บางทีคำว่าใกล้ ... มันก็ทำให้เรายิ่งรู้สึกว่ามันไกล

บางทีคำว่าใกล้ ... มันก็ทำให้เรารู้สึกเหมือนไม่มีอะไร

และบางทีคำว่าใกล้ ...เราก็เลยมองข้ามมันไป


ผมกำลังพูดถึงสถานที่ที่หนึ่ง …

“ จังหวัดสมุทรสงคราม “

หากเปรียบเทียบจังหวัดสมุทรสงคราม กับความรัก ก็คงเหมือนกับ "เพื่อนสนิท" ที่พร้อมจะเป็นที่พักพิงให้กับคุณในทุกเวลา ถึงแม้จะสุขจะทุกข์จากที่ใดมาา เพื่อนคนนี้ก็อยู่ข้างๆกายเสมอ

ข้างๆกาย ข้างๆกรุง ..... ที่รอให้คุณไปปรุงความสุข

หากผมตั้งคำถามว่า เมื่อพูดถึงจังหวัดนี้ คุณนึกถึงสิ่งใดเป็นอันดับแรก ?


“ อัมพวา “ น่าจะเป็นคำตอบแรกที่ความทรงจำของหลายๆคน มอบให้ และหากผมถามต่อว่า มีอะไรอีกมั้ย ?

หลายๆคนอาจจะนึกไม่ออก เหมือนมีใครไปสกัดสมองของคุณให้หยุดคิด หยุดพินิจพิจารณาต่อไป เพราะเห็นว่าที่นี่ไม่เห็นจะมีอะไรเท่าไหร่เลย ...


ผมเป็นคนนึงที่ “ เคย “ คิดเช่นนั้น ก่อนจะมีโอกาสได้ไปสัมผัสกับจังหวัดนี้แบบเต็มสตรีม

ทั้งนี้ต้องขอขอบคุณทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ที่ให้โอกาสผม ฟลุค จากเพจ “ สองเท้า-เกาโลก “ และเพื่อนร่วมทีมอีกหนึ่งคนซึ่งก็คือคุณชิล แห่ง page “ Chill journey “ ได้เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระดับประเทศเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวไทย กับ Project

“The Amazing Journey :Blogging Contestกับโครงการ12 เมืองต้องห้ามพลาด “


ซึ่งโปรเจคนี้ ได้รวบรวมบลอกเกอร์และนักเดินทางไว้มากมาย กับทั้ง 12 เมือง และเมืองที่ทีมผมได้รับมอบหมาย ให้ไปทำหน้าที่นี้ก็คือ จังหวัดสมุทรสงคราม นั่นเองแวบแรกที่รู้ว่าได้จังหวัดนี้นั้น เหงื่อพุ่ง สะดุ้งเฮือกกันเลย เพราะตอนนั้นผมกับชิลยังไม่รู้จักที่นี่ดีพอ คงเป็นเพราะเหตุผลของคำว่า “ ใกล้ไป “

สมุทรสงครามห่างจาก กทม ไม่ถึง ร้อยกิโล , เชียงใหม่ห่างออกไป กว่าเจ็ดร้อยโล แต่ผมกับชิลรู้จักเชียงใหม่ดีกว่าที่นี่ ! จริงอยู่ที่เชียงใหม่มันมีอะไรที่หลากหลาย และน่าสนใจ แต่เมื่อทีมผมได้มาสัมผัสที่นี่ เรามองตากันและก็เป็นอันตกลงในเรื่องเดียวกันว่า “ นี่กรุมองข้ามสถานที่ดีๆ ใกล้ๆแบบนี้ไปได้ยังไง “


และรีวิวนี้ เราจะพาไปรู้จักกับจังหวัดนี้ให้มากยิ่งขึ้นครับ !

ทีม TT12 รับผิดชอบจังหวัดสมุทรสงคราม

ฟลุค จาก เพจ สองเท้า – เกาโลก หรือ Scratch da world

http://www.facebook.com/scratchdaworld

ชิว จาก เพจ Chill Journey

http://www.facebook.com/ChillJourney

ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้รู้จักโปรเจคนี้กันก่อนคร่าวๆนะครับ


The Amazing Journey :Blogging Contest


โปรเจคนี้เป็นการร่วมมือกันระหว่างการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กับ เว็บไซท์ www.ttbn.co ซึ่งเป็นเครือข่าย blogger สายท่องเที่ยวของประเทศไทย และยังมีผู้สนับสนุกเรื่องการเดินทางอีกสองเจ้า คือ Thai rent a car บริษัทรถเช่าสัญชาติไทย กับ นกแอร์ สายการบินจากไทยเช่นกัน เรียกได้ว่าครบทุกระบบขนส่งหลักๆ


จุดเริ่มต้นของโปรเจคนี้ คือการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยจะเป็นผู้เลือกตัวแทนของแต่ละทีมในการไปเยือน 12 เมืองต้องห้ามพลาดขึ้นมา และผมได้รับเกียรติในหน้าที่นี้โดยจะร่วมกับอีก 1 บล็อกเกอร์นักเดินทางคุณภาพ คือคุณ ชิล อย่างที่ได้แนะนำไป


12 เมืองต้องห้ามพลาดนั้น ประกอบไปด้วย ลำปาง น่าน เลย บุรีรัมย์ เพชรบูรณ์ ตราด

จันทบุรี สมุทรสงคราม ( ทีมโผม )ราชบุรี ชุมพร ตรัง และนครศรีธรรมราช


ยังไงถ้ารีวิวนี้ถูกใจ หรือ เป็นประโยชน์กับใคร ก็เข้ามาให้กำลังใจพวกเรากันได้ที่ลิ้งด้านล่างเลยครับ

http://www.thethailandbloggernetwork.com/teams/detail/T12 และนี่เป็น วีดีโอ ดูเพลินๆ สำหรับการเดินทางครั้งนี้ครับ


