A Perfect Trip

เลห์ ลาดักห์ ทิเบตน้อยแห่งเทือกเขาหิมาลัย ที่ใครๆยกให้เป็นเมืองในฝัน

ตั้งแต่ออกเที่ยวมา ขอยกให้ทริปนี้เป็น The perfect trip
จากระดับน้ำทะเล 3,500 เมตร ขึ้นบันได 1 ขั้นเหนื่อยเท่ากับ 3 ขั้น แต่คุ้มค่ามากที่ได้มา
สถาณที่ก็ใช่ส่วนหนึ่ง สิ่งที่เจอก็ใช่อีกส่วนหนึ่ง แต่ที่มันเป็นตัวคูณให้ทุกอย่างมีความสุขแบบคูณสองเลยก็คือ
"เพื่อนร่วมทางดีๆ"

จริงๆแล้วที่มัน Perfect เนี่ยต้องพูดรวมทั้งทริป

อะไรหายที่เดลี..

อ๋อ 'ชิบ' นี่เอง (ตลกมะ..)
มันเริ่มครบรสตั้งแต่บินลงมาที่เดลี ความ ship-hai วุ่นวายก็บังเกิด
เนื่องจากครั้งที่แล้วที่มาอินเดีย แล้วรู้สึกว่า เอ๊ะ ไม่เห็นจะโดนโกงอะไรมากเลยนี่นา
นั่นมันเพราะเรามีผู้ร่วมทริปที่คุ้นชินกับคนอินเดียอยู่ด้วย
น้องเขาพูดภาษาอินเดียได้ รู้วิธีรับมือและรู้วิธีการสยบแขก แขกถึงขั้นกลัวนาง เราเลยสบาย ทุกอย่างดูราบลื่นมาก
แต่ครั้งนี้เป็นผู้หญิงที่ต่อกรกับใครได้ไม่ Hard core เท่าไหร่ เลยโดนจัดกันไปเต็มๆ

หลงรักคนที่เลห์..

ต่อมาขึ้นเครื่องไปเลห์ ลาดักห์ เมืองที่คุณจะต้องหลงรักคนเลห์อย่างแน่นอน ยิ่งผ่านอินเดียในรูปแบบต่างๆมาแล้ว
มาเจอคนเลห์จะยิ่งเหมือนสวรรค์มาโปรด เค้าทำให้เรารู้สึกเหมือนครอบครัว เหมือนเพื่อนที่ไม่หวังจะมาเจ้าเลห์อะไร
เราใช้เวลาทั้งวัน road trip อยู่ด้วยกันกับเพื่อนและกับคนขับอีกหนึ่งคน
กับถนน กับภูเขา และท้องฟ้าแค่ปลายเอื้อมมือ เราร้องเพลง เราได้คิด เรารู้สึกถึงความใส่ใจ แม้เราจะสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง
เราโอบล้อมด้วยความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติอันเวิ้งว้าง
(คือ roadtrip ในเลห์ มันค่อนข้างเวิ้งว้างจริงๆนะ ไม่ได้โม้ สุดลูกหูลูกตามีแต่ภูเขาสีน้ำตาล นานๆถึงจะเห็นสีเขียวๆที)

บนหลังม้าในป่าสนที่แคชเมียร์..

จากเลห์เราเลือกจะ Road trip ต่อไป "Kashmir" (แคชเมียร์) เพราะวิวระหว่างทางมันล้ำค่าเกินกว่าจะนั่งเครื่องบิน
ตรงนี้จะบอกว่า "เรื่องคน" คนกลับมาเจ้าเล่ห์อีกแล้ว แต่มันก็ดันทำให้เราหลงรักได้อยู่ดี
เพราะม้า เพราะป่าสน ต้นเล็ก ต้นใหญ่ เพราะร่องเรือยามเย็น
ถ้าเปรียบเลห์คือฝุ่นผงและภูเขาสีน้ำตาล ที่อบอุ่นด้วยคนที่น่ารัก
แคชเมียร์ก็คงเป็นต้นสนใหญ่ และหุบสีเขียว ที่ๆธรรมชาติจะทำให้เราลืมความเจ้าเล่ห์ของผู้คน
เรารักการขี่ม้าแบบไร้สายจูง ที่ๆเราควบม้าให้วิ่งไปในหุบเขาเป็นครั้งแรกแบบไม่ต้องเรียนมาก่อน
เป็นธรรมชาติที่มีชีวิตชีวามาก แล้วก็อีกอย่างคือการล่องเรือนาคาเย็นๆตอนพระอาทิตย์ตก
ทั้งหมดนี้อยู่กับเพื่อนดีๆอีกสามคน
นั่นคือสาเหตุว่าทำไมมันถึงเป็น The most perfect trip สำหรับเรา : )

