Alone in Muang Ngoi : เมืองงอยในความทรงจำ

DAY 1 - 08 DEC 2016

: หลวงพระบาง - ตักบาตรข้าวเหนียว :

วันนี้เราตื่นเช้ากว่าทุกวัน เพราะต้องตื่นมาตักรบาตรข้าวเหนียว พระที่หลวงพระบางท่านออกจากวัดบิณฑบาตรแต่เช้ามืด ซึ่งเราออกจากที่พักเดินไปยังจุดที่คนที่นี่เขารอตักรบาตรกัน โดยจะมีคนมาขายขนม กระติ้บข้าวเหนียว พร้อมผู้าปูรองนั่งสำหรับรอใส่บาตร พอไปถึงคนเย่อะเลย ที่เย่อะนี่ไม่ใช่มารอใส่บาตรนะ แต่มารอถ่ายรูปคนใส่บาตรข้าวเหนียวกัน ซึ่งส่วนมากเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน ฝรั่งมีบ้างแต่ไม่มาก

ชุดนึงจะประมาณ 100 บาท มีข้าวเหนียว 1 กระติ๊บและนอกนั้นเป็นขนมอยู่ในตะกร้า พร้อมแถมเสื่อและเบาะรองนั่งมาด้วย


(แอบ งงนิดหน่อยว่าพระท่านจะฉันอะไรกับข้าวเหนียว พอมองไปดูคุณย่าคุณยาย ที่นี่ ท่านก็ใส่แต่ข้าวเหนียวปั้นๆใส่บาตรกัน ไม่มีกับข้าวเลย มีแต่ขนม )


ขบวนพระที่เดินเรียงเข้าแถวมา มาจากวัดต่างๆ ไม่ต้องรีบใส่จนหมด มีอีกหลายรูปที่เดินมาเรื่อยๆ


เมื่อใส่บาตรเสร็จเรียบร้อยแล้ว เดินมาหาของกินตอนเช้า เช้าๆแบบนี้ไม่พ้นข้าวต้ม ซึ่งร้านข้าวต้มอร่อยๆที่กินมื้อเช้านี้ เราเพิ่งมาค้นพบหลังจากเดินมาที่พัก เพื่อเก็บของเตรียมตัวเดินทางไปเมืองงอยตอน เก้าโมงเช้า

ถนนบริเวณหน้าที่พัก ที่พักเราจะอยู่ฝั่งซ้ายมือ

หอพิพิธภัณฑ์แห่งชาติหลวงพระบาง


ข้าวต้มมื้อเช้าอร่ยมาก อยู่ไม่ไกลอยู่ข้างๆที่พักนี่งัยล่ะ ถ้าไม่ติดต้องรีบเตรียมตัวเดินทาง เราคงไปหากินมื้อเช้าที่อื่นแน่ๆเลย ข้าวต้มที่นี่ลูกค้าเพียบ ราคามิตรภาพมากๆ แถมเด็กนักเรียนก็มาทานมื้อเช้าที่นี่เย่อะเลย

ข้าวต้มร้อนๆใส่ไข่พะโล้ เครื่องปรุงเป็นมะนาวสดๆ คนที่นี่ไม่นิยมปรุงด้วยน้ำส้มสายชูเลย จะมีมะนาวเป็นเครื่องเคียงมาเพิ่มให้เอง รสชาติเปรี้ยวมาก เปรี้ยวน้อย บีบมะนาวตามใจชอบเลยจ้าาา...อิ่มมื้อเช้า เราก็รีบเข้าที่พัก อาบน้ำ เตรียมตัวแพ็คเป้ใบน้อยๆเพื่อไปรอรถที่จะมารับไปยังท่ารถสายเหนือของหลวงพระบางตอนเก้าโมงเช้า เรามารอที่บริษัทที่ให้บริการจองตั๋วไปยังที่ต่างๆตอนที่เรามาถึงหลวงพระบาง

ใบเสร็จเอาไว้ไปแลกตั๋วรถตู้ที่ท่ารถในวันเดินทาง ราคาค่าตั๋วรถตู้จากหลวงพระบาง ไปหนองเขียว ซึ่งรวมรถรับส่งสองแถวไปท่ารถสายเหนือหลวงพระบางราคาประมาณ 70,000 กีบ ( 280 บาท)


แบกเป้ไปกันเลยคะพี่สุชาติ !!!

