การเดินทางไปเชียงใหม่ ในครั้งนี้โดยรถไฟเพื่อลองสัมผัสกับประสบการณ์ใหม่ๆ บนรถไฟกันดูบ้าง เราอาจจะได้พบกับสิ่งใหม่ๆ ที่เชียงใหม่ก็ได้ พร้อมแล้วเริ่มเดินทาง go go……..
การจองตั๋วรถไฟ โดยทำการจองผ่านทางออนไลน์ https://www.thairailwayticket.com
ตั๋วรถไฟขาไป รายละเอียดตามด้านล่างนี้
ข้อมูลการเดินทาง กรุงเทพ - เชียงใหม่ : วันเดินทาง 10/8/2560 : ผู้ใหญ่ 4
ขบวนรถ ขบวนที่ 13 (ด่วนพิเศษ)
ออกเดินทางจาก วันที่ 10/8/2560
ประเภทตู้ ตู้โดยสารตู้นอนปรับอากาศ ชั้น 2 (บนทป.40 )
ตัวอย่างการเลือกตู้นอนขาไป ดังรูป
ตัวอย่างตั๋วขาไป
ตั๋วรถไฟขากลับ รายละเอียดตามด้านล่างนี้
ข้อมูลการเดินทาง เชียงใหม่ - กรุงเทพ : วันเดินทาง 13/8/2560 : ผู้ใหญ่ 4
ขบวนรถ ขบวนที่ 8 (ด่วนพิเศษ)
ออกเดินทางจาก วันที่ 14/8/2560
ประเภทตู้ ตู้โดยสารปรับอากาศ ชั้น 2 (กซขป.76 )
ตัวอย่างการเลือกที่นั่งขากลับ ดังรูป
ตัวอย่างตั๋วขากลับ ** ขากลับ เราไปเปลี่ยนตั๋วเลื่อนวันกลับนิดนึง
เริ่มต้นการเดินทางจากหัวลำโพง
นี่แหละ รถไฟจะไปเชียงใหม่ของพวกเราจะเป็น (รุ่นเก่า) เพราะจองรถไฟรุ่นใหม่ไม่ทันจร้าาาาาา
วันที่ 1 ในยามเช้าบนรถไฟรอยยิ้มน้องๆ ทั้ง 2 ดูมีความสุขกับการแอ่วเหนือครั้งแรก กับบรรยากาศการนั่งบนรถไฟ(รุ่นเก่า) สุด Classic ในยามเช้า
ช่วงที่รถไฟจอดสถานีขุนตาล วิ่งลงไปถ่ายรูปซะหน่อย
ชมวิวยาวๆไป บนรถไฟที่กำลังวิ่ง
เวลา 9.00 น. ถึงสถานีเชียงใหม่แล้วจร้า
การรถเช่า ก่อนการเดินทางได้หาร้านเช่ารถจากอินเตอร์เน็ต ไปเจอร้านเช่ารถอยู่ร้านนึง เลย Add line ไปคุยกับเพื่อขอรายละเอียด เกี่ยวกับการเช่ารถซึ่งร้านนี้มีให้เลือกทั้งมอเตอร์ไซต์ และ รถยนต์
สรุปรถเช่า
เช่ารถยนต์ เป็นวีออส เช่าไว้ 3 วัน ราคา 900/วัน (มัดจำ 3,000 บาท) ร้านนี้มีบริการนำรถมาส่งถึงสถานีรถไฟด้วย โดยคิดค่ามาส่งรถ 100 บาท และขากลับ 100 บาท ตามเว็บนี้เลย >>>> http://www.moderncarrent.com/
เรารีบโทรหาร้านเช่ารถก่อนเลย พอเดินออกไปตรงหน้าสถานีก็เจอพี่เขายืนรออยู่ ก็บริการดีนะอุส่าห์มารอเรา ที่สำคัญคือเราไม่ต้องแบกสัมภาระไปถึงร้านเช่ารถ
เมื่อได้รถเช่าเรียบร้อยแล้ว ท้องก็ร้องงง!!!! ได้เวลาออกเดินทางหาของกินแล้วสิ น้องๆที่มาด้วยกันนะ แนะนำร้านโอ้กะจู๋ เปิด Google Map เจอร้านอยู่ที่สาขาสันทราย ไม่รอช้ารีบตรงดิ่งไปร้าน “โอ้กะจู๋” เลยจร้า
ถึงร้าน ประมาณ 10 โมงแล้วล่ะ รู้สึกหิวแล้วเลยจัดชุดใหญ่ไฟกระพริบ
จานนี้เรียกว่า “เลดี้ ริบส์ โอ้กะจู๋” จานมันใหญ่มากกกกกกกกกกกก
“ข้าวซี่โครงหมูอบสับปะรด”
