มาในทริปนี้เราจะพาเพื่อนๆไปเที่ยวที่ปราจีนบุรีกันครับ

ปราจีนบุรีนั้นเป็นจังหวัดที่อยู่ที่ใกล้กับกรุงเทพมาก

และเป็นจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย หลายรูปแบบ

ยิ่งในช่วงหน้าฝนนี่ถือเป็นเวลาทองของเมืองปราจีนเลยทีเดียวเพราะ

น้ำในแก่งหินเพิงจะเริ่มไหลเชี่ยวขึ้นและเป็นการเริ่มต้นฤดูล่องแก่ง

ดังนั้นในทริปนี้เราจะพาเพื่อนๆไปล่องแก่งที่ปราจีนบุรีพร้อมกับไปเที่ยวสถานที่อื่นๆที่น่าสนใจกัน


สถานที่เเรกที่เราจะไปคือ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

จุดเริ่มต้นของการจัดตั้ง "ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนตามพระราชดำริ" นั้น

เริ่มจากมีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งน้อมเกล้าฯถวายที่ดินผืนนี้ จำนวน 264 ไร่

แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เพื่อให้ทรงสร้างพระตำหนัก

แต่ท่านได้ตรัสกับชาวบ้านเหล่านั้นว่า

"...ก็เลยถามผู้ที่ให้ที่นั้นนะ ถ้าหากไม่สร้างพระตำหนัก แต่ว่าสร้างเป็นสถานที่ที่จะศึกษาเกี่ยวกับการเกษตรจะเอาไหม เขาก็บอกยินดี ก็เลยเริ่มทำในที่นั้น..."

ซึ่งแต่เดิมพื้นที่บริเวณนี้นั้นแห้งแล้งมากปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น

แต่ด้วยเพราะพระองค์ทรงเข้าใจถึงปัญหาของผืนดินบริเวณนี้และทรงมีวิธีการแก้ไขอย่างถูกวิธี

จึงทำให้ผืนดินที่เคยแห้งแล้งแห่งนี้กลับมาเขียวขจีได้อีกครั้งหนึ่ง


ภายในศูนย์จะมีรถไว้คอยบริการด้วยครับ ทั้งรถรางธรรมดา หรือรถสองชั้นก็มี

แต่ต้องระวังศีรษะหน่อยนะครับ เพราะบางทีอาจโดนกิ่งไม้ได้


จากนั้นรถก็จะพาเราไปเยื่ยมชมสถานที่ต่างๆ

ภายในศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ซึ่งมีเนื้อที่มากกว่า 1,800 ไร่

นี่คือต้นโพศรีมหาโพธิที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงปลูกครับ


รถขับวนไปภายในสวนซึ่งมีทั้ง สวนสมุนไพร สวนพรรณไม้ต่างๆ

แปลงสาธิตการเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ พืชพรรณต่างๆ การปลูกพีชไร้ดิน

การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การผลิตอาหารสัตว์ งานชลประทาน

จนไปถึงโรงสีข้าวพระราชทาน



เรียกได้ว่ามีเเหล่งความรู้ทางการเกษตรเยอะแยะมากมาย

ซึ่งเราสามารถมาดูงาน หรือขอพืชพันธุ์ตัวอย่างไปปลูก

พร้อมสอบถามวิธีการดูแลรักษาได้ครับ


หลังจากท่องเที่ยวที่ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

เราเดินทางไปที่ทวาราวดี รีสอร์ทครับ

ที่ทวาราวดี รีสอร์ทนั้นน่าจะถือว่าเป็นรีสอร์ทที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในปราจีนบุรีเลยก็ว่าได้

ตัวนั้นรีสอร์ทตั้งอยู่ที่ 77 หมู่ 7 ต. ท่าตูม อ. ศรีมหาโพธิ จ. ปราจีนบุรี 25140 ประเทศไทย

โทร. 037 210 444 มือถือ: 085 835 1234, 085 835 2916

http://www.tawaravadeehotel.com/

https://www.facebook.com/TawaravadeeResort/



ที่ทวาราวดี รีสอร์ทนั้นมีการตกแต่งแบบไทยประยุกต์ มีทั้งหินศิลาแลง ช้าง สระบัว

และในบริเวณโรงแรมเองก็มีความร่มรื่นมาก


เมื่อเดินเข้ามาในตึกล็อบบี้ เราจะพบกับความโอ่โถงของสถานที่ ด้านซ้ายเป็นรีเซฟชั่น

ด้านขวาจะเป็นล็อบบี้เล้าจน์ ที่มีทั้งชา กาแฟ และเบเกอรี่แสนอร่อยคอยต้อนรับเรา

อ้อ...และอย่าพลาดบลูเบอรี่ชีสเค้กของที่นี่นะครับ...ของเด็ดของเค้าแหละ


เมื่อเช็คอินเสร็จแล้วเราจะเดินออกมาไปยังตึกที่พักของเราแล้วครับ

บริเวณภายในของทวาราวดี รีสอร์ทนั้นก็ร่มรื่นมากครับ ตามตึกต่างๆมีต้นไม้คอยให้ร่มเงา

