เมื่อร่างกายต้องการทะเล...เวลาก็น้อย แถมเป็นช่วงหน้าฝนอีก..เราเลือกสถานที่กันอยู่นาน..จนเราเริ่มเหนื่อยกับหลายอย่าง เพราะไม่ได้เที่ยวไหนเลย..และแล้วการเดินทางใกล้ๆ ในแบบฉบับ Slow life ง่ายๆ ชิลๆ ก็เริ่มต้นกันอีกครั้ง...และเมื่อคนของกำลังใจเลือกที่จะไปเกาะล้าน
เกาะล้าน เป็นเกาะที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ อยู่ที่พัทยา โดยเราก็เริ่มออกทางจากกรุงเทพฯ มุ่งหน้าไปพัทยา ทางมอเตอร์เวย์กันแต่เช้า แวะหาคาเฟอีนเติมเข้าร่างกันที่จุดพักรถมอเตอร์เวย์ และฝนก็ตกพร่ำๆ ขับเร็วก็ไม่ได้มีการจับวัดความเร็วกันตลอดทาง ทำให้เราก็พลาดเรือรอบเที่ยงกันไป
เราไม่ได้ไปพัทยามา 2-3 ปี ทั้งๆ ทีก็ใกล้ๆ เอง..เราก็เลยไม่แน่ใจว่าท่าเรือแหลมบาลีฮายอยู่ตรงไหน ก็ต้องเปิด GPS เพราะมันบอกว่าทางนั้นใกล้สุด...เกิดไรขึ้นค่ะ...หลงทางค่ะ..วนกว่าจะหาทางไปพัทยาใต้ได้ แล้วก็เจอท่าเรือแหลมบาลีฮาย แล้วเราก็ต้องหาที่จอดรถ ตามรีวิวอื่นๆที่บอกตึกฟ้า...ก็แทบมองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน เจอคำว่าที่จอดรถ ก็เข้าไปก่อน เก็บเงินค่าจอดรถ 200 บาท แล้วขับตามรถมอเตอร์ไซด์ไปอีกด้านหนึ่งค่ะ เหมือนเป็นตึกจอดรถของคอนโดอะไรสักอย่าง แล้วก็ต้องเดินย้อนกลับมาตรงที่มีพนักงานเก็บเงิน เพื่อเดินไปทางท่าเรือ ถ้ามีสัมภาระเยอะ ไม่ควรจอดเลยค่ะ ยอมเสียเงินอีกนิดหนึ่ง ไปจอดจุดอัตโนมัติแล้วเดินใกล้ๆ จะสะดวกกว่าเยอะค่ะ
แล้วก็ต้องรอเรือรอบต่อไป...ตอนแรกก็คิดว่าหรือจะไป Speed Boat..แต่เจอราคาโหดไปนิดหนึ่งค่ะ..เลยยอมไปรอบบ่าย 2 โมงก็ได้ ซึ่งเป็นเรือโดยสารลำใหญ่มี 2 ชั้น ถือว่าเราโชคดี...เพราะพอแค่บ่ายโมงยังไม่ถึงครึ่งเรือก็ออกแล้วเพราะคนเต็มค่ะ...แต่ก็ใช้เวลาเดินทางพอสมควร ประมาณ 40-45 นาทีได้อยู่นะ ถือว่าโชคดีด้วยล่ะกันอีกอย่างที่ไม่กินเพราะนั่งเรือนานๆ ก็มึนได้นะคะ
