11-15 ธันวาคม 2557 เป็นการไปพม่าครั้งที่ 2 และได้ตั้งธงไว้ว่าอยากไปซนทีสะพานอูเบ็ง สะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก ที่อมรปุระ ส่วนอื่นๆ จึงเป็นกำไร รูปทั้งหมดถ่ายจากกล้องมือถือ

การเดินทางครั้งนี้เป็นตั๋วที่จองกับหางแดงไว้นานมากจนเกือบจะลืมไปแล้ว ขาออกจากดอนเมืองหางแดงออกตรงเวลา 11:35 ถึงย่างกุ้งก่อนเวลา 15 นาที ครั้งนี้จอดไกลต้องเดินกันพอสมควร เข้ามาตรวจคนเข้าเมืองได้ก็เดินดูเรทเพื่อที่จะแลกเงิน รอบนี้เรทอยู่ที่ 1$ = 1,032 จ๊าด ดีกว่าครั้งที่แล้ว 1$ = 970 จ๊าด ครั้งนี้แลกไปทั้งหมด 200$ เพราะคิดว่าต้องเดินทางไปไกลกว่าเดิมและไม่ต้องกังวลหาที่แลกอีก แลกเงินเสร็จก็จะซื้อซิมมือถือที่สนามบินมีบูธของ Telenor อยู่ แต่ติดป้าย closed ติดเที่ยงไม่สนใจให้บริการลูกค้าที่เครื่องลงช่วงนี้ พอเดินออกมาก็เหมือนเดิมคุณจะโดนแท็กซี่รุม เราเลือกที่จะเดินออกไปจากกลุ่ม และเลือกใช้บริการแท็กซี่ที่ไม่ใช่แท็กซี่สนามบิน เลือกใช้ City Taxi ราคาต่อรองง่ายกว่า เหมาพาไปซื้อตั๋วที่สถานีขนส่ง พาเที่ยวในเมืองย่างกุ้งอีกครึ่งวัน พร้อมกลับมาส่งที่สถานีขนส่งก่อน 1 ทุ่ม 6 ชั่วโมง 20,000 จ๊าด (ปกติราคาเหมาตกอยู่ที่ชั่วโมงละ 5,000 จ๊าด) Joe Jo คนขับแท็กซี่พาไปซื้อตั๋วบริษัทท้องถิ่นไปมัณฑะเลย์ที่ราคา 10,600 จ๊าด


เราบอกโจโจ้ว่าอยากได้ซิมสำหรับเล่นเน็ต เขาแวะให้เราซื้อร้านข้างทาง เราถามเจ้าของร้านว่าเล่นเน็ตเครือข่ายไหนดีกว่ากัน เขาบอกว่า Ooredoo (เขาออกเสียงว่า โอเรดู) ดีกว่า Telenor แน่นอน เราก็เลือกใช้บริการกับ Ooredoo ค่าโทรในประเทศพม่านาทีละ 10 จ๊าด โทรกลับไทยนาทีละ 200 จ๊าด


จากนั้นก็พาเราไปวัดเจ๊าต่อจี (Kyauk Taw Gyi Buddha Temple) บางคนเรียกวัดพระหยกขาว หรือพระหินขาว พระพุทธรูปสูง 11 เมตรโดยเกาะสลักจากหินก้อนเดียวกัน น้ำหนักโดยรวมอยู่ที่ 600 ตัน เป็นพระพุทธรูปเเบบประทับนั่ง โดยที่พระหัตถ์ขวาจะบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่อัญเชิญมาจากสิงคโปร์เเละลังกา โดยที่จะมีพระพุทธบาททั้งซ้ายเเละขวาจัดเเสดงอยู่ที่ด้านหลังอีกด้วย โดยจัดทำจากเศษหยกที่เหลือในการจัดสร้างพระพุทธรูป โดยพระพุทธรูปองค์นี้จัดสร้างสมัยนายพลตานฉ่วยเรืองอำนาจ ซึ่งมีการขุดพบหยกขนาดใหญ่ที่รัฐยะไข่ จึงมีการส่งไปเเกะสลักที่เมืองมัณฑะเลย์ก่อนจะนำมาประดิษฐานไว้ที่วัดเเห่งนี้ โดยมีการเก็บอยู่ในห้องปรับอากาศเพื่อเป็นการรักษาอุณหภูมิไม่ให้หยกเเตก





ลุยไปกันต่อที่เจดีย์กาบาเอ (Kaba Aye Pagoda) ที่นี่คนน้อยและดูสงบดี ได้เห็นคนพม่ามาทำบุญกันเยอะ เป็นเจดีย์ทรงกลม ซึ่งมีทางเข้าทั้งหมดห้าด้านด้วยกัน นายอูนุนายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่า ได้สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่ชำระพระไตรปิฎก






พอออกมาจากวัดก็แวะร้านข้าวข้างวัดเลย หิวแล้ว พอเรานั่งได้สักพักลูกชายเจ้าของร้านเปิดสามโทนให้เราฟังเลยจ้า สักพักก็เปิดมวยคาดเชือกไทย-พม่า กินไปดูมวยไปสนุกไปอีกแบบ มื้อนี้หมดไป 2,000 จ๊าด เป็นมื้อที่อุดมไปด้วยผัก สำหรับคนไม่ชอบกินผักแบบเราก็ต้องกิน แต่ก็อร่อยดี