“ข้าวอบพริกไทดำหมู”
“ข้าวต้นอ่อนทานตะวันหมูกระเทียม”
“ข้าวผัดน้ำพริกหนุ่มหมูทอดงาขาว”
“สลัดญี่ปุ่น”
หลังจากกินข้าวเสร็จ เราออกเดินทางเพื่อไปยังดอยอินทนนท์ โดยลองขับขึ้นไปทางขุนวาง ถึงด่านตรวจจอดรถ แวะเข้าห้องน้ำซะหน่อย เจอเจ้าหมาน้อยตัวนี้ ต้อนรับพวกเรา 555 ให้ชื่อว่า “Happy Dog” หมายิ้ม ^__^ ดูเป็นมิตรกับพวกเรามากๆ หมาขี้อ้อน นอนให้เกาพุง
ที่พักคืนที่ 1 สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ราคา 1,100 บาท/คืน (พร้อมอาหารเช้า)
ตามเว็บนี้เลย >>>> http://www.royal-inthanon.com/Club/House
เข้าไปติดต่อห้องพักที่เราได้ทำการจองไว้ อันนี้กุญแจบ้านพักสิริภูมิ B8
เมื่อเข้ามาภายในห้องพักที่นี้จะมีบันได ด้านบนเป็นที่นอนเสริมสำหรับ 2 คน
เตียนนอนใหญ่ และผ้าเช็คตัวไว้ให้ ที่นี่ไม่มีแอร์ เนื่องจากอากาศหนาวตลอดปี ช่วงที่ไปเป็น(หน้าฝน เดือนสิงหาคม) อากาศเย็นสบายถึงขั้นหนาวเลยก็ว่าได้
ห้องน้ำดูสะอาดดี ที่อ่างล้างน้ำมีแก้วน้ำ และสบู่ล้างมือให้
ภายในห้องอาบน้ำมีเครื่องทำน้ำอุ่นให้เรา ซึ่งได้ปรับอุณหภูมิที่เหมาะสมไว้ให้แล้ว
เก็บของเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว ออกไปเที่ยวเล่นข้างนอกกันดีกว่า แวะเที่ยว “น้ําตกสิริภูมิ” ใกล้ๆ สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ที่พักเรา มีค่าบริการเข้าชม 20 บาท
ออกมาจากน้ำตกสิริภูมิ ตรงลานจอดรถเห็นรีสอร์ทข้างๆ น้ำตกดูน่าพักมากเลยบรรยากาศดี เงียบสงบ บ้านเป็นหลังเล็กๆ มีให้เลือก 2 แบบ
อาหารมื้อค่ำในคืนที่ 1 เราทานข้าวกันที่ร้านอาหารของ สถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ มีเมนูแนะนำเพียบเลย
วันที่ 2 ตื่นเช้าขึ้นมา อาบน้ำ แต่งตัว ทานอาหารเช้า
เดินเที่ยวเล่นภายในสถานีเกษตรหลวงอินทนนท์ ชมพันธุ์ไม้นาๆ ชนิด
ที่พักคืนที่ 2 บ้านแม่กลางหลวงฮิลล์ ราคา 1,500 บาท/คืน (ไม่มีอาหารเช้า)
ตามเว็บนี้เลย >>>> http://www.maeklangluanghill.com/
บ้านแม่กลางหลวง ต.บ้านหลวง อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ เมื่อเข้าไปในหมู่บ้าน มีบ้านพักโฮมสเตย์ให้เลือกพักมากมาย ส่วนเราเลือกพักที่ “บ้านแม่กลางหลวงฮิลล์ ” ที่นี่มีร้านกาแฟสดขายด้วย มีวิวสวยๆ ให้ชมความเขียวขจีของทุ่งนาขั้นบันได ซึ่งเจ้าของบอกว่าที่นี่เปิดมา 10 ปีแล้ว และมีหัตถกรรม ผ้าทอจากขนแกะ ซึ่งขนแกะได้มาจากพระตำหนักดอยผาตั้ง ดอยอินทนนท์ บอกเลยว่าคนที่ทอเป็น แม่ กับ ยาย ของเจ้าของที่นี่
ของสัมมานาคุณจากที่นี่ พี่เขาเดินมาให้ เป็นลำใยสดๆ มาให้กินฟรี....(กราบขอบพระคุณงามๆ นะคะ)