วันนี้เดินทางขึ้นเมืองงอยไปคนเดียว แยกทางกับเพื่อนที่หลวงพระบาง เพราะเพื่อนจะต้องกลับก่อนและเราก็ยังต้องอยู่เที่ยวต่อ เป้าหมายในใจนอกจากหลวงพระบางแล้วก็มีเมืองงอยนี่แหละที่สนใจอยากเดินทางมาสักครั้ง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามาแล้วเราจะเจออะไรบ้าง จะอยู่จะกิน จะเดินทางสบายมั้ย แต่แค่อยากไปในที่ๆไม่ต้องคุยกะใครมาก ไม่ต้องมีคนรู้จัก อยากพักใจพักสมอง...

รถสองแถวเล็กพาเราและเหล่านักท่องเที่ยวฝรั่งส่วนมากในรถ มายังขนส่งสายเหนือเพื่อเอาใบเสร็จไปขึ้นตั๋วรถตู้ ซึ่งช่องที่เราจะไปแลกตั๋วคือช่องซ้ายสุด ทีแรกไปต่อขวาสุด เห็นคนต่อคิวกันเย่อะก้นึกว่าจะไปด้วยกัน ที่ไหนได้ไปกันคนละที่เลย 555 โดนนายท่ามองด้วยสายตาประนาม แฮ้ๆ พร้อมบอกว่าไปช่องซ้ายสุดจ้า (หน้าแตกนิดหน่อย ภาษาอังกฤษมีไม่อ่าน ดันไปพยายามอ่านภาษาลาว..คืออะไร...ไม่เข้าใจตัวเอง555)


หลังจากแลกตั๋วแล้ว เจ้าหน้าที่ก็จะบอกหมายเลขรถตู้คันที่จะออกไปหนองเขียว คือเราต้องไปลงที่หนองเขียวก่อน แล้วค่อยซื้อตั๋วนั่งเรือไปเมืองงอยอีกที เพราะเมืองงอยเดินทางด้วยทางเรือเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

เราเอากระเป๋ามาวางรวมกับของคนอื่น เพื่อให้เจ้าหน้าที่นั้นเอากระเป๋าเก็บขึ้นหลังคารถ ดูจากกระเป๋าตัวเองแล้วใบน้อยไปเลย แต่ก่อนเคยคิดว่าเป้ตัวเองนั้นใหญ่แล้วนะ พอมาเจอของพวกฝรั่งแบ็คแพ็คแล้วกลายเป็นกระเป๋าเด็กอนุบาลไปเลย 555

เก้าโมงครึ่งได้เวลาออกเดินทางแล้ว กระดาษใบสีเหลือง คือตั๋วรถไปหนองเขียวที่เอาใบเสร็จไปแลกมา เส้นทางระยะแรกจะอยู่ในช่วงเมืองหลวงพระบาง มีการก่อสร้างถนนตลอดเส้นทาง ทำให้ถนนหนทางทะลักทุเลมากก่อนจะขึ้นเขา

รถ VAN ของลาวเป็นรถมีแอร์นะแต่ไม่เปิดแอร์ ฮ้าๆ ดีนะอากาศไม่ร้อนเท่าไหร่ หรือว่าเรานั่งอยู่ข้างหน้าด้วยเลยสบายหน่อย ยิ่งถ้่าฝรั่งขายาวนี่ลำบากเลย เมื่อยยาวไป กับการเดินทางอีก 3-4 ชั่วโมง ข้างหน้า ถามพี่คนขับแกบอกว่าที่นี่ไม่นิยมใช้แก็ส เขาจะใช้น้ำมันกัน หรือนี่เป็นสาเหตุการประหยัดน้ำมันรถคือไม่เปิดแอร์...!!?? OMG!!


