update Promotion & Review สดใหม่ได้ตลอดที่ https://www.facebook.com/reviewnowz
18th World Gourmet Festival
4th – 10th September 2017
สวัสดีครับ
จัดเป็นครั้งที่ 18 แล้วกับเทศกาลอาหารและไวน์ระดับโลก เวิลด์ กูร์เมต์ เฟสติวัล ที่จะรวบรวมสุดยอดเชฟมิชลินสตาร์และเชฟชื่อดังจากทั่วโลก เมนูชั้นเลิศ อาหารและไวน์ชั้นเยี่ยม โดยในปีนี้จะจัดตั้งแต่วันจันทร์ที่ 4 กันยายน ถึงวันอาทิตย์ที่ 10 กันยายน 2560 รวมพูดคุยกับเจ้าหน้าที่จัดงานในครั้งกันก่อนครับ
คลิป Facebook Live สัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษ
คลิป Facebook Live สัมภาษณ์เป็นภาษาไทย
ในปีนี้โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพ ร่วมมือกับ ซานเปลเลกรีโน ได้เชิญเชฟซึ่งมีทั้งเชฟระดับมิชลินสตาร์และเชพที่ได้รับรางวัลรับรองฝีมือและรสชาติอาหารในระดับสากล มากกว่า 10 ท่าน บินตรงมาจาก 8 ประเทศทั่วโลก เพื่อมาปรุงอาหารรสเลิศให้เราได้ลิ้มรสสุดยอดฝีมือเชฟตลอดเวลาหนึ่งสัปดาห์เต็มจะมีเชฟท่านใดบ้างเรามาทำความรู้จักกับพวกเค้ากันเลยครับ
1. เชฟกีโยม กาลิโอ (Chef Guillaume Galliot) 2-Michelin Star จากห้องอาหาร CAPRICE ฮ่องกง
เชฟกีโยม กาลิโอเกิดใน Loire Valley ประเทศฝรั่งเศส เขาเดินทางมาแล้วทั่วโลกเพื่อฝึกปรือฝีมือในการทำอาหาร โดยเขาได้เริ่มต้นศึกษาศาสตร์ในการทำอาหารจากเชฟฝาแฝด Jacques และ Laurent Pourcel ในร้านอาหารมิชลินสตาร์ระดับ 3 ดาว Jardin des Sens เชฟกาลิโอสั่งสมประสบการณ์ทำอาหารจากนานาประเทศ ทั้งในนิวยอร์ค แซ็ง-บาร์เตเลมี สิงคโปร์ และปักกิ่ง เขากลายเป็นซูเชฟที่มีอายุน้อยที่สุดในโรงแรมแรฟเฟิลส์ สิงคโปร์ ด้วยวัยเพียง 23 ปีเท่านั้น เขาได้ปลุกชีวิตให้กับอาหารฝรั่งเศสสไตล์โมเดิร์น ณ. ห้องอาหาร Tasting Room มาเก๊า ซึ่งได้รับมิชลินสตาร์ภายใน 1 ปีแรกหลังจากเปิดให้บริการเท่านั้น เขาสามารถรักษามิชลินสตาร์เอาไว้ได้นานถึง 4 ปี ก่อนจะได้มิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาวในปี ค.ศ. 2016 และ 2017 ปัจจุบัน เชฟกิโยม กาลิโอ นำทีมเชฟที่ห้องอาหาร CAPRICE ซึ่งเป็นห้องอาหารมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว ณ. โรงแรมโฟร์ ซีซั่นส์ ฮ่องกง เขาเริ่มต้นทำงานที่ห้องอาหารแห่งนี้ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2017 โดยได้นำวิสัยทัศน์อาหารฝรั่งเศสที่ได้รับอิทธิพลจากทั่วโลกมาสู่หนึ่งในห้องอาหารที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย
2. เชฟชินอิชิโร่ ทาคากิ (Chef Shinichiro Takagi) 2-Michelin Star จากห้องอาหาร ZENIYA ญี่ปุ่น
เชฟชินอิชิโร่ ทาคากิ ผู้ซึ่งอุทิศทั้งชีวิตของเขาให้กับร้านอาหารของครอบครัว ZENIYA เขาทำให้ร้านอาหารแห่งนี้เติบโตจากร้านเล็กๆ ในท้องถิ่น สู่ร้านอาหารมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว เชฟทาคากิเกิดในเมืองคานาซาวา ในปี ค.ศ. 1970 เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในด้าน COMMERCIAL SCIENCE จากนั้นเขาได้เริ่มเรียนรู้ศิลปะแห่งการทำอาหารแบบไคเซกิ ที่ร้านอาหาร เกียวโต คิชโช่ ซึ่งเป็นหนึ่งในร้านอาหารชื่อดังที่สุดของประเทศญี่ปุ่น เชฟทาคากิมีความเข้าใจศิลปะและปรัชญาแห่งอาหารญี่ปุ่นอย่างลึกซึ้ง โดยเคยได้รับมอบหมายให้เป็นเชฟกิตติมศักดิ์ในโรงแรมระดับสากลหลายต่อหลายแห่งรวมไปถึงการจัดงานต่างๆ ตั้งแต่ในประเทศเยอรมนีจนถึงสหรัฐอเมริกา เขามีความมุ่งมั่นในการเผยแพร่การทำอาหารแบบ KAGA ไปทั่วโลก โดยได้เคยทำอาหารให้กับเชฟเลื่องชื่อที่งาน WORLD GOURMET SUMMIT ในสิงคโปร์ นอกจากนั้นเขายังเคยเลคเชอร์เกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรมให้กับองค์กร UNESCO และงานระดับนานาชาติอื่นๆ อีกมากมาย ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2016 ร้านอาหาร Zeniya ของเขาได้รับการยกย่องให้ติดโผ LA LISTE ในฐานะหนึ่งในร้านอาหารยอดเยี่ยมระดับโลก 1,000 แห่ง และในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2017 เชฟทาคากิได้รับการยกย่องให้เป็นทูตสันถวไมตรีในด้านอาหารญี่ปุ่น โดยกระทรวงเกษตร ป่าไม้ และประมง ของประเทศญี่ปุ่น
3. เชฟฮิโรอากิ อิชิสุกะ (Chef Hiroaki Ishizuka) 1-Michelin Star จากห้องอาหาร KIEN ญี่ปุ่น
เชฟฮิโรอากิ อิชิสุกะ เกิดในปี 1973 ในจังหวัดนิกาตะ บนฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะฮอนชู ประเทศญี่ปุ่น เขาออกจากบ้านเกิดและเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงโตเกียวเมื่ออายุเพียงแค่ 18 ปี และเริ่มทำงานที่ร้านอาหาร Zakuro โดยได้ใช้เวลาในการฝึกฝีมือและเรียนรู้ทักษะในการทำอาหารที่นั่นนานถึง 10 ปี หลังจากนั้น เขาก็ได้เริ่มทำงานที่ร้านอาหารมิชลินสตาร์ระดับ 1 ดาว Sakuragawa ก่อนที่จะย้ายไปทำงานที่ร้านอาหารมิชลินสตาร์ระดับ 2 ดาว Waketokuyama เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นเอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟในปี 2008 ที่ร้านอาหาร Kien ในเขต Akasaka ซึ่งได้รับมิชลินสตาร์ 1 ดาวในปี 2010 หลังจากนั้นเป็นต้นมา ร้านอาหารแห่งนี้ก็ได้รับมิชลินสตาร์ระดับ 1 ดาวเป็นระยะเวลาติดต่อกันถึง 7 ปี คำว่า Kien ในภาษาญี่ปุ่น มีความหมายว่า “นกนางแอ่นที่กลับรัง” ซึ่งสื่อถึงความปรารถนาของเชฟและเจ้าของร้านอาหารที่ต้องการให้ลูกค้าแวะเวียนกลับมารับประทานอาหารที่ร้านอาหารอันเลื่องชื่อแห่งนี้อีกครั้ง