** ส่วนตุ๊กตาที่อยู่ในตะกร้าลำใยเนี่ย ของเรานะพกมาเที่ยว อิอิ
ลำใยกินคู่กับชาแอปเปิ้ล อร่อยแบบมีความสุข สำหรับมิตรของเจ้าของที่นี่ วันนี้ได้ดื่มด่ำบรรยากาศทุ่งนาขั้นบันไดเขียวๆ ^_^
พี่เขาพาไปชม กาแฟแบบคั่วบดโบราณ ที่มาจากโครงการหลวง อยู่ใกล้ๆ ที่พักเลยสามารถเดินไปชมได้ กาแฟที่นี่มีให้ชิมฟรี แบบไม่ห่วง
คืนนี้เราพักที่บ้านภูข้าว นี่กุญแจห้องของเรา
มาดูทุ่งนาขั้นบันได เขียวๆ ให้สดชื่นหัวใจกันซะหน่อย พี่ที่มาด้วยกันลองเอาโดรนบิน เพื่อชมวิวมุมสูง ตะวันกำลังทอแสงสวยงามมาก มันคือภาพความทรงจำที่แสนงดงาม เลยเนอะว่าม่ะ ^^
ออกไปเดินเที่ยวเล่น เพื่อชมบรรยากาศนาขั้นบันได ใกล้ๆที่พักเรามีร้านกาแฟอีกนึงชื่อ “ ร้านอุ่มเอิบ Coffee ” เหมือนก่อนๆ หน้านี้ จะเห็นว่าร้านนี้ เป็นร้านเล็กๆ ข้างๆ ลำธาร แต่ตอนนี้เขาย้ายมาอีกฝั่ง ก็ใกล้ๆ ร้านเดิมนั่นแหละทำใหญ่กว่าเดิม เมื่อเดินเข้าไปข้างๆ ร้านก็ยังติดกับลำธาร มีปลาเต็มเลย เหมือนที่นี่จะเป็นเขตอนุรักษ์พันธุ์ปลา ด้วยนะดูจากป้ายที่เขาเขียนบอก
อาหารมื้อค่ำในคืนที่ 2 เราทานข้าวกันที่บ้านพักสั่งชุดหมูกะทะ ชุดละ 500 บาท คิดค่าส่งอีก 20 บาท พร้อมจุดเตาไฟให้ หมูกะทะที่นี่ให้ผักเยอะมากเลย เป็นที่มาของ"หมูกะทะออร์แกนิค" ซึ่งหมูทะกะนี้สั่งจาก “ร้านครัวอิงน้ำ” ใกล้ๆ บ้านพักเราเลย เจ้าของร้านนี้ใจดีให้ยืมมอไซต์ ขับออกไปซื้อของที่ร้านค้า ภายในหมู่บ้านแม่กลางหลวง ^_^
คำเตือน สำหรับนักท่องเที่ยว ที่ต้องการไปสัมผัสกับบรรยากาศทุ่งนาขั้นบันได หรือ ที่ใดๆ ก็แล้วแต่ที่มีความเป็นธรรมชาติ อย่ามั่วหลงชื่นชมกับบรรยากาศธรรมชาติที่สวยงาม จนลืมนึกถึงภัย อันตรายจะสัตว์เลื้อยคลานด้วยนะ มาจากเรื่องจริงคือเราเดินไม่มองเท้าเลยโดน “งูกัด” แต่เป็นงูไม่มีพิษ
เนื่องจากตื่นมาช่วงเช้า ออกไปเดินชมกับบรรยากาศในยามเช้าตามทุ่งนา เราเดินลัดเลาะ ตามคันนาเราเดินเป็นคนที่ 3 ซึ่งระหว่างที่กำลังจะก้าวขา ก็รู้สึกเจ็บเหมือนโดนหนามทิ่มที่ขา แต่!!!! มันรู้สึกเจ็บกว่านั่น รู้เลยว่าไม่ใช่หนามทิ่มขาแล้ว ก้มมองไปที่ขาเท่านั้นแหละ ร้องกริ๊ดดดดดดสุดเสียง พร้อมกับสบัดงูที่กำลังกัดขาให้หลุด จากนั่นก็พยายามมองหางู ให้เจอ แต่หายังไงก็ไม่เจอ ไม่รู้สบัดงูกระเด็นไปให้ก็ไม่รู้ เมื่อตั้งสติได้เพื่อนๆ รีบพากลับไปที่บ้าน พยายามมองดูแผลที่ขาว่ารอยกัดเป็นแบบไหน ปรากฎาว่าไม่มีรูเขี้ยว นั่นหมายถึงไม่ใช่งูมีพิษ มันเป็นรอยฟันเยอะๆ เพื่อนก็รีบวิ่งไปถามเจ้าของร้านครัวอิงน้ำ ว่าแถวนี้มีโรงพยาบาลใกล้ๆ ไหม เขาบอกว่าที่นี่มีแต่อนามัย อยู่ตรงทางไปสถานีเกษตร และอีกที่ก็ต้องขับรถลงจากดอย เพื่อไปโรงพยาบาล แถวๆ จอมทอง ซึ่งห่างประมาณ 30 โล เราเลือกไปที่อนามัยที่ใกล้ที่สุดก่อน แต่เนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ อนามัยปิดก็เลยแวะร้าน ซื้อแอลกอฮอล์ล้างแผล และยาทาแผลไปก่อน เวลาผ่านไปประมาณ 20 นาทีโชคดีที่ไม่ใช่งูมีพิษ ตัดสินใจกลับมาที่บ้านพัก พอกลับไปถึงบ้านเจ้าของร้านครัวอิงน้ำ เดินมาถามเราว่าเป็นยังไงบ้าง เห็นงูไหมเราเลยให้ดูแผล เขาบอกน่าจะเป็นงูไซมักพบบ่อยแถวๆนี้ คนที่นี่เขาเป็นห่วงนักท่องเที่ยวด้วยนะน่ารักมากเลย
ขอบคุณเครดิตภาพจาก https://pantip.com/topic/35990086
ผ่านเรื่องร้ายๆมาพอและ กลับเข้าเมืองเชียงใหม่กันดีกว่า ระหว่างทางบังเอิญเจอร้านข้าวซอยชื่อว่า “ข้าวซอยฟ้าฮ่าม” คนเยอะพอสมควร ร้านนี้มีหลายเมนูให้เลือกชิมเยอะมากมาย แต่พวกเราเลือกเมนูยอดฮิตของร้านนี้คือ “ข้าวซอยไก่” ของกินเล่นก็มีหลายเมนูเช่นกัน
ที่พักคืนที่ 3 Hop inn Chiangmai ราคา 650 บาท/คืน (ไม่มีอาหารเช้า)
ตามเว็บนี้เลย >>>> http://www.hopinnhotel.com/
หากมองหาโรงแรมราคาประหยัด ใหม่ ถูก และดี บริการเยี่ยม ให้นึกถึง “Hop inn” ชื่อนี้รับประกันได้เลย ที่นี่เค้ามี่ WIFI ให้ใช้ฟรีด้วยนะ โรงแรม hop inn มีหลายสาขาทั่วประเทศเลยนะจ๊ะ มีทุกภาคเลย ต้องขออภัยทุกท่านด้วยนะคะ ที่เราไม่ได้เก็บภาพภายในห้องพักมาให้ชมกันเลย เนื่องจากเหนื่อย และมีแผลจากการโดนงูกัด เลยไม่ค่อยได้จับกล้องถ่ายรูปเลย ขออภัยด้วยนะคะ
ถึงเวลาการเดินทางกลับกรุงเทพ เราก็เลือกรถไฟปรับอากาศชั้น 2เลือกเป็นขบวน(ด่วนพิเศษ) รอบเช้า เป็นรถไฟนั่ง อารมณ์คล้ายๆ รถบัสเลย มีอาหาร เครื่องดื่ม และของว่าง บริการ 3 มื้อ อันนี้รวมกับค่ารถไฟที่เราได้จ่ายแล้ว รายละเอียดของการจองตั๋วและราคาอยู่ด้านบนนะคะ
จบทริปการเดินทาง กรุงเทพฯ – เชียงใหม่ ด้วยรถไฟ(รุ่นเก่า) 4 วัน 4 คืน เลยก็ว่าได้เรียกได้ว่าสนุกกับการเดินทาง และมิตรภาพของผู้ร่วมเดินทาง ได้เปิดประสบการณ์ใหม่ของการนั่งรถไฟนอน ครั้งแรกในชีวิต (ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ) ^_^
สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆนะคะ
**ขอบคุณ
- รูปบางรูปจากกล้องน้องอาร์ม
- ทุกๆ ภาพมุมสูงจากโดรนพี่ณัฐ
- น้องเอ้ให้ยืมกล้องใช้ถ่ายภาพ
สรุปเจ้าของกระทู้ไม่มีกล้องเป็นของตัวเองยืมกล้องเขาถ่าย 555
Wanwaylaa
วันอังคารที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 18.41 น.