อิ่มท้องแล้วโจโจ้ ก็ซื้อน้ำดื่มให้บอกให้เราดื่มได้เลย เพราะเขาบอกว่าร้อน ออกจากร้านอาหารก็เดินทางกันต่อมาที่เจดีย์โบตะตาว (Botahtaung Pagoda) เสียค่าเข้า 3$ พร้อมทั้งให้ฝากรองเท้าไว้ด้านในห้องขายตั๋วเลย ที่นี่มีเทพทันใจที่มีแต่คนไทยมาไหว้ ส่วนเราก็แค่เดินไปถ่ายรูปแล้วก็ออกมา เหมือนโจโจ้จะรู้ว่าเราไม่ชอบก็เลยพาเดินชมส่วนอื่นๆ ต่อ






วันที่เรามาเขามีงานวัดพอดีเลย แต่ก็ยังตั้งร้านกันไม่เสร็จ (ยังไม่ปิดถนน) เราบอกโจโจ้ว่าอยากไปดูแม่น้ำย่างกุ้ง เขาก็พาเราเดินไปริมน้ำ อากาศดีมาก เราได้ดูอาทิตย์ตกที่นี่ด้วย ชอบจุดนี้มากจริงๆ



เกือบ 6 โมงแล้วเราก็รีบออกจากที่นี่เพื่อไปสถานีขนส่งต่อรถไปมัณฑะเลย์ การจราจรที่ย่างกุ้งติดหนักมากๆ เรา 2 คนลุ้นกันจนเหนื่อยเลย โจโจ้พาเรามาถึงอีก 10 นาทีรถออก นายท่าก็บ่นทำไมมาช้า โจโจ้ก็จัดการให้หมด พร้อมยกกระเป๋าขึ้นมาเก็บให้เราเรียบร้อย ก็แลกเบอร์กันเราบอกเดี๋ยวกลับมาย่างกุ้งจะโทรหา จากนั้นเราก็หลับยาวมาตื่นที่จุดแวะกินข้าว และขึ้นมาหลับต่อจนถึงมัณฑะเลย์เลย

ตี 5 รถก็ถึงมัณฑะเลย์แล้ว ก็อีกเหมือนเดิมจะมีรถรับจ้างไม่ว่าจะเป็นแท็กซี่หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้างมาเรียกลูกค้า เราเลือกเดินผ่านออกมาก่อน ขอตั้งหลักก่อนดีกว่า งงไปหมดละ สิ่งแรกที่ต้องทำคือจองตั๋วกลับย่างกุ้ง เพราะตั้งใจจะไปบะโกต่อ ขากลับเราได้ตั๋วของ Mann Yar Zar Express ราคา 10,800 จ๊าด แพงกว่าขามา 200 จ๊าด มีเด็กมาเสนอบอกว่าไปดูอาทิตย์ขึ้นที่สะพานอูเบ็งไหม? ไปดูพร้อมส่งโรงแรม East Mandalay 10,000 จ๊าด เราก็ตกลงไปกับเขา (จำชื่อไม่ได้ มารู้ทีหลังว่าน้องยังเรียนหนังสืออยู่ และมาขี่รถพานักท่องเที่ยวไปเที่ยวเพื่อหาเงินไว้ไปเรียน) น้องพาไปที่มอเตอร์ไซค์แล้วก็ดูแลกระเป๋าเราให้จากนั้นก็แว้นซ์ไปที่อมรปุระ เพื่อพาเราไปให้ทันอาทิตย์ขึ้น ระหว่างทางหนาวใช้ได้เลย 15 องศาเอง และแล้วก็มาถึงสักที มีผู้คนมารอชมอาทิตย์ขึ้นกันเยอะเลย เราก็เลือกที่จะเดินเล่นบนสะพานกับบรรยากาศแสนสบาย

สะพานไม้สักอูเบ็งสร้างเพื่อข้ามทะเลสาบตองตะมาน มีความยาว 1.2 กิโลเมตร ได้ชื่อว่าเป็นสะพานไม้สักที่ยาวที่สุดในโลก แต่ก็มีช่วงกลางทะเลสาบได้กลายเป็นเสาและโครงสร้างปูนไปแล้ว





เดินไป-กลับ 2 รอบ ชมวิวจนเพลิน 7 โมงกว่าแล้วเดินกลับไปหาน้องมอเตอร์ไซค์ดีกว่า เริ่มหิวแล้วด้วย น้องพาไปกินร้านอาหารเล็กๆ ริมทะเลสาบเราก็สั่งก๋วยเตี๋ยวกับกาแฟ มื้อเช้า 1,300 จ๊าด น้องเริ่มถามเราว่าอยากไปไหนบ้างเราก็บอกให้น้องนำเสนอมา อืม...น้องเสนอมาเต็ม แต่เราต้องรีบไปให้ทันเรือที่จะไปมินกุงตอน 9 โมง น้องพาเรามาส่งโรงแรมเราก็ check-in แล้วพุ่งลงมาเพื่อให้น้องไปส่งเราที่ท่าเรือไปมินกุง ตกลงราคากันใหม่ที่การเหมาทั้งวัน 20,000 จ๊าด ไปถึงท่าเรือก็ซื้อตั๋วค่าเรือไป-กลับมินกุง 5,000 จ๊าด น้องจะมารอรับตอน 13:30