4. เชฟคริสตินา บาวเวอร์แมน (Chef Cristina Bowerman) 1-Michelin Star จากห้องอาหาร GLASS HOSTARIA อิตาลี
เชฟคริสตินา บาวเวอร์แมน เชฟผู้หญิงหนึ่งเดียวในเวิลด์ กูร์เมต์ เฟสติวัล ครั้งที่ 18 จากประเทศอิตาลี หนึ่งในเชฟที่เป็นดั่งแรงบันดาลใจ ท่ามกลางวงการอาหารชั้นสูงที่เต็มไปด้วยเชฟผู้ชาย ความรักในการเดินทางและความกระหายที่จะเรียนรู้ได้พาเธอไปยังสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1992 โดยเธอได้สำเร็จการเรียนในด้านศิลปะการประกอบอาหาร เพิ่มเติมจากปริญญาทางด้านกฎหมายที่เธอมีอยู่แล้ว ในขณะที่เชฟคริสตินาให้ความเคารพในอาหารอิตาเลียนแบบดั้งเดิม อาหารของเธอในแต่ละจานก็ผสมผสานรสชาติที่แปลกใหม่ ตั้งแต่สไตล์เท็กซัสไปจนถึงเปอร์โตริโก ที่เธอได้เก็บเกี่ยวจากเชฟที่ให้คำปรึกษาเธอในสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 2004 เชฟคริสตินากลับมาที่อิตาลี และรับตำแหน่งหัวหน้าเชฟให้กับห้องอาหารหลายแห่ง จนกระทั่งได้รับการยกย่องในระดับนานาชาติกับบทบาทของเธอจากร้านอาหาร GLASS HOSTARIA หลังจากนั้น เชฟคริสตินาก็ได้รับรางวัลอีกมากมาย โดยในปี ค.ศ. 2010 เธอได้รับมิชลินสตาร์ระดับ 1 ดาว สำหรับอาหารที่มีความโมเดิร์นอย่างมากของเธอ โดยเชฟคริสตินาเป็นหนึ่งในเชฟผู้หญิงเพียงไม่กี่คนที่ได้รับมิชลินสตาร์ เธอได้เขียนอัตตชีวประวัติ พูดในงาน TEDxMilano Women อีกทั้งยังได้รับรางวัลในระดับนานาชาติมากมาย และเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ FOOD ACT COMMITTEE ในประเทศอิตาลี นอกจากนี้ เธอยังอยู่เบื้องหลังโครงการ Romeo Chef & Baker ที่ได้รับการยกย่องว่ามีความล้ำสมัย โดยมีการเปิดร้านอาหารแบบป๊อปอัพ ไปจนถึงพื้นที่ใต้ดินที่มีความครีเอทีฟ
5. เชฟมิเกล ลาฟฟาน (Chef Miguel Laffan) 1-Michelin Star จากห้องอาหาร L’ AND Vineyards โปรตุเกส
เชฟชาวโปรตุเกส มิเกล ลาฟฟาน ผู้ซึ่งหลงใหลในศาสตร์และศิลป์ของอาหารของตั้งแต่อายุยังน้อย เขาได้พัฒนาทักษะในการทำอาหารตลอดระยะเวลาที่เดินทางท่องเที่ยวไปต่างประเทศ เขาได้ทำงานในหลากหลายร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ อาทิ Fortaleza do Guincho และ Le Clous de la Violette ในประเทศฝรั่งเศส ก่อนที่เขาจะออกเดินทางไปยังบราซิลและสเปน หลังจากนั้นเขานำทีมเชฟในบูทีคโฮเท็ลในเมือง Funchal และ Madeira