** แนะนำว่า อ่านรีวิวให้จบก่อนแล้วค่อยมาชมนะค้าบ ^^

ปล. อุทยาน ร.2 ไม่มีในนี้ เพราะผมเผลอกดผิดไปลบไฟล์ของที่นี่ออก .. เขกกระโหลกตัวเอง 1 ทีครัช


รีวิวนี้เราตั้งใจทำให้มันเป็นรีวิวสบายๆ ภาพสวยๆ สนุก อ่านจบแล้วสามารถตามรอยได้เลย

กับทริป 3 วัน สองคืน หรือจริงๆ จะสามารถจัดสรรมันอยู่ใน 2 วัน 1 คืนก็ได้เช่นกัน

ภาพรวมทริป


Day1

-ออกเดินทางจากกรุงเทพ

-ตลาดร่มหุบ , วัดบางกุ้ง , อุทยาน ร.2 , อัมพวา

-เข้าที่พัก ต.อัมพวา (บ้านอัมพวารีสอร์ท&สปา)

Day2

-ตลาดน้ำท่าคา , ตลาดบางน้อยและตลาดบางนกแขวก

-ทานข้าวที่ร้านครัวคุณจ๋า

-อาสนวิหารพระแม่บังเกิด

-วัดบางแคน้อย

-เข้าพักที่ ต.คลองโคน ( บ้านไม้ชานเลน )

Day3

-ทำกิจกรรมเชิงอนุรักษ์ที่คลองโคน

-ทานอาหารกลางวัน และกลับกรุงเทพมหานคร


และหากคุณสามารถไปวันธรรมดาได้ ก็จะได้บรรยากาศที่ต่างไป คนไม่เยอะ

บางที่สงบ จนคุณอยากจะอยู่ตรงนั้นไปนานๆ ต้องลองครับ

หากไม่สะดวกจริงๆ ก็ตามรอบพวกเรามาได้เลย กับทริป ศุกร์ เสาร์ อาทิตย์ แสนสบาย


จังหวัดสมุทรสงครามห่างจากเมืองกรุงประมาณ1 ชั่วโมง เท่านั้น

แต่หลายๆคนมักจะใช้มันเป็นแค่ทางผ่าน ลงไปทางภาคใต้ หรือ ชายทะเลต่างๆ

อย่างเช่นหัวหิน หรือ ชะอำ และก็ผ่านมันซ้ำๆอย่างนั้นอยู่ร่ำไป

และจากที่ผมกับชิลได้ไปเห็น ก็ขอบอกเลยว่า จังหวัดนี้มีอะไรกว่าที่ใครๆคาดคิด!


มาสัมผัสที่นี่ไปพร้อมๆ กันเลยครับ

ทริปนี้เราใช้รถของ Thai rent a car ขับตรงออกมาจากกรุงเทพในช่วงเที่ยงของวันศุกร์

และใช้เวลาไม่นานเกินรอ ประมาณหนึ่งชั่วโมงๆ นิดๆ ชีวิตของพวกเราก็มาอยู่ที่จังหวัดสมุทรสงครามเป็นที่เรียบร้อย

สถานที่แรกที่เราจะไปกันนั้น คือสถานที่ที่มี Gimmick เก๋ ๆ คือการ “ หุบร่มโชว์ “ โด่งดังระดับชาติเลยครับที่นี่


“ ตลาดร่มหุบ “

ตลาดอินดี้แห่งนี้ เริ่มขายของแบบชิดติดขอบรางรถไฟตั้งแต่ ปี 2527 อยู่บนทางรถไฟสายแม่กลองบ้านแหลม

พ่อค้าแม่ค้าจะขายทั้งของสด ของไม่สดดี ของคาว ของหวาน หรือพวกของใช้ทั่วไปกันติดขอบรางรถไฟ

ซึ่งนักท่องเที่ยวจะรู้สึกฟิน ในตอนที่รถไฟมา และสัญญาณบอกเวลาว่าต้องหุบ เก็บ กระจาด ตะกร้า

กะละมังถังหม้อต่างๆ เข้ามา ภายในชั่วพริบตา ไม่งั้นได้ถูกรถไฟพาไปเที่ยวแน่ !


แต่เป็นเรื่องน่าเสียดายที่พวกเราไม่ได้สัมผัสสเน่ห์อย่างที่ได้กล่าวมา

เพราะจากตอนนี้ ไปจนถึงสิ้นปีรถไฟอยู่ในช่วงหยุดวิ่งครับ

และจากที่สอบถาม ก็ไม่มีใครตอบผมได้ว่า ปีหน้ามันยังวิ่งอยู่มั้ย ก็ขอให้วิ่งด้วยเถิด ยังไม่ได้ดูเลย


เอาล่ะ เราจอดรถกันบริเวณด้านนอกของตลาด ซึ่งอยู่ใกล้ๆกับสถานีรถไฟแม่กลอง

ส่วนพิกัด GPS ในการมาที่นี่ก็ตามนี้เลย :13.407467, 99.998850

เดินตามซอกไหนก็ได้ ให้เข้าไปตรงรางรถไฟ ก็เจอตลาดในดวงใจอยู่ตรงกลางใจ ของรางรถไฟเลย


ถึงแม้รถไฟจะหยุดวิ่ง แต่วิถีชีวิตของคนที่นี่ไม่ได้หยุดตามไปด้วย

ทุกคนยังทำหน้าที่ของตนเอง เพราะคนเหล่านี้ไม่ได้มีแค่ตัวเอง พวกเค้ายังมีคนอีกหลายคนที่ต้องดูแล

นี่ครับ อย่างที่เห็น มีขายทั้งผักสด ของสด และที่พลาดไม่ได้เลยคือ “ ปลาทูแม่กลอง “