ตลอดเวลาที่เดินทางเราเดินทางอยู่บนภูเขาตลอด ด้านล่างขวามือเป็นแม่น้ำโขง ซึ่งมีการส้รางเขื่อนไชยะบุรีกันอยู่ ผ่านเมืองใหญ่ของลาวในเส้นทางขึ้นเหนือไปหนองเขียว อย่างปากมอง เมื่อถึงแยกปากมอง ถ้าเลี้ยวซ้ายจะไปเมืองอุดมไซ - เลี้ยวขวาไปเมืองหนองเขียว


แผนที่จาก google Map คร่าวๆ

เรามาถึงหนองเขียวตอนเที่ยงกว่าๆ รถพาเรามาส่งที่ท่ารถ เพื่อนั่งรถสองแถวต่อเข้าไปที่ท่าเรือของหนองเขียว ซึ่งสามารถเดินเองได้ถ้าประหยัด ประมาณ 1 กม. ก็จะถึงท่าเรือ ส่วนเรามาตัวคนเดียวเลยขอแว้บเข้าห้องน้ำก่อน พออกมาสมาชิกฝรั่งในรถตู้หายไปหมดเลย 555 พวกเขาไปกันแล้ว เลยแอบเหวอหน่อย ที่ต้องรอรถสองแถวคนเดียวมารับไปท่าเรือ แต่ว่ามีหนุ่มเกาหลีที่เจอกันตั้งแต่นั่งรถหลวงพระบางมาท่ารถสายเหนือเพื่อมาหนองเขียวเหมือนกันอีก เดินมาบอกประมาณว่า " ไอ รอ ยู อยู่นะ ไปขึ้นรถด้วยกันนะ " เราแอบดีใจที่แบบว่านี่เรามีเพื่อนแล้ว 555 เราเลยเดินตามไปผู้ชายขึ้นรถสองแถวไปอย่างง่ายดาย 5555

  • ค่ารถไปท่าเรือหนองเขียว 5,000 กีบ (10 บาท)

สะพานข้ามแม่น้ำอูที่เมืองหนองเขียว แม่น้ำข้างหน้าคือเส้นทางที่เราจะมุ่งไปยังเมืองงอยเก่า

รถพานักท่องเที่ยวส่วนหนึ่งมาส่งที่บ้านพักในเมืองหนองเขียวก่อน แล้วค่อยย้อนกลับข้ามสะพานมาอีกทีเพื่อมาส่งที่ท่าเรือ อยู่ไม่ไกลกันมาก สามารถเดินเล่นได้..


ส่งนักท่องเที่ยวบางส่วนที่มาพักที่หนองเขียว

เมืองหนองเขียวนั้นทางการเขากำลังจัดตั้งให้เป็นเมืองงอยใหม่ ซึ่งจะแทนเมืองงอยเก่า ที่ได้ข่าวว่าที่เมืองงอยเก่านั้นจะจมอยู่ใต้น้ำในไม่ช้า ซึ่งเป็นการมาของการสร้างเขื่อน จะทำให้เมืองเล็กๆแสนสงบนั้นหายไปจากแผนที่โลกทันที (ฟังแล้วเศร้าแทนคนที่เมืองงอยเก่า)


รถสองแถวคันเล็กที่พาเรามาถึงท่าเรือหนองเขียว

บริเวณฝั่งท่าเรือหนองเขียว


เมื่อมาถึงท่าเรือพ่อหนุ่มเกาหลีคนเดิม ก็รอซื้อตั๋วเรือไปเมืองงอยพร้อมเรา เพิ่งจะรู้ว่าพ่อหนุ่มกิมจิรอเราถ่ายรูปเสร็จถึงจะไปซื้อตั๋วด้วยกัน นี่เราได้เพื่อนชายต่างเพศแถมเป็นคนเกาหลีด้วย มาเที่ยวต่างประเทศคนเดียวก็ได้เพื่อนเลย ก็ดีเหมือนกัน จะได้ไม่เหงา มีเพื่อนคุยเพื่อนเดินทางกันไป

  • ราคาค่าตั๋วเรือไปเมืองงอย ราคา 25000 กีบ ( 100 บาท)

เป็นตั๋วเรือรอบสุดท้ายตอนบ่ายสองโมง จากหนองเขียวไปเมืองงอย

ได้ตั๋วเรือไปเมืองงอยเรียบร้อยแล้วเราก็เดินไปหาข้าวเที่ยวกิน ตอนนี้หิวแล้วเดินทางมาไกลหลายชั่วโมง ต้องเติมพลังก่อน เพราะเราต้องนั่งเรือไปเมืองงอยอีก 1 ชั่วโมง