ล่องเรือในแม่น้ำอิรวดีไปประมาณ 1.5 ชั่วโมง (หลับได้ 1 ตื่น) ก็มาถึงหมู่บ้านมินกุน จุดหมายอยู่ที่เจดีย์มินกุน ทำไมต้องมาดูซากเจดีย์มินกุน เพราะถ้าสร้างเสร็จจะมีความสูง 152 เมตร กว้างด้านละ 150 เมตร และจะเป็นเจดีย์ที่สูงที่สุดในโลก ขนาดสิงห์ที่ยืนหน้าเจดีย์ยังใหญ่มากถ้าสร้างเสร็จต้องยิ่งใหญ่มาก

พระเจ้าโบดอพญาโปรดฯ ให้สร้างในช่วงปี พ.ศ. 2333-2340 หากสร้างเสร็จจะเป็นมหาเจดีย์ที่มีขนาดใหญ่โตมาก เหลือแต่ซากเพราะเหตุแผ่นดินไหวปี พ.ศ. 2381




พอปีนขึ้นไปด้านบนก็จะมีเด็กนักเรียนมาเป็นไกด์ท้องถิ่น น้องๆ ขอไปซื้ออุปกรณ์การเรียน 5,000 จ๊าด วิวด้านบนสวยดี



พอเดินลงมาก็เข้ามาสักการะพระพุทธรูปที่อยู่ด้านในเจดีย์ พร้อมกับโดนให้ไปจ่ายค่าเหยียบแผ่นดิน 3,000 จ๊าด ทุกคนก็โดนตั้งแต่มาถึงแต่เราไปซนข้างบนก่อน



เดินต่อมาชมระฆังมินกุน ระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ยังตีได้อยู่ หลังจาก tsar kolokol bell ที่วิหารอิวานเวลิกิ พระราชวังเครมลิน กรุงมอสโคว์ รัสเซีย แตกไป




เดินต่อมาอีกนิดจะเจอเจดีย์ฉิ่นปหยู่-มยี (Hsinbyume Paya) ที่ได้ชื่อว่า "ทัชมาฮาลแห่งลุ่มน้ำอิรวดี"

เจดีย์ฉิ่นปหยู่-มยี หรือ เจดีย์มยะเต่งต่าน (เมียะเตงดา) ที่พระเจ้าปะจีดอ ทรงสร้างขึ้นในปี พ.ศ.2359 เพื่อเป็นที่ระลึกถึงพระชายาพระนามว่าเจ้าหญิงฉิ่นปหยู่-มยี แนวคิดการสร้างเลียนแบบเขาพระสุเมรุที่มีเขาล้อมรอบเจ็ดลูก รอบองค์สถูปทำซุ้มตั้งรูปสัตว์ในเทพปกรณัม ทำหน้าที่เป็นทวารบาล




เราฝากท้องไว้กับร้านใกล้ๆ แต่ราคาโหดมากก๋วยเตี๋ยวเนื้อ 1 ชาม โค้ก 1 กระป๋อง ราคา 3,500 จ๊าด



ใกล้ถึงเวลากลับแล้ว รีบเดินกลับไปรอที่ท่าเรือดีกว่า ขากลับเรือวิ่งแค่ 40 นาที พอมาถึงน้องก็มารออยู่แล้ว จุดหมายต่อไปพระราชวังมัณฑะเลย์ ค่าเข้า 10,000 จ๊าด หรือ 10$ เข้าไปดูพระราชวังที่สร้างขึ้นมาใหม่เพราะโดนอังกฤษทิ้งระเบิดทำลายในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2

พระราชวังมัณฑะเลย์ ถูกก่อสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้ามินดง ระหว่างปี ค.ศ. 1857-ค.ศ. 1859 หลังการย้ายเมืองหลวงจากอมระปุระมายังมัณฑะเลย์ มีชื่อเรียกในภาษาพม่าว่า မြနန်းစံကျော် (Mya Nan San Kyaw) อันหมายความว่า "พระบรมมหาราชวังมรกตลือเลื่อง" แต่เป็นที่รู้จักกันดีในชื่อ ရွှေနန်းတော်ကြီး อันหมายถึง "พระราชวังทองคำ เป็นพระราชวังที่สร้างด้วยไม้สักทั้งหลัง ได้ชื่อว่ามีความงดงามมากที่สุดแห่งหนึ่งในทวีปเอเชีย มีคูน้ำรอบพระราชวังและประตูที่ยิ่งใหญ่ และเป็นพระราชวังที่สุดท้ายของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์องค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์คองบองและในประวัติศาสตร์พม่า เมื่ออังกฤษเข้ายึดครองพม่าในสงครามโลกครั้งที่สอง ทางอังกฤษคิดว่าพระราชวังนี้เป็นแหล่งซ่องสุมของทหารญี่ปุ่น จึงได้ทำลายพระราชวังเสียด้วยการทิ้งระเบิดจากเครื่องบินในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1945 พระราชวังตกอยู่ในความเสียหายมาโดยตลอด จนปัจจุบันได้รับการบูรณะโดยรัฐบาลพม่า โดยการลอกแบบโครงสร้างเดิม และเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของมัณฑะเลย์