การหยุดวิ่งของรถไฟ ทำให้เกิดการลดลงของความคึกคัก

และ มีการเพิ่มขึ้นของดัชนีชี้วัดความเงียบเหงา

แต่ผมเชื่อว่ามันไม่กระทบกับความสุขของคนที่นี่ จากรอยยิ้มและความเป็นมิตรที่ผมได้สัมผัส

สเนห์ของวีถีชีวิตที่นี่ไม่ได้หยุดไปตามการหยุดของรถไฟแต่อย่างใด


มันยังคงมีความน่าสนใจ ให้กับผู้ที่ผ่านไป ผ่านมาเสมอ

และใครมีโอกาส ก็อย่าพลาดที่จะแวะมาดูตลาดแห่งนี้กันนะครับ

สถานีถัดไป ที่ผมจะพาไปเที่ยวกันนั้น เรียกว่าเป็น Unseen in Thailand นั่นคือ


“ โบสถ์ปรกโพธิ์ ที่วัดบางกุ้ง “

ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ถูกปกคลุมด้วยต้นโพธิ์-ต้นไทรขนาดใหญ่ ภายในเป็นที่ประดิษฐานหลวงพ่อนิลมณี สีทองอร่าม

สวยงามมาก ช่วงที่ผมไปนั้น ไปป๊ะกับทัวร์จีนที่ยกโขยงกันมา กว่า 30 ชีวิตพอดี

จึงไม่ได้อยู่นาน แต่ก็ซึมซับความงดงามไปเรียบร้อย

และด้านข้างยังมีหุ่นจำลองทหารพระเจ้าตากในค่ายบางกุ้ง

ให้เด็กๆ ได้เที่ยวสนุกอิงความรู้ทางประวัติศาสตร์อีกด้วย

พิกัด วัดบางกุ้ง : 13.44613, 99.941211

มาต่อกันที่ อุทยาน ร.2 ที่ตั้งรกรากหายใจรดต้นคออยู่ติดกับตลาดน้ำอัมพวากันต่อเลย


ข้อดี และความสะดวกของการมาเที่ยวที่จังหวัดนี้คือสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละที่อยู่ไม่ไกลกัน

อุทยาน ร.2 นั้น เป็นโครงการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

โดยเปิดให้ประชาชนเข้าชมภายในอุทยานได้เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2530


เมื่อเข้ามาแล้ว สิ่งแรกที่ต้องทำคือ … เดินครับ

เอ้ย ต้องไปซื้อตั๋วกันก่อน ถูกมาก ค่าเข้าที่นี่เพียง 30 บาทเท่านั้น

ภายในอุทยานจะส่งสนามหญ้าและสวนสีเขียวขนาดกำลังดีรวมไปถึงเรือนไทยโบราณด้านหน้า

ไปต้อนรับขับสู้แขกผู้มาเยือนทุกคนเป็นด่านแรกจากนั้นก็จะเจอกับพิพิธภัณธ์พระพุทธเลิศหล้านภาลัย

ซึ่งเป็นอาคารทรงไทยจัดแสดงศิลปวัตถุในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ที่สะท้อนให้เห็นลักษณะศิลปวัฒนธรรม

ความเป็นอยู่ และการดำรงชีวิตของชาวไทยในสมัยนั้น


และที่สำคัญเลยคือ อากาศด้านนอกร้อนมาก แต่แอร์มที่นี่เย็นมาก

ผมเลยได้ทั้งความรู้ และ คู่กับความเย็นแบบ 2 in 1 เลย

บรรยากาศความร่มรื่น และคลาสสิกภายในอุทยาน

และการเดินทางมาที่นั้น เพียงท่านหาอัมพวาให้เจอ ก็จะเจอที่นี่อย่างงง่ายดาย

ภายในพิพิธพันธ์ครับ


สบายตา กับเรือนไม้ สบายใจ กับธรรมชาติสีเขียวว...


และเสร็จจากที่อุทยาน ร.2แน่นอนว่าสถานีถัดไปต้องเป็นอัมพวา เพราะแทบจะเดินไปมาหาสู่กันได้

ตลาดน้ำอัมพวานั้น ทุกคนน่าจะรู้จักกันดีผมคงไม่ต้องพูดอะไรเยอะ ทุกวันนี้ความคลาสสิกของมันยังคงมีอยู่

คนอาจจะเยอะมากหากมาในช่วงวันหยุด แต่ถ้าคุณมาเร็วๆ สักหน่อย มันก็เป็นอะไรที่ชิลเหมือนกัน

น้ำเต้า ปู ปลา .. กี่ปีแล้วนะที่ผมไม่ได้เล่น


บางอารมณ์ การมาเยือนอัมพวา ก็ทำให้ผมอยากจะพาตัวเองนั่งไทมแมชชีนย้อนกลับไปในวัยเด็กอีกสักครั้ง

ของเก่า ขนมเก่า ยังคงมีขายอยู่เหมือนเดิม ของพวกนี้ ผมว่าเค้าไม่ได้ขายกันที่มูลค่าหรอก หากแต่เป็นความทรงจำของผู้ซื้อตะหาก

หากเดินไปไกล ในช่วงเวลาที่ยังไม่วุ่นวาย คุณอาจจะได้พบความสงบแบบถูกใจก็เป็นได้


แต่ในบางมุมก้ยังคงมีความวุ่นวาย บนความคึกคัก ที่หากมองในแง่ดี มันก็เป็นอะไรที่น่าสนุกไม่น้อยย ครึกครื้น ระรื่นกันไป


เรือ … ของคู่ตลาดน้ำพาหนะสำคัญประจำอัมพวา

รวมไปถึงเมืองแห่งสายน้ำสามเวลา อย่างสมุทรสงครามแห่งนี้

ทุกวันนี้มีทักท่องเที่ยวมากมาย ซึ่งนั่นก็เป็นข้อดีของการท่องเที่ยวบ้านเราที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาได้

สร้างรายได้ให้ชุมชน และยังสร้างชื่อเสียงให้กับจังหวัดอีกด้วย

ร้อนแบบนี้ต้องดับร้อนด้วยความเย็นกับรสเข้มสะใจ ของไอศครีมไทยอันนี้ !


