สวัสดีครับทุกๆท่าน วันนี้ผมขอนำประสบการณ์ที่ได้รับจากการเดินทางท่องเที่ยว เขาค้อ - ภูทับเบิก ที่ได้รับมาฝากกันครับ

โดยผมได้เดินทางไปตามล่าหาทะเลหมอก ณ จ.เพชรบูรณ์ เมื่อวันที่ 4-6 กันยายน 2558 ที่ผ่านมาครับ

หลังจากได้ชมการอัพเดทอย่างต่อเนื่อง ในสื่อโซเชียลต่างๆมาได้ซักระยะ ซึ่งภาพที่ได้เห็นนั้น สวยๆทั้งนั้น

และอยากมีโอกาสซักครั้งที่จะออกไปสัมผัสความสวยงามของทะเลหมอก เขาค้อ - ภูทับเบิก

เมื่อเงินเดือนออกงบประมาณพร้อมจึงไม่รอช้า จริงๆวางแผนว่าอยากไปนานแล้ว แต่รองบประมาณเท่านั้นเอง อิอิ

โดยก่อนถึงวันกำหนดเดินทาง ก็ลุ้นฝนอยู่ทุกวันว่าจะตกหรือไม่ เพื่อเพิ่มโอกาสในการชมทะเลหมอกในวันที่เดินทาง

เกริ่นกันมาซะเยอะแล้ว มาเริ่มเดิน ปฏิบัติการตามล่าหาทะเลหมอกกันเลยดีกว่าครับ

เพื่อที่จะได้พาแฟนไปชมสวรรค์บนดินกัน

ก่อนออกเดินทางเดินทางเย็นวันที่ 3 ก.ย. มีฝนตกมาอย่างหนัก ทำให้เริ่มมีหวังที่จะได้เห็นทะเลหมอกอย่างที่หวังไว้
ผมจึงวางแผนว่าจะขับรถไปชมทะเลหมอกยามเช้าของวันที่ 4 ก.ย. ทันที แต่ถ้าออกไปถึงเช้าตรู่เลย ก็กลัวจะขับรถไม่ไหว
จึงได้วางแผนว่าออกจาก กทม. ประมาณ ตี 4 กะไปถึงซักประมาณ 8 โมงกว่าๆ ถ้าโชคดีคงยังพอเหลือหมอกให้เห็นบ้าง
ด้วยความตื่นเต้นคืนนั้นผมเลยนอนไม่ค่อยหลับ คิดว่าจะได้เจออย่างที่หวังไว้รึเปล่า

การเดินทางในครั้งนี้ เดินทางโดยรถส่วนตัวจากกรุงเทพฯ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 1 (ถนนพหลโยธิน)
ผ่านจังหวัดสระบุรีเลยไปจนถึงสวนพฤกษศาสตร์ (พุแค) เลี้ยวเข้าทางหลวงหมายเลข 21 ผ่านอำเภอชัยบาดาล
อำเภอศรีเทพ อำเภอวิเชียรบุรี อำเภอเมืองเพชรบูรณ์ ขับมาตรงไปจนถึงสามแยกนางั่ว เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนหมายเลข 2258
ถึงสี่แยกรื่นฤดี เลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนหมายเลข 2196 สู่อำเภอเขาค้อกันครับ
โดยเราขับรถมาถึง เขาค้อประมาณ 8 โมงกว่าๆตามที่คาดครับ และระหว่างทางนั้นก็ได้เจอหมอกจางๆบ้าง
ตามเส้นทางที่ขับผ่านมา ทำให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยอย่างบอกไม่ถูก เริ่มมีความหวัง
มาถึงเขาค้อช่วงเช้าแต่ยังไม่ได้เวลาเช็คอินเข้าที่พัก เลยขอขับรถตามหาหมอกกันก่อนครับ
โดยผมได้นำแผนที่ท่องเที่ยวของคุณชานม มาประกอบการเดินทางในครั้งนี้ด้วย
ต้องขอขอบคุณข้อมูลดีๆที่นำมาแบ่งปันกันครับ