และบริเวณกลางรีสอร์ทยังมีน้ำตกจำลองขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ด้วย


ที่ทวาราวดี รีสอร์ทนั้นมีห้องพักถึง 199 ห้อง

มีตั้งแต่แบบ Standard Room (2,000.-) จนไปถึงแบบ President Suite (6,500.-) ครับ



ห้องพักที่เราได้พักวันนี้เป็นแบบ Premium Room (2,600.-)

ภายในกว้างขวาง มี TV LED 32 นิ้ว ปลั๊กไฟเยอะแยะดีมากครับ

ชุดชากาแฟ ตู้เย็น ตู้เซฟ มีพร้อม


ห้องอาบน้ำ อ่างอาบน้ำ เครื่องอาบน้ำ เซ็ทสบู่ยาสระผม ไดร์เป่าผมมีให้


ทุกห้องพักเป็นห้องปลอดบุหรี่ครับ


สำรวจห้องกันเสร็จแล้ว ได้เวลากินข้าวเที่ยงพอดีครับ

มื้อเที่ยงนี้เราจะฝากท้องกันไว้ที่ทวาราวดี รีสอร์ทนี่แหละครับ

ที่ทวาราวดี รีสอร์ทนั้นมีห้องอาหารอยู่ 2 ห้อง

คือห้องอาหารทิวาราตรี กับ Nippon Tei

แต่ในมื้อนี้เราจะไปที่ห้องอาหารญี่ปุ่น Nippon Tei กันก่อนครับ

ห้องอาหารนี้เเม้จะเป็นอาหารญี่ปุ่น

แต่จะสั่งเมนูอื่นมาทานในห้องนี้ก็ไม่ผิดแต่อย่างใดครับ



ห้องอาหารนี้ตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่น อยู่ริมทะเลสาบบรรยากาศดีม๊ากกกก

บริเวณที่นั่ง เค้าทำไว้เป็นช่อง ให้เราหย่อนขาลงไปได้

ไม่ต้องนั่งพับเพียบ หรือนั่งขัดสมาธิ


เมนูที่เราทานได้แก่...

แคลิฟอเนียมากิ 300.-


วาฟูสลัด 350.- เป็นสลัดผักแซลมอน ราดด้วยน้ำสลัดญี่ปุ่น โรยไข่กุ้งด้านบน


ปลาเเซลมอนซอสเนย 329.-


ปลากระพงทอดน้ำปลา 550.- เมนูไทยๆครับ ที่นี้ทอดปลาได้กรอบมาก น้ำปลาที่ราดมีรสชาติหวานๆ
ทานกับน้ำจิ้มรสเผ็ดแล้วเข้ากันมาก


ขาหมูเยอรมัน 329.- ขาหมูชิ้นใหญ่ กรอบที่หนังนุ่มที่เนื้อ ทานคู่กับมันฝรั่ง


พิซซ่า Salami ซึ่งตอนนี้มีโปรโมชั่นเหลือเพียง 169.- เท่านั้น


ทานอาหารเสร็จก็ได้เวลาที่เราจะไปลุยกันแล้วครับพี่น้อง!?!?

อีกหนึ่งกิจกรรมสุดมันของจังหวัดปราจีนบุรีในช่วงนี้ก็คือการล่องแก่งหินเพิงครับ

จากทวาราวดี รีสอร์ทใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาที เราก็จะไปถึงสถานที่ล่องแก่งแล้วครับ

การล่องแก่งหินเพิงนั้นอยู่ในระดับ 3 - 5 แล้วแต่ว่าน้ำมากหรือน้ำน้อย

แต่ล่องแก่งที่นี่นั้นมีความปลอดภัยสูง ผู้เล่นจะต้องใส่อุปกรณ์ป้องกัน

ทั้งหมวกกันน็อค และเสื้อชูชีพ


การล่องแก่งจะใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง

โดยจะเริ่มจากแก่งหินเพิงไหลล่องผ่านแก่งต่างๆเหล่านี้

1.แก่งหนามล้อม เป็นวังน้ำ ขนาดใหญ่กระแสไหลวนไปมา

2.แก่งวังบอน เป็นแก่งหินสั้นๆประมาณ 30 เมตรกระแสน้ำจะไหลลาดเอียงลงมาประมาณ 30 องศา

