเผื่อนะคะ เพราะเราไม่ใช่ขาช็อป เลยใช้จ่ายไปไม่มาก ^^" ) หน้าตาของเงินดอลล่าสิงคโปร์เป็นแบบนี้ค่ะ





ข้อมูลพร้อมแล้ว จากนั้น เตรียมแผนการเดินทางไว้ ดังนี้


วันที่ 1 : ถึงสิงคโปร์บ่าย เดินเล่นสบายๆแถว Barina Bay

- Fountain of Wealth : น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง

- Esplanade – Theatres : โรงละคร (จาก Fountain of Wealth เดินไป 750 เมตร)

- Merlion Park : จาก Esplanade – Theatres เดินข้ามสะพาน Jubilee Bridge ไป

- Cavenagh Bridge : เป็นสะพานเก่าแก่ที่สุดที่ใช้ข้ามแม่น้ำสิงคโปร์

- Clarke Quay : เดินไปชมแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน มีร้านอาหารริมน้ำ ผับและบาร์หลายร้าน

- กลับที่พัก : ด้วยรถเมล์



วันที่ 2 : ตะลุยเกาะเซนโตซ่า

- ห้าง Vivo city ก่อนข้ามฝั่ง Sentosa (Daiso ของราคาประมาณ 2 SGD ชั้น L3)/ MRT Harbourfront

- fort siloso skywalk

- sentosa nature discovery

- nature walk

- merlion plaza

- palawan beach

- crane dance (20.00 น.)

- lake of dreams (21.30 น.)



วันที่ 3 : ตะลุย Chaina Town ยาวไป Garden by the bay

- Chaina Town : แหล่งช็อปปิ้งของกินและของพื้นเมือง (ย่านนี้มี wifi ฟรี!!)

- Garden by the bay : สวนริมทะเลสุดอลังการ

- Helix Bridge : สะพานเกลียว



วันที่ 4 : เดินเล่นถนนสายช็อปปิ้ง แวะซื้อของฝาก เดินทางกลับ

- Orchard rd. : แหล่งช็อปปิ้ง ห้างสรรพสินค้า

- Lucky Plaza : มีช็อกโกแลต และของฝาก อารมณ์คล้ายประตูน้ำ






วันที่ 1 : ถึงสิงคโปร์บ่าย เดินเล่นสบายๆแถว Barina Bay

ทริปนี้มีผู้ร่วมทริปอีก 1 คนค่ะ แต่เราต้องเดินทางไปก่อนเพราะไปกันคนละเที่ยวบินกันค่ะ จะว่าไปเราก็เพิ่งเคยขึ้นเครื่องของเจ็ทสตาร์เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ..สวัสดีเจ็ทสตาร์.. เครื่องบินโลวคอสต์ 3 ที่นั่ง 2 ฝั่ง ฝั่งละ 3 เบาะต่อแถวปกติ ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมงค่ะ

ออกเดินทางได้สักพัก เจ้าหน้าที่จะเดินมายื่นใบตรวจคนเข้าเมืองให้ เตรียมกรอกข้อมูลให้ครบถ้วนไว้ก่อนเลยค่ะ ทุกช่องสำคัญมาก โดยเฉพาะข้อมูลที่พักต้องระบุเอาไว้ให้ชัดเจน จะได้ไม่ต้องมีปัญหากับเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองนะคะ

เครื่องที่เรานั่งมา ลงจอดที่สนามบินชางฮี สิงคโปร์ (Singapore Changi Airport) เทอร์มินอล 1 เมื่อถึงสิงคโปร์แล้วเดินหาที่นั่งและเปิดโทรศัพท์เล่นรอไปก่อน เราเลือกใช้ SIM2Fly ของ One2call แบบใช้งาน 8 วัน อินเตอร์เน็ตไม่อั้น ความเร็วสูงสุด 4 gb (ใช้แบบเหลือๆ) http://www.ais.co.th/roaming/sim2fly/


หรือถ้าต้องการใช้ Wifi ฟรี ในสนามบิน ก็สามารถเดินมาที่เครื่องขอ User name และ Password อัตโนมัติได้ เพียงแค่ใช้พาสปอร์ตสแกน ข้อมูลก็จะโชว์ขึ้นมาที่หน้าจอให้เลยค่ะ


นั่งไปสักพักรู้สึกหิวน้ำขึ้นมา ก็ได้ที่กดน้ำแบบนี้นี่แหละค่ะที่ช่วยชีวิตเอาไว้ ในสิงคโปร์จะมีที่กดน้ำดื่มแบบนี้อยู่ตามจุดต่างๆทั่วไปเลยค่ะ น้ำดื่มบ้านเขาสะอาด คนที่นี่ก็มีระเบียบวินัยและจิตสำนึกที่ดี กฎหมายค่อนข้างเคร่งครัด แม้แต่เครื่องกดน้ำดื่มแบบนี้ก็จะสะอาดสะอ้าน พร้อมใช้งานทุกเครื่อง


ไม่นานนักผู้ร่วมทริปก็มาถึงค่ะ เดินหากันอยู่นานมากเพราะเครื่องจอดกันคนละจุด จากนั้นผ่านจุดตรวจคนเข้าเมืองกันออกมา แล้วเดินหาทางไป เทอร์มินอล 2 เพื่อนั่งรถไฟเข้าที่พักในเมืองกันค่ะ เดินตามป้าย Train to city ไปได้เลย


แต่ละเทอร์มินอลจะมีรถไฟให้บริการสำหรับเดินทางเชื่อมต่อกันแบบฟรีๆเลยค่ะ


เมื่อมาถึงเทอร์มินอล 2 แล้ว เดินลงบันไดเลื่อน


มายัง “Ticket Office” เราเลือกซื้อ EZ Link ราคา 12 เหรียญ แต่จะเป็นค่าบัตร 5 เหรียญ และสามารถใช้ได้ 7 เหรียญ เพราะเราเน้นเที่ยวสถานที่ที่ไม่เสียเงินเข้า พร้อมกับต้องการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า รถเมล์ และเดิน บัตรนี้แหละเหมาะกับเรามากที่สุด


EZ Link จะเปลี่ยนสีเปลี่ยนลายไปเรื่อยๆนะคะ น่ารักมุ้งมิ้งเชียวแหละ


จากนั้นเดินมารอรถไฟฟ้ากันค่ะ คนรอกันเพียบเลย (ไหนอะคน????....)


จากสนามบินเราขึ้นรถไฟฟ้าไปลงที่สถานี Tanah Merah แล้วต่อรถไฟฟ้าอีกขบวน ซึ่งอยู่ชานชาลาติดกัน เราจองที่พักมาล่วงหน้าแล้วค่ะ อยู่ย่าน “เกลัง” จากสถานี Tanah Merah ต่อสายสีเขียวที่ปลายทางเป็น Joo Koon ไปลงที่สถานี Kallang แล้วต่อรถเมล์ไปอีกนิดเดียว


พอลงรถเมล์แล้วกำลังจะเดินไปข้ามถนน ได้กลิ่นคุ้นๆ พอมองไปเท่านั้นแหละ โอ้โห ทุเรียน!!!


ก่อนเข้าที่พัก แวะเข้าซุปเปอร์มาดูราคาน้ำดื่มกันสักหน่อย ถ้าในซุปเปอร์จะราคาประมาณนี้ ไม่แพงค่ะ


ดูราคาน้ำเปล่า แต่ผู้ร่วมทริปซื้อเป๊บซี่ แหม่




ย่านเกลัง เป็นย่านที่บางคนอาจคิดว่าอันตราย เป็นแหล่งซ่องสุม เพราะมีร้านขายบริการในย่านนี้ แต่ให้ลืมภาพขายบริการบ้านเราไปได้เลย แม้ว่าจะมีทั้งที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย แต่จะมีโซนของเขาเป็นบ้านหลังๆไม่ออกมาระเกะระกะเรียกลูกค้า ไม่มีกลุ่มก๊งเหล้ายา แต่ขอบอกเลยว่าย่านนี้นอกจากจะดูไม่อันตรายแล้ว ที่พักก็ราคาไม่แพง แถมยังมีร้านอาหารและซุปเปอร์ให้เราเลือกซื้อของกินได้ตลอดอีกด้วย แนะนำย่านนี้เลยค่ะ ที่พักที่เราจองมาคือ Horn Bill Hotel อยู่ซอยเกลัง 10 ถ้าเสิร์ชใน Google Streetview จะเป็นภาพเก่ามีป้ายหน้าตึกติดไว้เป็น Happy Hotel ซึ่งจริงๆแล้วเป็นตึกเดียวกันนั่นแหละค่ะ จองล่วงหน้ามาไว้แล้วแบบมีส่วนลด 2 คืนแรกราคารวม 1,625.37 บาท และคืนที่ 3 ราคา 919.63 บาท (ราคาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับวันที่เข้าพัก) ไม่อยากย้ายสัมภาระจึงเลือกจองที่เดิมทั้ง 3 คืนเลยค่ะ ราคาประมาณนี้ถือว่าไม่แพงสำหรับห้องพักแบบนี้ในสิงคโปร์นะคะ ถ้าเป็นย่านใกล้สถานที่ท่องเที่ยวมากกว่านี้ราคาพันกว่าบาทเป็นต้นไปทั้งนั้นเลยค่ะ แต่ถ้าอยากได้ประหยัดกว่านี้จะมีเป็นโฮสเทลหรือห้องพักรวมนั่นเอง


เต้าเสียบจะเป็นแบบนี้ อย่าลืมซื้ออแดปเตอร์มากันด้วยนะคะ อแดปเตอร์ 1 ตัว + ปลั๊กพ่วงอีกสักราง ก็ใช้ชาร์จไฟได้หลายอย่างแล้ว


เก็บกระเป๋าเสร็จก็ได้เวลาออกเดินทางกันต่อ แต่ก่อนเดินทางออกไป มาแวะทานข้าวกันที่ร้าน ABC BISTRO RESTAURANT PTE. LTD. เป็นร้านอาหารแขกอยู่ปากซอยเกลัง 10 พอดี (มีหลายสาขา)


อ่านแล้วดูรูปประกอบแล้วก็ยังงงๆ สั่งข้าวผัดอะไรไม่รู้มั่วๆไปค่ะ


ผู้ร่วมทริปสั่งข้าวผัดไก่ ก็ยังพอทานได้


ของเราสั่งข้าวผัดปลาแห้ง (ซึ่งไม่รู้ว่าจะออกมาเป็นเมนูนี้เพราะไม่ค่อยเหมือนในรูประกอบ) แบบเผ็ด อื้อหือ..... กลิ่นเครื่องเทศแขกแรงมาก!!! หน้าตาก็ไม่เห็นเหมือนในรูป ฮ่าๆๆๆ แต่เวลานั้นหิวอะไรก็กิน


