สวัสดีค่ะห่างหายจากการเขียนกระทู้ไปพักใหญ่ วันนี้กลับมาเล่าเรื่องราวการเดินทางท่องเที่ยวไทยต่อ ทริปนี้ไปที่เดิมกับกระทู้แรก นั้นคือ จังหวัดน่าน เมืองที่มีมนต์เสน่ห์รู้สึกคิดถึงอยากไปเยือนทุกครั้งที่มีโอกาส แม้ว่าจะไปในที่เดิมซ้ำ ๆ ก็ไม่รู้สึกเบื่อ เพราะทั้งเมืองทั้งคนน่ารักมาก ๆ แต่ครั้งนี้พิเศษนิดนึง ลำบากกว่าทุกครั้งด้วย เราได้ไปที่ที่ยังไม่เคยไป และอยากไปมาก ๆ ทริปนี้วางแผนจองตั๋วล่วงหน้าคนเดียวตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ไป ๆ มา ๆ ได้สมาชิกไปด้วยอีก 3 สนุกสนานไปอีก



เราเดินทางโดยเครื่องบินถึงสนามบินเกือบ 9 โมงเช้า นัดรับรถไว้ 11 โมงกับบริษัท Avis เพื่อมาคืนวันกลับก่อน 15 น.(คืนรถช้าได้ฟรี 4 ชั่วโมง เรากลับไฟท์ประมาณ 16 น.) เวลาระหว่างรอรับรถเช่าเราฝากของที่เคาน์เตอร์รถเช่า แล้วนั่งแท๊กซี่ไปลงบริเวณหน้าร้านเฮือนฮอม เพื่อหาอะไรรองท้อง แต่ร้านก็หยุดหนีเราไป จึงไปหาร้านอื่นกันเดินไปข้างหน้าเรื่อย ๆ ไม่ไกลเจอร้านก๋วยเตี๋ยวจัดไปคนละ 2 ชาม อร่อยมากแต่จำชื่อร้านไม่ได้ค่ะ อิ่มแล้วเราก็เดินย้อนกลับ เพื่อไปวัดภูมินทร์ บริเวณนี้มีสถานที่สำคัญใกล้กัน เช่น วัดมิ่งเมือง (ศาลหลักเมือง), วัดภูมินทร์, วัดพระธาตุช้างค้ำ,พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ น่าน,วัดหัวข่วง, ศูนย์บริการการท่องเที่ยว เดินเที่ยวได้สบาย ๆ กว่าเราจะหาร้านกินข้าว ถ่ายรูปในวัดภูมินทร์ก็ใกล้เวลา 11 โมงแล้ว จึงโทรนัดให้แท๊กซี่มารับที่หน้าวัดภูมินทร์ อัตราค่าโดยสาร จากสนามบิน มาตัวเมือง 100 บาท นั่งกันมา 4 คน ประหยัดกว่านั่งสองแถวค่ะ ลุงขับแท๊กซี่ใจดีมาก บริการขับรถนำเที่ยวทั่วจังหวัดน่านด้วย มีทั้งรถแท๊กซี่และรถสองแถว สนใจบริการเบอร์นี้เลย 089-9556537 แฟนเพจก็ลิงค์นี้ค่ะ https://www.facebook.com/nanrodrubjang/?fref=ts

รับรถเช่าเรียบร้อยได้รถ city ค่อนข้างใหม่ เช่าทั้งหมด 2 วัน รวมประกันชั้น 1 อุ่นใจท่องเที่ยวอย่างสบายใจ