Plan : Days in Leh

แพลนก็คือ จะนั่งรถเที่ยวรอบๆเมือง Leh (2 วัน)
Road trip ไปขี่อูฐ และนอน Camp กันที่ Nubra Valley (2 days ไป-กลับ)
ไปทะเลสาบแปงกอง (Pangong) ทะเลสาบเปลี่ยนสีที่ยาวจากอินเดียไปถึงทิเบต (1 day)
แล้วนั่งรถไปแคชเมียร์กัน (3 days in kashmir) << น้อยเกินไปอ่ะ

Geo แป๊บนะ

Leh เนี่ยอยู่ในรัฐ Jammu & Kashmir ซึ่งเขตแดนติดกับ 3 ประเทศใหญ่ๆคือ อินเดีย ปากีสถาณ ทิเบต (ถ้านับรวมด้านบนๆก็แอบติดจีนด้วย) ซึ่งรัฐเนี้ยเคยถูกแก่งแย่งดินแดนกันระหว่างอินเดียกับปากี และตอนนี้ก็ยังเป็นแขตแดนที่ไม่แน่ชัดนัก แต่เหมือนจะถูกผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอินเดีย (ซึ่งคนข้างในก็ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่หรอกจากที่เราถามๆมา) เส้นเขตแดนตอนนี้มันเลยยังเป็นปะๆจุดๆใน Google map แต่โดยที่เขาแบ่งกันตามความรู้สึกแล้ว Jammu & Kashmir ด้านเหนือๆ จะเหมือนเป็นของปากี ส่วนด้านใต้จะเหมือนเป็นของอินเดีย
รัฐเนี้ยจะแบ่งเป็น 3 แคว้น คือ Ladakh (เมืองหลวง : Leh) นับถือพุทธ, Kashmir (เมืองหลวง : Srinaka) นับถืออิสลาม, Jammu (เมืองหลวง : Jammu) นับถือฮินดู ในบรรดาทั้งหมดนี้เราไปมาสองที่คือ Ladakh กับ Kashmir ซึ่งพอลองเปรียบเทียบเรื่องคน คนแคชเมียร์จะมีความเป็นอินเดียมากกว่า เจ้าเล่ห์มากกว่า แต่ไม่เหมือนไปซะทีเดียวจากทั้งลักษณะภายนอก เค้าจะผมเยอะ ขนเยอะ คิ้วเยอะจนส่วนใหญ่ต่อกันเป็นคิ้วเดียว ขนตายาว ตาสวย ส่วนคนเลห์จะซื่อๆกว่า ใช้ชีวิตเนิบๆกว่า feeling เหมือนไปอยู่บ้านนอก แล้วมีลุงๆกับป้าๆคอยดูแล และทุกคนในหมู่บ้านรู้จักกัน ประมาณนั้น

First love!

ตอนนี้คือนั่งเครื่องมาจากนิวเดลี ด้วยความที่ไม่ได้สนใจหรือตื่นเต้นอะไรมากนัก เพราะยังเหนื่อยๆเพลียๆจากการโดนโกงเมื่อคืนแถมยังนอนไม่เต็มอิ่ม
ก็เลยไม่ได้สนใจที่จะเปิดหน้าต่างตลอดทางที่นั่งเครื่อง มันเลยทำให้ไม่เห็นทัศนีย์ภาพใดๆทั้งนั้น
พอเครื่อง Landing เราก็เอื่อยๆรอให้คนออกกันก่อน แล้วค่อยโอ้เอ้หยิบกระเป๋ามาสะพายหลังโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย
เพราะคิดว่าออกมามันก็เป็นสนามบินธรรมดาๆ
แต่พอออกมาจากประตูเครื่องบินเท่านั้นแหละ
รอบๆตัวทุกทิศทางเป็นภูเขาเป็นชั้นๆล้อมรอบเราอยู่ ฟ้าก็ใสมากมาย
เรากับปูนที่ออกมาเห็นพร้อมกันถึงกับร้องออกมาว่า "เฮ้ยยยยยยยยย" แล้วกระโดดกอดกันแบบไม่ได้นัดหมาย
Surprise มากๆ