สุดท้ายถูกโกงราคาอีก ในเมนูลงไว้ 5เหรียญ พอมาเก็บเงินเป็น 5.5 เหรียญ กับ 6.5 เหรียญ พอถามก็พูดอะไรไม่รู้ดูงงๆ มองหน้าผู้ร่วมทริปแล้วก็.....ยอมก็ได้!! ฮ่าๆๆๆ “คิดแค่ว่ามันโกงเรา แค่นั้นแหละ ไม่ต้องสงสัยอะไรให้เสียเวลาแล้ว” ผู้ร่วมทริปปลอบใจค่ะ ฮ่าๆๆๆ




อิ่มแล้วก็ได้เวลาออกเดินทางท่องเที่ยวกันต่อค่ะ เดิมคิดว่าจะเดินทางด้วยรถไฟฟ้า แต่ที่นี่มีป้ายรถเมล์เยอะ แถมยังเดินไปใกล้กว่าสถานีรถไฟฟ้าซะด้วย จึงตัดสินใจเดินทางกันด้วยรถเมล์ โดยเปิดกูเกิ้ลแม็ปเลยค่ะ มีข้อมูลที่เชื่อถือได้ บอกไว้หมด นั่งสายอะไร มาเวลาไหน ใช้เวลาเท่าไร ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะตรงเวลาแทบไม่มีผิดเพี้ยน ราวกับญี่ปุ่นอย่างไรอย่างนั้น (วิธีการขึ้นรถเมล์อยู่ในข้อ 16 - 18 ตามบทความนี้ค่ะ http://gowithampth.com/35-เรื่องเที่ยวสิงคโปร์)


จุดมุ่งหมายแรกของเราคือ “Fountain of Wealth” (น้ำพุแห่งความมั่งคั่ง) เปิด Google Map ดูสายรถเมล์ จะมีสาย 70 และ 70M นั่งไปลงสถานี Suntec City แล้วเดินไปต่ออีกประมาณ 300 เมตร


และก็จะได้เจอแล้ว เย้ๆๆ


ต้องหาทางลงไปด้านล่าง เดินเข้าไปในตัวตึก Suntec City และเดินตามป้ายบอกทางมายัง Fountain of Wealth



การสัมผัสน้ำพุ :

1. ยื่นมือเข้าไปสัมผัสน้ำพุ

2. อธิษฐานขอพรเบาๆ หรือในใจ

3. เดินวนรอบน้ำพุตามเข็มนาฬิกา 3 รอบ


เดินวนรอบน้ำพุและถ่ายภาพกันได้ไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาเรียกให้ออก เพราะจะมีทัวร์เข้ามา.... จำต้องลาน้ำพุไปก่อน




จากนั้นเราเดินกันไปต่อยัง “Esplanade – Theatres” เป็นศูนย์กลางของการแสดงในประเทศสิงคโปร์ หรือที่คนไทยชอบเรียกกันว่าตึกหนามทุเรียนนั่นแหละค่ะ มองดูก็คล้ายหนามทุเรียนอยู่นะ แต่ความจริงแล้วผู้สร้างต้องการให้ออกมารูปลักษณ์เหมือนไมโครโฟน 2 อันที่อยู่ติดกัน จะเห็นได้ชัดเมื่อมองจากมุมสูง


แต่ดูยังไง้ยังไงก็ทุเรี๊ยนทุเรียน ^^


ด้านหน้าอาคารจะมีประติมากรรมรูปปั้นอยู่หลายจุด มีลานน้ำพุเล็กๆ มีต้นไม้ใบหญ้า และดอกไม้อยู่มากมาย


รวมถึงลานกว้างๆบริเวณทางเข้าอาคาร จะมีช่วงปล่อยไอน้ำพุ่งมาจากพื้นด้วยค่ะ



เห็นเด็กๆมาวิ่งเล่นกันสนุกสนานเชียว เราก็มัวแต่แอบถ่ายรูปเด็ก พอจะเดินเข้าไปเล่นบ้างก็ปิดไปซะแล้ว ฮ่าๆๆๆ


เมื่อเดินเข้ามาภายในอาคาร เห็นว่ากำลังมีโชว์ร้องเพลงอยู่พอดีก็เลยเดินขึ้นไปดู คนนั่งดูกันเยอะเลยค่ะ




เดินออกมาจากโรงละคร ฟ้าก็มืดแล้ว จากนั้นเราเดินไปทาง "Jubilee Bridge" ที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่าง Merlion Park และโรงละคร Esplanade Theatres จากสะพานแห่งนี้สามารถชมความงดงามของอาคารสถาปัตกรรมต่างๆรอบ Marina Bay ได้เป็นมุมกว้าง ยิ่งในยามค่ำคืนแบบนี้ได้เห็นแสงสีเสียงครบครัน


มองไปทางฝั่งมาริน่าเบย์แซนด์ก็เป็นมุมที่งดงามมาก



ส่องกล้องไปซูมดูเมอร์ไลอ้อนปาร์คจากระยะไกลสักหน่อย


เราใช้เวลาอยู่ที่จุดนี้นานมาก ทั้งตั้งกล้องถ่ายรูปให้ผู้ร่วมทริป ตั้งถ่ายตัวเอง ตั้งถ่ายบรรยากาศ มันฟินมาก....


ลองตั้งกล้องถ่ายตัวเองอีกครั้ง คราวนี้อยากได้มุมอ้าปากกินน้ำจากเมอไลอ้อน แต่ลืมว่าตั้งค่าเปิดหน้ากล้องไว้นาน เกร็งจนตัวสั่นรูปออกมาเบลอขนาดนี้เลย ฮ่าๆๆๆ


มาดูบรรยากาศรอบๆ Marina Bay กันค่ะ


มาอยู่กลางสะพานเพื่อรอชมการแสดงแสงสีฝั่งมาริน่าเบย์แซนด์ จากมุมนี้ได้เห็นวิวรอบๆและเห็นแสงเลเซอร์ที่ยิงออกมาจากตัวโรงแรมเรือด้วย


อลังการมากค่ะ ชอบมาก ดูแล้วขนลุกเลยค่ะ




เดินเข้ามาใน "Merlion Park" ขยับเข้ามาใกล้เมอร์ไลอ้อนอีกหน่อย ได้เห็นใกล้ๆแล้วน้า..



เมื่อมาใกล้ขนาดนี้ พอลมมาทีนี่ละอองน้ำฟุ้งกระจายเข้าหน้ากล้องเต็มๆเลยอ่า... แต่รูปออกมาก็สวยดีเหมือนกันนะคะเนี่ย ฟรุ้งฟริ้งซะขนาดนี้ แม้จะเสี่ยงกล้องชื้นไปบ้างก็ตาม แหะๆๆๆ


แวะมาดูเมอร์ไลอ้อนตัวน้อย ที่อยู่ไม่ไกลกันค่ะ ^^


อยู่นานก็เกิดอาการหิวน้ำ แต่น้ำที่พกมาหมดไปแล้ว คาเฟ่แถวเมอร์ไลอ้อนปาร์คราคาก็ค่อนข้างแพง ตัดใจเดินไปยังจุดต่อไปของเรากันก่อนดีกว่า




เดินข้ามถนนไปยัง “Anderson Bridge” เป็นสะพานที่สร้างขึ้นมาใช้งานแทนสะพานเดิมคือสะพาน Cavenagh Bridge ซึ่งไม่สามารถรองรับปริมาณของรถยนต์ที่สัญจรไปมาระหว่างบริเวณเขตบริหารของรัฐบาลบนฝั่งแม่น้ำทางตอนเหนือ กับ ฝั่งย่านการค้า ทางตอนใต้ของแม่น้ำสิงคโปร์




เมื่อเดินข้ามสะพานนี้ไปก็จะได้พบกับ “Victoria Theater and Concert Hall” เป็นอาคารสไตล์วิคตอเรียที่เก่าแก่และสวยงามมากที่สุดหลังหนึ่งของประเทศสิงคโปร์ มีลักษณะเป็นอาคาร 2 หลังเชื่อมกัน รวมถึงหอนาฬิกาที่ได้ถูกสร้างขึ้นมาเพิ่มเติมในภายหลังและเป็นส่วนหนึ่งของอาคารหลังนี้


จากนั้นเดินต่อไปอีกไม่ไกลก็จะพบกับ “Cavenagh Bridge” เป็นสะพานเก่าแก่ที่สุดที่ใช้ข้ามแม่น้ำสิงคโปร์ และยังเป็นสะพานแขวนเพียงแห่งเดียวของประเทศสิงคโปร์อีกด้วย


อยู่ด้านหน้าโรงแรม Fullerton


พร้อมกับรูปปั้นเด็กกระโดดน้ำด้วย


พอตกค่ำจะมีการเปิดไฟเพื่อความสวยงามยิ่งขึ้น ปัจจุบันนี้สะพานคาเวนาห์เป็นสะพานสำหรับคนข้ามเท่านั้น เพื่อเชื่อมต่อระหว่างโซนการพักผ่อนและวัฒนธรรมตอนเหนือของแม่น้ำ กับโซนการค้า ธุรกิจ และสำนักงานทางตอนใต้ของแม่น้ำสิงคโปร์


เดินมาถึงบริเวณด้านหน้า Asian Civilisations Museum ขอแวะนั่งพักริมน้ำกันสักหน่อย ระหว่างนั้นก็ตั้งกล้องถ่ายถ่ายภาพฝั่งตรงข้ามแม่น้ำ นั่นก็คือ “Boat Quay” โบ๊ทคีย์เป็นย่านสำหรับกินดื่มยามค่ำอีกแห่งหนึ่งของสิงคโปร์ มีร้านอาหารและร้านนั่งดื่ม เต็มไปด้วยแสงสี ผู้ร่วมทริปเดินขึ้นไปในร้านอาหารของมิวเซี่ยม แป๊บเดียวเดินออกมาพร้อมยื่นขวดน้ำขวดเดิมที่พกมาแต่เต็มไปด้วยน้ำเปล่าที่เย็นเจี๊ยบ .. ก็เพราะในร้านมีตู้กดน้ำเย็นอยู่น่ะซี่... ผู้ร่วมทริปกระซิบบอกว่า “ทำเป็นเนียนๆเข้าไปกดมา” ^^”


เดินเลียบแม่น้ำสิงคโปร์ไปเรื่อยๆ ผ่าน Elgin Bridge สะพานสีขาวๆแห่งนี้


จากตรงนี้จะสามารถมองเห็นย่านคลาร์กคีย์ได้แล้วล่ะค่ะ


แล้วตรงไปเข้าทางลอดใต้ Coleman Bridge ที่จะมองเห็นป้ายถนน New Bridge ก่อนนั่นเลยค่ะ จะเป็นทางเดินที่มีจิตรกรรมฝาผนังตลอดทาง วันนี้ได้พบศิลปินเปิดหมวกกำลังบรรเลงดนตรีเพราะๆให้ฟังอยู่ด้วย