ผ่านชั้นหินและเกาะต่าง ๆ จากนั้นน้ำจะไหลเอื่อย ๆ ลงมายังแก่งลูกเสือ

3.แก่งลูกเสือ เป็นแก่งน้ำเล็กๆ มีร่องน้ำสามารถพายเรือผ่านได้

4.แก่งวังไทร เป็นแก่งหินกว้างพอๆ กับแก่งลูกเสือมีความลาดชันประมาณ 30 องศา

กระแสน้ำจะไหลผ่าน เกาะแก่งต่างๆ แล้วม้วนตัวเป็นวงคลื่น

5. แก่งงูเห่า แก่งสุดท้ายอันเป็นจุดหมายปลายทางของเรา

การล่องแก่งหินเพิงนี้หากเหมาเรือเล่นลำละ 3,000 บาท ไม่เกิน 8 คน/ลำ

ถ้าเป็นแบบบุคคลเล่นกับท่านอื่นก็คนละ 800 บาทครับ


หลังจากล่องแก่งเสร็จแล้วเรามุ่งหน้ากลับไปพักผ่อนที่ทวาราวดี รีสอร์ท

แต่กว่าจะไปถึงก็มืดพอดี เราเลยถ่ายภาพบรรยากาศยามค่ำมาให้ชม..ที่นี่สวยใช่มั้ยล่ะ



ตอนเช้าเราลงไปทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารทิวาราตรี



อาหารเช้าของที่นี่เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ครับ


มาเต็มทั้งอเมริกันเบรคฟัส ข้าวหมูทอดแบบญี่ปุ่น เบเกอรี่ต่างๆ



สลัดผักต่างๆตักได้ตามใจชอบ ส่วนเมนูไข่ต่างๆสามารถสั่งได้เลยครับ


เบอเกอรี่มีให้เลือกมากมาย


ขนมปังแบบธรรมดาก็มี พร้อมเนย และเเยม


คอนเฟล็กซ์แบบต่างๆ


ข้าวต้มหมูที่แบบมีแต่เนื้อเน้นๆ ไข่เค็ม ผักดอง กุนเชียง สำหรับคนที่ชอบทานข้ามต้มเครื่อง


หลังจากทานข้าวเสร็จเราก็เตรียมไปสนุกกับกิจกรรมที่ทางทวาราวดี รีสอร์ทเตรียมไว้ให้เราครับ

ที่ทวาราวดีนั้นมีสระว่ายน้ำที่เห็นวิวมุมทะเลสาบด้วยนะครับ


และที่นี่ยังเป็นอีกหนึ่งฐานกิจกรรมเอาไว้เล่น Rolling Ball, Water Ball

โดยที่เราจะเข้าไปเล่นในลูกบอลลมขนาดยักษ์...แต่ผมว่าถ้าแค่เข้าไปนอนก็สบายดีนะ


กิจกรรมต่อมาคือการยิงธนูครับ มีทั้งยิงใส่เป้านิ่งเพื่อทดลองความแม่นยำ

หรือจะแบ่งเป็นทีมเล่นแข่งกันก็ได้ครับ เพราะเป็นธนูหัวโฟม และทางรีสอร์ทมีอุปกรณ์ป้องกันให้


ใกล้กับสนามยิงธนูเป็นฟิตเนสครับ

เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 07.00 - 22.00 น.

ลูกค้าโรงแรมใช้บริการฟรี สำหรับบุคคลภายนอกมีค่าบริการ 200 บาทต่อครั้ง


เดินออกมาอีกสักหน่อยเป็นสนามไดร์ฟกอล์ฟ

เปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 น. - 22.00 น.

ค่าบริการ: - ลูกกอล์ฟ 40 บาท/ ถาด


และนอกจากกิจกรรมเหล่านี้แล้วทางทวาราวดี รีสอร์ท ยังมีสถานที่สำหรับทำกิจกรรมทีมบิวดิ้งด้วยนะครับ


ทั้งฐานลูกโป่งน้ำ ฐานคอมมานโดคู่ ฐานห่วง ฐานกำแพงเชือก เดินบาร์เดี่ยว โหนบาร์

เราสามารถมาทำกิจกรรมต่างๆที่รีสอร์ทนี้ได้เลย


อ้อ...ที่ทวาราวดี รีสอร์ทนั้นมีที่พักแบบรถบ้านด้วยนะครับ...ซึ่งจะมีเพียงแค่หนึ่งคันเท่านั้น