เมืองเมฆแค่เอื้อมมือ

หิมาลัยอยู่ทุกทิศทุกทาง และเมฆก็ใกล้เหมือนแค่เอื้อมมือจริงๆ เห็นเงาเมฆสะท้อนเขาชัดเจนมากๆ
ฟ้าคือใส และสวยมาก จนตอนแรกอุทานกันออกมาว่า "เฮ้ยมันสวยจนแบบว่า ให้เป็นคนถ่ายรูปไม่สวยมาถ่าย ภาพก็ออกมาสวยอยู่ดีอ่ะ"
(แต่หลังๆเริ่มไม่ใช่แบบนั้นละ พอลองเรารูปมาดูก็พบรูปกากๆเยอะอยู่ดี เราก็เว่อร์กันไปหน่อยนึง)
แต่รูปจากกล้องฟิล์มของเพื่อนเราออกมาน่ารักมากกก แสงสวยสุดๆ

โอเคอย่างแรกเลย "หาที่นอน" และ "หารถเช่า" สิครับท่าน เพราะเราไม่ได้จองที่นอนหรือจองรถกันมาก่อน
ก็ต้องมาหากันสดๆนี่แหละ เช่ารถตู้จากสนามบินเข้าเมือง ให้เขาขับพาวนหาโรงแรมถูกๆและพออยู่ได้
และหาเอเจ้นเช่ารถเพื่อที่จะให้พาขับไปสถาณที่ต่างๆในเมือง และไปที่ไกลๆตาม plan


Tour in Leh

สรุปเราใช้ทัวร์ของเจ้านี้ อยู่ในเมืองเลยแหละ
เจ้าของชื่อ "สกัดมา" เฟรนด์ลี่มากๆ แล้วก็ช่วยขับรถพาหาห้องพักให้ด้วย

วิธีที่เขาใช้ก็คือ กระโดดลงจากรถแล้วปีนกำแพง ตะโดนถามเลยว่า "ห้องว่างไหม" มันน่ารักมากอ่ะ

คุณพ่อ

"คุณพ่อ" คือเจ้าของบ้านที่เราพักด้วย คุณพ่อเป็นคนน่ารักแบบเลห์ๆ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟังว่านิสัยแบบเลห์ๆ เป็นยังไง
คุณพ่อมีภรรยาทรงสะบึมชื่อ "เปียมา" และคุณพ่อชื่อจริงชื่อ "ซันทิล" (พวกเราใช้วิธีจำคือ ซันซิ้ล)
ที่เรียกเขาว่าคุณพ่อก็เพราะเขาน่ารักและใจดีมาก เขาคิดค่าเช่าเราห้องละ 700 บาท เตียงใหญ่ด้วย
ขนของเข้ามาเสร็จแล้วคุณพ่อก็เอาชาแคชเมียร์ร้อนๆมาเสิร์ฟให้
แล้วก็โดนบอกให้ "นอน" กันก่อนซัก 4-5 ชั่วโมงไม่งั้นอาจเป็น altitude sickness กันได้ (แพ้ที่สูง ปรับตัวกับความกดอากาศไม่ทัน)
เพราะพวกเรานอนกันมาไม่พอ (มัวแต่มีเรื่องกับแขกที่เดลี เลยต้องมานอนสนามบินแบบหลับๆตื่นๆ)

ชื่อคนเลห์

คนเลห์จะชื่อประมาณนี้ เปียมา, สกัดมา, ซันทิล, ทุนดุ๊บ ซึ่งกว่าจะจำได้..ยากลำบาก
ก็หาวิธีจำกันเองเองนะ จะซันซิ้ลค์ อะไรก็ว่าไป
ps.จำชื่อที่พักไม่ได้แฮะ มันเป็นเหมือนบ้านคนที่เปิดให้มาอยู่ในห้องได้มากกว่าอ่ะ