มาที่นี่ พลาดไม่ได้จริงๆครับ

สำหรับพวกเรา อัมพวายังคงมีสเน่ห์อย่างไม่เสื่อมคลาย มันอาจจะไม่ได้โบราณและดั้งเดิมเหมือนแต่ก่อน

แต่ก็ยังคงมีสิ่งที่น่าสนใจมากมาย ให้ได้มาสัมผัส...

เอาล่ะ ได้เวลาเข้าที่พักกไปเก็บของกันหน่อยย


โดยพวกผมพักกันที่ บ้านอัมพวารีสอร์ท & สปาครับ เป็นรีสอร์ทเรือนไม้ บรรยากาศดี

วันนี้อาบแดด เหงื่อท่วม ร่วมครึ่งวัน ได้เวลาหนีร้อนมาพึ่งเย็นกันบ้าง

และตอนนนี้ ท้องของพวกเราได้รวมหัวกับลำไส้ บรรเลงเพลงดุริยางค์กันอย่างสามัคคีภายในท้อง


ซึ่งสามารถแปลเป็นคำร้องได้ว่า " หิวววววววเว้ยย "

มาแล้วคร้าฟฟฟฟฟฟฟ คุณฟลุคอย่าเพิ่งหิวจนกินหัวผมแทนนะ



มื้อเย็นวันศุกร์เราเลือกที่จะไม่ออกไปไหน ฝากท้องกันที่ห้องอาหารริมแม่น้ำของ รีสอร์ทบ้านอัมพวา โซนอาหารจะอยู่ริมน้ำเลยบรรยากาศดีมากกก ชิวมากกกกกก






. อาหารเย็นเราสั่งมาทั้งหมด 4 อย่าง ไอ้ตอนสั่งก็หน้ามืดด้วยความหิว ลืมว่ามันกันแค่สองคน กินกันจุกมากกกก ส่วนวิธีสั่งตามสไตล์ผมถ้าไม่มีอะไรพิเศษในใจ ผมมักจะถามพนักงานเสริฟว่าเมนูแนะนำคืออะไร ผมเลือกตามเมนูแนะนำตามใจมา 4 อย่าง



อย่างแรกก็คือ ปลาทูแม่กรองต้มน้ำตาลอ้อย - สมุทรสงครามขึ้นชื่อลือชาเรื่องปลาทูแม่กลอง หน้างอคอหัก พอปลาทูคุณภาพดี เอามาต้มกับน้ำตาลอ้อย รสชาติหวานๆ คู่กับความมันของปลาทู อร่อยมากๆเลย



เมนูที่สอง - กุ้งผัดกระเทียมรากผักชี เมนูนี้ก็อร่อยดีงามตามท้องเรื่อง



เมนูที่สาม กุ้งแม่น้ำซอยมะขาม - กุ้งแม่น้ำตัวโตผ่ากลางทอดทั้งตัว ราดด้วยซอสมะขามหวานอมเปรี้ยว อร่อยเลียจอไปครับเมนูนี้



ปิดท้ายด้วยเมนูน้ำๆบ้างอย่าง ต้มยำกุ้งแม่น้ำมะพร้าวอ่อน กุ้งแม่น้ำตัวเบิ้มในน้ำต้มยำรสกลมกล่อมกินคู่กับมะพร้าวอ่อนมันๆ เข้ากันอย่างลงตัว


Day2 :

เริ่มต้นวันเสาร์ตอนเช้าเราตื่นกันตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ ขับรถจากที่พักมุ่งหน้าสู่ ตลาดน้ำท่าคา (GPS 13.4718221 99.9953219) สำหรับคนที่อยากเห็นวิธีชีวิตคนริมน้ำจริงๆ พายเรือขายของจริง ไม่ใช่บรรยากาศร้านค้าแบบอัมพวา ผมขอแนะนำเลยครับ ที่นี่สงบนิ่ง Slow life กันจริงๆ ชาวบ้านจริงๆ


เมื่อขับรถมาถึงหน้าตลาดจะมีที่จอดรถฟรี จากที่จอดรถเดินไปไม่กี่ก้าวจะเจอคลองละครับ ไม่ต้องแปลกใจว่ามีแค่นี้เหรอ นั่นหล่ะตลาดท่าคา
พวกเราไปตั้งแต่ตอนเช้ามาก คนน้อยบรรยากาศสงบมาก ชิวมากกก คนละอารมณ์คนละโลกกับอัมพวาเลย จากที่สอบถามคุณป้าบอกว่าตลาดจะคึกคักในช่วง 8-9 โมงเป็นต้นไป



ถ้ามาที่นี่จะไม่ผิดหวัง ได้เห็นคนพายเรือ เอาผลไม้ เอาอาหารมาขายกันจริงๆ


ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่จะอยู่ห่างจากกรุงเทพอันวุ่นวายไม่ถึงร้อยกิโลเมตร บรรยากาศดีเหลือหลาย



หลังจากสโลว์กันพอแล้ว ท้องผมมันก็เริ่มร้องคร๊อก มันไม่สโลว์ตามมา มื้อเช้ามือแรกของวันผมเลยได้ฝากท้องที่นี่หล่ะครับ ซื้อกระเพาะปลามาชามหนึ่ง 20 บาทเอง ถูกจนตกใจ

. จากตลาดน้ำท่าคา เราขับรถย้อนกลับมุ่งหน้าไปทางอัมพวา มาแวะที่ " ตลาดเก่าบางนกแขวก" (GPS : 13.4622587,99.9442839 )