และแล้วก็ถึงเกาะล้าน...คนก็เริ่มทยอยขึ้นจากเรือเพื่อเดินไปรอรถจากทางรีสอร์ทที่จะมารับ...ด้วยอากาศที่ร้อนและเราไม่ได้กินข้าวเที่ยงกันด้วย ทำให้หิวและแทบจะหมดแรง เลยคิดว่าเข้ารีสอร์ทเช็คอินน์ให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า...โปรแกรมอื่นๆ ค่อยว่ากัน..มาแบบ Slow Life ชิลๆไปไม่รีบร้อน เรื่อยๆ
เราก็ขึ้นรถของทางรีสอร์ทที่จัดมารับ..รถสีขาวคันเล็กๆ มีโลโก้ของรีสอร์ทอยู่..ระหว่างทางเราก็จะเจอที่พัก ร้านอาหารมากมายที่ใครต่อใครเคยรีวิวกันไว้ บอกเลยว่าแต่ละที่..ถ่ายรูปเพื่อการโฆษณากันทั้งนั้น..เพราะเป็นที่พักที่ไม่ค่อยใหญ่ บางทีเล็กมาก ถ้าเทียบกับราคา ทำให้ต้องเลือกกันดีๆ ระหว่างเลือกไปมา คิดว่าถูก แต่กลับไม่ได้อย่างที่เราต้องการกันนะคะ เส้นทางจากท่าเรือมารีสอร์ท หรือแหล่งชุมชนแถวนั้นเป็นทางแคบๆ แบบหักมุมหักซอก..ถือว่าคนขับต้องอาศัยความชำนาญกันเลยทีเดียวค่ะ
ถึงแล้ว...ริมทะเล รีสอร์ท..ก็ถือว่าเป็นรีสอร์ทที่มีเนื้อที่กว้างนะคะ บรรยากาศดี..ห้องที่เราเลือกมานั้นเป็นโซน Villa ที่สร้างใหม่ ถือว่าโอเครเลยค่ะ กว้างขวาง มีห้องนอน มุมแต่งตัว และห้องน้ำด้านหลัง แถมยังมีดาดฟ้าให้เราขึ้นไปนั่งชิล ชมทะเลในมุมสูงได้อีก ที่นี่มีหลายโซน มีทั้งแบบห้องที่อยู่ใกล้หาด ห้องที่อยู่แบบยื่นไปในทะเล ห้องพักสำหรับหมู่คณะ หรือจะเป็นห้องพักบนตึก มีพื้นที่เป็นลานกว้าง เหมาะสำหรับทำกิจกรรม และโซนเก้าอี้นั่งชิลริมทะเล..บรรยากาศโรแมนติกพอสมควร
ด้วยความหิว..เราก็ไปหาอะไรหม่ำใกล้ๆ รีสอร์ท เพราะยังไม่ได้เช่ารถ และเดินสำรวจรอบๆ รีสอร์ท ถ่ายรูปเล่นกันไปก่อน พักผ่อนรอเวลาแดดร่มลมตกแบบสบายๆ แล้วค่อยว่ากันนะคะ แต่โชคไม่เข้าข้าง..เคเบิลห้องพักที่เราจองดันไปพ่วงกับห้องพักอีกห้อง...พอเขาไม่อยู่ เราก็ดูทีวีไม่ได้..นี่คือสิ่งที่เราก็แจ้งทางรีสอร์ทไปแล้วล่ะค่ะ
เมื่อได้เวลาซิ่ง..เราก็เช่ามอเตอร์ไซด์ที่รีสอร์ทให้เขาหาให้ในราคาช่วงเกือบเย็นก็จะถูกนิดหนึ่งนะคะ...