มาฟังเพลงเพราะๆกันนะคะ ^^


และเมื่อเดินขึ้นมาอีกทีก็จะเข้าสู่ “Clarke Quay” คลาร์กคีย์ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวยามค่ำคืนของนักท่องราตรีโดยแท้ จะว่าไปก็คล้ายๆกับย่าน Boat Quay แต่เราว่าที่นี่มีแสงสีพร้อมวิวและบรรยากาศที่ดูดีกว่า






ร้านขายไอศกรีมที่พ่อค้าชอบหยอกเย้า(แกล้ง)ลูกค้าก็มีอยู่ที่นี่ค่ะ เราเองยังยืนดูลีลาการแกล้งของเขาอยู่นานสองนาน แต่ไม่ได้ซื้อนะคะ ราคาแอบแพงนิดนึงอ่า ดูอย่างเดียวพอละ ^^"


ส่วนใครที่อยากล่องเรือ สามารถมาล่องเรือ Bumboat ที่ท่าเทียบเรือในย่าน Clarke Quay และนั่งเรือชมสองข้างทางของแม่น้ำสิงคโปร์มาจนถึงอ่าว Marina Bay ซึ่งจะผ่าน Merlion Park ได้เลยนะคะ


ความจริงแล้วที่เราเดินกันมาที่นี่เพราะเรา.. หิวน้ำ!! ฮ่าๆๆๆๆ คือจะมาดูบรรยากาศด้วยและมาหาน้ำดื่มด้วย เพราะน้ำที่เพิ่งไปกดมาใหม่เมื่อกี๊หมดแล้ว แต่ยังกระหายน้ำอยู่ โถๆๆ เดินดูบรรยากาศได้หน่อยเดียวค่ะ ผับ บาร์ เยอะเหลือเกิน ถ้าใครชอบแนวนี้ มาที่นี่ไม่ผิดหวังแน่นอน ส่วนเรา.. ไม่ใช่ทางจริงๆ เดินกลับดีกว่า และแล้วระหว่างที่กำลังเดินกลับนั้น เราก็ได้พบกับๆๆๆ ตู้กดน้ำอัตโนมัติๆๆๆ เย้..... จัดโค้กมาเลย 1 กระป๋อง 1 เหรียญ หรือประมาณ 25 บาท อ่า... ชื่นใจจริงๆ


เราอยากไป Fort Canning Park และจริงๆแล้วก็อยู่ข้างหลังคาร์กคีย์เท่านี้เอง แต่มันดึกแล้ว ประกอบกับผู้ร่วมทริปไม่อยากไปและวันอื่นๆก็มีแพลนเต็มหมดแล้ว จำเป็นต้องตัดใจ ฮือ.... ก่อนกลับขอหันไปชมวิวอีกทางหนึ่งก่อนก็แล้วกัน เห็นตึกเรือด้วยนะ


ตัดใจแล้วก็เดินไปรอรถเมล์ที่หน้า Clarke Quay Central หรือแถวๆสถานีรถไฟฟ้า Clarke Quay ฝั่งหน้าห้าง เพื่อกลับไปย่านเกลัง มีรถเมล์ให้เลือกขึ้นได้หลายสายเลยค่ะ เราเลือกขึ้นสาย 100 มาไวที่สุด




เมื่อกลับมาถึงย่านเกลัง หิวขึ้นมา เลยพากันเดินหาของกินกันไปเรื่อยๆ


ไปเจอมุมหนึ่งมีร้านขายอาหารอยู่ติดๆกัน 3-4ร้าน ราคาไม่แพงด้วย ได้เมนูหมี่เหลือง และก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่มา ชามละ 3.5 เหรียญเท่านั้นเอง



ที่สิงคโปร์ถ้าเรียกว่า “ก๋วยเตี๋ยว” จะหมายถึงเส้นใหญ่ของบ้านเรานะจ๊ะ รสชาติน้ำซุปของบะหมี่จะหอมกลมกล่ม แต่ซุปของก๋วยเตี๋ยวดูจืดชืดไปหน่อยค่ะ แต่ก็พอได้อยู่นะคะ


อิ่มแล้วก็เดินกลับ ด้วยอารมณ์อยากกินของหวานต่อ พอดีเห็นซุปเปอร์อยู่ฝั่งตรงข้ามถนน รีบตรงดิ่งเข้าไปทันที อาหารส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างแพงค่ะ โดยเฉพาะขนมและของแห้ง แต่น้ำจะถูกกว่าซื้อที่เซเว่นหรือร้านข้างนอกหลายๆร้าน โชคดีเจอโปรโมชั่นน้ำขวดใหญ่ 2 ขวดราคาแค่ 1 เหรียญก็จัดมาเลย 2 ขวด


แล้วก็มาเจอไอศกรีม โปรโมชั่น 3 แท่ง แค่ 1.75 เหรียญ แต่มันหวานมาก!! สุดท้ายอันที่ 3 ที่คิดจะแบ่งกันกินก็ต้องทิ้งเพราะมันหวานแสบคอเกินไป ห้องก็ไม่มีตู้เย็นด้วย ฮ่าๆๆ




วันที่ 2 : ตะลุยเกาะเซนโตซ่า

วันนี้เราจะใช้เวลาอยู่ที่เกาะเซนโตซ่ากันทั้งวันเลยค่ะ เริ่มจากนั่งรถเมล์สาย 100 จากเกลัง (หรือสาย 80 ก็ได้)


ไปลงหน้าห้าง Vivo City แล้วเดินเข้าไปข้างในกันค่ะ


เมื่อวานเดินจนรองเท้าแหกเกินเยียวยา วันนี้เลยต้องหาร้านซื้อรองเท้า แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าที่นี่มีร้าน Daiso 2 เหรียญ (ประมาณ 50 บาท ถูกกว่าบ้านเราอีก) อยู่ชั้น L3


แล้วก็ได้รองเท้าหูหนีบมา 1 คู่ เดินสบายเลยคราวนี้ รองเท้าแตะร้านข้างนอกทั่วไปแพงมาก แพงกว่า 5 เหรียญทั้งนั้น ลองคิดดูเป็นราคาเงินบาทแล้วมันแพงกว่าบ้านเรามากเกินไป มาเจอ 2 เหรียญ ก็ประมาณ 50 บาท แบบนี้สิถึงจะดี ^^ (เท้ามีหลายสีมาก ใส่รองเท้าหลายแบบแล้วตากแดดเที่ยว ฮ่าๆๆ)


เราชวนกันไปทานข้าวที่ Kopitiam อยู่ชั้น B2 ที่นี่จะมีอาหารให้เลือกหลากหลาย ราคาประหยัดดีซะด้วย


มื้อนี้จัดร้านข้าวราดแกงค่ะ หน้าตาน่าทานหลายอย่างเชียวแหละ



ราคาก็ถูกดี ของเพื่อน 3.8 เหรียญ ของเรา 3.6 เหรียญ





เพิ่มเติมความประทับใจกับถังขยะในห้องน้ำของ VivoCity อีกหน่อยนะคะ มันไฮเทคมาก แค่วางมือไว้เหนือถังขยะแบบนี้


จะมีระบบเซ็นเซอร์จับแล้วฝาก็จะค่อยๆเลื่อนเปิดขึ้นมา มันเก๋มากเลยอ้ะ!




แล้วก็ได้เวลาไปเกาะเซนโตซ่ากันแล้วแว้วๆๆๆ.. เราเลือกเดินตามทางข้ามทะเลไปนะคะ ถ้าใครไม่อยากเดินก็สามารถเลือกวิธีอื่นๆได้ ไม่ว่าจะเป็นนั่ง Sentosa Express เข้าไป หรือจะนั่งกระเช้าลอยฟ้าเข้าไป ซึ่งมีค่าใช้จ่าย (ข้อมูลอยู่ใน ข้อ 13 ตามลิ้งนี้ค่ะ http://gowithampth.com/13-ที่เที่ยวสิงคโปร์)


ถ้านั่งกระเช้าข้ามไปก็จะผ่านตรงนู้น...



ระหว่างทางเดิน ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆกระทั่งเหลือบไปเห็นต้นไม้ต้นหนึ่ง ดอกเหมือนดอกตะแบกหรือดอกอินทนิลของไทยมากๆแต่ใบมีสีออกแดง หรือนี่จะเป็นต้นตะแบกของสิงคโปร์ ^^


ปกติแล้วถ้าเดินมาจะต้องเสียค่าผ่านประตูเข้าเกาะคนละ 1 เหรียญ แต่ช่วงนี้เข้าฟรีจนถึงปลายปีนี้เลยค่ะ ถ้าใครจะเล่นเครื่องเล่นแต่ยังไม่มีบัตรสามารถซื้อที่เค้าน์เตอร์ทางเข้าได้เลยนะคะ


มาศึกษาแผนที่ดูเส้นทางกันสักหน่อยค่ะ


แพลนของเราบนเกาะเซนโตซ่าวันนี้ เอาเท่าที่เราทั้งคู่สนใจ 6 จุดด้วยกัน คือ

1) Merlion plaza

2) Sentosa nature discovery

3) Nature walk

4) Fort siloso skywalk

5) Palawan beach

6) Crane dance (20.00 น.)