เดินชมวังที่สร้างขึ้นมาใหม่เสร็จแล้วน้องก็พามาที่วัดชเวนันดอว์ (Shwenandaw Monastery) ที่นี่ใช้บัตรผ่านใบเดียวกับพระราชวังมัณฑะเลย์ วิหารชเวนันดอว์ เป็นพระตำหนักเก่าของพระเจ้ามินดง โดยพระองค์ทรงย้ายมาจากเมืองอมรปุระ เมืองหลวงเก่ามาที่สร้างราชธานีใหม่ที่เมืองมัณฑะเลย์

พระองค์ใช้พระตำหนักแห่งนี้เป็นที่ปฏิบัติธรรมและประทับนั่งสมาธิ สุดท้าย พระองค์สิ้นพระชนม์ที่นี่ จากนั้น พระเจ้าสีป่อ พระราชโอรสจึงได้ย้ายตำหนักนี้ออกจากเขตพระราชวังมัณฑะเลย์มาที่วัดนี้ ซึ่งปัจจุบันคือวัดมณเฑียรทองหรือวัดชเวนันดอว์





แล้วก็มาต่อที่วัดกุโสดอ (Kuthodaw Pagoda) ภายในวัดมีเจดีย์มหาโลกมารชิน (Maha Lawka Marazein) ใช้บัตรผ่านใบเดิม เป็นวัดที่สร้างขึ้นพร้อมๆ กับการสร้างเมืองในปี พ.ศ. 2400 โดยพระเจ้ามินดง ที่นี่เป็นอนุสรณ์แห่งการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 4 พระเจ้ามินดง ทรงให้จารึกพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อน 729 แผ่น ถือเป็นพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลก และถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่มีการบันทึกพระไตรปิฎกเป็นภาษาบาลี และได้นำมาประดิษฐานในมณฑป อยู่รอบ “พระเจดีย์มหาโลกมารชิน” มีความสูง 30 เมตร ซึ่งจำลองรูปแบบมาจากพระมหาเจดีย์ชเวสิกองแห่งเมืองพุกาม





ลุยต่อมาที่วัดเจ๊าต่อจี (Kyauktawgyi Temple) สักการะพระหินอ่อน สร้างขึ้นโดยพระเจ้ามินดง วัดเจ๊าต่อจี หรือที่ชาวพม่าจะเรียกกันว่า "วัดตองตะมันจอกทอขยี" มีอายุอานามปาเข้าไปกว่า 250 ปี จุดเด่นของวัดนี้คือองค์พระประธานศิลปะพม่าในยุคคองบอง ที่มีความสวยงามสมบูรณ์แบบตามแบบพุทธศิลป์พม่าทุกอย่าง และมีจิตรกรรมฝาผนังซึ่งนักท่องท่องเที่ยวชาวไทยอาจจะดูแล้วคุ้นตาเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการผสมผสานกับศิลปะของไทยอย่างสวยสดงดงามและลงตัว


แรงยังไม่หมดก็ไปซนกันต่อไป ปิดท้ายวันด้วยการปีนเขามัณฑะเลย์ (Mandalay Hill) ต้องใช้คำว่าเดินตามบันไดขึ้นไปจะดีกว่า สูงเอาเรื่อง แต่สนุกมากๆ จริงๆ รถสามารถขึ้นได้เกือบถึงด้านบนนะ แต่น้องอยากให้เราสัมผัสทุกอย่างเต็มที่ ระหว่างทางเดินก็เห็นอะไรมากมาย สนุกสนานกันไป ถึงด้านบนก็ได้ชมอาทิตย์ตกด้วย







ลงเขามาแล้วน้องก็พามาส่งโรงแรมพร้อมกับนัดว่าเช้าพรุ่งนี้ตี 4 ไปดูพิธีล้างหน้าพระมหามุนีกัน เราจ่ายเงินสำหรับวันแรกก่อน น้องบอกจะเอาเงินไปให้แม่ เมื่อเช้าเรายังแทบไม่ได้เห็นห้องเลยนะ ตอนนี้มาดูกันว่าโรงแรม East Mandalay เป็นอย่างไร? เราจองผ่าน agoda ไปในราคาพิเศษลด 50% เหลือ 25$ แถมเขาเห็นเรามาคนเดียวก็อัพเกรดห้องให้เราอีก สภาพห้องดี สะอาด มีอ่างอาบน้ำด้วย