เราเริ่มต้นจากแถวนั้นใกล้ๆ ค่ะ ไปหาดตายาย หาดเล็กๆ ที่มีผู้คนเล่นน้ำกันบ้างไม่มากนัก
แล้วเราก็ตะลอนๆ ไปเรื่อยๆ ก็จะเจอรีสอร์ทต่างๆ ที่รีวิวกัน ร้านอาหารเด่นๆ เด็ดๆ งานนี้รูปอาจจะน้อย เพราะเราต้องคอยจำเส้นทาง ลุ้นว่าจะหลงกันไหม
เราก็ไปแวะที่ตลาดนัดหน้าวัด ถือว่ามีอาหารสดในราคาพิเศษจริงๆ เสียดายที่รีสอร์ทเราไม่ให้เอาอาหารเข้าไปรับประทาน เลยได้แต่มองแล้วเปรียบเทียบราคากันไปค่ะ
เราก็ไปกันต่อ..อุ๊ย! ร้านนี้ต้องแวะ..ร้านมาหารัก..Woww..Maharak Café ชื่อร้านน่ารักใช่ไหมค่ะ เข้าไปดูความชิล ข้างในกันนะคะ มีบรรยากาศที่เป็นห้องแอร์ และด้านนอกติดทะเล มีดนตรีเล่นตอนหัวค่ำ..นั่งฟังสบายๆ ทานข้าว ขนม หรือเครื่องดื่มต่างๆ ได้หมดนะคะ
เราก็วนหาร้านนั่งไปเรื่อยๆ เจอคนเยอะเกือบทั้งนั้น เจอร้านสมใจซีฟู๊ด ที่มีคนรีวิวกันว่ารสเด็ด อาหารฝีมือคนท้องถิ่น ราคาย่อมเยาว์ ก็เลยเข้าไปลอง คนน้อย บรรยากาศใช้ได้ติดริมทะเล แต่บังเอิญฝนตก เราก็เลยต้องนั่งด้านใน ส่วนอาหารนั้น..ยังไม่เหมือนกับที่เขารีวิวกัน สำหรับเราอาหารปริมาณน้อยไม่สมราคา ความอร่อยก็ยังปานกลางค่ะ แต่ก็ถือว่าอุดหนุนคนท้องถิ่นกันไปนะคะ เพราะคุณป้า คุณยานเจ้าของร้านเขาใจดีจร้า
ได้เวลากลับมาชิลที่รีสอร์ทล่ะนะคะ บรรยากาศยามค่ำคืน..ธรรมชาติที่เราต้องการ...ที่ริมทะเล รีสอร์ทก็สวยไปอีกแบบ มีเปิดไฟตามจุดต่างๆ เปิดเพลงคลอชิลๆ และมีบาร์เครื่องดื่มที่น่าสนใจ สามารถสั่งไปนั่งทานตรงเก้าอี้ริมทะเลหรือที่ห้องพักก็ได้..แต่ข้างห้องมีปาร์ตี้ปิ้งย่างกันด้วย...เราแอบเสียดายที่ไม่ได้ซื้อเข้ามา...ก็ให้เกียรติรีสอร์ทเขานิดหนึ่ง แล้วก็คิดว่าจะสั่งเครื่องดื่มจากบาร์ และอาหารจากรีสอร์ทนั่นแหล่ะค่ะ แต่ด้วยฟ้าฝนไม่เป็นใจ..แค่ 3 ทุ่มกว่าๆ เราก็ต้องกลับเข้าไปในห้องพัก แล้วได้แต่นั่งมองฝน มองฟ้า มองทะเลจากหน้าห้องพัก ดีนะคะที่เราจองเป็นวิลล่าที่เห็นทะเล ไม่งั้นคงน่าเบื่อแย่เลย...และก็ยังดีที่พอมีเคเบิลให้ดู นั่งชิลไปเรื่อยๆ จนง่วงกันไปเอง
Morning Sea…กันนะคะ เพราะตื่นมาพร้อมอากาศที่สดชื่นกับวิวทะเลที่อยู่เบื้องหน้า..มีความสุขอย่างบอกไม่ถูกเลยค่ะ แล้วก็ค่อยๆ ไปทานอาหารเช้าที่ทางรีสอร์ทจัดเอาไว้ ซึ่งก็มีข้าวต้ม ขนมปัง ผลไม้ เครื่องดื่ม ชา กาแฟ แต่เขาจัดเป็นบุฟเฟ่ต์ แบบบริการตัวเองทุกสิ่งอย่าง ไม่มีพนักงานมาคอยดูแลเลยค่ะ นี่ก็เป็นอีกสิ่งที่เรารู้สึกว่าทางรีสอร์ทควรจัดการบริการให้ดีกว่านี้