วันแรก บ้านสันเจริญ นอนโฮมสเตย์ไร่กาแฟ ชมหมอกดอยสวนยาหลวง



เราติดต่อพี่กริช เพจท่องเที่ยวดอยสวนยาหลวงไว้ ฝนตกหนักที่น่านตั้งแต่เราออกจากหอพักที่กรุงเทพแล้ว พี่กริชคอยรายงานสภาพอากาศตลอด ช่วงหน้าฝนรถจะขึ้นดอยไม่ได้เนื่องจากสภาพถนนที่ไม่อำนวย เราจำเป็นต้องเดินเท้าตั้งแต่สุดถนนคอนกรีตของหมู่บ้านขึ้นไปบนที่พักไร่กาแฟด้านบน และช่วงเช้ามืดจึงเดินต่อขึ้นไปชมหมอกบนยอดดอยสวนยาหลวง แต่ดูจากสภาพอากาศแล้วฝนน่าจะตกตลอดทั้งวันทั้งคืน ฟ้าปิดโอกาสจะได้เห็นหมอกคงริบรี่ พี่กริชให้เราตัดสินใจกันว่าจะเปลี่ยนแผนไปเที่ยวที่อื่นก็ได้ หรือจะตามเดิมแต่ต้องเดินเองแบกสัมภาระของตัวเองด้วย ส่วนหมอกนั้นอาจจะไม่ได้เห็นอย่างที่คาดหวัง ฝนก็ยังตกเล็กน้อย แต่เราก็มาถึงขนาดนี้แล้วก็อยากจะไปต่อเผื่อโชคดีฝนหยุดตกให้ได้เจอหมอกสวย ๆ เป็นไงเป็นกัน พี่กริชแจ้งว่าต้องเดินเท้าขึ้นเขาไปที่พักประมาณ 5 กม. ตอนเช้ามืดเดินขึ้นดอยสวนยาหลวงอีก 5 กม. ก็คิดว่าไม่น่าไกลมากคงพอเดินได้ เคยเดินม่อนจองเมื่อปลายปีที่แล้วก็ยังไหวอยู่ ตกลงตามนั้นก็จอดรถไว้ที่โรงกาแฟพี่กริช และกระโดดขึ้นรถกะบะพี่กริชไปยังจุดที่ต้องเดิน เนื่องจากสภาพทางเดินต้องลื่นและเละมากพี่กริชพาพวกเราไปซื้อรองเท้าสตั๊ดดอยยึดจับพื้นได้ดี กันน้ำเข้าเท้าได้ด้วย ราคาเพียง 70 บาท สีเหลืองวินเทจเก๋มาก



(สดั๊ดดอย)


เราเริ่มเดินเท้าขึ้นไปด้านบนท่ามกลางสายฝน ไม่ได้ถ่ายรูประหว่างทางไว้ เพราะกลัวกล้องพัง พี่กริชถ่ายรูปจากมือถือส่งให้รูปนี้

ระหว่างทาง ถ่ายโดยพี่กริช


ระหว่างเดินรู้สึกหิว น้ำดื่มก็ลืมเตรียมมาด้วย เจออะไรกินได้ พี่กริชก็ช่วยเก็บมาให้ ทั้งเงาะ ฝรั่ง หรือแม้แต่เมล็ดกาแฟที่สุกก่อนฤดูเก็บเกี่ยวก็ยังอร่อย พอได้ประทังความกระหายจนถึงปลายทาง เก็บหน่อไม้ข้างทางไปทำอาหารเย็นนี้ด้วย กิโลเมตรสุดท้ายมีน้ำตกธรรมชาติดื่มได้ เย็นสดชื่นมาก รวมระยะเวลาพี่เราใช้เดินและแวะพักบ้างกว่าสามชั่วโมง รู้สึกเหนื่อยและหนักกระเป๋าที่สะพายอยู่ เหนื่อยยิ่งกว่าเดินขึ้นม่อนจองซะอีก อาจจะเป็นเพราะเราต้องแบกของเอง และทางก็มีช่วงที่ชันหลายช่วง ถึงที่พักแล้วเราอาบน้ำพักผ่อนตามอัธยาศัย ส่วนพี่กริชและคุณน้าที่รออยู่โฮมสเตย์นั้นช่วยกันทำอาหารเย็นให้พวกเราได้รับประทาน



พี่กริชจัดแจงอาหารที่ทำเสร็จแต่ละอย่างลงบนโต๊ะที่มีใบตองรอง อาหารทุกอย่างน่ารับประทานมาก ๆ และเยอะมาก ๆ ตามคำขอของสี่สาวผู้หิวโหย เป็นอาหารที่อิ่มอร่อยที่สุดมื้อนึงในชีวิตเลย โฮมสเตย์ที่เราพักนั้นเป็นบ้านไม้รายล้อมไปด้วยสวนกาแฟของชาวบ้านสันเจริญ มีห้องน้ำแยกออกจากตัวบ้าน พลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานจากโซล่าเซลล์ ทำให้บ้านหลังนี้มีหลอดไฟส่องสว่าง วันที่เรามาฝนตกตลอดทั้งวันไม่มีแสงแดดพลังงานที่เก็บได้อาจไม่เต็มที่



กินข้าวอิ่มฝนก็ยังไม่หยุดตกสองทุ่มกว่าแล้ว ไม่มีอะไรทำเราก็นอนกันดีกว่า โซเซียลนี้มีสัญญาณทรูดี ค่ายอื่นมาพัก ๆ แต่เราก็ไม่ได้ต้องการอะไรไปมากกว่าการได้นอนพักจากความเหนื่อยล้า เก็บแรงเดินขึ้นไปบนดอยสวนยาหลวงในวันรุ่งขึ้น ด้วยความไม่มีโชค และฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล ฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเราจึงนอนต่อยันเช้าไม่ได้เดินขึ้นไปบนยอดดอย เสียงฝนก็ยังคงตกขึ้นไปด้านบนคงไม่เห็นอะไรแน่ ๆ ตื่นมาล้างหน้ากินข้าวต้ม กาแฟดริป นมคาราเมล อิ่มแล้ว ก็เก็บของพร้อมเดินกลับไปข้างล่าง