อาบน้ำเสร็จก็ออกมาซนรอบพระราชวังมัณฑะเลย์ คนพม่าก็มาวิ่งออกกำลังกายกัน มีเครื่องออกกำลังกายอยู่หลายจุด ถ้าถามหาอาหารการกินรอบๆ จะมีอยู่หลายร้าน เลือกกินได้ตามชอบเลย ราคาปกติ 1,000-1,500 จ๊าด ต่อจาน (ไม่ได้ถ่ายรูปไว้ มือถือแบตหมด) ค่ำๆ รอบพระราชวังมัณฑะเลย์สวยดี อากาศเย็นสบาย


เช้านี้เราต้องไปดูพิธีล้างหน้าพระมหามุนีตั้งปลุกไว้ตี 3 ครึ่ง หนาวมาก ก็เลยได้แค่ล้างหน้า แปรงฟัน แล้วรีบลงไปด้านล่างเลย น้องมารอเราก่อนอีกแล้ว แว้นซ์กันไปไม่ไกลนักก็ถึงวัดแล้ว คนเยอะพอสมควร ทัวร์คนไทยทั้งนั้น พอใกล้ตี 4 ครึ่งเจ้าอาวาสก็เดินเข้ามาผู้คนก็ถวายของกัน



พอประตูโบสถ์เปิดเราก็ย้ายตัวเองไปนั่งเบียดกับหม่องพม่า เพื่อรอดูพิธีล้างหน้า พอเริ่มพิธีท่านก็คลุมผ้าก่อน จากนั้นทำความสะอาดปากเหมือนแปรงฟัน แล้วก็ล้างหน้ากว่าจะเสร็จหม่องหนีไปหมดแล้วเหลือแต่คนไทยล้วนๆ ที่รอจนจบ น้ำที่ล้างหน้าจะถือมาในขันเห็นหม่องพม่าควักแล้วพรมหัวเราก็ทำบ้าง บางคนอาจจะเอาผ้าไปฝากเจ้าหน้าที่เช็ดหน้าพระมหามุนี เราไม่ได้ถ่ายวิดิโอเพราะเกรงใจคนข้างหลัง ที่ต้องมีมือเรามาบัง ก็เลยเลือกถ่ายภาพนิ่งเป็นระยะๆ แทน (เรานั่งในคอกหน้าประตูเลย ด้านหลังยังมีคนอีกเยอะ)





เขาอนุญาตให้ผู้ชายเข้าไปปิดทองได้ เดินไปหาซื้อทองของทางวัดที่จัดไว้ให้ แล้วก็ต่อคิวกับคนพม่า อยู่ด้านบนเขาไม่อนุญาตให้ถ่ายรูป เราปิดทองเสร็จก็ลงมาถ่ายด้านล่างก่อนออกจากวิหารพระมหามุนี



พอเสร็จพิธีน้องก็ไปส่งเราที่โรงแรม นัดกันอีกครั้ง 8 โมง เรากลับมาก็เก็บกระเป๋า ลงมากินอาหารเช้า และกลับขึ้นไปอาบน้ำ ปรากฎว่าน้ำไม่ไหล พนักงานพยายามแก้ไขให้แล้ว แต่มันไม่ทันความต้องการของเราละ วันนี้ตั้งใจจะไปหลายที่มาก แถมยังอยู่นอกเมืองอีกก็เลย check-out ไปเลย


พอลงมาเจอน้องเปลี่ยนมอเตอร์ไซค์คันใหม่มา บอกว่าวันนี้เราไปกันไกลรถเขาไม่ค่อยดีเลยเปลี่ยนมาใหม่เป็นรถแม่น้องเขา เช้านี้น้องพามาวัดชเวอิ่นปิ่นจาว (Shwe In Bin Kyaung) วัดนี้สวยมาก ทั้งงานไม้ที่งดงาม และพระพุทธรูป สร้างโดยพ่อค้าหยกชาวจีนในปี 243






หลังจากชื่นชมวัดเสร็จน้องมอเตอร์ไซค์สตาร์ทรถไม่ติดซะงั้น น้องไม่มีแรงสตาร์ทด้วยเท้า ต้องให้คนอื่นมาช่วย (เราก็สตาร์ทเท้าไม่เป็น) ระหว่างทางที่น้องแว้นซ์ไปเริ่มออกนอกความเจริญของมัณฑะเลย์แล้ว ถนนหนทางก็ไม่ดี เป็นหลุมเป็นบ่อ แต่ถ้ามากับแท็กซี่ที่เป็นรถยนต์จะไม่ได้มาทางเดียวกัน สักพักก็มาถึงแหล่งทำพระพุทธรูป แบบยืนดูอยู่สักพักเขาทำเร็วมาก น้องบอกแถวนี้ราคาถูกและมีหลายร้านให้เลือกตามความพอใจ



ก่อนไปกันต่อน้องถามว่าอยากแวะที่ทำหุ่นกระบอกไหม มีงานไม้อื่นๆ ด้วย เรารีบบอกทันทีเลยว่าแวะ เราชอบหุ่นกระบอกที่นี่ (รอบที่แล้วขนมา 4 ตัว รอบนี้ก็อีก 2 ตัวใหญ่แต่ไม่ใช่ร้านนี้)