นี่คือมุมที่มองออกมาจากนอกหน้าต่างห้องนอน

Van Tour

หลังจากนอนพักกันเสร็จ เราก็ออกเดินทางกัน
เช่าทัวร์กับเอเจ้นเพื่อให้เขาขับพาเที่ยวสถาณที่ต่างๆรอบๆเมือง คนขับวันนี้ชื่อ "โลโต๊ส"
เป็นคนเงียบๆง่ายๆ สกัดมาเป็นคนขี้เล่น ขี้แซว ตลกดี

โลโต๊ส กับ สกัดมา

ทำ Permit เข้า Nubra & Pangong ไว้ก่อน

และเนื่องจากเราไม่ได้ทำ Permit เพื่อเข้าหมู่บ้าน Nubra และ ทะเลสาบแปงกอง มาจากที่ไทย
ก็เลยต้องมาทำที่นี่ (ให้สกัดมาทำให้)
แล้วดันติดวันหยุดด้วย กว่าจะได้ Permit ก็เลยต้องเลื่อน plan ที่จะไปแคชเมียร์ออกไป
กลายเป็นว่าอยู่ Leh 5 วันเลยทีเดียว ทำไงได้มาทั้งทีก็อยากไปให้ครบนี่นา ก็ต้องเอาตามนี้ล่ะ
ใครที่จะไปเราแนะนำให้ทำมาก่อนนะจะได้ไม่เสียแผน

เทือกเขา และเพื่อนร่วมทาง

อารมณ์คือ ชอบมากๆเลย ชอบอารมณ์แบบที่ท่องเที่ยวที่ห่างไกลผู้คนเยอะๆ ที่ๆไม่ค่อยมี Tourist เยอะๆ
มันทำให้รู้สึกห่างไกลความวุ่นวายดีจัง มองไปทางไหนก็มีแต่ความกว้างใหญ่ของเทือกเขา กับท้องฟ้า สบายใจดีจังเลย

Day 1

Leh palace, Namgyal tsemo, Shanti stupa

เที่ยว 3 ที่ แบบปากชาๆ

ปากชาจนได้!

ที่เห็นนี่นอกจากจะกันฝุ่นที่มีมากมายมหาศาลแล้ว ก็กันไม่ให้คนเห็นน้ำมูกที่ย้อยออกมาแบบไม่รู้ตัวด้วยนะ ฮือออ
เนื่องจากกลัวว่าจะเป็น altitude sickness เลยกิน diamox ไปสองเม็ดก่อนนอนพักกลางวัน
(diamox = ยาที่ช่วยเรื่องเวียนหัว ง่วงซึม และอ่อนแรงเมื่อขึ้นที่สูง)
แล้วก็คิดในใจว่า หึหึ เราต้องเที่ยวอย่างสนุกแน่นอน ไม่แพ้ความสูงแน่ๆ แต่สรุปคือ กินเยอะไปหน่อย อาการชาเลยมา
จริงๆผลข้างเคียงมันคือปลายมือปลายเท้าชา แต่ของเราดันหน้าชา ปากชา คือไร?
แล้วชาจนแบบว่า น้ำมูกไหลออกมาตอนไหนก็ไม่รู้ ไม่รู้สึกตัวเลย หยดย้อยเป็นโบจังในเรื่องชินจังเลย
เลยจะเตือนว่าจริงๆไม่ต้องกินยังได้เลยนะ ขอให้พักผ่อนเพียงพอก็โอแล้ว อย่าดื้ออย่าซนแบบเรานะ
ชาแล้วมันไม่หนุกจริงจริ๊ง ขอแนะนำถ้าจะกินก็เม็ดเดียวก็พอ T-T

ps.ในเมืองเลห์นี่ก็จะเป็นสถาณที่ต่างๆให้ไปดู จะมีสองสามที่ที่มีวิวเลอค่า นอกนั้นเราว่าคล้ายๆกัน
มีเวลาว่างก็ลองเดินเที่ยวในเมืองดู ส่วนตัวเราชอบถนนตรง shey palace ต้นไม้สองข้างทางทำให้ถนนมันคิ้วท์ดี