เดินลงสบายกว่าเดินขึ้นใช้เวลาประมาณสองชั่วโมง ถึงที่จอดรถของไกด์ดีใจหายเหนื่อย พี่กริชขับรถพาเราไปเล่นน้ำที่น้ำออกรูในหมู่บ้าน ตาน้ำขนาดใหญ่ไหลเป็นน้ำตกเล็ก ๆ ตลอดปี น้ำใสเย็นมาก

สนุกสนานกับการเล่นน้ำพอแล้ว ก็ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านพี่กริช ก่อนกลับพี่กริชชวนไปชิมกาแฟลาเปี้ยนที่ร้าน ซึ่งเราจอดรถไว้ที่นั้น รสชาติกาแฟกลมกล่อมอร่อยมาก


โกโก้ ชาเขียว ลาเต้ คาปูชิโน่ เด็ดทุกแก้ว

ที่สุดคืออันนี้ กาแฟขี้ชะมด

แม้การเดินทางครั้งนี้จะไม่ถึงจุดหมายที่หวังเอาไว้ แต่ระหว่างทางก็มีอะไรมากกว่าที่คิดไว้ ครั้งหน้าต้องมาซ่อมไปให้ถึงยอดดอยสวนยาหลวงให้ได้

การเดินขึ้นเขาลงเขากว่า 10 กม. เพื่อไปกินข้าวไปนอนฟังเสียงฝนแม้จะเหนื่อยดูไม่มีอะไรแต่มันก็มีความสุขดีนะ เรื่องราวระหว่างทางมิตรภาพที่เกิดขึ้นทำให้เราสนุกสนานตลอดการเดินทาง ขอบคุณไกด์ที่ดูแลพวกเราตลอดการเดินทาง โอกาสหน้าเจอกันใหม่ เราร่ำลาพี่กริชแล้วไปเที่ยวกันต่อ


วันที่สอง สะจุก สะเกี้ยง เปียงซ้อ

มาเที่ยวน่านหลายครั้งมาก ที่นี่ก็เป็นจุดหมายหนึ่งที่อยากมา แต่ด้วยระยะทางค่อนข้างไกลและสภาพถนนไม่ค่อยจะดีนัก จึงเพิ่งมีโอกาสได้มา เราจองที่พักในโครงการสะจุก-สะเกี้ยง มีเครื่องนอนให้พร้อมมีไฟฟ้า ไม่มีค่าที่พักแล้วแต่เราจะบริจาคให้เพื่อไปพัฒนาบำรุงให้พร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยว จากบ้านสันเจริญ เราขับรถมุ่งหน้าไปทาง อ.ปัว ไปทางอุทยานแห่งชาติดอยภูคา ผ่านถนนลอยฟ้า สู่ อ.บ่อเกลือ ถึงบ่อเกลือเลี้ยวซ้ายไป อ.เฉลิมพระเกียรติ เส้นทางบ่อเกลือไปเฉลิมพระเกียรติช่วงนี้กำลังปรับปรุงก็สร้างทางใหม่ หากเสร็จแล้วจะเป็นถนนลอยฟ้าที่สวยอีกที่นึง การเดินทางไปสะจุก สะเกี้ยง เปียงซ้อ นั้น สามารถขึ้นได้แค่รถมอไซด์และรถโฟล์วิล 4 ล้อเคลื่อนเท่านั้น เนื่องจากสภาพถนนค่อนข้างเป็นหลุมเป็นบ่อชำรุดหนัก ใช้เวลาเดินทางจากบ้านสันเจริญถึงจุดจอดรถประมาณสี่ชั่วโมง เราติดต่อรถสี่ล้อเคลื่อนกับพี่สุนทรคนในพื้นที่ จอดรถที่ขับมาไว้ที่โรงเรียนขุนน้ำน่าน แล้วพี่สุนทรมารับตามที่นัดหมาย ถึงที่พักก็เย็นมากแล้ว บ้านพักอยู่บนไร่ชา อาหารข้างบนไม่มีบริการ เราซื้ออาหารตามสั่งในตัวเมืองปัวมาไว้แล้ว กินกันง่าย ๆ อิ่มแล้วก็นอน หลังที่เรานอนเป็นบ้านปูนมีห้องน้ำในตัวมีเครื่องทำน้ำอุ่น นอนเบียดกันสี่คนพอได้ไม่อึดอัดมากนัก ห่มผ้านอนอากาศเย็นสบายตลอดคืน อาจมีแมลงนิดหน่อยเพราะอยู่กลางป่าเขา