ก่อนจะมาลงตัวกับร้านอาหารในเมืองอะเล็นไตย์ฌู ซึ่งเป็นเสมือนบ้านของเขาในปัจจุบัน อิทธิพลนานาชาติช่วยทำให้การทำอาหารของเขามีความหลากหลาย และช่วยให้เขาได้รับมิชลินสตาร์ที่รีสอร์ทหรู L’AND Vineyards เชฟลาฟฟานเป็นหนึ่งในเชฟคลื่นลูกใหม่ที่สร้างสีสันให้กับวงการอาหารโปรตุเกสสมัยใหม่ โดยเขาได้รังสรรค์อาหารหลากหลายโดยใช้ส่วนผสมที่สดใหม่จากในท้องถิ่น ร้านอาหารสไตล์โมเดิร์นเมดิเตอร์เรเนียนแห่งนี้ ตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่งดงามของอะเล็นไตย์ฌู อาหารแต่ละจานจะพาผู้รับประทานออกเดินทางสู่ดินแดนที่ห่างไกลและรสชาติอันน่าตื่นเต้น นอกจากนี้ เชฟลาฟฟานยังได้เคยร่วมงานเทศกาลอาหารนานาชาติไม่ว่าจะเป็น Obsession UK Peixe em Lisboa และ Rota das estrelas Portugal
6. เชฟคริสเตียน คอสตาร์ดิ และ เชฟมานูเอล คอสตาร์ดิ (Chef Christian & Chef Manuel Costardi) 1-Michelin Star จากห้องอาหาร RISTORANTE CHRISTIAN E MANUEL อิตาลี
เชฟสองพี่น้อง คริสเตียน และ มานูเอล คอสตาร์ดิ เกิดในครอบครัวที่สานต่อธุรกิจโรงแรมในแคว้นพีดมอนต์ และถูกพรหมลิขิตกำหนดให้ทั้งคู่ได้เป็นเชฟ คริสเตียน ผู้เป็นพี่ ซึ่งมีอายุมากกว่าน้องชาย 9 ปี หลงใหลในการทำอาหารตั้งแต่อายุยังน้อยและเข้าศึกษาในวิทยาลัยเกี่ยวกับอาหารเมื่ออายุเพียง 14 ปี หลังจากนั้นเขาไต่เต้าขึ้นมาเรื่อยๆ จนได้รับตำแหน่งเชฟอันดับ 2 ณ โรงแรมเรจิน่าในเมืองเวนิส ในวัยเพียง 21 ปี ส่วนมานูเอลผู้เป็นน้องชาย เขาได้ฝึกฝนทักษะการทำอาหารกับเชฟเซอร์จิโอ เมย์ ที่โรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ ในเมืองมิลาน หลังจากนั้น สองพี่น้องได้เดินทางกลับไปยังโรงแรม CINZIA ซึ่งเป็นโรงแรมของปู่ย่า โดยมีความตั้งใจที่จะผสมผสานวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมกับนวัตกรรมใหม่ๆ ที่นี่ เชฟทั้งสองได้นำวัตถุดิบที่ขึ้นชื่อที่สุดของแคว้นอย่างข้าวมาเป็นพระเอก พวกเขาได้รังสรรค์เมนูริซอตโต้ที่ได้รับรางวัลมากมาย มากกว่า 22 แบบ โดยเป็นการผสมผสานอาหารแบบอิตาเลียนดั้งเดิมกับเทคนิคการทำอาหารแบบสมัยใหม่ ในปี ค.ศ. 2009 พวกเขาได้รับรางวัลมิชลินสตาร์ รวมไปถึงได้รับเชิญให้ร่วมงานระดับนานาชาติ และได้รับรางวัลอีกมากมาย ทั้งสองได้ร่วมเป็นกรรมการตัดสินในรายการ TopChef อิตาลี และเป็นทูตให้กับประเทศอิตาลีในงานและเทศกาลเกี่ยวกับอาหารต่างๆ อาทิ World Week ในประเทศชิลี และ เทศกาลไวน์แห่งเมลเบิร์น
7. เชฟเจสัน แทน (Chef Jason Tan) 1-Michelin Star จากห้องอาหาร CORNER HOUSE สิงคโปร์