ด้วยรีสอร์ทนี้อยู่ไกล สถานที่ตกแต่งสวยงามก็จริง แต่การบริการหรือพนักงานควรจัดสรรให้เพียงพอ เพราะด้วยราคาที่สูงกว่าที่อื่น คุณภาพของห้องพักและการบริการจึงควรดีพอสมควรค่ะ บอกตรงๆ ว่า ถ้าห้องพักแบบวิลล่า ไม่มีบรรยากาศที่สวยงามจริงๆ เราคงจะเสียความรู้สึกมากกว่านี้ เลยคิดว่า ถ้าอยากให้สมราคาก็ควรปรับปรุงในเรื่องที่แจ้งไปเพราะว่าไม่อย่างนั้น เราเองก็จะไม่สามารถบอกต่อได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า..ที่นี่จะดีหรือไม่ดีค่ะ
พอถึงเวลาเช็คเอ้าท์ ...เราก็ฝากกระเป๋าไว้ก่อน แล้วก็ขี่มอเตอร์ไซด์ไปหาอะไรทานกันเพราะตอนนั้นก็เที่ยงแล้วค่ะ
เราก็ไปเล็งกันมาไว้แล้วนั่นก็คือ..ร้าน Soul Sweet Kohlarn.. หน้าร้านก็มีพี่หมีตัวใหญ่ต้อนรับ เข้าไปในร้านบรรยากาศยิ่งน่ารักใหญ่เลยค่ะ...แล้วด้วยเราเป็นคนชอบหมีอยู่แล้วด้วย..คนพามานี่รู้ใจจริงๆ ค่ะ ที่นี่อาหารเป็นแบบฟิวชั่นที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ดูมีการใส่ใจ ตั้งแต่ชื่ออาหาร การตกแต่งจานอาหาร ปริมาณของอาหาร ความสดใหม่ รวมไปถึงความอร่อยที่ขอบอกว่า..คุ้มกับการมาทานร้านนี้ค่ะ เราจัดทั้งอาหารคาว-หวานกันแบบเต็มที่...บอกตรงๆ นั่งกันอยู่นานมากแบบไม่เบื่อเลยค่ะ แบบว่าอยากทานโน้นนี่นั่นไปเรื่อยๆ อ่ะค่ะ
และแล้วก็ใกล้เวลาที่จะถึงรอบเรือออกจากเกาะล้าน เราก็กลับมาเอากระเป๋า คืนรถมอเตอร์ไซด์ แล้วรถของทางรีสอร์ทก็ไปส่งที่ท่าเรือหน้าบ้าน แล้วเราก็ค่อยไปซื้อตั๋วตรงจุดใกล้เรือจะออก ซึ่งก็ถือว่ารอบ 14.00 น. นี้ มีคนกลับค่อนช้างเยอะ จนต้องเพิ่มเรือกันเลยทีเดียวค่ะ
เมื่อได้เวลา Bye-Bye เกาะล้าน แล้วพอหนังท้องตึงหนังตาก็เริ่มหย่อนกับลมเอื่อยที่กระทบหน้า...บอกตรงเกือบหลับกันเลยล่ะค่ะ ซึ่งก็ใช้เวลาประมาณ 30-45 นาทีได้อยู่นะคะ พอถึงท่าเรือเราก็ต้องรีบไปเอารถเพื่อที่จะกลับกทม.กัน เพราะฝนเริ่มจะมาอีกแล้วค่ะ งานนี้เราก็ใช้ GPS อีกค่ะ แต่มันพาเรากลับทางเส้นบางนา ซึ่งก็ถือว่าเร็วนะคะ เอาเป็นว่ากลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย สไตล์ Slow Life อย่างเราอ่ะค่ะ
แม้งานนี่จะไม่ค่อยได้ไปไหนด้วยฟ้าฝน หรือช่วงเวลา หรืออะไรก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นทริปธรรมชาติบำบัด ความสุขเกิดจากสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัว หาเวลาพักผ่อนกันสักนิด บางทีสถานที่ต่างๆ ก็มักจะสร้างความสุข ความทรงจำดีๆ เสมอ...การเดินทางที่น่าจดจำ มักไม่ได้ขึ้นอยู่ว่าเราต้องไปที่ไหน แต่มันขึ้นอยู่กับว่า..เราไปกับใคร และให้ความสำคัญแล้วสร้างความหมายของความทรงจำดีๆ ให้เกิดขึ้นกันรึป่าว...ขอบคุณคนของกำลังใจนะคะ..ที่ไปร่วมสร้างสิ่งดีๆ ร่วมกัน...แล้วทริปหน้าจัดกันใหม่นะคะ^_^
Once Chill Life
วันศุกร์ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2560 เวลา 16.44 น.