ที่นี่เป็นตลาดเก่าที่ยังไม่ได้รับการพัฒนาใดๆ บรรยากาศจะดั่งเดิม เงียบๆร้านค้าน้อย มีแต่ชาวบ้านจริงๆขายกันเอง ถ้าใครผ่านมาช่วยเค้าอุดหนุนด้วยครับ พวกเราไม่อยากให้สิ่งดีๆแบบนี้หายไป สำหรับขาสโลว์ที่นี่ห้ามพลาด

เมื่อมาถึงปากทางเข้าตลาดจะแคบๆแบบนี้ เดินทะลุเข้าไปเลยครับ



บรรยากาศข้างในเงียบมากๆ มีเปิดอยู่ไม่กี่ร้าน ไร้เงานักท่องเที่ยว ร้านค้าที่เปิดคือชาวบ้านเค้าขายกันเอง
เหมาะมากกับการมานั่งชิล ริมน้ำ ปล่อยกายปล่อยใจไปกับสายลมที่ซู๊ด


นอกจากความสโลว์แล้ว ที่นี่ยังมีของดีอีกหนึ่งอย่างนั่นคือ " ข้าวแห้ง" ร้านนี้เค้าได้ออกทีวีด้วยนะ ไม่ต้องถามว่าร้านไหน มีร้านเดียวครัช คุณเกาโลกเค้าบอกผมว่าเค้าเคยกินที่ภูเก็ต อร่อยมาก ผมก็เลยลองชิมกันสักหน่อย



ชิมนะชิม แต่สั่งมาคนละชามเลยครัช ข้าวแห้งนี่ผมเพิ่งเคยกินครั้งแรกเหมือนกัน ถ้าใครนึกไม่ออก ผมว่าเหมือนข้าวต้มเลยแต่ไม่ใส่น้ำซุป เอาเป็นว่ามันอร่อยยยย #จบข่าว

. พอเราเดินออกมาที่ทางเข้าตลาดบางนกแขวกมีร้านดังอีกเจ้า "ร้านแปะ ก๋วยเตี๋ยวปู" เปิดพอดี ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าก๋วยเตี๋ยวปู
ผมพุงจะแตกแล้ว เลยให้คุณเกาโลกสั่งมาชิมกันชามหนึ่ง สำหรับผมนะผมว่ารสชาติธรรมดา แต่ถ้าแวะมาแล้วก็ไม่ควรพลาดเช่นกัน

. จากตลาดเก่าบางนกแขวก เราขับรถไปต่อกันอีกนิดที่ ตลาดน้ำบางน้อย ( GPS 13.4622587,99.9442839 )

ที่นี่เป็นอีกหนึ่งตลาดที่ผม "โคตระแนะนำ"ให้มา บรรยากาศจะคล้ายๆกับอัมพวาที่ยังไม่ดัง สโลว์กำลังดีแต่ไม่ถึงกะนิ่งเนิบแบบตลาดเก่าบางนกแขวก ที่นี่จะอยู่ติดกับ "วัดเกาะแก้ว" ขับรถมาจอดรถในวัดแล้วเดินเข้าไปได้เลยครับ

ร้านรวงในนี้ตบแต่งกำลังดี มีมุมถ่ายรูปเก๋ๆเยอะ ถ้าเหล่า hipster มารับรองได้ภาพชิคๆ เพียบ!



ตลาดน้ำบางน้อยเค้ามี concept ชิคๆง่ายๆเลย "สเน่ห์ที่ไม่ต้องปรุงแต่ง"

นอกจากนั้นที่ตลาดน้ำบางน้อยเค้ามีของขึ้นชื่อ ลือชาทุกคนแนะนำต้องมากินคือ โรตีแต้จิ๋ว ขนมหนาวเคี้ยวหนึบสุดฟิน มีที่นี่ทีเดียวในโลก

หลังจากกินคำไปแรกผมก็เริ่มยิงคำถาม


ชิล : "โรตีแต้จิ๋วนี่มาจากจีนเหรอครับ"
คุณยาย : "ป่าว บรรพบุรุษฉันคิดขึ้นมาเอง มีเฉพาะที่นี้ แต่ก่อนก็ทำให้ลูกหลานกิน คนชอบกันก็เลยทำขายให้คนอื่นได้ทานกัน"
ชิล : "แล้วมันแต้จิ๋วยังไงอะครับ"
คุณยาย : "ทวดชั้นเป็นคนแต้จิ๋ว... "


อืมมมมม เล่นง่ายยยยนะคุณยาย


สรุปว่าโรตีแต้จิ๋ว นี่ไม่ได้มาจากแต้จิ๋วแต่อย่างใด เป็นสิ่งที่คิดค้นโดยบรรพบุรุษเจ้าที่ขายนี่หล่ะ ส่วนประสมของโรตีนี้คือ แป้งโรตีหนึบๆ นำไปทอดพอสุก ใส่น้ำตาลทรายแดง งา ถั่วลิสงคั่ว นำมาม้วนเป็นคำเล็กๆ ใส่ในกระทง ชุดหนึ่ง 20 บาทได้ 3 ชิ้น เหมาะกับกินประมาณ 1 คนครับ
ถ้าทานชุดแรกแล้วเลี่ยนน้ำมัน ลองจิบชาร้อนๆสักถ้วยซัดได้อีกกระทง ผมนี่กินมาแล้ว!


ว่าแต่ ตอนนี้ก็ตะลุยกินมาสามตลาดน้ำแล้วนะ ผมว่า...เราไปเดินย่อยกันหน่อยเถอะ พุงผมจะแตก คุณฟลุคนำทางไปเลย


จัดไป เดี๋ยวผมก็จะนำด้วยพุงเช่นกัน ยัดกันไม่บันยะบันยังเลย แต่ทำไงได้ อร่อยไปซะหมด ! 55

หลังจากเพลิดเพลิน กับ ตลาดน้ำกันมาแล้ว ก็ได้เวลาขึ้นบก แล้วพกความสุข ไปทำตัวล้มลุกกันต่อที่นี่เลย ..