Leh palace

หลังจากนอนพักกันเสร็จก็ออกเลห์พาเลซนี่เป็นประสาทเก่าที่สร้างโดยมีแบบจากทิเบต
นักท่องเที่ยวชอบมาเดิน trek กัน แต่พวกเราแบบว่า ไม่ไหวอ่ะ ขอนั่งรถเถอะ T-T
จากข้างบนนี้เป็นมุมที่มองเห็นเมืองข้างล่างกับภูเขาดินล้อมรอบ เหมือนบ้านกระดาษเล็กๆในจอมปลวก
มีคนคอมเม้นใน Google map ว่า "Old palace so you don't find anything inside" ซึ่งเราเห็นด้วยนะ
ด้วยความที่มันเก่ามากแล้ว ข้างในไม่มีอะไรเลย ออกมาดูวิวเถอะ

Namgyal tsemo (เซมู)

เซมูเป็นที่ที่ 2 ของวันนี้ อยู่ใกล้ๆกับที่แรกมาก เดินขึ้นไปยังได้เลย
จำได้ว่าตรงนี้เอ๋ย (เพื่อนคนนึงของเรา) ไม่ยอมขึ้นมาข้างบนเพราะกลัวความสูงแล้ว
ที่เซมูก็จะมีห้องพระให้ไหว้ มีประสาทส่วนที่ประดับธงเต็มไปหมด
แต่เอาจริงๆหลายๆที่ก็คล้ายๆกันมากอ่ะ เซมูนี่มีให้เดินขึ้นไปมากกว่าเดิมนิดหน่อย
แต่ชอบบรรยากาศตอนที่มองลงมาที่เมืองข้างล่างด้วยกันจัง

Shanti stupa

เจดีย์ศักดิ์สิทธิ์ ตรงนี้มีร้านขนมร้านชาขาย
คนส่วนใหญ่มาเดินวนรอบๆเจดีย์และขอพระ วันนี้ได้ที่นี่ที่สุดท้าย แสงหมดพอดี

จบวันแรกด้วยอาหารอิตตาเลี่ยนแบบอินเดียนสไตล์

อ่านไม่ผิดหรอ เรากินอาหารอิตตาเลี่ยนกันจริงๆ ร้าน Il Forno แต่แบบอินเดียนสไตล์นะพิซซ่าแบบเตาถ่านอารมณ์แบบดิบๆกรุ่นๆถ่าน
แถมมีอาหารอินเดียให้สั่งด้วยอร่อยดี ที่พลาดไม่ได้ก็น่าจะรู้ว่ามันคือ Chicken butter ที่เราติดใจตั้งแต่มาอินเดียครั้งที่แล้วละ
กับอีกอย่างคือเบียร์ Kingfisher เบียร์โลคอล อันนี้เราเพิ่งเคยกินครั้งแรกเหมือนกัน
กินเสร็จก็รีบกลับบ้านนะ เพราะพอใกล้จะดึกเค้าจะปิดไฟกันหมด กลับบ้านลำบากมาก (หลงมาแล้วมืดๆเนี่ย T-T)

สั่งมาเยอะเกิน กินไม่หมด บอกให้เขา pack กลับบ้านให้
นี่คือสิ่งที่ได้กลับมา เขาเอาใส่ถุงแป้งหรืออะไรซักอย่าง แล้วแม็กให้... จะกล้ากินดีไหม ฮ่าๆ

Day 2

Stok palace, Thikse monastery, Hemis monastery, Shey palace

Hello Day 2 ปากหายชาละจ้ะ

เริ่มต้นมื้อเช้าด้วยอาหารฝีมือภรรเมียสกัดมา (ชื่อไรไม่รู้จำไม่ได้) ร้านนางอยู่ติดกับห้องขายทัวร์ที่สกัดมาอยู่เลย
เช้านี้กิน Narn กับ Honey Ginger (เขาบอกว่าจะช่วยให้คนที่เป็น altitude sickness ดีขึ้นได้)

เทือกเขา และเศษฝุ่น

สองอย่างที่เราคุ้นชินด้วยแล้ว อย่างแรกเริ่มจะชินกับฝุ่นละ ออกมา 2 วันต้องใช้ผ้าปิดจมูกตลอด
อย่างที่สองที่คุ้นชินแต่แม้จะเจอมากเท่าไหร่มันก็ไม่เบื่อแฮะ "ภูเขาใหญ่ๆเป็นแนวๆ"
มองเท่าไหร่ก็ไม่เบื่อ พอขับอ้อมไปอีกด้าน มันก็สวยอีกแบบ เราชอบภูเขาแบบนี้มาก Sharp เป็นสันๆชัดๆ คมๆ
มีเสน่ห์ชะมัด!