เจ้าของร่วมแห่งร้าน E J H Corner House อันงดงามในสิงคโปร์ เชฟเจสัน แทน เดินทางก้าวสู่การเป็นเชฟแถวหน้าแบบติดจรวด เขาเริ่มต้นทำงานในร้าน Les Amis อันเลื่องชื่อในสิงคโปร์ และร้านอาหาร Robuchon a Galera (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น Robuchon au dome) ในโรงแรมลิสบัว มาเก๊า ซึ่งได้รับมิชลินสตาร์ระดับ 3 ดาว เชฟแทนฝึกปรือฝีมือและได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเอ็กเซ็กคิวทีฟเชฟ ที่ร้าน “Sky on 57” ณ มารีน่า เบย์ แซนด์ส เมื่อเขามีอายุเพียง 30 ปีเท่านั้น ในปี ค.ศ. 2008 เชฟแทนได้รับตำแหน่ง Bocuse d’Or Champion ในสิงคโปร์ และได้รับรางวัลเหรียญทองแดงที่งาน Bocuse d’Or Asian Selection เขาเป็นตัวแทนของทวีปเอเชียในการแข่งขันระดับโลก Bocuse d’Or ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองลียง ประเทศฝรั่งเศส เชฟแทนมีความหลงใหลในวัตถุดิบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และได้ร่วมพัฒนาการปรุงอาหารแบบร่วมสมัยที่เรียกว่า Gastro-Botanica ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวัตถุดิบทั้งผัก อาหารทะเลและเนื้อสัตว์ ที่มีคุณภาพสูง เชฟแทนมักจะใช้เวลาในการเดินทางท่องเที่ยว เพื่อค้นหาวัฒนธรรมอาหารใหม่ๆ ที่เขาจะสามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจที่ E J H Corner House ของเขา ซึ่งได้รับการจัดอันดับให้เป็นมิชลินสตาร์ระดับ 1 ดาวและเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดของเอเชียอันดับที่ 23 จาก Asia’s 50 Best Restaurants
8. เชฟอนาโตลี คาซาคอฟ (Chef Anatoly Kazakov) จากห้องอาหาร SELFIE รัสเซีย
เชฟสัญชาติรัสเซีย อนาโตลี คาซาคอฟ ได้กล่าวถึงแรงบันดาลใจในการเป็นเชฟของเขาว่า “แม่ของผมทำงานหนักมาก ทำให้ผมจำเป็นต้องทำอาหารกินเอง ตอนผมอายุ 14 ผมตัดสินใจเรียนทำอาหารแบบมืออาชีพเพื่อที่ผมจะได้ทำอาหารเก่งขึ้น เงินเดือนเดือนแรก ผมนำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในตอนนั้น (ปี ค.ศ. 1993) มันมีราคาแพงมาก เท่ากับเงินเดือนของผมทั้งเดือน” ปรัชญาเกี่ยวกับอาหารของเขาคือ มุมมองที่ไม่ธรรมดาของส่วนผสมธรรมดา และความมุ่งมั่นในการปลูกผลิตผลที่ใช้ภายในร้านอาหารของเขาด้วยวิถีแบบอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะส่วนผสมที่มาจากประเทศบ้านเกิดของเขา เชฟผู้มากความสามารถคนนี้ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายจากทั่วโลก ปัจจุบันเขาเป็นเชฟประจำร้านอาหาร SELFIE ในกรุงมอสโคว โดยทำหน้าที่เคียงบ่าเคียงไหล่กับเชฟชื่อดัง วลาดิเมียร์ มูคิน