“ อาสนวิหารพระแม่บังเกิด “


โบสถ์หน้าตาดีแห่งนี้ตั้งอยู่ใน "วัดแม่พระบังเกิด" ซึ่งสร้างขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2433

โดยคุณพ่อเปาโลซัลมอน เจ้าอาวาสในขณะนั้น ตัววิหารเป็นศิลปะแบบโกธิคที่สร้างด้วยอิฐเผา

ดูแล้วให้อารมณ์ยุโรปยังไงยังงั้น วันที่ผมไปถึง เป็นวันที่ฟ้าเป็นใจ แสงโดนใจอะไรก็ดูใสดูดีไปหมด

บริเวณโดยรอบของโบสถ์ยังมีโรงเรียนให้เราได้สัมผัสกับความน่ารักของเด็กๆ เป็นของแถมอีกด้วย

พิกัด อาสนวิหารแม่พระบังเกิด : 13.49538, 99.924688

ดูฟ้าสิครัชใสมากกกกกเสียดายที่ผมไม่ได้เข้าไป เพราะตอนนั้นปิดพอดี


กังหันลมหันหลังให้ลม ยืนให้ผมชมอยู่ห่างๆ ริมแม่น้ำแม่กลอง ที่ไม่มีเสียงกลอง...


มีแต่ความสงบของลำคลอง ที่ชวนให้น่ามองเสมอ

เก็บภาพที่อาสนวิหารพระแม่บังเกิดจนพอใจ ก็ได้เวลาย้ายก้นไปต่ออีกที่นึง ที่อยู่ไม่ไกลกันมาก นั่นคือ วัดบางแคน้อย


ชอบจริงๆ สถานที่เที่ยวใกล้ๆ กันแบบนี้ ชีวิตไม่ต้องเร่งรีบ ไม่ต้องเร่งรัด

สามารถสูดกลิ่นของแต่ละที่ได้อย่างเต็มลมหายใจของความสุข



วัดบางแคน้อยนั้นมีชื่อเสียงโด่งดัง ดังจนโด่งไปไกล กับความงามของโบสถ์ไม้สักทองที่นี่

รวมไปถึงวัดเก่าแก่ที่มีอายุกว่าร้อยปีผนังด้านในยังทำด้วยไม้แกะสลักเป็นเรื่องราวในพุทธประวัติอีกด้วย

วัดนี้สามารถมาได้ทั้งทางเรือและทางบก ด้านหลังของตัววัดอยู่ติดกับแม่น้ำเลย

สวยงามตามที่ควรจะเป็น ฟ้าเป็นฟ้า แดดเป็นแดด แต่ร้อนตับแตกพะยะค่ะ!

พิกัด วัดบางแคน้อย : 13.42988, 99.945368

มุมสวยๆภายในบริเวณวัด


และนี่คือตัวอารามหลักเดี๋ยวเราเข้าไปดูกัน !


นี่ครับด้านใน อารามหลักกับไม้สักทองที่ขึ้นชื่อของที่นี่งามอร่ามแท้


ระหว่างที่ผมเดินอยู่ ก็มีหลวงพี่ท่านนึงเดินเข้ามาดูแล พร้อมทั้งอธิบายภาพต่างๆ ให้ฟังถึงที่มา

น่ารักมากครับการต้อนรับของพระที่นี่ได้ทั้งความรู้และความสบายใจเลย

สิ่งหนึ่งที่ผมชอบที่วัดนี้คือความสงบของบรรยากาศริมน้ำ เราเดินเล่นถ่ายรูปกันอยู่สักพักเลย


เป็นช่วงที่นาฬิกาชีวิต กับ นาฬิกาข้อมือเดินไม่พร้อมกัน อย่างเห็นได้ชัด

และมันก็ยิ่งชัดกับคำว่า " slow life "

และต่อจากนี้ เรากำลังจะไปคลองโคลนกัน ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่น่าสนใจมาก



ชิล ผมว่าแดดมันทำลายเม็ดสีผิวเราไปพอสมควรละช่วยพาผมหนีเสือปะจระเข้ เอ้ย หนีร้อนไปพึ่งเย็นทีฮะ ><


แหมทำเป็นสำอางค์ไปได้คุ๊ณณณ เดียวผมพาไปพอกโคลนธรรมชาติที่ ต.คลองโคนนะครัช



สำหรับที่ ต.คลองโคน จะมีโฮมสเตย์หลากหลายเจ้าที่มีโปรแกรมคล้ายๆกัน อันนี้แล้วแต่ความชอบ และ ที่สำคัญเลยนะคือเงินในกระเป๋า สำหรับในทริปนี้เราเลือกเข้าพักที่ "บ้านไม้ชานเลน" โดยมีพี่ที่รู้จักแนะนำมาว่าสนุกและอาหารอร่อย



ที่บ้านไม้ชานเลน ราคา แพคเกจ 2 วัน 1 คืนอยู่ที่ 1,500 บาท บรรยากาศภายในโฮมสเตย์ จะเป็นบ้านไม้หลังขนาดย่อม ปลูกอยู่บนชายเลนสมชื่อ ถ้ามองลงไปในเลนก็มีปลาเล็กๆว่ายน้ำดุ๊กดิ๊กให้เห็นเลยหล่ะ





ลองมาดูภายในห้องพักกันบ้าง ก็มาตรฐานนะเหมาะสมกับราคาโฮมสเตย์เลยนะ อยู่สบายหายห่วง