Stok palace (ที่แรกของวัน)

บริเวณนี้จะต้นไม้ล้อมรอบเยอะกว่าที่อื่นๆหน่อย ชอบตรงที่มีสวนน่ารักๆ มีลำธารเล็กๆอยู่ด้านหน้าให้ถ่ายรูปกันด้วย
ที่นี่สร้างตั้งแต่ 180 กว่าปีที่แล้ว ข้างในก็เป็นที่เก็บเสื้อผ้า มงกุฎ ของมีค่าต่างๆของราชวงศ์ด้วยอ่ะ
เราไม่อินเท่าไหร่ อินวิวมากกว่า

Thikse monastery

ที่ๆประสบปัญหา ช๊อกโกแล็ตไม่แข็ง! ถือว่าเป็นอีกที่ๆชอบนะ เพราะเราจะเห็นที่นี่ตั้งแต่ขับรถอยู่ไกลๆ แล้วมันสวยมากก
มองไปก็เหมือนบ้านมด บ้านชนเผ่าอะไรซักอย่างที่สร้างหลังเล็กๆบนเขาต่อๆกันขึ้นไป น่ารัก

ด้วยความที่เห็นว่าเค้ามีช็อกโกแล็ตขาย ก็อยากกินอะไรหวานๆกันเลยซื้อมากินกัน
โดยที่ลืมไปว่า อากาศมันร้อนตับแลบขนาดนี้ แล้วเขาไม่ได้มีตู้เย็นเหมือนบ้านเราซักหน่อย
มันจะไปแข็งได้ยังไงล่ะ ปวกเปียกเละเทะไปหมด ก็ต้องกินแบบทุกลักทุเลกันนั่นแหละ ฮ่าๆ

Hemis monastery

ตั้งแต่มา ที่นี่มีลามะอยู่เยอะที่สุดละ
มีร้านหนังสือ และขายของที่ละรึกอยู่บนนี้ด้วย (แต่แพงกว่าในเมืองนะ)
พักกินข้าวกันที่นี่ แต่จะแนะนำว่า ถ้ายังทนได้ก็ทนไปก่อน ไปกินในเมืองก็ได้
ข้างบนนี่อาหารไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ แดดกับท้องฟ้าวันนี้ก็สวยเหมือนเดิม
ใครเอากล้องฟิล์มมาต้องได้รูปสวยๆกลับไปเยอะแน่ๆ (ระวังเบิร์นอย่างเดียวพอ)

Shey palace

ที่สุดท้ายของวันนี้
วิวข้างหน้าน่ะไม่เท่าไหร่หรอก..

ลองหันหลังไปสิ..

โลกในนิทาน

เราโอ้เอ้อยู่ตรงนี้กันพักนึงแน่ะ ใช้เวลาสนใจวิวตรงนี้มากกว่าประสาทอีก
วิวตรงนี้สวยมาก มีทะเลสาบ มีเป็ดว่ายน้ำ เลยออกไปเป็นทุ่งหญ้า ต้นไม้
มองไปทางไหนก็รายรอบด้วยเทือกเขาหิมาลัย มีม้าลากินหญ้าอยู่ไกลๆ เหมือนในนิทานตอนเด็กๆ
ต้นสนเป็นทิวๆที่โดนลมพัดแล้วก็เอียงไปตามกัน เหมือนหลุดออกไปจากโลกของความเป็นจริง
ตั้งแต่มาที่นี่แล้วตัดขาดจากผู้คน จากเมืองที่วุ่นวาย จาก wifi จากสื่ออินเตอร์เน็ต
แล้วอยู่กับเขา กับต้นไม้ กับสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ มันรู้สึกเหมือนใกล้ความเป็นแก่นสารของโลกมากขึ้น
เหมือนทำให้รู้ว่าที่ผ่านมา เราไปติดอยู่กับอะไรเล็กๆน้อยๆที่ไม่เป็นเรื่องเลย
โลกที่กว้างใหญ่มันอยู่ตรงหน้านี่ต่างหาก