เดินกันไปเรื่อยๆอาศัยดูแผนที่ของ sentosa และแผนที่จาก Google Map ด้วยค่ะ ของปกติก็ว่าแพงแล้วมาเจอราคาของในเซนโตซ่าแพงยิ่งกว่าอีก เดินเข้าไปในโซนเกาหลี อยากกินไอศรีมอันยาวๆที่เคยเห็นคนเขาซื้อกินกัน อยากกินบิงซู แต่ราคาสูงมาก เกินกว่าใจจะรับได้ แหะๆๆ ก็เลยอดใจ ไม่กินดีกว่า


เดินออกมาหน่อยเดียว เราก็มาพบกับ “Universal Studios logo” แม้จะไม่ใช่แนว ไม่ได้เข้า แต่ไหนๆก็มาถึงแล้วต้องเก็บภาพไว้สักหน่อย


เดินกันต่อไปเรื่อยๆ เห็นประติมากรรมอยู่ตลอดทางเลยค่ะ




กระทั่งถึง Merlion plaza (รูปปั้น The Merlion ที่สถานี Imbian Station ใน Sentosa) เป็น Merlion ที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์


สามารถขึ้นไปชมวิวด้านบนได้นะคะ แอบเห็นมีคนผลุบๆโผล่ๆอยู่ในปากพี่เมอร์ไลอ้อนตรงนู้นด้วย


มาซื้อตั๋วตรงนี้ได้เลยค่ะ ช่วงกลางคืนจะมี Sentosa Merlion Magic Lights Show ที่นี่ด้วย เดี๋ยวเราแวะกลับมาดูกันอีกทีนะคะ


จากตรงนี้เดินไปด้านหลัง จะพบกับ Merlion Walk ตลอดทางเดินมีประติมากรรมรูปร่างแปลกตาประดับประดาด้วยกระเบื้องโมเสคสีสันสดใส ซึ่งมีน้ำไหลผ่านอยู่ด้านในด้วย


เดินมาถึง "Sentosa nature discovery" จะเป็นเส้นทางศึกษาธรรมชาติที่เราอาจจะได้พบสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยอยู่ด้านใน



มีรางจืดด้วยนะ เหมือนบ้านเรามากเลยนะเนี่ย


เจอมดก็อยากจะถ่ายรูปมดแต่ตั้งค่าไม่ทันมดเดินหนีหมด เห็นมีอยู่ไม่กี่ตัวเอง


ต่อด้วย Nature walk ตอนเดินเข้าไป ไม่มีใครเลยนอกจากเราสองคน ได้เจอเจ้าหน้าที่อีกแค่คนเดียวที่เดินสวนกัน และเสียงคนคุยกันดังมาจากกระเช้าที่เคลื่อนผ่านไปแว๊บๆ มีเสียงคนกรี๊ดจากการโรยตัวด้วยสลิงผ่านไปด้วย


ทางเดินไม่เปลี่ยวจนทำให้แอบคิดว่าที่นี่ถูกเซ็ตขึ้นมาหรือเปล่า แฮ่.. มีที่สำหรับนั่งพักอยู่เป็นระยะๆด้วยนะคะ เดินไม่นานก็เจอถนนใหญ่แล้ว



จากนั้นเดินไปกันต่อทางซ้ายมือ กระทั่งมาเจอป้ายรถเมล์


ก็ข้ามถนนไปอีกฝั่ง จุดนี้ด้านบนจะเป็นจุดปล่อยกระเช้าลอยฟ้าค่ะ แอบขึ้นมาดูนิดหน่อยแต่ไม่อยากนั่งนะ กลัวเปลืองตังค์ ฮ่าๆๆๆ


เดินลงมาเข้าเซเว่นข้างล่างดีกว่า ราคาแต่ละอย่างก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าราคาของบนเกาะเซ็นโตซ่านั้นแพงกว่าบนฝั่ง แต่เราหิวน้ำมาก.....ขอสเลอปี้ 1 แก้วก่อนดีกว่า ในราคา 1.6 เหรียญ


เดินออกไปทางหาดกันต่ออีกนิดหน่อยแต่แดดยังแรงอยู่ แถมไม่มีที่นั่งพักอีก ก็เลยเดินข้ามถนนกลับไปนั่งเล่นที่ป้ายรถเมล์ พักกันจนหายเหนื่อย ก็ไปกันต่อ




มากันที่ "Fort siloso skywalk" ที่เห็นเหมือนหอคอยสูงๆนู่น.... มีความสูงเท่ากับตึก 11 ชั้นหรือประมาณ 181 เมตรเลยทีเดียว


ด้านหน้าทางขึ้นมีป้ายแผนที่จุดต่างๆด้านใน หลายจุดมาก ถ้าเดินไหวแนะนำให้ไปให้ครบทุกจุดนะคะ ส่วนเราเดินไม่ไหวจริงๆ ขอไปแค่บางจุดก็แล้วกัน


จากตรงนี้มีทั้งบันไดและลิฟท์ให้เลือกขึ้นไปด้านบนค่ะ


เมื่อขึ้นมาแล้วจะพบกับทางเดินที่เป็นกระจกตรงนี้ก่อน บางคนไม่กล้ามาจุดนี้ คนกลัวเขาก็กลัวจริงๆนะ (เคยดูคลิปคุณลุงคุณป้าคนจีนที่พากันขึ้นไปเดินสกายวอร์คที่เป็นกระจกตลอดทาง มีทั้งขาสั่นบ้าง ต้องคลานไปบ้าง บางคนถึงกับร้องไห้เลยก็มี)


จากตรงนี้มองออกไปจะเห็นชายหาดด้านล่างค่ะ แดดอ่อนๆ วิวสวย


ยืนเล่นกันไม่นานก็เดินกันต่อ


แล้วมาหยุดกันอยู่กลางสกายวอร์คอีกครั้งเพื่อมองดูวิวรอบๆ


จากนั้นเดินกันไปต่อ จนสุดทางของทางเดินสกายวอร์ค จะเป็นป้อมปืนใหญ่โบราณตั้งอยู่ยอดบนสุดของภูเขา ในอดีตจุดนี้เคยใช้เป็นที่สังเกตการณ์ของทหารในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2




อ้อ!! ที่นี่มีเครื่องกดน้ำดื่มให้ด้วยค่ะ แวะนั่ง ดื่มน้ำ แล้วไปกันต่อทางนี้ค่ะ


กระทั่งมาถึงป้อมซิโลโซ ด้านในจะมีการจัดแสดงภาพถ่ายและฉายภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์เมื่อครั้งที่เกิดสงคราม


เดินออกมาจากห้องนิทรรศการแล้วจะพบกับ ฐานปืนใหญ่, หลุมหลบภัย และหอสังเกตการณ์ รวมถึงหุ่นขี้ผึ้งที่จำลองสถานการณ์ในวันที่มีการลงนามทำสัญญายอมแพ้สงครามไว้ด้วย




เราเข้ามาถึงแค่จุดนี้ แล้วเดินออก กลับไปที่ชายหาดอีกครั้ง เดินผ่านไปเรื่อยๆ ได้เห็นคนห้อยโหนสลิงลงมาด้วย เสียงกรี๊ดกร๊าดดังมาต่อเนื่องด้วยความหวาดเสียวและสนุกสนานของคนเหล่านั้น “อยากเล่นมั่งอ่า...”




ระหว่างที่กำลังเดินไปชายหาด เราได้พบกับพี่นกยูงเข้า เป็นนกยูงตัวเมียค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าใกล้ค่ำกว่านี้จะมีตัวผู้ออกมาเดินอวดโฉมให้ดูกันใกล้ๆด้วยนะ


เดินเข้าไปยังชายหาดแล้ว ได้เห็นคนทำกิจกรรมน่าสนุกริมหาดหลายอย่างเลย แต่ที่น่าหวาดเสียวที่สุดก็เห็นจะเป็นการโรยตัวมากับสลิงแบบนี้นี่แหละค่ะ อ๊า....!! เสียวแทน!!



จากนั้นเดินไปขึ้นรถบัสเล็กๆเพื่อไปยัง "Palawan beach" แต่รถไปไม่ถึงหาดต้องลง แล้วเดินเข้าไปต่อ


โอ๊ย.... แพ้ความน่ารักมุ้งมิ้งของดอกหญ้า ><



เราเดินเข้ามายังลานกว้างๆ มีสนามหญ้ากว้างๆ มีจอสีขาวขนาดใหญ่คล้ายจอหนังกลางแปลงอยู่ด้วย


และป้ายบอกทางตรงนี้มีคำตอบให้เราค่ะ จอหนังและลานกว้างๆตรงนั้นก็คือ "Movie by the Beach" นั่นเองเงงๆๆๆ.. ซึ่งที่นี่จะมีการฉายภาพยนต์เกือบทุกวัน เวลา 7.30 pm หรือ 19.30 น. ภาพยนต์ที่จะฉายก็จะมีเขียนไว้แบบนี้เลยค่ะ


หายสงสัยแล้วเราก็เดินไปกันต่อ จู่ๆก็มีฟองสบู่ลอยมาเต็มไปหมดเลยค่ะ อ๊าย...สะฟรุ้งสะฟริ้งมากเลยอ่า...



เดินตามเข้าไปก็ไปเจอเด็กน้อยกำลังเล่นสนุกอยู่ ในนี้เป็นโซนของเด็กๆนั่นเอง ^^




เราไปเดินผ่านสวนน้ำแล้วก็เดินออกไปหาดทราย มีเครื่องเล่นอยู่สองสามอย่างดูน่าสนุกมาก



อยากกระโดดลงทะเลแต่น้ำทะเลสีขุ่นๆแปลกๆ ไม่เล่นดีกว่า ทะเลบ้านเรายังสวยกว่าอีกน้า... แต่ก็มีคนลงเล่นกันอยู่เยอะเลยนะคะ เด็กๆบางคนเล่นกันมานานแค่ไหนแล้วไม่รู้แต่สีผิวเกรียมๆกันแล้ว


เดินมากระทั่งถึงตรงนี้ "Southernmost Point of Continental Asia" จุดใต้สุดของทวีปเอเชีย เดินข้ามไปได้เลยนะคะ (แต่ตอนนั้นคนเยอะมาก... เลยไม่ได้เบียดไป ทีตอนนี้กลับมาแอบเสียดาย แฮ่.... ^^”)


โอ้ว... หาดทรายขาวจัง..... @__@ เดี๋ยวๆๆๆ ไม่ใช่ละ!!


ไม่เอาๆ ไม่แอบถ่ายคนอื่น (แม้ว่าจะอยากถ่ายมากเพราะเธอสวยและขาวมากก็ตาม ^^") กลับมาเซลฟี่ตัวเองก็ได้ ฮี่..


แล้วก็ได้เวลาเล่นอะไรที่อยากเล่น เล่นกับเด็กก็เล่น ฮ่าๆๆๆ




อยู่กันจนได้ยินเสียงประกาศปิดสวนน้ำนั่นแหละค่ะ แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเดินกลับไปที่ Merlion plaza อีกครั้งเพื่อรอชม "Sentosa Merlion Magic Lights Show" แสงสีเสียงแบบนี้ ในเวลา 19.45 น. ผู้คนก็เดินไปเดินมาเพื่อรอชมและแวะชม ดูตื่นตาตื่นใจดีค่ะ การแสดงจุดนี้จะมีหลายเวลาค่ะ 19.45 น. / 20.15 น. / 20.45 น. สำหรับวันธรรมดา และในวันหยุดสุดสัปดาห์จะมีรอบเพิ่มอีก 2 รอบ คือ 21.45 น. และ 9.45 น.