9. เชฟจอค ซอนฟริลโล (Chef Jock Zonfrillo) จากห้องอาหาร ORANA ออสเตรเลีย
เชฟจอค ซอนฟริลโล มาจากครอบครัวเชื้อสายสก๊อตและอิตาเลียน แต่เขาถือว่าประเทศออสเตรเลียคือบ้านของเขาและมีความผูกพันเป็นพิเศษกับวัฒนธรรมอะบอริจิน ซึ่งมีอิทธิพลต่อผลงานของเขามาก เชฟซอนฟริลโลมีประสบการณ์การทำงานกับเชฟชื่อดังระดับโลกมากมาย อาทิ มาร์โค ปิแอร์ ไว้ท์ เขาเคยทำงานในกรุงลอนดอนและซิดนีย์ ก่อนที่จะเปิดร้านอาหารของตัวเองบนชายฝั่งอันสวยงามของเมืองคอร์นวอลประเทศอังกฤษ เชฟซอนฟริลโลย้ายกลับมาออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2000 โดยได้รับตำแหน่งหัวหน้าเชฟที่ห้องอาหาร 41 เขาเริ่มศึกษาวัฒนธรรมอะบอริจิน ปรัชญา และประเพณีการทำอาหารของออสเตรเลีย หลังจากที่เขาย้ายมาที่เมืองแอดิเลด เขาได้เปิดร้านอาหารอีก 2 แห่งคือ Orana และ Blackwood เชฟซอนฟริลโลถูกทาบทามให้เป็นผู้ดำเนินรายการ “Nomad Chef” ทางช่องดิสคัฟเวอรี โดยรายการนี้จะพาผู้ชมไปค้นพบกับอาหารและวัฒนธรรมของชุมชนที่อยู่ห่างไกลทั่วทุกมุมโลก ตามวิถีของเชฟซอนฟริลโล ความสำเร็จในสายอาชีพของเขาตอกย้ำความมุ่งมั่นในการอนุรักษ์และพัฒนาวัฒนธรรมทางด้านอาหารของออสเตรเลีย และช่วยสนับสนุนธุรกิจของคนท้องถิ่น ผ่านมูลนิธิ Orana ของเชฟซอนฟริลโลซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร
10. เชฟบ็อบบี้ ชิน (Chef Bobby Chinn) เวียดนาม
บ็อบบี้ ชิน ลูกครึ่งชาวจีนและอียิปต์ เกิดที่ประเทศนิวซีแลนด์ จบการศึกษาจากประเทศอังกฤษ เขาเคยทำงานที่สหรัฐอเมริกา จากนั้นได้เดินทางไปทั่วโลกเพื่อหาประสบการณ์และในที่สุดก็ได้ตัดสินใจลงหลักปักฐานที่ประเทศเวียดนามในปี 1996 บ็อบบี้ ชินพัฒนาความสามารถในการปรุงอาหาร ควบคู่ไปกับการมองหารสชาติของอาหารที่แท้จริงจากทั่วโลก ปัจจุบันเขาเป็นที่รู้จักในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารทั่วโลกที่มีความทันสมัย เขาเคยเปิดห้องอาหาร Restaurant Bobby Chinn ที่ฮานอย ในปี 2001 และห้องอาหาร Bobby Chinn Saigon ที่โฮจิมินห์ ในปี 2011 ซึ่งทั้งสองร้านได้รับรางวัลมากมาย ก่อนจะปิดตัวลงและย้ายไปเปิดห้องอาหารแห่งใหม่ The House of Ho ที่ลอนดอน ในปี 2014 ซึ่งเป็นห้องอาหารเวียดนามสไตล์โมเดิร์น นอกจากนี้บ็อบบี้ ชินยังมีอีกสองบทบาทสำคัญคือ เป็นทูตส่งเสริมการผลิตอาหารทะเลอย่างยั่งยืน (Sustainable Seafood Production) ให้กับกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ตั้งแต่ปี 2012 และได้รับการแต่งตั้งให้เป็นทูตส่งเสริมการท่องเที่ยวของเวียดนามในยุโรปในเดือนกรกฎาคม ปี 2014