มี้ร้านค้าตรงท่าเรืออยู่ 2-3 ร้าน เลือกกินตามใจชอบเลย ส่วนเรากับหนุ่มกิมจิ เลือกร้านที่ติดแม่น้ำอู คือเราเลือกเองแหละส่วยหนุ่มกิมจิเดินตามมาเอง 555 ( แถมสั่งอาหารตามเราอีก )


เห็นอาหารหน้าตาแบบนี้ทีแรกคิดว่าไม่น่าอร่อย ที่ไหนได้อร่อยยยยมากกกกก!!!! เส้นขาวๆนั้นเป็นเส้นเล็กที่นุ่มมากวัตถุดิบเป็นแบบเดียวกับที่ใช้เป็นเส้นก๋วยเตี๋ยว เฝอ แต่เอามาผัดใส่หมู ใส่ผัก อร่อยจริงๆ อร่อยขนาดไหน หนุ่มกิมจิถึงกับยกนิ้วโป้งให้ แล้วพยายามพูดกับเราเป็นภาษาไทยว่า "อร่อย....อร่อยมั้ย " 5555

ทานมื้อเที่ยงอิ่มแล้วก็เดินมาถ่ายรูปเล่นที่ท่าเรือ หนุ่มกิมจินางก็เดินตามมาคุยกับเราโดยเฉพาะนางบอกนางชอบมาเที่ยวไทย แล้วนางก็ลางานมาเที่ยวแถบบ้านเรา 1 เดือน !!! (ขออิจฉาาาแรงๆๆๆ ) หนุ่มกิมจิเล่าว่ามาเที่ยวไทยทุกปี ชอบอาหารไทย ชอบคนไทย ชอบทะเลไทย วัดไทย แล้วผู้หญิงไทยใจดี ( ฮาาาาเลย เดี่ยวจะใจร้ายให้ดู๊ววว 555 )

คุยกันสักพักหนุ่มกิมจิก็ปล่อยให้เราเดินถ่ายรูปเล่นไป แต่สายตานางนี่มองตามเราตลอด หันไปก็เจอสายตามองดูอยู่ห่างๆว่าไปตรงไหน สงสัยกลัวสาวไทยอย่างเราถ่ายรูปเพลินแล้วเรือออกไปแน่ๆ ฮ้าๆๆ

ได้เวลาเรือรอบสุดท้ายออกแล้วทุกคนเตรียมตัวลงเรือ...

: สายน้ำอูหล่อเลี้ยงชีวิต :

จาก นี้เส้นทางที่ผ่านสายน้ำอูทอดยาวไปไกลแค่ไหนไม่อาจรู้ได้ ทำให้รู้สึกว่าสายน้ำแห่งนี้มีชีวิตชีวา มีเรื่องราวมากมายของผู้คนที่นี่ วิถีชีวิตอันบริสุทธิ์ของผู้คนที่เมืองงอย

จากแผนที่จะแสดงเส้นการเดินทางทางน้ำไปยังเมืองงอยเก่า หรือเมืองงอยเหนือ

เรา จะนั่งเรือล่องไปตามลำแม่น้ำอูประมาณ 1 ชั่วโมงกว่า ก็จะถึงเมืองงอย ระหว่างเส้นทางของสายน้ำที่ทอดยาวสงบนิ่ง จะเจอวิถีชีวิตของผู้คนที่นี่ ที่ใช้แม่น้ำแห่งนี้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต ภูเขาที่ทอดยาวขนานไปท้องสองฝั่งกับสายน้ำนั้นยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่าไม้ ...


สะพานข้ามแม่น้ำอูที่หนองเขียว


เรือโดยสารนี้เป็นเรือที่ใช้ได้ทั่วไปทั้งชาวบ้านและนักท่องเที่ยว


ความสวยงามของธรรมชาติระหว่างการเดินทาง รูปถ่ายไม่สวยเท่าตาเห็น

ระหว่างที่กำลังนั่งมองวิวเพลินๆ คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย พ่อหนุ่มกิมจิก็สะกิดบอกว่า " ที่นี่เหมือนจังหวัดกาญจนบุรี ที่เคยไปเลย " เพราะ มีสายน้ำ มีภูเขา เหมือนกัน เราเลยถามแล้วไปเที่ยวที่กาญจนบุรีบ่อยไหม เขาบอกว่าเพิ่งไปที่ผ่านมา แต่เธอบอกว่าชอบเชียงคานมากกว่า มีตลาด มีของกิน มีของให้ดูเพลินๆ ฮ้าๆ