ชมภาพเคลื่อนไหวกันค่ะ




เมื่อการแสดงจบปุ๊บ ต่างก็แยกย้ายกระจายตัวกันออกไปโดยเร็ว บ้างวิ่งไปขึ้น sentosa express บ้างก็วิ่งตรงดิ่งออกไป เพื่อให้ทันชม “Crane dance” ในเวลา 20.00 น. เรานี่ขึ้น express มา พอลงปุ๊บก็รีบวิ่งทันที เกือบไม่ทันช่วงเริ่มต้นเลยค่ะ ฮ่าๆๆๆ เป็นความเหนื่อยที่มีความสุขจริงๆ Crane dance เป็นการแสดงแสงสีเสียงของหุ่นยนต์ มีความสูง 30 เมตร น้ำหนักกว่า 30 ตัน และสายน้ำคล้ายการขยับเคลื่อนไหวของนกกระเรียน 2 ตัวในทะเลฝั่งใกล้ๆทางเชื่อมออกไปหา City vivo ค่ะ ตลอดระยะเวลาการแสดงนั้นทำให้ตื่นตาตื่นใจไม่น้อยเลย ดูเพลินมาก การแสดงจบลงอย่างน่าประทับใจ ใช้เวลาราว 15 นาทีค่ะ


มีภาพเคลื่อนไหวอันสุดประทับใจให้ชมกันด้วยค่ะ




จากนั้นเราก็นั่ง Monorail กลับออกไปที่ VivoCity กันค่ะ ไม่เสียเงินนะคะ แต่รอบค่ำๆแบบนี้ต้องต่อแถวรอนานหน่อย


เมื่อมาถึง VivoCity ก็ได้เวลาอาหารเย็นของพวกเราพอดี ลองเดินไปดูที่ Food Republic เป็นศูนย์อาหารอีกแห่งหนึ่งในนี้


แต่เท่าที่เดินดูแต่ละร้านราคาค่อนข้างสูง จึงตกลงกันว่ากลับไป Kopitiam ชั้น B2 เหมือนเดิมดีกว่า ผู้ร่วมทริปเลือกทานเมนู Nasi Lemak ตอนแรกเห็นหน้าตาดูธรรมดา แต่บอกเลยว่ามันอร่อยมาก!! มีข้าวสวย ไก่ทอด ถัวลิสงและปลาตัวเล็กทอด แล้วก็มีน้ำพริกหน้าตาคล้ายน้ำพริกตาแดงบ้านเราเลยค่ะ แต่รสชาติไม่เหมือนนะคะ น้ำพริกนี่จะออกหวาน ทานด้วยกันแล้วมันอร่อยมากจริงๆ สำหรับเรานะคะเราว่าเมนูนี้อร่อยที่สุดในบรรดาอาหารสิงคโปร์ที่ทานมาเลยแหละ (ขึ้นอยู่กับความชอบส่วนบุคคล) ราคาจานละ 3.8 เหรียญเองค่ะ


ส่วนเราเดินวนอยู่ 2 รอบไม่รู้จะลงร้านไหนดี สุดท้ายมาหยุดที่ร้านสุกี้.. เลือกวัตถุดิบได้ตามใจชอบเลยค่ะ



เลือกเสร็จแล้ว นำไปยื่นให้แม่ค้า แม่ค้าจะจัดการลวกทุกอย่างให้แล้วตักใส่ชามพร้อมราดน้ำซุปให้เรา


เราก็จะมีหน้าที่ตักน้ำจิ้มและยกถาดขึ้นมารอสุกี้


เมนูนี้ราคา 4.2 เหรียญ เลือกอะไรก็ได้ 6 อย่าง


รสชาติพอใช้ได้ค่ะ แต่คิดถึงรสชาติสุกี้แบบไทยๆ เพราะมันไม่แซ่บไม่จี๊ดจ๊าดเยยอ่า




อิ่มแล้วก็ได้เวลากลับ ระหว่างนั้นแวะเติมเงินให้ EZ Ling กันก่อนคนละ 10 เหรียญค่ะ เพราะเหลือเงินในบัตรแค่ 3 เหรียญกว่าๆเอง เติมเสร็จก็มายืนคุยกัน คุยไปคุยมาก็ชวนกันไปแวะ Little India ไหนๆมันก็ไม่ได้ไกลมากแล้วก็แวะสักหน่อย จากช่วงเช้าที่เรานั่งคุยกันบนรถเมล์มาว่า สิงคโปร์นี่ดูศิวิไล เป็นระเบียบ ขยะก็ไม่มีให้เห็น เพราะทุกพื้นที่ของที่นี่จะมีตำรวจนอกเครื่องแบบอยู่ และมีกฎหมายต่างๆจริงจัง ถ้าใครทิ้งขยะเรี่ยราดขึ้นมาอาจจะถูกตำรวจนอกเครื่องแบบเข้ามาชาร์จตัวได้ หูวววว... อะไรๆเลยดูเป็นระเบียบไปหมด ไม่มีร้านแผงลอยขายของหาบเร่เหมือนอย่างบ้านเรา ของกินก็จะไม่หลากหลายหรือหาง่ายเหมือนบ้านเรา จนบางทีก็แอบพูดเล่นกันว่าที่นี่ต้องเป็นเมืองที่ถูกเซ็ตขึ้นมา ต้นไม้ใบหญ้าก็อาจจะไม่ใช่ของจริงก็เป็นได้ ฮ่าๆๆๆ ขำในความคิดของพวกเราจริงจริ๊ง... แต่แล้วความคิดเหล่านั้นก็ค่อยๆจางลงเมื่อเรามาถึงย่านลิตเติ้ลอินเดีย! ที่นี่ดูวุ่นวาย เต็มไปด้วยชาวอินเดียและนักท่องเที่ยวบางจุดมีกลิ่นปัสสาวะ มีหนูวิ่ง มีกระจั๊วน้อยออกมาเดินเล่นกัน โอ้โห.. เหมือนอยู่ไทยเลย.. แหะๆๆๆ ^^” (ชาวสิงคโปร์ส่วนใหญ่ไม่มาเดินหรือมาช็อปปิ้งที่ย่านนี้นะคะ ส่วนจะเพราะอะไรนั้น.. ให้ไปหาคำตอบกันเอาเอง) เดินไปก็ได้กลิ่นเครื่องเทศเป็นระยะๆ


พอจะแวะเข้ามุสตาฟาจะให้ฝากกระเป๋าอีก ฮืม...เวลานั้นเลยตัดสินใจไม่เข้าดีกว่า เราเป็นห่วงของ กล้องถ่ายรูปอีก แถมเข้าไปอาจจะถูกละลายทรัพย์ไม่รู้จะยั้งกิเลสของตัวเองได้แค่ไหน ฮ่าๆๆๆ


กลับไปนอนพักผ่อนดีกว่าเนอะ แวะซื้อสไปรท์ดื่มดับกระหายระหว่างทางเดินเข้าที่พัก 0.9 เหรียญ




วันที่ 3 : ตะลุย Chaina Town ยาวไป Garden by the bay


วันนี้ตื่นสายๆเช่นเคย เราจะไม่หักโหม ฮี่... ^___^ วันนี้เรานั่งรถเมล์ไปไชน่าทาวน์กันค่ะ


จากเกลังไปขึ้นสาย 80 จะไปจอดแถวๆวัดพระเขี้ยวแก้ว หรือที่เรียกว่า Buddha Tooth Relic Temple and Museum นั่นเองค่ะ



เมื่อมาถึงแล้วเราก็เข้าไปชมบรรยากาศของวัดกันเล็กน้อย



ที่คนไทยต่างเรียกวัดแห่งนี้ว่าวัดพระเขี้ยวแก้วนั้น เนื่องมาจากด้านบนสุดของวัดเป็นที่จัดเก็บพระทนต์ของพระพุทธเจ้า กล่าวคือ พระบรมสารีริกธาตุ พระเขี้ยวแก้วประดิษฐานอยู่ในสถูปใหญ่ ที่ทำจากทองแท้หนัก 320 กิโลกรัม ซึ่งได้มาจากการบริจาคโดยผู้มีจิตศรัทธาถึง 234 กิโลกรัม อยู่บริเวณชั้นบนสุดของวัด นักท่องเที่ยวและประชาชนทั่วไปสามารถชมพระเขี้ยวแก้วได้จากพื้นที่ที่จำกัดไว้ให้เพียงเท่านั้น แต่พระสงฆ์จะได้รับอนุญาตให้เข้าไปในหอพระธาตุได้


ภายในบริเวณวัดยังเป็นพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมทางพุทธศาสนา จัดแสดงพระพุทธรูปและสิ่งล้ำค่าต่างๆทางพุทธศาสนา และพิพิธภัณฑ์สงฆ์ (Eminent Sangha Museum) ซึ่งเป็นโรงละครที่จัดการแสดง การเสวนา และภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาเชิงวัฒนธรรม สามารถเข้าชมวัดนี้และเข้าร่วมกับคณะเที่ยวชมวัดแบบมีมัคคุเทศก์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกสัปดาห์ได้ฟรี มัคคุเทศก์อาสาของทางวัดจะพาเที่ยวชมและบรรยายข้อมูลที่น่าสนใจ การเที่ยวชมแต่ละครั้งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง สำหรับคนที่มีเวลามากพอก็ไม่น่าพลาดนะคะ






ไม่นานนักก็เกิดอาการหิว ผู้ร่วมทริปชวนไป Maxwell Food Centre อยู่ฝั่งตรงข้ามกับวัดพระเขี้ยวแก้วเลยค่ะ


เราข้ามถนนมาแล้วก็เดินเข้าจากทางนี้ จะเป็นทางเข้าข้างหลังนะคะ


ศุนย์อาหารแห่งนี้ค่อนข้างร้อน เพราะไม่มีแอร์ มีแค่พัดลมเพดาน หรืออาจจะเป็นเพราะหลังคาด้วยหรือเปล่านะ แต่ร้านอาหารเยอะมาก สภาพไม่ได้ใหม่แต่ก็พอได้ค่ะ เราไม่ได้ดูข้อมูลเรื่องกินย่านนี้มาเลยเพราะคิดว่ากินอะไรก็ได้ที่ไม่แพง


ผู้ร่วมทริปชี้ให้ดูร้านข้าวมันไก่ร้านนี้ บอกว่านี่เป็นร้านดังมีคนพูดถึงเยอะ ใครๆก็อยากมากิน คนต่อแถวยาวมาก... ด้วยความที่อยากกินข้าวมันไก่อยู่ก็เลยลองไปต่อแถวกับเขาดูบ้าง


ป้ายราคามีบอกขนาด S M L แต่ราคาที่ขนาด S มันมีกระดาษเก่าๆทับอยู่และมีรอยเขียญราคาจางๆไว้ S 3 เหรีญ M 5 เหรีญ L 7 เหรียญ


เราสั่งขนาด S คนคิดเงินพูดเร็วๆว่า “ไม่มีไซส์ S มีแต่ M” พร้อมทอนเงินมาใส่มือด้วยความรวดเร็ว เรายังไม่ทันได้บอกเลยว่าจะเอาหรือไม่เอา...