. เดินเล่นนอนชิว พักผ่อนที่โฮมสเตย์จนถึงเย็น จริงๆในแพคเกจเค้ารวมอาหารเย็นด้วยนะ
แต่เราหยิ่งไง เฮ้ยไม่ใช่เราต้องสรรหาร้านอาหารชื่อดังมาให้ชมรีวิวไง เลยขับรถต่อไปยังร้านอาหารชื่อดังย่านคลองโคน



มีคนแนะนำมาว่าต้องร้านนี้เลย "ร้านคุณจ๋า" ร้านนี้ผมให้เต็มสิบดาว อร่อยจนตอนขณะเขียนรีวิวก็อยากกลับไปกินอีก วิธีการไปไม่ยากครับ ร้านนี้อยู่ติดกับ พิพิธภัณฑ์วัดเขายี่สาร ใส่ใน google map ( GPS 13.3015505,99.903174 ) นำไปโลด





คำเตือน! กระทู้นี้ไม่เหมาะสำหรับคนกำลังลดน้ำหนัก



3 อย่างแรกที่อยากแนะนำให้ทานกัน


- ปลาแดดเดียวทอด
ตากแดดกำลังดี ไม่ฉ่ำและไม่แห้งจนเกินไป อร่อยมากกกกก

- เมนูแนะนำ ใบชะคราม น้ำพริกกะปิ
ใบชะครามมีหน้าตาคล้ายยอดใบชะอม แต่นิ่มและอร่อยกว่า ราดกะทิด้านบนทานคู่กับ น้ำพริกกะปิรสแซ่บไม่เหม็นกะปิเลย ( ปกติผมไม่ทานน้ำพริกกะปิ แต่ร้านนี้อร่อยจริง )


- ปิดท้ายเซ็ตแรกด้วยอีกเมนูมาตรฐานชาวกรุง ปลาหมึกผัดไข่เค็ม เมนูบ้านๆแต่ที่นี่ทำอร่อยมากกก


มาต่อกันอีก3อย่าง กินให้ลืมเธอออ


- ผัดผักก็มาสำหรับคนไม่ทานเผ็ด อร่อยเช่นกัน

- เดียวจะไม่ลื่นคอ น้ำๆสักอย่าง จัดต้มยำทะเลมา กุ้งโตๆ หมึกเน้นๆ รสแซ่บคล่องคอ

- ปิดท้ายจริงแล้วด้วย หอยแครงลวก สดมากกกกกก จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ด อร่อยลื้มมม


Day3 :


ตื่นมาทานอาหารเช้า สูดอากาศดีๆเพลินๆกับธรรมชาติใกล้ป่าชายเลน สัก 9 โมงก็ไปขึ้นทำกิจกรรมอนุรักษ์กัน แต่ก่อนอื่นเพื่อความปลอดภัย ถึงแม้เราจะว่ายน้ำกันเป็น แต่อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น การใส่เสื้อชูชีพจึงเป็นสิ่งที่ต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัช นะครัช




เรือจะออกวิ่งไปตามคลอง ที่มีลักษณะเป็นน้ำโคลน ตามชื่อคลองโคน ระหว่างทางเราจะได้ชมวิธีชีวิตชาวบ้านริมทะเล เลี้ยงหอย เลี้ยงปลา เพื่อหาเลี้ยงตัวเอง ทุกอย่างยังดำเนินไปแบบเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา

ช่วงเวลาที่เรือแล่นนั้น คุณจะได้กลิ่นของธรรมชาติ กลิ่นทะเล ที่มีเสน่ห์อย่างที่ควรจะเป็น และภาพที่ได้เห็นทั้งความคลาสสิกริมน้ำ ธรรมชาติริมอ่าว มันทำให้เราอินไปกับสิ่งที่เห็น




ส่วนหนึ่งของภาพวิถีชีวิตของอาชีพริมทะเล ที่ยังมีให้เห็นตลอดทาง จะพบเห็นอะไรก็แล้วแต่ดวงหล่ะครับ

เมื่อเรือขับรถผ่านชาวบ้านมาสักพัก จะพบกับป่าชายเลนอยู่ทางด้านขวา พร้อมกับ "ลิง" ใช่แล้วคุณมองไม่ผิดหรอก
ลิง มันอยู่ริมทะเล และลิงที่นี่ไม่ได้กินกล้วยซะด้วย มันกิน "ปู" ไฮโซเว่อออ อเมซิ่งไทยแลนด์มากกกก


อเมซิ่งได้อีกเมื่อที่นี่มี "ศาลเจ้าลิงเผือก" จากคำบอกเล่าของคนขับเรือ ได้บอกไว้ว่าแต่ก่อนแถวนี้เคยมีลิงเผือกตัวหนึ่ง ชาวบ้านมักจะมาขอเวลาออกไปทำงานหาหอย หาปลา ให้ได้เงินได้ทองกลับมา แล้วได้จริงๆ เมื่อลิงเผือกตายลง ชาวบ้านก็ได้สร้างศาลไว้ตรงนี้เป็นตัวแทนความศักดิ์สิทธิ์ และยังคงมีหลายๆชีวิตมาสักการะเจ้าลิงตัวนี้อยู่เสมอ

. จากนั้นเรือพาเราไปชมฟาร์มเลี้ยงหอย มีทั้งการเลี้ยงหอยนางรม และ หอยแมลงภู่ รวมทั้งหอยแครง โดยวิธีการเลี้ยงหอยนางรมจะเกิดจากซื้อเชือกที่มีเชื้อมาครับ จากนั้นก็ผูกไว้กับที่เลี้ยงแบบในภาพ เมื่อน้ำขึ้นน้ำทะเลก็จะท่วมตัวหอย หอยก็จะตัวโตจนสามารถเก็บขายได้