ปล.เราคุยกันเป็นภาษาอังกฤษนะไม่ได้ภาษาไทย แต่เป็นการคุยภาษาอังกฤษที่หนุ่มกิมจิต้องปวดหัวเพราะภาษาไม่แข็งแรงเอาเสีย เลย ส่วนหนุ่มกิมจิพูดใส่อังกฤษกับพวกฝรั่งที่นั่งลงเรือลำเดียวมาด้วยกันรัวๆ 555

สาวน้อยแห่งเมืองงอย นั่งเรือมาด้วยกันนั่งข้างกับพ่อหนุ่มกิมจิ เลยช่วยบิ้วให้น้องเขาหัวเราะยิ้มแย้มใส่กล้อง อิอิ

เส้นแม่น้ำสายนี้และเกือบทุกสายของลาวจะมีลักษณะเป็นเกาะแก่งหินน้อยใหญ่มากมาย ทั้งอยู่กลางแม่น้ำริมแม่น้ำคนขับเรือที่นี่ต้องชำนาญร่องน้ำเป็นพิเศษ ไม่งั้นไม่อยากคิดเลยถ้าใครไม่รู้เส้นทางแต่ละช่วงของแม่น้ำแต่ละสาย มีชนพวกโขดหินที่ขึ้นโผล่เต็มไม่น้ำไปหมดแน่เลย


วิถีชีวิตกับสายน้ำ


ตลอดสองฝั่งแม่น้ำ

บางครั้งก็เจอบ้านคนอยู่ ซึ่งเวลาขึ้นเรือจะไม่มีท่าเรือให้ขึ้น

ต้องค่อยลงมาจากเนินเขา ลุยน้ำลงมาขึ้นเรือ

รู้สึกโชคดีได้เห็นธรรมชาติการใช้ชีวิตของผู้คนที่นี่

เมื่อใกล้จะถึงท่าเรือเมืองงอยแล้ว พ่อหนุ่มกิมจิก็ถามเราว่า "ไปเดินหาที่พักด้วยกันไหม ?" เราก็เลยตอบไปว่า...โอเคๆได้ๆไม่มีปัญหา เพราะดูจากสายตาของพ่อหนุ่มกิมจิจะห่วงใยในความอะโลนและโดดเดี่ยวของเราสะเหลือเกิน ไม่ยอมทิ้งไปไหนเลย 555

ใกล้ถึงท่าเรือเมืองงอยแล้ว อยู่ทางขวามือในภาพ

ท่าเรือเมืองงอย

การเดินทางด้วยเรือภายใน 1ชัวโมงได้สิ้นสุดลง เรามาถึงเมืองงอยในตอนบ่าย 3 โมงกว่าๆ ต่างคนต่างเอากระเป๋าและสัมภาระของตัวเอง แล้วเดินขึ้นไปข้างบนซึ่งเป็นที่ตั้งของหมู่บ้านในเมืองงอย พอเราเดินขึ้นไปก็จะมีพนักงานจากที่พักต่างๆมาถามว่าสนใจจะพักกับเขาไหม ส่วนเราก็มองหน้าหนุ่มกิมจิ ซึ่งพ่อหนุ่มแดนโสมก็เดินนำขึ้นไป ประมาณว่าตามพี่มา...แต่เราก็แอบแว็บเดินไปหาที่พักเพียงลำพัง...