รอไม่นานก็ได้ข้าวมันไก่มาค่ะ หน้าตาคล้ายของไทยต่างแค่น้ำจิ้ม ในหัวก็คิดว่าต้องได้กินแบบแยกข้าวแยกไก่เหมือนที่เคยเห็นในรูป แต่ทำไมออกมาหน้าตาแบบนี้หรือต้องสั่งไซส์ L มั้งถึงจะได้แบบนั้น และเราอยากบอกว่า มันไม่อร่อยเลย..!!! สำหรับคนที่ชอบทานอาหารไทย ชอบทานรสจัดแบบเรา อาจจะไม่ชอบเหมือนเรานะคะ แต่ถ้าชอบทานอาหารรสไม่จัดก็อาจจะชอบ เป็นความชอบส่วนบุคคลเนอะ แต่คิดว่าเป็นเพราะนักท่องเที่ยวต่างบอกต่อกันเอง ใครมาใครก็อยากมาร้านนี้เพราะมีรีวิวพูดถึงเยอะ แถมยังได้ "มิชลินสตาร์" หรือร้านอาหารติดดาวระดับโลก (ตามมาตรฐานของสิงคโปร์ / ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Michelin Star : http://travel.sanook.com/1396025/) ทั้งที่มีร้านขายข้าวมันไก่อีกตั้งหลายร้าน และส่วนใหญ่เมื่อทานหมดจานแล้วก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะไปซื้อร้านอื่นมานั่งทานเพื่อเปรียบเทียบรสชาติอีก รู้สึกผิดหวังนิดหน่อยตั้งแต่ตอนคิดเงิน ฮ่าๆๆๆๆ สรุปของเราจ่ายไป 5 เหรียญ


ผู้ร่วมทริปเป็นข้าวหน้าเป็ด 3.5 เหรียญ ยังดูอร่อยกว่าอีกนะ


อารมณ์อยากทานของหวานก็ตามมาอีก เดินดูร้านขายผลไม้ ราคาค่อนข้างแพง ร้านขายผลไม้ที่สิงคโปร์แทบทุกร้านจะหั่นชิ้นขายแบบนี้ค่ะ




เดินดูร้านขนมหวานอยู่สองสามร้านก็มาหยุดที่ร้านนี้ค่ะ


สั่งเมนูที่หน้าตาคล้ายๆเต้าทึงมา แต่พอจ่ายเงินไปแล้วเพิ่งเห็นว่ามีน้ำแข็งไสด้วย


เป็นขนมหวานที่แทบไม่หวานเลยค่ะ เครื่องก็ให้น้อย ราคา 1.5 เหรียญ อยู่เมืองไทยบ้านเรานี่ดีสุดแล้ว ในเรื่องอาหารการกิน ไม่มีอดอยาก อยากกินอะไรแบบไหนรสชาติยังไงก็มีให้เลือกเยอะแยะไปหมด ราคาก็ไม่แพงอย่างนี้ด้วยเนอะ




จากนั้นเราเดินออกทางเดิมเพื่อข้ามกลับไปฝั่งวัดพระเขี้ยวแก้ว แล้วเดินเข้าไปในซอยข้างๆวัดกันค่ะ


มีร้านขายของใช้ของฝากหลายร้านเลย มีไก่โอ้กหลายสีซะด้วย


มาทะลุถึงตรงนี้ "ChainaTown Complex" อยู่ด้านหลังวัดพระเขี้ยวแก้วค่ะ



ที่นี่จะมี 3 ชั้น ชั้นล่างสุดเป็นตลาดสด ชั้นที่ 1 เป็นร้านจำหน่ายข้าวของเครื่องใช้ และชั้นบนสุดจะเป็นศูนย์อาหาร


อยากแนะนำให้มาทานอาหารกันที่นี่ค่ะ นอกจากราคาโดยรวมจะถูกกว่าแล้ว ยังมีร้านอาหารให้เลือกทานหลากหลายกว่า ดูดีกว่า และน่าทานทั้งนั้นเลยค่ะ แถมที่นี่ยังมีพัดลม อากาศไม่ร้อนอบอ้าวด้วยนะคะ นี่ถ้าไม่อิ่มจะหาอะไรกินอีกนะเนี่ย!!! ร้านนั้นก็น่ากิน ร้านนี้ก็น่ากิน ขนาดอิ่มๆอยู่ ยังอยากกินอีกเลย แต่ไม่ไหวแล้วอ่า...






ร้านลูกอมแบบนี้ก็น่าสนดีนะคะ ดูราคาย่อมเยาดี กระจุ๊กกระจิ๊ก


เดินมาถึงตรงนี้ เป็นถนนเส้นที่มี Chinatown Food Street


เส้นนี้จะมีร้านติ่มซำร้านหนึ่ง ราคาไม่แพงมากนักค่ะ ทีแรกสองจิตสองใจอยากเข้าแต่ก็ยังอิ่มอยู่ พออยากกินอีกไปหาร้านอื่นเจอแต่แพงๆทั้งนั้น ฉะนั้นถ้าอยากทานติ่มซำ แนะนำให้มาร้านนี้นะคะ ส่วนเรื่องรสชาตินั้นไม่ทราบได้ แต่ขอบอกว่าคนเต็มร้านนะจ๊ะ


เดินเข้าไปดูใน ไชน่าทาวน์ ฟู้ด สตรีท กันค่ะ


คนค่อนข้างเยอะเลย ร้านอาหารทั้งร้านน้อยใหญ่ก็มีอยู่เยอะเช่นกัน ราคาก็ไม่ค่อยถูกนะ




เดินๆไปก็เจอโซนขายลไม้ หลายร้านมาก ผลไม้ที่มีขายในสิงคโปร์ก็จะคล้ายกับที่มีขายในบ้านเรานั่นแหละค่ะ ไม่ค่อยมีอะไรแปลกตามาก


จากนั้นเดินดูบรรยากาศย่านไชน่าทาวน์ไปเรื่อยๆ ได้กลิ่นอายแบบไชน่าทาวน์ตลอดเส้นทางแต่ถ้าเทียบกับไชน่าทาวน์ของไทยหรือเยาวราช เราคิดว่าเยาวราชดูเป็นย่านที่มีกลิ่นอายของชุมชนชาวจีนมากกว่านะคะ





เดินมาแวะดูหมูหวาน ของทานเล่นที่ขึ้นชื่อในย่านนี้กันต่อ เท่าที่ดูมา เราว่าร้านนี้ถูกที่สุดแล้วค่ะ อยู่ใกล้ๆทางเข้ารถไฟฟ้าสถานี Chinatown


จากนั้นก็เข้าสถานีไชน่าทาวน์ เพื่อเดินทางไปยังจุดหมายต่อไปของเราค่ะ




ลงสถานี Chinatown นั่งรถไฟฟ้าไป The shoppes at marina bay sands ห้างสรรพสินค้าสุดหรูด้านหน้าตึกเรือหรือหน้า marina bay sands นั่นเองค่ะโดยลงที่สถานี Bay Front แล้วเดินขึ้นไปในตัวห้าง


บรรยากาศภายในห้างแห่งนี้ดูหรูหรามาก...


ออกไปเดินเล่นหน้าห้างริมอ่าวมาริน่ากันต่อค่ะ ทางนี้ก็จะสามารถชมทัศนียภาพของอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างกว้างขวางเช่นกัน



มองเห็นโรงละครไมโครโฟนคู่ชัดกว่าเดิมด้วย


บางคนก็มาปั่นจักรยานเล่นกันที่ลานนี้


บางคู่ก็มาถ่ายพรีเวดดิ้งกัน




เดินเล่นกันไปสักพัก จู่ๆผู้ร่วมทริปก็พูดออกมาว่า “ที่นี่มีคาสิโนถูกกฎหมายนะ ลองไปดูกันไหม” ถ้าถามเรา...ใจจริงเราไม่อยากเข้าไปเลย ไม่ได้เป็นที่สนใจ ไม่ชอบอะไรแบบนี้จริงๆ เราไม่คยเล่นการพนัน ไม่เคยเล่นหวย ไพ่ที่ใครๆก็เล่นกันนั้นเรายังไม่เคยแม้แต่จะลองเล่น แล้วนี่จะมาชวนเข้าคาสิโน... โอ้ว หม่าย ก้อด!!! แต่ก็นะ บางที่เราอยากไปผู้ร่วมทริปไม่อยากไป แต่ผู้ร่วมทริปก็ยังไปกับเรา งั้นลองเข้าไปเดินดูให้รู้ให้เห็นสักหน่อยก็ได้...


เมื่อจะเข้ามาที่นี่ ต้องทำการฝากกระเป๋าสัมภาระทั้งหมดไว้ข้างนอกค่ะ เอาเข้าไปได้เฉพาะกระเป๋าสตางค์ เงิน พาสปอร์ต



จากนั้นต้องไปต่อแถวรอเข้าด้านใน จะมีเจ้าหน้าที่คอยเช็คก่อนด่านแรกว่าเราฝากของแล้วหรือยังและถือพาสปอร์ตมาด้วยไหม แล้วจะได้เดินเข้าไปพบกับเจ้าหน้าที่อีกด่านหนึ่ง คราวนี้เขาจะเช็คพาสปอร์ตเรา แล้วก็คืนให้เราเข้าไปข้างในได้


ภายในคาสิโนแห่งนี้เต็มไปด้วยเครื่องเล่นนานาชนิด ทั้งที่เคยเห็นและไม่เคยเห็นมาก่อน แต่ละจุดจะมีเจ้าหน้าที่คอยดูแล บางจุดมีเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ ผู้ร่วมทริปบอกว่า “นั่นเรียกว่าเจ้ามือ” เราก็เดินดูคนอื่นๆเล่นกันอย่างหน้าดำคร่ำเครียดไปเรื่อยๆ จนมาถึงเครื่องเล่นชนิดหนึ่ง หยุดยืนดูคนอื่นเล่นไปสักพัก ผู้ร่วมทริปของเราอยากเล่นด้วยขึ้นมา!!! เออ ลองดูก็ได้!! แค่ทายสี ทายเลขแค่นั้นเอง ทีแรกจะเอาแบงค์ใส่เครื่องเล่นด้วยนะ ปั๊ดโธ่... ดีนะที่ให้แค่เหรียญ นี่ก็หมดไปตั้ง 7 เหรียญแล้ว ฮ่าๆๆๆๆ พอเลย หยุดอยู่แค่นั้นเลย 7 เหรียญนี่ก็ตั้ง 175 บาทแล้วนะ ใช้กินข้าวได้ตั้งเยอะนะ!! หยุดแล้วก็เดินดูไปเรื่อยๆ มีพนักงานเดินมาเสิร์ฟเครื่องดื่มด้วย เดินๆไปก็ไปเห็นจุดบริการน้ำดื่ม มีทั้งน้ำอัดลม น้ำเปล่า กาแฟร้อน โกโก้ร้อน เราก็เลยมาหยุดอยู่แถวๆนี้แหละ ซัดไปซะหลายอย่างหลายแก้วเลย ถือซะว่าที่หมดไปเมื่อกี๊ เป็นค่าเครื่องดื่มก็แล้วกันเนอะ หุๆๆ