รถบ้านนั้นจะอยู่อีกปลายด้านนึงของทะเลสาบ ตรงข้ามกับอาคารหลัก

จึงให้ความเป็นส่วนตัวมาก สามารถน้ำเต็นท์มากางบริเวณรอบรถบ้านได้ครับ


ภายในมีทั้งห้องรับแขก โซนครัว ตู้เย็น ไมโครเวฟ


ห้องอาบน้ำแบ่งเป็นสองส่วน คือส่วนเปียก และส่วนแห้ง


เตียงนอนภายในรถบ้านมีขนาดใหญ่นอนได้สองคนสบายๆ


หลังจากสำรวจรถบ้านเสร็จได้เวลาเช็คเอาท์พอดี

เราเช็คเอาท์ออกจากทวาราวดี รีสอร์ทประมาณเที่ยงนิดๆ

แล้วไปต่อที่ โบราณสถานสระมรกตเพื่อบูชารอยพระพุทธบาทคู่

กลุ่มโบราณสถานสระมรกตนี้มีอายุมากกว่า 2,000 ปี

ภายในบริเวณมี “รอยพระพุทธบาทคู่” ซึ่งเป็นรอยพระพุทธบาทเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

รอยพระพุทธบาทคู่นี้เป็นรอยสลักในพื้นหินศิลาแลงธรรมชาติมีลักษณะเหมือนรอยเท้ามนุษย์ ที่กลางฝ่าพระบาทแต่ละข้างสลักเป็นรูปธรรมจักร ระหว่างพระบาทแกะเซาะเป็นร่องรูปกากบาทหรือสวัสดิกะ เครื่องหมายแห่งความโชคดี


ใกล้ๆกับ “รอยพระพุทธบาทคู่” ก็มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง

ที่เรามีความเชื่อว่านี่คือ ต้นโพธิ์ต้นแรกของเมืองไทย

เป็นต้นโพธิ์ในตำนานที่มีอายุเก่าแก่กว่า 2,000 ปี

ต้นโพธิ์ที่สืบมาจากหน่อโพธิ์ตรัสรู้ที่พุทธคยาต้นเดียวกับที่พระพุทธเจ้า

ทรงประทับบำเพ็ญธรรมจนสำเร็จตรัสรู้เป็นสัมมาสัมพุทธเจ้า

ต้นโพธิ์นี้มีความใหญ่มหึมาด้วยขนาดเส้นรอบวงของลำต้น 20 เมตร

เส้นผ่าศูนย์กลาง 25 เมตร และสูงตระหง่านถึง 30 เมตร

ทำให้แผ่กิ่งก้านสาขาออกไปมากมายกลายเป็นร่มเงาและให้ความร่มเย็นขยายไปทั่วบริเวณ

ในวันสำคัญทางพุทธศาสนาจะมีงานนมัสการ ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นประจำทุกปี


จากนั้นเราจะขึ้นไปยังตัวอำเภอเมืองปราจีนบุรี เพื่อไปยังตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

ที่ตั้งอยู่ใน โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร

ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศรนั้นตัวอาคารเป็นสถาปัตยกรรมยุโรปแบบบาโรก

ห้องที่งดงามที่สุดคือห้องโถงกลางชั้นล่าง

ซึ่งยังคงลักษณะการตกแต่งภายในแบบเดิมเหมือนในสมัยก่อน


ห้องชั้นล่างซีกซ้ายของอาคารจัดเป็น"พิพิธภัณฑ์การแพทย์แผนไทย อภัยภูเบศร"

มีของเกี่ยวกับสมุนไพรให้ดูเช่น ตู้เก็บสมุนไพร ครกบดยา;รางบดยา หินฝนยา ตำรายาไทย ฯลฯ

เพื่อใช้ประโยชน์ในการศึกษาการแพทย์ไทย


ที่สุดท้ายของวันและจุดสุดท้ายของทริปเราไปชมหิ่งห้อยกันที่

กรมทหารปืนใหญ่ที่ 2 รักษาพระองค์ ค่ายพรหมโยธี

ที่นี่ถือเป็นจุดชมหิ่งห้อยที่อลังการล้านแปดมากกก

และการชมหิ่งห้อยนี้จะพบได้เพียงแค่เฉพาะในช่วงหน้าฝนเท่านั้น

สำหรับผู้ที่สนใจอยากเข้าไปสัมผัสกับดินแดนหิ่งห้อย ปราจีนบุรี

สามารถติดต่อขอเข้าชมได้ที่บริเวณด้านหน้าค่าย เปิดให้เข้าเที่ยวชมทุกวัน

ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการชมหิ่งห้อยจะอยู่ในช่วงระหว่างเวลา 18.00-20.00 น.


กว่าจะชมหิ่งห้อยเสร็จก็สามทุ่มกว่าๆแล้วครับ พวกเราจึงเก็บของมุ่งหน้ากลับกรุงเทพ

เพื่อที่จะไม่ถึงกรุงเทพดึกเกินไปนัก ก็เป็นอันปิดทริปสองวันมันส์ระเบิดที่ปราจีน แต่เพียงเท่านี้ครับ

แล้วพบกันใหม่น๊าาาาาา



Wefoto

 วันศุกร์ที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 06.48 น.

ความคิดเห็น