แล้วเราก็ไปกันต่อเพื่อให้ทันพระฉันเพลที่วัดมหากันตายน (Mahagandayon Monastery) เป็นโรงเรียนสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดในพม่า ที่นี่มีมุมซื้อของร่วมถวายเพล หรือใครจะซื้อติดไม้ติดมือไปร่วมกับทางวัดก็ได้ เห็นทัวร์ไทยก็ขนจากไทยไปร่วมถวายเพล

ข้อห้าม (จำได้นิดหน่อย)

- ห้ามส่งเสียงดัง (หลายคนทำไม่ได้)

- ห้ามเดินตัดขบวนพระ-เณร (ก็มีคนเดินตัดเพื่อจะไปถ่ายรูป)

- เวลาถ่ายรูปอย่าทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม (ก็แอบเห็นมีคนทำ)





ใครจะไปวัดนี้ติดอาหารสำหรับน้องหมาในวัดไปด้วยนะ น้องหมาผอมมากจนหนังติดกระดูกเลย เราพยายามเดินหาซื้อแล้ว ใกล้ๆ วัดไม่มีอะไรขายเลย นอกจากหนังสือ และเครื่องสังฆทาน


หลังจากออกจากวัดน้องก็พาเราไปสะกาย (Sagaing) ต่อเลย ระหว่างทางก็แวะถ่ายรูปก่อนข้ามสะพานไปเมืองสะกาย




และแล้วก็เหมือนเดิมน้องบอกให้เราปีนขึ้นสะกายฮิลล์เอง (Sagaing Hill) ใช้เวลาให้เต็มที่ 2-3 ชั่วโมง เดินดูวัดวาและวิวให้ทั่ว








ปีนลงมาถึงด้านล่างบ่นหิวกับน้อง น้องบอกเดี๋ยวพาไปกินที่ท่าเรือไปอังวะ (Inwa) แว้นซ์กลับข้ามสะพานมา แล้วก็เลี้ยวไปตามทางที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ ชอบถนนสายนี้มาก เขียว (ภาพสั่นมากไปหน่อย ถ่ายตอนมอเตอร์ไซค์วิ่ง)



พอมาถึงท่าเรืออังวะ มีร้านอาหารอยู่ร้านเดียว (คิดในใจแพงแน่เลย) เราก็ชวนน้องกินข้าวด้วยกันน้องบอกว่า เดี๋ยวเขาจัดการเองให้เราตามสบายเลย เราก็สั่งข้าวผัดหมู กับแกงหมู และโค้ก แอบฟังโต๊ะข้างๆ สาวจีน 2 คนสั่งก๋วยเตี๋ยวน้ำกับโค้ก 3,000 จ๊าด แล้วเราละเยอะกว่าอีก พอกินไปใกล้จะหมดเขาก็เอาแตงโมมาให้อีก 1 จาน (คิดในใจต่อสงสัยจะโดนเยอะ มีของแถมปลอบใจอยู่โต๊ะเดียว) พอเรียกเก็บเงิน 3,500 จ๊าด เห้ย...ถูกกว่าที่คิดเยอะ




ถ้าใครจะมาอังวะให้มากินข้าวร้านนี้นะ เพราะทางร้านเลี้ยงข้าวคนขับรถทุกคนฟรี จากนั้นก็ถึงเวลาลุยข้ามฝั่งไปอังวะ เขาไปจ่ายค่าตั๋วเรือที่ซุ้มข้างขวาก่อนลงท่าเรือ พอข้ามไปฝั่งอังวะก็จะมีรถม้าจอดรอให้บริการอยู่เยอะมาก 2 ชั่วโมง 5,000-6,000 จ๊าด เราไม่ได้นั่งนะ เรานั่งมอเตอร์ไซค์เพราะอยากทำเวลาสรุปราคากันที่ 4,000 จ๊าด

ที่แรกในเกาะอังวะคือวัดมหาอ่อง-มเหย่ป่งสั่นจาว (Maha Aung Mye Bonzan Kyaung) ที่นี่ใช้บัตรผ่านใบเดียวกับพระราชวังมัณฑะเลย์ (ห้ามทิ้งเด็ดขาด)






จากนั้นก็แว้นซ์ไปกันต่อที่หอเอนแห่งอังวะ เอนจริงๆ เราไม่ได้ถ่ายเอียง (ถึงปกติจะชอบถ่ายเอียงก็เถอะ)




พอเสร็จออกมา เอ้า...มอเตอร์ไซค์หาย ไปไหนทำไมไม่บอก เดินงงๆ อยู่แม่ค้าก็บอกให้มานั่งรอเดี๋ยวเขามา พอกลับมาก็ไปกันต่อที่วัดยาดานาซินมยี (Yadana Sinme)




เดินมาเจอมุมนี้ ดีงามมาก ชอบที่สุด



แล้วก็ไปต่อที่วัดบากะยะจาว (Bagaya Kyaung) ตอนเดินเข้าไปเด็กๆ และเณรกำลังเรียนหนังสือกันอยู่ด้วย ทุกคนเลยต้องเงียบ ภายในบริเวณวัดมีศาลาไม้แกะสลักแบบอังวะด้วย