ในส่วนของหอยแมลงภู่ใช้วิธีปักเสาไว้เดียวเค้าจะมาเกาะเองไม่ต้องเพาะเลี้ยงอะไร …. เรียกได้ว่า ได้สัมผัสถึงชีวิต และยังได้ความรู้ประดับสมองไปในตัว



จบจากการชมเลี้ยงฟาร์มหอย เราล่องเรือ ตา-กลม เฮ้ย ตาก-ลม เย็นๆกลับไปยังโซนป่าชายเลน เราจะร่วมกิจกรรมปลูกป่าชายเลนกันตรงนี้หล่ะ ล่องเรือกันไปเลยครับ

กิจกรรมนี้เป็นอะไรที่สนุกครับ สังเกตได้จากรอยยิ้มของน้องๆ ในรูป และยังส่งต่อความสุขไปถึงชาวอู้ที่อยู่ในเรืออีกด้วย มากันเยอะยิ่งสนุกครับ บ้างก็ปาโคลนเล่นกัน เลอะประสบการณ์กันไป สนุกโดนใจคนทั้งฝูง

สำหรับเด็กน้อย หรือ เด็กเหลือน้อย ก็ไม่ต้องกังวลไปกับการย่ำเลนนะ เพราะมีเจ้าหน้าที่ช่วย ^^

เอ้าไหนบอกช่วย นี่มันอุ้มชัดๆ


วิวบ้านๆที่ "ธรรมชาติรังสรรค์"

. จบกิจกรรมปลูกป่าชายเลน ล่องเรือต่อไปทานข้าวที่กระเตงกัน โดยระหว่างทางจะได้เห็นการเก็บหอยแครง วิธีการคือชาวบ้านจะมีกระดานอันหนึ่งไถไปกับเลน และค่อยๆเก็บขึ้นมา เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านจริงๆ



ด้านหน้าทะเล ด้านข้างเป็นภูเขา บรรยากาศดี ชีวิตดี้ดี


โดยเฉพาะกระท่อมน้อยหลังนี้ ทำเอาชาวเมืองที่ใช้ชีวิตเร่งรีบอย่างผม รู้สึกอิจฉาในความเรียบง่ายของชีวิต อะไรจะมีความสุขไปกว่าการได้ตื่นมาตอนเช้าพบกับอากาศดีๆด้านหน้าเป็นทะเล ด้านหลังเป็นเขาอย่างนี้อีกเล่า



และหลังจากทำกิจกรรมครึ่งเช้าแล้ว เราก็จะมาทานมื้อกลางวันกันบนกระเตง กระเตงจะว่าไปมันคือบ้านไม้ที่ปลูกบนทะเล นั่นหล่ะ
อาหารจะจัดเป็นเซ็ตมา เซ็ตนี้เหมาะสำหรับ 8 คน ประกอบไปด้วย น้ำพริกกะปิใบชะคราม , ปลาทอดน้ำปลา , หอยแครงลวก , หมึกย่าง , ปลาทูแม่กลอง ทั้งหมดรสชาติดีมากๆ โดยเฉพาะน้ำจิ้มซีฟู้ด แซ่บได้ใจจริงๆ


พวกเรานั่งกินข้าวไปพร้อมกันตากแอร์ธรรมชาติ นอนผึ่งพุง พักกายพักใจ เสพความฟินเข้าชีวิตให้ฉ่ำปอด เมื่อทานข้าวบนกระเตงกินอิ่มหน่ำสำราญ ก็ได้เวลาสนุกอีกครั้ง กับกิจกรรม "กระดานเลน" กิจกรรมนี้จะให้เราได้ลองกันว่าการไถกระดานเลนมันเป็นยังไง มันง่ายแบบที่ชาวบ้านทำไม๊หนอ ชาวบ้านนี่ไถปื้ด ไถปรื้ด

เริ่มแรกจะมีการสาธิตโดยผู้ชำนาญการก่อน จากนั้นก็จะมีการเฟ้นหาคัดตัวผู้กล้าในการเปิดการละเล่นนี้ ที่นี่ไม่มีการโหวตออก ไม่มีถ้วยรางวัล และไม่มีอะไรทั้งนั้น …. ยกเว้นความสุขและความสนุก ที่จะได้รับกลับไป



กลุ่มผู้กล้าเริ่มไถกระดานเลนออกไปไม่ถึงเมตร แอ่กกกกก ติดหล่มกันเรียบ มันยากกว่าที่คิด เพื่อนๆเชียร์ขำกลิ้งกันยกใหญ่

เหล่ากองเชียร์ตัวน้อย เชียร์กันอยู่บนกระเตง แต่ไม่ลงสะง้าน

เมื่อมีเริ่มก็ต้องมีจบ มีพบก็ต้องมีจาก ได้เวลาลากตัวเองกลับเข้าฝั่งกันซะแล้ว เสียงเทเลทับบี้ลอยขึ้นมาตลอดทาง

"หมดเวลาสนุกแล้วซิ" แม้เรื่องดีๆกำลังจะผ่านไป แต่มันจะไม่ไปไหนหรอก เพราะมันจะเป็นความทรงจำติดตัวของพวกเราตลอดไป

และนี่คือความสุขง่ายๆ ที่เมืองสายน้ำสามเวลา มอบให้เรา

ใกล้แค่นี้…ไปมาครบหรือยัง
ใกล้แค่นี้ มันมีอะไรดี กว่าที่คิด
แล้วใกล้แค่นี้…คุณรู้จักดีแค่ไหน ? ลองมาทำความรู้จัก สักพัก แล้วคุณจะรัก เมืองนี้

ฟลุค จาก เพจ สองเท้า – เกาโลก หรือ Scratch da world

http://www.facebook.com/scratchdaworld
ชิล จาก เพจ Chill Journey
http://www.facebook.com/ChillJourney


FLuke Wathakul

 วันอังคารที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2558 เวลา 15.22 น.

ความคิดเห็น