Up on the palace

ขึ้นไปบนประสาท ก็จะมีคนอยู่ด้วย สาวๆเค้าล้างผักทำอาหารกลางวันกัน
ประสาทนี้ไม่มีอะไรมากมาย เพราะตอนที่เรามามันซ่อมแซมอยู่
แต่มีที่ให้ดูวิวสวยๆที่อยู่ตรงข้ามนะ

หาซื้อฟิล์ม

จบภารกิจตะลุยสถาณที่ในเมืองเลห์กันแล้ว ถ้าใครจะย่นเวลาก็จริงๆแล้วรวมไปวันเดียวเต็มวันเลยก็ได้ อาจจะได้ซัก 5 ที่
แล้วจะได้เอาเวลาไปเที่ยวที่อื่นอีก ถ้าเวลามีจำกัดอ่านะ
วันนี้กลับเร็วก็ได้เดินเล่นในเมืองกัน ใครเอากล้องฟิล์มมา ที่นี่มีนร้านขายฟิล์มถูกๆด้วยนะ ลองเดินดู

Roof top dinner

เมื่อพูดถึงเรื่องเล่นเน็ต จะบอกว่ามานี่ตัดขาดกับโลกภายนอกมากกว่าไปอินเดียซะอีก
ที่ที่พักส่วนมากเลยไม่มี wifi ให้นะ จะเล่นต้องเล่นยังไง "ร้านเน็ตค่ะ"
เห็นในรูปข้างล่างมะ ร้านตรงที่คนเสื้อฟ้าใส่ Jecket สีเทายืนอยู่ นั่นแหละร้านเน็ต มันจะอยู่ชั้นล่าง
เรามาเล่นเน็ตกันเพื่อติดต่อกับคนที่บ้าน โพสรูปเริบอะไรก็ตรงนี้แหละ

ส่วนอาหารเย็นวันนี้กินกันที่ roof top ฝั่งตรงข้ามร้านเน็ต
ซุปอร่อย, chicken butter อร่อยย คิดแล้วน้ำลายไหยอีกแล้ว

Yak cheese

กลิ่นเกินรับได้จริงๆ กลิ่นสาบแรงมากอ่า ขอเตือนไว้ก่อนถ้าใครจลองสั่งนะ
อันนี้จากร้าน Gesmo

จบกับการเที่ยวในเมืองเลห์แล้ว Part ต่อไปคือการ Road trip ออกไปเป็นวันๆเพื่อเจอที่เที่ยวซักที่นึง
ตรงนี้แหละที่จะต้องใช้เวลากับคนรอบตัวมากขึ้น ใช้ความคิดกับตัวเองมากขึ้น
หรือบางทีก็หยุดความคิดทั้งหมด เข้าสู่ความว่างเปล่า
ไม่ได้คิดอะไรในหัวเลยเลยนอกภาพจากภูเขาและถนนที่อยู่ตรงหน้าและท้องฟ้าที่อยู่ด้านบน

Juley!

budget/day

Pay together (/4)
guest house 3night 2 room = 4,200 INR(indian rupee)
car to Leh city from Leh airport = 229 INR
tour van (1st day)= 892 INR
tour van (2nd day)= 2000 INR
=> 7,321/4 INR =1,830 INR/person
= 1,002 THB /person

Food (Together/4) ค่าข้าวกลางวันจ่ายให้คนขับด้วย
Il forno = 1,260 rps
roof top dinner = 827 INR
lunch at Hemis = 545 INR
Breakfast = 100 INR
=> 2,732/4 = 683 INR/person
= 374 THB /person

Entre fee (Per person)
Leh palace = 100 INR
Namgyal tsemo = 30 INR
Shey palace = 20 INR
=> 150 INR
= 82 THB /person

Personal use
snack, water = 95 INR
postcard = 200 INR
cap = 550 INR
internet = 100 INR
= 945 INR
= 518 THB /person

Total for these 2 days
= 1,976 THB


Say hi :))

FB : facebook.com/mithuna27
IG : instagram.com/mithuna27


HappyJune

 วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 02.10 น.

ความคิดเห็น