จากนั้นคนขับมอเตอร์ไซค์ก็แถมให้อีกที่คือ Daw Gyan Pagoda Complex




4 โมงเย็นแล้ว ถึงเวลาข้ามเรือกลับสักที น้องมอเตอร์ไซค์บอกเราว่าจะพาไปดูอาทิตย์ตกที่สะพานอูเบ็งอีกครั้ง เราเลยต้องรีบ ขับกลับเข้ามาที่สะพานน้องก็จอดให้เราเดินเอง วันเสาร์และเป็นวันพระคนพม่าและพระ-เณรจะออกมาเดินเที่ยวพักผ่อนบนสะพานเยอะมาก แต่ก็สนุกไปอีกแบบ น้องรู้ว่าเราชอบอูเบ็งเลยพามาชมทั้งอาทิตย์ขึ้นและตก





จากนั้นเราก็แวะกินมื้อเย็นที่ร้านก๋วยเตี๋ยวร้านเดิม แต่รอบนี้แม่ค้าใจดีแถมเครื่องให้เยอะมาก แถมยังให้ชาร์ตมือถือฟรีด้วย (ทุกร้านค้า หรือบริษัทรถทัวร์ทุกที่ชาร์ตฟรีหมด) อิ่มแล้วน้องก็มาส่งเราที่สถานีขนส่ง น้องบอกเจ้าหน้าที่บริษัทรถทัวร์ว่าเราขออาบน้ำ (เป็นคนเดียวที่มาขออาบน้ำที่นี่) เราจ่ายค่าพาเที่ยว 25,000 จ๊าด และให้พิเศษเพิ่มอีก 5,000 จ๊าดสำหรับการบริการที่ดี พอรถออกเราก็หลับเลย เหนื่อยมากๆ

ถึงสถานีขนส่งที่ย่างกุ้งตี 5 เช้ามาก วันนี้ตั้งใจจะไป Bago หรือหงสา เดินหารถมีแต่รถไม่มีแอร์แถมราคาแพงมากด้วย 4,000 จ๊าด แต่ช่างเถอะไม่อยากเดินละ ถึงเวลาขึ้นรถก็หลับได้สักชั่วโมงก็สดชื่นขึ้น เราจำได้ว่านั่งรถ 2-4 ชั่วโมงและแต่ว่าคันไหนหวานเย็นกว่ากัน คันที่เรานั่งหวานเย็น เราก็คิดว่า 4 ชั่วโมงแน่ๆ ก็มีคนขึ้น-ลงตลอดทางเลย 4 ชั่วโมงก็แล้ว 7 ชั่วโมงเขาก็จอดคนบนรถบอกว่านี่คือ downtown เอ๊ะ...ทำไมไม่คุ้นเหมือนในหนังสือละ พอลงไปดูป้าย เห้ย...เรามา Hpa Ann ทำไม ดูแผนที่อีกทีมันติดชายแดนไทยเลยนะ แว้บแรก หรือเราจะกลับไทยเลยดีนะ แต่ไม่เอาดีกว่าวันพรุ่งนี้เราตั้งใจไปสิเรียม หรือตั่นหลินอีก นั่งรถกลับรอบบ่ายโมง คนขายตั๋วบอกถึงย่างกุ้ง 2 ทุ่ม ก่อนกลับก็เลยถ่ายหอนาฬิกาเป็นที่ระลึกในการหลงทางสักหน่อย



รถแล่นไปจน 1 ทุ่มสัญญาณมือถือก็กลับมาเรารีบโทรหาโจโจ้ แท็กซี่ที่ย่างกุ้งให้มารับเลย เหนื่อยมากอยากพัก แถมเงินจ๊าดก็หมดอีก เราให้เขาคุยกับคนบนรถไปบอกว่าเราไปไหนและจะจอดตรงไหน กว่ารถจะมาถึงที่สถานีขนส่งก็เกือบ 3 ทุ่มแล้ว โจโจ้มายืนรอเราเกือบ 2 ชั่วโมง เราก็บอกเขาไปว่าจะไปแลกเงินพร้อมกับหาโรงแรมให้ด้วย เขาพาเรามาแลกที่สนามบินแต่มาช่วงที่เขาพัก 1 ชั่วโมงพอดีก็เลยต้องออกมานั่งกินข้าวรอ มื้อนี้ให้โจโจ้ออกเงินให้ก่อน เป็นร้านอาหารที่อยู่ตรงข้ามสนามบินย่างกุ้งเลย ราคาเอาเรื่องอยู่กับข้าว 2 อย่าง เบียร์ 4 แก้ว 10,000 จ๊าด



พอแลกเงินได้เสร็จโจโจ้ก็มาส่งเข้าที่พัก สภาพห้องโอเคเลย เพราะเหนื่อยมากไม่อยากไปไหนแล้ว เช้าวันรุ่งขึ้นนัดกัน 6 โมงเพื่อไปตั่นหลินหรือสิเรียมอีก