เทศกาลอาหารและไวน์ เวิลด์ กูร์เมต์ เฟสติวัล ครั้งที่ 18 ในครั้งนี้ประสานงานและควบคุมดูแลโดย โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพ โดยเอ็กเซ็คคิวทีฟเชฟ ยาน แวน เดค (Jan Van Dyk) ร่วมกับ เชฟซาโตชิ ซาวาดะ (Satoshi Sawada) ห้องอาหารญี่ปุ่นชินทาโร่, เชฟนิโค เมทเทิน (Nico Merten) จากห้องอาหารเมดิสัน สเต๊กเฮ้าส์ เชฟวรินธร สัมฤทธิ์ผล จากห้องอาหารไทยสไปซ์ มาร์เก็ต และทีมเชฟจากห้องอาหารอิตาเลียนบิสก็อตติ โดยเชฟรับเชิญแต่ละท่านจะเป็นเจ้าภาพดูแล 2 มื้ออาหารค่ำในหนึ่งห้องอาหารของโรงแรมรวมทั้งรังสรรค์เมนูอาหารจานพิเศษสำหรับ เวิลด์ กูร์เมต์ บรั้นช์ ซึ่งเป็นกิจกรรมที่อลังการและได้รับความนิยมที่สุด โดยในวันนั้นเราสามารถเพลิดเพลินกับการแสดงดนตรีจากเชฟบ็อบบี้ ชิน และเพื่อน ซึ่งจะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 10 ก.ย. 60 (วันสุดท้ายของเทศกาล) นอกจากนี้ยังมีความพิเศษอีกมากมายอย่างการแนะนำกลิ่นน้ำหอมที่นำเสนอคู่กับอาหารจานพิเศษเสิร์ฟเข้าคู่กับไวน์พร้อมชมแฟชั่นโชว์เพื่อเพิ่มอรรถรสในการรับประทาน (Fragrance & Fashion), ประสบการณ์เหนือระดับกับการจิบแชมเปญ (Champagne Journey) และบลูฟรายเดย์ไนท์ (Blue Friday Night) นอกจากนี้รายได้จากการจำหน่ายบัตรรับประทานอาหารมื้อค่ำ 600 บาทต่อ 1 ใบ และรายได้ทั้งหมดจากการประมูลของรางวัล จะนำไปร่วมบริจาคสมทบทุนกองทุนพระวรราชาทินัดดามาตุ เพื่อช่วยลดการติดเอดส์ สภากาชาดไทย ต่อไปอีกด้วย
คงต้องบอกว่า งานเทศกาลอาหารและไวน์ระดับโลกครั้งที่ 18 เป็นอีกงานเทศกาลอาหารระดับโลกที่เราไม่ต้องบินไปถึงต่างประเทศเพียงมาที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพก็สามารถได้ลิ้มลองความอร่อยระดับโลกกันได้แล้ว สุดท้ายถ้าสนใจอยากจะลองชิมฝีมือของเชฟระดับโกลแบบนี้จะต้องสำรองที่นั่งก่อนไปทุกครั้งนะครับ.
ขอบคุณมากครับ
โด้
รายละเอียดงาน
เวิลด์ กูร์เมต์ เฟสติวัล ครั้งที่ 18 / 18th World Gourmet Festival
วันที่ 4-10 ก.ย. 60
website: www.worldgourmetfestival.asia
รายละเอียดโรงแรม
โรงแรม อนันตรา สยาม กรุงเทพ / Anantara Siam Bangkok Hotel
155 ถนนราชดำริ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพ 10330 [เขตปทุมวัน]
155 Rajadamri Road, Lumpini, Pathumwan, Bangkok, Thailand 10330
โทร : 0-2126-8866
website: www.anantara.com
update Promotion & Review สดใหม่ได้ตลอดที่ https://www.facebook.com/reviewnowz
Do is On The WAY
วันศุกร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.34 น.