ออกมาเดินเล่นกันต่อ ชั้นล่างสุดจะมีร่องน้ำให้บริการล่องเรือโดยมีคนพายเรือให้





มีน้ำตกลงมาจากประติมากรรมครึ่งวงกลมที่ห้อยมาจากเพดานด้วย ถ้าออกไปดูข้างนอกห้างจากด้านบนลงมา จะเห็นเป็นครึ่งวงกลมเว้าลงไป เป็นโลหะทึบแสง แต่พอมองจากด้านล่างขึ้นไปแล้วปรากฎว่า เป็นเหมือนกระจกใส มองเห็นคนที่อยู่ข้างบนหมดเลย ฮ่าๆๆๆ




จากที่นี่ เดินไป Garden by the bay กันต่อค่ะ การ์เด้นบายเดอะเบย์เป็นสวนริมทะเลสุดอลังการ มีโซนต่างๆมากมายที่สามารถเข้าชมได้ฟรี มีเพียงบางโซนเท่านั้นที่มีค่าเข้า ไฮไลท์ก็คือ Supertree Grove จำนวน 18ต้น มีความสูงถึง 25-50 เมตร หรือประมาณตึก 16 ชั้น มองเห็นได้ในระยะไกล ที่จะเปิดไฟตอนเย็นๆ และมีการแสดงแสงสี Garden Rhapsody (ข้อมูลเพิ่มเติมอยู่ที่ ข้อ 1. ตามลิ้งค์นี้นะคะ http://gowithampth.com/13-ที่เที่ยวสิงคโปร์

เดินมาถึงทางเข้าศึกษาเส้นทางกันสักหน่อยก่อนออกเดิน


ถ้าใครไม่อยากเดินก็จะมีรถรางทัวร์รอบสวน (Garden Cruiser Trail) ผู้ใหญ่ ราคา 5 เหรียญ เด็กต่ำกว่า 12 ปี 3 เหรียญ



ระหว่างทางที่เดินเข้าไปก็แวะชมวิวเรื่อยๆค่ะ จากตรงนี้มองเห็น Singapore Flyer หรือชิงช้าสวรรค์ อยู่ตรงนู้นด้วย


มีต้นมะพร้าวผลสีส้มด้วยนะ


แวะเข้ามาชมความงดงามของ Super tree ในช่วงเวลากลางวันกันค่ะ




ถ้าจะขึ้นไปเดินเล่นด้านบน ต้องมีค่าขึ้นไปด้วยนะคะ


เดินมาซื้อตั๋วจากตรงนี้ก็ได้ อยู่ใกล้ๆเลย


แล้วก็เดินไปที่ทางขึ้น ตรงนี้ค่ะ




จากนั้นเราเดินเล่นตามทางไปเรื่อยๆ ชมนกชมไม้กันไป


มาหยุดชมวิวมาริน่าเบย์แซนด์จากด้านหลังด้วย


เดินกันมาถึงโซน Children's garden เด็กๆกำลังเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานเลย



เดินออกมาแวะเข้าดูสวนแคคตัส มีทั้งต้นเล็กต้นใหญ่ มีดอก ไม่มีดอก เต็มไปหมดเลยค่ะ



เดินออกมาเรื่อยๆ ก็มาเจอต้นไม้ใบคุ้นๆ เอ๊ะ นี่ต้นตะขบนี่นา... เห็นแล้วอยากกินลูกตะขบเลยอ่า


มานั่งพักรอเวลากันหน่อยนึงก่อน รอเวลาให้ค่ำเพื่อจะได้เดินไปดูโชว์แสงสี เพื่อนร่วมทริปเดินไปดูร้านน้ำเพราะอยากดื่มโค้ก แล้วก็เดินกลับมาบอกว่า “แพงอะ ไม่กินดีกว่าเนอะ” เออๆดีๆๆประหยัดเหมือนกันก็จะรู้ใจกันเรื่องนี้นะ ฮ่าๆๆๆๆ


ยังมีเวลากันอีกนาน ก็เลยชวนกันเดินเล่นไปเรื่อยๆ ดีกว่านั่งอยู่เฉยๆ เผื่อจะได้เห็นอะไรแปลกหูแปลกตาอีกบ้าง แล้วก็มาเจอกับดอกสาละ


เจอลูกของต้นสาละด้วย ลูกกลมๆ ใหญ่ๆแบบนี้


มีป้ายความรู้อยู่ใต้ต้น เขาเรียกว่า "Cannonball Tree" นะค้า..


มองไปมองมาก็เหลือบไปเห็นผลอะไรไม่รู้ อย่างกับไส้กรอกยักษ์ หรือมะขามยักษ์ เอ๊ะ หรือจะเหมือนอะไรดีล่ะ


พอมาอ่านในป้ายใต้ต้น จึงรู้ว่าชื่อ "Sausage Tree" ต้นไส้กรอกนั่นเอง!!


และดอกไม้สีม่วงๆเป็นช่อห้อยลงสวยๆแบบนี้


เดินๆไปก็ไปเจอกับรูปปั้นเด็กยักษ์นอนหงายสีขาว ตัวใหญ่มาก!



เดินมาเจอดอกรางจืดสีขาว ปกติเคยเห็นแต่ดอกสีฟ้าๆ นี่มีสีขาวด้วย




พอเริ่มเย็นก็เดินไปเรื่อยๆกระทั่งมาแวะกันที่จุดนี้อีกครั้ง


ดูนาฬิกาแล้วก็ยังไม่ใกล้เวลาโชว์สักที เลยพากันไปนั่งเล่น จู่ๆฟ้าก็เริ่มครึ้มแล้วฝนก็เทลงมา......


เมื่อใกล้ถึงเวลาฝนก็เริ่มซา แต่ยังไม่หยุด จึงเดินไปใน Supertree Grove อีกครั้งเพื่อรอชมการแสดงแสงสีเสียง ระหว่างนั้นก็ถ่ายรูปไปเพลินๆค่ะ ฝนยังตกอยู่ก็เอาเสื้อกันฝนมาบังกล้องไปด้วยคลุมหัวคนไปด้วย



ถึงเวลา 19.45 น. การแสดงก็ไม่เริ่มสักที 3 นาทีผ่านไปก็แล้ว 5 นาทีผ่านไปก็แล้ว ฝนก็เริ่มโปรยเม็ดถี่มาอีกครั้ง ทันใดนั้นมีเสียงประกาศตามสายมาแบบที่ไม่อยากได้ยินเลย... เนื่องจากฝนตกจึงไม่สามารถทำการแสดงได้ เพราะอาจจะทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกเสียหาย ... แซ้ดมาก!! เราอดดูโชว์ที่เรารอมาทั้งวันหรือนี่... ทำไงได้ล่ะคะ ก็ต้องเดินออกตามๆกันไป เพราะฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกเลย กล้องก็เจอฝนจนเป็นห่วงว่าจะชื้นจนราขึ้นแล้ว อ๊า...


ระหว่างทางเดินออกมาฝนเริ่มซาอีกครั้ง จึงแวะยืนเก็บภาพรอบๆก่อนจะโบกมือลาจากกัน เอาไว้โอกาสหน้าค่อยมาพบมาชมใหม่นะ การ์เด้นบายเดอะเบย์




เก็บภาพ Singapore Flyer มาด้วยอีกนิด


จะเดินกลับแล้ว แต่พอหันไปมองทางซุปเปอร์ทรีอีกครั้งก็ได้เห็นพระจันทร์ดวงกลมโตกำลังค่อยๆขยับตัวขึ้นมาเหนือซุปเปอร์ทรี สวยมาก สวยกว่าที่กล้องจะเก็บภาพมาได้ซะอีกนะคะ





เมื่อกลับมาถึงห้าง The shoppes เก็บภาพภายในห้างยามค่ำคืนมาอีกครั้ง



ไม่ทันไรก็เริ่มหิวขึ้นมา เดินหาร้านอาหารที่ราคาไม่แพงนั้นช่างยากเย็น เดินไปดูศูนย์อาหารข้างล่างนั้นราคาก็แสนแพง เดินไปเดินมาก็มาเจอศูนย์อาหารอีกจุดหนึ่ง ราคาพอรับได้


สั่งกับข้าวอย่างเดียว ข้าวเปล่า 2 จานนะ คือมันเป็นเซ็ตที่มีต้มซุปไก่ ข้าวเปล่า แล้วก็เกี๊ยวทอด ค่อนข้างเยอะอยู่ค่ะ ราคา 9.2 เหรียญ เลยสั่งข้าวเปล่าเพิ่มอีกจาน 1 เหรียญ (จะว่าไปก็แพงนะคะ ข้าวเปล่า 25 บาทแน่ะ) แค่นี้ก็อิ่มแล้ว




จากนั้นเดินออกมารอชมการแสดงแสงสีเสียงบริเวณลานด้านหน้ากันต่อ


Wonder Full – Light & Water Spectacular เป็นการแสดงแสงสีเสียงและน้ำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีหลอดยิงเลเซอร์, หลอดไฟแสงสีขาว, Video projectors คมชัดสูงชนิด HD 9 ตัว, ม่านน้ำขนาดใหญ่ 2,000 ตารางเมตร, LED 250,000 ดวง, ระบบเสียง Surround

การแสดงชุดนี้ได้รับรางวัล Best New Tourist Attraction ที่จัดอันดับโดย ASEAN Tourism Forum ในการแสดงนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 2 อย่าง คือ

1. การแสดงน้ำพุ ยิงภาพ ตัวอักษร เรื่องราว ทาง video projectors ออกมาที่ม่านละอองน้ำเป็นภาพ 3 มิติ มีดนตรีประกอบการแสดง

2. การแสดงแสงสีที่ตัวตึก Marina Bay Sands และยิงแสงเลเซอร์ที่ดาดฟ้ารูปเรือ มีดนตรีประกอบการแสดง


เมื่อวานได้ยืนชมการแสดงอยู่ฝั่งตรงข้าม บริเวณสะพาน Jubilee ใกล้เมอร์ไลอ้อนปาร์ค ได้เห็นแสงจากน้ำไกลๆ และแสงเลเซอร์พุ่งออกมาจาก Marina bay sand จุดที่เป็นทรงเรือ ก็ว่าดูอลังการงานสร้างมากแล้ว วันนี้มาเห็นใกล้ๆ โอ้โห.... อลังสุดๆไปเลย สิงคโปร์นี่เป็นเมืองแห่งการแสดงแสงสีเสียงจริงๆค่ะ ฝนก็โปรยปราย แต่ไม่ได้มีผลต่อการชมโชว์แต่อย่างใด ผู้คนต่างนั่งและยืนชมกันอย่างใจจดใจจ่อ มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ลุกเดินออกไป ส่วนเราเองต้องปิดหน้ากล้องและใช้โทรศัพท์มือถือถ่ายวีดีโอไปเรื่อยๆ


มาชมภาพเคลื่อนไหวกันค่ะ ว่าจะน่าตื่นตาตื่นใจขนาดไหน




เมื่อการแสดงจบลงอย่างน่าประทับใจ เรามาต่อกันที่สะพานเกลียว หรือที่มีชื่อว่า "Helix Bridge" ซึ่งเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างฝั่งของ Marina bay sand และ Singapore Flyer หรือชิงช้าสวรรค์ขนาดใหญ่นั่นเองค่ะ สะพานแห่งนี้เป็นอีกจุดที่สวยมาก ผู้คนต่างแวะเวียนมาเก็บภาพที่สะพานแห่งนี้กันอย่างไม่ขาดสาย พรีเวดดิ้งก็มีนะคะ






จากนั้นด้วยความเมื่อยล้า ไม่อยากไปไหนต่อแล้วขอกลับที่พักกันดีกว่า นั่งรถเมล์มาถึงย่านเกลัง อยากกินของหวานขึ้นมา แต่ไม่มีอะไรน่ากินเลย คิดถึงขนมหวาน น้ำแข็งไส ของบ้านเรามาก ฮ่าๆๆๆ เดินไปเดินมาก็กลับมาที่ร้านแขก ร้านเดิมที่โกงค่าข้าวเราในวันแรก เพราะมีโรตี อยากกินโรตี!!!