เช้านี้เรานัดพี่สุนทรไว้ เพื่อพาเราเที่ยวรอบ ๆ โครงการ และไปจุดชมวิว ในตัวโครงการด้านหลังที่พักมีแปลงข้าวขั้นบันได ด้านบนขึ้นไปเป็นแปลงเกษตรปลูกพืชพันธุ์ที่สูง และลานประทับของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ฯ เมื่อครั้งเสร็จมาเยือน ปี พ.ศ 2547 เมื่อครั้งเสร็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรพื้นที่ป่าสงวน ซึ่งอยู่ระหว่างบ้านสะจุก และบ้านสะเกี้ยง ทรงพบว่ามีการบุกรุกทำลายพื้นที่ป่าไม้ จึงมีพระราชดำริให้จัดตั้งโครงการสถานีพัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ บ้านสะจุก-สะเกี้ยง เพื่อพัฒนาแหล่งป่าไม้ต้นน้ำให้กลับมาอุดมสมบูรณ์

แปลงนาขั้นบันไดใกล้บ้านพัก


จากนั้นเราก็มาร่ำลาเจ้าหน้าที่ที่ดูแลที่พักของโครงการ มอบเงินสนับสนุนที่พัก 1000 บาท


ก่อนกลับไปยังจุดจอดรถข้างล่าง พี่สุนทรพามายังจุดชมวิวบ้านเปียงซ้อ ซึ่งเป็นไฮไลท์ที่นี่ ยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก เป็นจุดชมวิวที่สวยมากจุดนึง ความรู้สึกเหมือนยอดเขาอยู่ใกล้เรานิดเดียว อยู่ทางไปโครงการปิดทองหลังพระ ระหว่างไปก็สวยเช่นกัน

ถึงแล้ว "จุดชมวิวบ้านเปียงซ้อ"



ถ่ายรูปจนสมใจแล้ว ก็ถึงเวลากลับแล้ว เป็นสถานที่ที่สวยงามแห่งนึงที่เราต้องกลับมาเยือนอีกครั้ง ระหว่างทางลงวิวสวยงาม และมีนาขั้นบันไดให้ชม

ขอขอบคุณพี่สุนทรมาก ๆ นะคะ ที่พาเราเที่ยวในครั้งนี้

เบอร์ติดต่อโครงการสะจุกเกี้ยง 084-8181008

ติดต่อเหมารถ

-คุณสุนทร 080-1307423

-คุณชัย 093-1820618

ขอบคุณการเดินทางครั้งนี้ ชอบจังหวัดน่านตั้งแต่ครั้งแรกที่ไปเยือน ผ่านมาสักกี่ปีก็ไปได้เรื่อย ๆ หลงรักไปแล้วทำไงได้ แม้ครั้งนี้การเดินทางค่อนข้างลำบาก ที่อยู่ที่นอนอาจไม่ได้สบายมาก อาหารไม่ได้หรูหราแต่ความสุขไม่ได้ลดลงตามความลำบากเลย เที่ยวหน้าฝนมันต้องเจอฝนอยู่แล้วล่ะ แต่ดวงดีหน่อยฝนก็จะหยุดให้พอได้เห็นวิวสวย ๆ ยิ่งตอนเช้านะหมอกสวยมาก



ค่าใช้จ่ายทริปโดยประมาณ

- ตั๋วเครื่องบินช่วงโปร ไป-กลับ คนละ 1000 บาท

- เช่ารถ 2 วัน 1580 บาท

- น้ำมันรถ 600 บาท

- โฮมสเตย์ไร่กาแฟ บ้านสันเจริญ คนละ 1000 บาท

- บริจาคบำรุงที่พักโครงการสะจุกสะเกี้ยง 1000 บาท

- ค่าอาหารประมาณ 1500 บาท

- ค่าเหมารถเที่ยวสะจุก สะเกี้ยง เปียงซ้อ 2000 บาท

เฉลี่ยค่าใช้จ่ายทั้งหมดในทริป คนละ 3600 บาท



ติดตามการเดินทางสอบถามเพิ่มเติมได้ในแฟนเพจ "เที่ยวแล้ว เที่ยวเล่า" นะคะ
https://www.facebook.com/talk2travels/



ขอบคุณค่ะ

ความคิดเห็น