เช้าวันที่ 5 (วันสุดท้ายที่พม่าในรอบนี้) 6 โมงเช้ามี Morning Call มาบอกว่าแท็กซี่มารอแล้ว เราก็บอก 5 นาทีจะลงไป ปรากฎว่าเขาขึ้นมาตามถึงห้องเลยเชียว ก็ดีมาช่วยยกของไปด้วยไม่ไหวแล้วหนัก หุ่นกระบอก 2 ตัวใหญ่มันหนักมาก รถออกเดินทางออกนอกย่างกุ้งไปเรื่อยๆ เห็นป้ายตั่นหลินแล้วมาถูกทางละ ที่นี่เป็นเมืองที่เป็นจุดบรรจบระหว่างแม่น้ำอิรวดีกับแม่น้ำย่างกุ้ง วันนี้ตกลงราคาเหมาที่ 40,000 จ๊าด (รวมกับเมื่อคืนที่ไปรอและรับ-ส่งจนถึงโรงแรม) ที่แรกของวันเป็นเจดีย์กลางน้ำเจ๊าตันเยเลพญา (Kyaik Hmaw Wun Ye Lai Pagoda) ค่าเรือข้ามฝากไป-กลับ 5,000 จ๊าด ค่าเข้าอีก 2,000 จ๊าด





กลับเข้าฝั่งมาก็มาจัดมื้อเช้าเป็นขนมจีนหยวกกล้วย เคยกินที่สังขละบุรีแล้วอร่อย มาที่นี่หยวกกล้วยมาเป็นท่อนเลย ได้อารมณ์มาก



หลังจากอิ่มแล้วก็ปีนขึ้นวัดที่อยู่ตรงข้ามเจดีย์กลางน้ำ แต่อยู่ฝั่งขึ้นไปเพื่อที่จะดูเจดีย์กลางน้ำจากมุมสูง (จำชื่อวัดไม่ได้)





ลุยไปกันต่อที่เจดีย์ไจ๊ท์คอด (Kyaik Khauk Pagoda) ใหญ่มากเห็นเด่นเป็นสง่าเลย




แล้วก็กลับเข้าย่างกุ้งเที่ยววัดอีก 2 แห่งที่จำชื่อวัดไม่ได้ทั้งสองวัด

วัดแรก





วัดที่สองข้ามเรือไปค่าเรือ 200 จ๊าด





จากนั้นก็ข้ามฝั่งกลับมาและนั่งรถต่อไปวัดชเวตอเมียต (Swe Taw Myat Pagoda) วัดนี้ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วจำลอง





โจโจ้พาไปอีกวัดที่คนไทยมาสร้างเจดีย์และระฆังไว้ (จำชื่อไม่ได้อีกแล้วหลายปีแล้วเนอะ)




และก็พาเราไปเจดีย์ทรงบากันที่สูงและใหญ่ที่สุดในย่างกุ้ง (โจโจ้บอกอย่างนั้น) ตอนนี้ได้รับทุนในการบูรณะจากญี่ปุ่นอยู่ ชื่อว่า Yangon Thatbyinnyu Temple หลายคนคงสงสัยทำไมชื่อเหมือนที่บากันหรือพุกาม เพราะเขาถอดแบบมาจากที่นั่น ตอนเราไปข้างในยังก่อสร้างไม่เสร็จเลย เดินเข้าไปนี่วัสดุเยอะ แถมคนงานก็พักอยู่ด้านใน เราไม่ได้อยู่นานเกรงใจเขาที่กำลังพักผ่อน




จบท้ายทริปนี้ด้วยการกลับมาที่วัดเจ๊าต่อจี (Kyauk Taw Gyi Pagoda) บางคนเรียกวัดพระหยกขาว หรือพระหินขาวอีกครั้ง รอเวลาเครื่องออก เพราะแอร์เอเซียเลื่อนเวลาจาก 20:55 เป็น 21:30




2 ทุ่มก็ออกจากวัด ก่อนขึ้นรถโจโจ้บอกว่าจะซื้อของขวัญให้ แล้วก็ไปซื้อเสื้อมาให้ 2 ตัว ไซส์เล็กกว่าที่เราใส่ 1 ไซส์แต่ก็ใส่ถ่ายรูปกับโจโจ้ที่สนามบินก่อนกลับ



ขากลับรอบนี้เราแค่อยากทดสอบการให้บริการของแอร์เอเซียก็เลยใส่โสร่ง คีบแตะ ถือถุงพลาสติกใบใหญ่ (ใส่หุ่นกระบอก) ไป check-in พนักงานภาคพื้นจัดการได้ดี ไม่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเลือกให้บริการเหมือนทริปครั้งก่อน แต่แค่พนักงานไม่ยิ้มเท่านั้นเอง


ทริปนี้เหนื่อยมากที่นั่งรถผิด แล้วทำให้แผนในการสักการะ 5 มหาบูชาสถานของพม่าขาดไป 1 ที่ คือ เจดีย์ชเวมอร์ดอว์ที่เมืองหงสาวดี เรากลับไปพม่าอีกครั้งและเป็นทริปที่สนุกอีกเช่นเคย


ติดตามทริปเดินทางอื่นๆ ได้ที่

เพจ : ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

IG : prapat / ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว





ตะลุยเดี่ยวแบกเป้เที่ยว

 วันพุธที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2560 เวลา 00.03 น.

ความคิดเห็น