เดินขึ้นจากท่าเรือไปยังหมู่บ้านที่อยู่ข้างบน

เราได้ที่พักอยู่บริเวณท่าเรือเลยคืนละ 500 บาท เพราะสะดวกในการเก็บของเดินทางกลับไปยังหลวงพระบางอีกรอบในวันพรุ่งนี้เช้า กลัวไม่ทันเรือ ที่พักดูดีกว่าทุกที่ที่ไปดูมาชื่ออะไรนั้นเดี่ยวมาบอกอีกที

หลังจากได้ที่พักเรียบร้อยแล้วเราก็ออกเดินสำรวจหมู่บ้านทันที ส่วนพ่อหนุ่มกิมจินั้นก็ได้ที่พักใกล้ๆกัน เห็นยังเก็บสัมภาระในที่พักเราเลยไม่ได้รอ ใช้เวลาอันน้อยนิดให้มีค่า ออกเดินเล่นสำรวจหมู่บ้านเล็กๆแห่งนี้

เมืองงอยหมู่บ้านเล็กๆที่ซ่อนตัวอยู่ในท่ามกลางภูเขาที่สลับซับซ้อน มีแม่น้ำอูเป็นแม่น้ำเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงชีวิตของคนในเมืองนี้ วิถีชีวิตดั้งเดิมไร้การปรุงแต่งใดๆ ยิ่งเดินผ่านไปในแต่ละที่เหมือนหลุดเข้าไปอีกโลกนึง โลกนั้นอาจจะเรียกว่ายุคสมัยที่ไร้แสงสี ไร้ความศิวิไล...

ทุกคนที่นี่ยังคงทำหน้าที่เป็นชาวนา ชาวไร่เหมือนดั้งเดิม เลี้ยงสัตว์ ปลูกผัก ทำนา และการถักทอผ้า รวมทั้งงานฝีมือหัตถกรรมต่างๆ

Guest house ที่นี่จะไม่แตกต่างจากบ้านของชาวบ้าน และมีให้เราเลือกพักอยู่พอสมควร เราขึ้นจากเรือมาก็ไม่ได้จองที่พักไว้เลย มาหาเอาข้างนา ที่นี่นอกจากชาวเมืองงอยแล้วแทบไม่เห็นชาวเอเชียผมดำเดินทางมาเที่ยวเท่าไหร่ ที่เห็นวันที่ไปก็จะเป็นนักท่องเที่ยวฝรั่งสะส่วนใหญ่

บ้านเรือนที่อยู่อาศัยของคนเมืองงอย

แปลงปลูกผักผสมผสาน เพื่อเอาไว้ทานในครอบครัวและเก็บเอามาขายในวันที่มีตลาดนัด

หลังจากเดินเล่นในบ้านได้สักพัก เราก็เดินออกนอกหมู่บ้านไปด้านหลังซึ่งสังเกตเอาจาก รถแทร็กเตอร์ของชาวบ้านที่เพิ่งกลับจากทำนามาเมื่อเย็นว่าทางนั้นน่าจะมีทุ่งนาอยู่ใกล้ๆ เลยเดินตามรอยรถไถของชาวบ้านไป 555

พอเดินทะลุพ้นหมู่บ้านออกมาได้นิดเดียว ได้เจอกับลานสนามหญ้ากว้าง มีภูเขาเป็นBackground ด้านหลัง มองจากตาเปล่าคือสวยมาก ดีงามมาก เหมือนเมืองในหุบเขาแถบยุโรปเลย (ไม่เคยไปหรอก ดูตามinternet อิอิ)

เห็นพื้นดินมั้ยนั่นแหละตามรอยรถไถนา 55

สนามหญ้าที่นี่เหมือนจะเป็นสนามหญ้าสำหรับกิจกรรมสันทนาการของหมู่บ้านเมืองงอย มีทั้งวัยรุ่นมาเตะบอล มีเด็กๆมาวิ่งเล่นไล่จับกัน มีหนุ่มสาวมานั่งคุยกัน พ่อแม่ของเด็กๆก็มาดูลูกๆของตัวเอง

ด้านขวามือของสนามบอล จะเป็นโรงเรียนประจำเมืองงอย ซึ่งน่าจะมีโรงเรียนเดียวนะ เพราะดูจากภายในแล้วค่อนข้างใหญ่พอสมควร ยังมีนักเรียน เล่นกีฬายังไม่กลับบ้านกัน จะรีบกลับกันไปไหน ก็หมู่บ้านกับโรงเรียนมีกันอยู่แค่นี้นะ ฮ้าๆ

จากภาพ ด้านในนั้นเป็นหมู่บ้านที่เราเดินออกมาทะลุสนามหญ้ากว้างและตรงภูเขาเป็นริมแม่น้ำอู

จากภาพมุมนี้ เราถ่ายย้อนไปยังทางเดินเข้าไปในหมู่บ้าน

เมื่อเราเดินตามทางรถไถเรียบข้างสนามหญ้ามา เจอคุณลุงกำลังเดินกลับมาจากทำไร่ทำนา ก็เลยถามว่า ที่เป็นทุ่งนาไปทางไหน ลุงบอกว่าเดินไปแล้วเลี้ยวขวา จะเป็นทุ่งนาและถ้ำของที่นี่

ถามว่าไกลมั้ย....คำตอบคือ 1 กิโลเมตร...เองงงง

อืมมมม....งั้นลุยเดี่ยวเลย....