แต่คุณคะ โรตีที่นี่ ไม่เหมือนโรตีประเทศไทยนะคะ ไม่มีนมน้ำตาลโรยนะคะ เราก็นั่งดูเมนูพลางคิดว่าเมนูไหนน้ามันถึงจะเป็นของหวานที่พอจะกินให้หายอยากของหวานได้บ้าง ทันใดนั้นเหลือบไปเห็นว่ามีโรตีราดช็อกโกแลตก็จัดเมนูนี้มาเลยค่ะ ก่อนสั่งต้องทวนราคาอีกทีว่าตรงกับราคาในเมนูไหม (เดี๋ยวจะโดนโกงอีก!) แต่พอโรตีมาเสิร์ฟ เอิ่ม.... นี่อะไรดำๆนิ มีแกงมาให้ด้วย... >< มิน่าล่ะ เห็นแว๊บๆว่าเอาอะไรดำๆทาในแผ่นแป้งก่อนเอาลองทอด ก็ไม่คิดว่าจะเป็นของเรา ฮ่าๆๆๆ แต่!! พอได้ลองชิม เอ้อ..ก็อร่อยใช้ได้นะ แม้จะไม่หวานมากและค่อนข้างฝืดคอแต่ก็ช่วยให้หายอยากของหวานไปได้นิดหน่อย




วันที่ 4 : เดินเล่นถนนสายช็อปปิ้ง แวะซื้อของฝาก เดินทางกลับ


วันนี้ไม่มีแพลนอะไรหนักมากค่ะ ออกจากห้อง เช็คเอ๊าท์ก็เกือบเที่ยงแล้ว เดินมาทางท้ายซอยออกมาเรื่อยๆเพื่อไปขึ้นรถเมล์จากอีกทางหนึ่ง มาเจอร้านอาหารอยูปากซอยเกลัง 12 (ลืมถ่ายรูปหน้าร้านค่ะ ><)


มีขายหลายอย่างเลยค่ะ (ถ้าดูจากกูเกิ้ลสตรีทวิว จะเห็นภาพเก่าว่าเป็นร้านอาหารไทย) แต่สุดท้ายก็มากินเมนูที่กินวันก่อนแล้วรู้สึกว่ามันอร่อย นั่นคือเมนู Nasi Lemak คนละ 3.5 เหรียญ อร่อยจริงๆนะ มาสิงคโปร์แล้วอย่าลืมลองทานเมนูนี้กันนะคะ ราคาก็ไม่แพงอีกด้วย


อิ่มแล้วก็นั่งรถเมล์ไป Orchard road กันค่ะ ที่นี่เป็นถนนแห่งการช็อปปิ้งโดยแท้ เพราะเต็มไปด้วยห้างสรรพสินค้า ยิ่งช่วงนี้ (Great Singapore Sale 2017 ตั้งแต่วันที่ 9 มิ.ย. ถึง 13 ส.ค. 2560) จะคึกคักมากแต่ละร้านติดป้ายลดราคากันเป็นว่าเล่น เหมาะสำหรับขาช็อปเป็นอย่างยิ่งเลยค่ะ ส่วนเราเฉยๆค่ะ ไม่ค่อยมีความอยากได้อยากมีอะไรกับเขาสักเท่าไร จึงไม่มีปัญหาเรื่องการใช้เงินเวลาเที่ยว ฮิๆๆๆ




เดินผ่านร้าน Song Fa Bak Kut Teh (ร้านส่องฟ้า มีอยู่หลายสาขา) คนเต็มร้านเลยค่ะ ราคาก็ไม่ใช่ถูกๆเลย ไว้กลับไปกินที่เมืองไทยบ้านเราก็ได้ม้าง เพราะรสชาติอาหารในสิงคโปร์หลายๆอย่างมันก็ไม่ได้ถูกจริตคนไทยโดยเฉพาะคนที่ชอบทานอาหารแบบมีรสมีชาติอยู่แล้ว สำหรับเราจึงไม่ค่อยได้สนใจเรื่องของกินที่มีชื่อเสียง เพราะลิ้นแต่ละคนก็ชอบไม่เหมือนกันเนอะ (เสียท่าร้านข้าวมันไก่ชื่อดังย่านไชน่าทาวน์มาทีนึงแล้วนะ ฮ่าๆๆ)



เดินเล่นไปเรื่อยๆมีแวะดูเสื้อผ้าร้านที่สะดุดตาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ซื้ออะไร เลยมาแวะดูร้านของเล่น มีของเล่นให้เลือกดูเยอะแยะไปหมดเลยค่ะ ทดลองเล่นกันเพลินอะ





จะไปชมวิวที่ ION Sky ด้านบนของศูนย์การค้า ION Orchard ก็ดันมาเจอช่วงปิดปรับปรุงพอดี ปิดยาวไปจนถึงเดือนตุลาคมของปีนี้เลย เหอะๆๆ มันยังไม่ใช่ทีของเรา ฮ่าๆๆ


ออกมาเดินข้างนอกกันจนได้เห็นรถเข็นขายไอศกรีม มีคนมุงกันเยอะเลยขอเข้าไปมุงบ้าง


ลักษณะเป็นไอศกรีมตัดค่ะ แล้วก็เลือกเอาว่าจะให้ใส่ขนมปังนิ่มๆหรือใส่ขนมปังกรอบ อันละ 1.2 เหรียญ





เดินไปเดินมาปวดน่องจนแทบทนไม่ไหว ขอแวะไป Lucky Plaza อีกที่หนึ่งก็พอ ที่นี่จะมีขายขนมและของฝากอยู่เต็มไปหมดเลยค่ะ ส่วนช็อกโกแลต โดยเฉพาะยี่ห้อ Toblerone ร้านที่อยู่บริเวณทางเข้า จะมีราคาถูกที่สุดค่ะ เรามาหมดเงินซื้อไปตั้ง 9 เหรียญก็ที่ร้านนี้นี่แหละค่ะ เดินดูแต่ละชั้นด้านในแล้ว อารมณ์เหมือนเป็นห้างสำหรับประชาชนทั่วไประดับล่างถึงกลาง แต่เราว่าน่าเดินดีนะ ขนมเยอะดี ^^ ส่วนผู้ร่วมทริปเราก็จัดโค้กมาอีกแล้ว 1 เหรียญ







พากันเดินเล่นจนขาจะลาก เอ้ย! จนหนำใจ ก็ชวนกันกลับสนามบินค่ะ ระหว่างทางเดินไปรถไฟฟ้า เห็นป้ายโฆษณาสิทธิพิเศษของผู้ถือบัตร JCB นึกขึ้นมาได้ว่าเราก็มีนี่นา!!! ที่น่าสนใจมากเลยคือ เซ็ทอาหารญี่ปุ่นฟรี ที่ร้าน TGM ในสนามบินชางฮี เทอร์มินอล 2 และ JCB Lounge อยู่เทอร์มินอล 1 เราลืมคิดไปเลยนะไม่งั้นขามาจะไปรอผู้ร่วมทริปในเล้าจ์ แหม่ พลาด ฮ่าๆๆๆ ขากลับเราต้องขึ้นเครื่องที่เทอร์มินอล 2 อยู่แล้ว เอาที่เดินสะดวกๆก็ไปที่ร้าน TGM เทอร์มินอล 2 ก็แล้วกัน

เมื่อมาถึงสนามบิน นำบัตร EZ Link ไปขอรีฟันเงินที่คงเหลืออยู่ในบัตรคืนค่ะ เราได้คืนมาคนละ 4.8 เหรียญแน่ะ จากนั้นก็ผ่าน ตม. เข้าไปด้านใน ทำการเช็คอินให้เรียบร้อยก่อน



แล้วก็หาทางเดินไปที่ร้าน TGM TGM Japanese Korean Cuisine อยู่ที่ Departure Transit Lounge Level 3


มาถึงร้านก็ยื่นบัตร JCB พร้อมพาสปอร์ต ให้พนักงานที่ร้านพร้อมถามถึงสิทธิประโยชน์ได้เลยค่ะ


พนักงานจะนำเมนูมาให้ดู เราสามารถเลือกเซ็ตอาหารได้ 1 เมนู


ไม่ต้องสั่งอย่างอื่นเพิ่มก็ได้ เข้าไปรอในร้านไม่นานทุกอย่างก็จะมาเสิร์ฟให้เราถึงโต๊ะ ราวกับว่าเราเป็นลูกค้าที่เข้ามารับบริการปกติ



อร่อยมาก... บอกเลย เป็นมื้อเย็นที่ทั้งอร่อยและฟรี ดี๊ดีอะ ส่วนผู้ร่วมทริปน่ะเหรอคะ ไม่มีบัตร JCB เลยไปนั่งกินแม็คฯรอข้างนอกค่ะ ^^”


อิ่มแล้วก็เข้ามาด้านใน ทำการเช็คอิน นั่งรอเวลากลับบ้านเรา



สรุปค่าใช้จ่ายของทริปนี้ทั้งหมดค่ะ




ขอบคุณที่เข้ามาอ่านกันนะคะ แล้วพบกันใหม่ในทริปหน้าค่ะ สวัสดีค่ะ บ๊ายบาย...... ^^

GowithAmp

 วันศุกร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2560 เวลา 17.35 น.

ความคิดเห็น