ออกพ้นมาจากหมู่บ้านแล้ว อยู่กับทางเปลี่ยวและความเงียบในตอนเย็นๆ



เดินไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงน้ำในลำธารไหล แต่ยังมองไม่เห็น เดินหาตามเสียงน้ำไหลและกลิ่นความเย็นของสายน้ำ เดินลัดเลาะแหวกพุ่มไม้ข้างทางลงไปก็ได้เจอออออออออออ.......โอ้วววโหวว!!!! นี่เราเจอลำธาร !!! ธรรมชาติ !!! ...คือน้ำใสมากๆ แล้วฝั่งที่เรายืนอยู่อยู่หลังพุ่มไม้น้อยใหญ่ ต้องลัดเลาะลงไป เหมือนตัวเองเป็นนางเอกเรื่องเพชรพระอุมาขึ้นมาในทันที 555

เดินไปเรื่อยๆก็เจอกับทุ่งนาสีทองที่ผ่านการเก็บเกี่ยวมาแล้ว เริ่มใกล้ความจริงแล้วละ แต่เข้าไปไม่ได้เพราะมี แนวกำแพงไม้ไผ่กั้นอยู่



เดินข้ามสะพานไปจะเป็นร้านค้าและร้านขายตั๋วสำหรับเข้าไปเที่ยวในถ้ำกลางกับถ้ำพระแก้ว ที่อยู่ขวามือ และ ด้านซ้ายถ้าจะเที่ยวเล่นหรือถ่ายรูปทุ่งนาก็ต้องเสียเงินค่าเข้าด้วยน่ะ ...



ตรงนี้จะเป็นถ้ำกลางกับถ้ำพระแก้ว ถ้ำที่เมืองงอยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวบ้านจะใช้เป็นที่หลบภัยจากการทิ้งระเบิด ซึ่งทุกวันนี้ยังมีระเบิดที่หลงเหลือเป็นจำนวนมากที่ยังไม่ได้กู้ ซึ่งเราจำเป็นต้องเดินตามเส้นทางที่ชาวบ้านใช้สัญจรกันเท่านั้น ห้ามออกนอกเส้นทางเพราะจะอันตรายมาก




เรามาถึงก็เป็นช่วงที่เขากำลังปิดทำการ จะเสียตังป้าแกก็บอกไม่ต้องเสียจะกลับบ้านแล้ว เลยใจดีให้เรารีบเข้าไปถ่ายเดินข้ามสะพานไปยังทุ่งนา เราเลยต้องรีบเข้าไป เกรงใจคุณป้าใจดี ^^



ที่นั่งทานอาหารของร้านค้าริมลำธาร (ถ้าเป็นที่ไทย คงลงไปนั่งกินในลำธารกันแล้ว ฮ้าๆ )

ลำธารนี้ไหลไปยังจุดแรกที่เราเจอตอนเดินมา

ข้ามสะพานไปเดินเล่นทุ่งนาที่เมืองงอยกันดีกว่าคะ ขอบคุณคุณป้าใจดี ที่ไม่เก็บตังและอนุญาตให้เข้าไปถ่ายทุ่งนานะค่ะ เพราะป้าจะเลิกงานกลับบ้านแล้ว เดินมาถึงก็เกือบ 5 โมงเย็น ซึ่งเป็นเวลาใกล้ปิดบริการพอดี..

ทุ่งนาอันกว้างใหญ่ทอดตัวยาวไปมีภูเขาใหญ่น้อยอยู่เบื้องหลัง เรามาในช่วงเก็บเกี่ยวไปแล้ว เหลือเพียงกองฟางแห้งและความเงียบสงบ ไอจากอากาศเย็นตามยอดเขาก็แผ่เข้ามา แสงที่เหลื่อมเขากำลังลาลับเราไป อยากตะโกนดังๆอะไรก็ได้ อยาก วู้ววววววววหู้ววว ปลดปล่อยความรู้สึก แต่ทำได้เพียงยืนกระโดดโลดเต้นคนเดียว กางมือกางแขนเหมือนเรากำลังเต้นรำ ...

" มันคือความอิสระ ที่เหมือนโลกใบนี้มีเพียงเราแค่คนเดียว มองไปทางไหนก็ไม่เจอใคร ไม่เห็น ไม่รู้จักใคร มีภูเขา มีสายลม มีไอเย็นและความอบอุ่นจากขุนเขาปลอบประโลมหัวใจ...เราเดินทางมาไกลคนเดียวเพื่อต้องการสิ่งนี้เพียงสักครั้ง...และเราก็ได้รับของขวัญจากธรรมชาติที่มอบให้ในตอนนั้น ..."



เดินกลับมานั่งมองพระอาทิตย์ที่กำลังลาลับขอบฟ้าที่ท่าเรือริมแม่น้ำอูเงียบๆคนเดียว

ยิ่งมืดก็ยิ่งหนาวเย็นมาก บอกเลยว่าเย็นนิ่งๆแบบเจ็บผิวหนังแบบไม่ทันรู้ตัว รู้ตัวอีกทีคือเริ่มหนาวและก็เริ่มเจ็บคอ มานั่งเสพอากาศตอนหัวค่ำที่ลาวเหนือแบบไม่ได้ใส่เสื้อหนาว ทรมารจริงๆ แต่ที่สุดแล้วเราก็ต้องการมันอยู่ดี รีบเข้าที่พักไปเอาเสื้อกันหนาวมาใส่...

ค่ำนี้มานั่งทานเฝอเมืองงอยและเมนูอีกอย่างนึงจำชื่อไม่ได้ เป็นอาหารของที่นี่ เป็นแป้งที่ห่อคล้ายแหนมเนืองแต่ใหญ่กว่านุ่มๆม้วนห่อกับผักและเนื้อหมู เห็ด เป็ด ไก่ ตามที่เราชอบ อร่อยมาก...

นั่งกินสักพักพ่อหนุ่มกิมจิเดินมาเจอพอดี เลยถามว่าเรากินอะไร อร่อยไหม..เราก็ตอบไป แล้วชวนเขานั่งทานด้วยกัน เธอบอกว่าอิ่มแร่ะ กำลังเดินไปร้านบาร์ริมแม่น้ำใกล้ๆไปนั่งจิบเบียร์ เลยชวนเราไปด้วย เราบอกว่าเราไม่กินเบียร์ 5555 หนุ่มกิมจิทำหน้าตกใจ ( ตกใจโอเวอร์มากก 555) แล้วก็พยักหน้าแบบรับรู้ให้เรา พอหนุ่มกิมจิจะเดินจากไป ก็หันมาบอกเราประมาณว่า ดาวคืนนี้สวยดี เต็มท้องฟ้า อยากไปนั่งดูด้วยกันไหม ???....ตึ่งโป็ะะะ!!! นึกภาพกินเฝออยู่แล้วเส้นค้างคาปาก บอกแบบ งงๆในตัวเอง แต่ไม่รู้จะตอบอะไรเลยบอกไปก่อนว่า เดี่ยวกินมือ้นี้เสร็จ ไอจะตามไป 555

แต่สุดท้ายเราก็ทนความเย็นไม่ค่อยไหว แถมอาการเจ็บคอไข้จะขึ้นด้วย อารมณ์นั่งมองดาวกับหนุ่มกิมจิคืนนี้คงไม่ไหวละมั้ง...หนีกลับที่พักนอนพักดีกว่า 5555

อาบน้ำ กินยา นอนพัก ดวงดาวที่สวยเต็มท้องฟ้า เราคงได้เจอกันในฝันนะ ^^


รออ่านติดตามตอนต่อไป

เมืองงอยในยามเช้าสวยงามและเงียบสงบ





แมวพเนจร : Coco's Journey

 วันจันทร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2560 เวลา 21.40 น.

ความคิดเห็น