ที่แรกที่ผมได้เดินทางแวะไปเพื่อชมทะเลหมอกคือ "ไปรษณีย์เขาค้อ" ครับ เพราะเป็นทางผ่านใกล้ๆที่พักพอดี

มาถึงก็ต้องผิดหวังกันไป เนื่องจากไม่เจอน้องหมอก ได้แต่หมอกจางๆ อาจเป็นเพราะมาสายแล้วก็เป็นได้

เลยต้องขับรถต่อไปยังจุดชมวิว ณ บริเวณอื่นกันต่อครับ และที่ถัดมาที่ผมขับรถผ่านไปเป็น "จุดชมวิวบ้านเพชรดำ"

แต่ก็ต้องผิดหวังกันอีกเช่นเคย ซึ่งคาดว่าถ้าจุดนี้มีหมอก คงจะสวยงามมากแน่ๆ เนื่องจากภูมิประเทศ ณ จุดนี้ มีภูเขาสูงต่ำสลับกันหลังจากที่พลาดหวังไม่ได้เห็นทะเลหมอกอย่างที่คิด จึงตัดสินใจพากันขับรถไปยังฝั่งแคมป์สน
เพื่อมุ่งหน้าไปยัง วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว แต่เมื่อขับรถไปถึง ก็มีฝนตกสลับกับลม
จึงทำให้ต้องขับรถเลยไปยัง Pino Latte Resort & Cafe เพื่อชมวิวมุมสูงกันก่อนครับ

เมื่อมาถึงก็เจอหมอกปกคลุมทั่วพื้นที่ ทำให้ไม่สามารถมองเห็นวัดพระธาตุผาซ่อนแก้วได้

แต่ถือว่าบรรยากาศดีทีเดียวครับ เย็นสบายผุดๆ

นั่งรอซักพักทานชาเขียวปั่นและขนมรอหมอกสลายตัวไป เพื่อจะได้ชมวิววัดได้อย่างสวยงาม
ราคาชาเขียวปั่นที่นี่แพงใช้ได้เหมือนกันครับ แต่ด้วยวิวสวยๆก็ถือว่าเป็นค่าบรรยากาศแล้วกันครับ
และแล้วหมอกก็เริ่มซาลง ทำให้วัดที่ถูกหมอกปกคลุมเริ่มเผยตัวออกมาให้เห็นถึงความสวยงามของวัด ณ จุดนี้

เป็นวิวที่สวยและฟินมากครับ ยอมรับเลย อีกทั้งบรรยากาศยังดีอีกด้วย

ไม่แปลกเลยที่นักท่องเที่ยว ต่างเดินทางมาที่นี่กันอย่างต่อเนื่อง

รวมถึงเราด้วย ก็เลยเดินเล่นถ่ายรูปเก็บบรรยากาศความประทับใจกันอยู่พักหนึ่ง

"วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว" เป็นอีกหนึ่งจุดหนึ่งที่ต้องไปสัมผัส หากผ่านมาเพชรบูรณ์ครับ

วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว ศาสนสถานที่สร้างขึ้นท่ามกลางธรรมชาติและบรรยากาศที่เงียบสงบ

เทือกเขาสลับซับซ้อนโดยรอบ มีพระเจดีย์ที่งดงามโดดเด่นเป็นสง่าอยู่บนยอดเขาสูง
เจดีย์ที่ตกแต่งอย่างสวยงามด้วยกระเบื้องหลากหลายสี เครื่องประดับ พลอย สร้อย กำไล ถ้วยชามเครื่องเบญจรงค์

เสียดายวันที่ไป บริเวณพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ปิดปรับปรุงเลยได้แต่ถ่ายรูปจากด้านนอก

แต่เท่านี้ก็ถือว่าคุ้มค่ากับการเดินทางได้มาสัมผัสด้วยตาตัวเองแล้วครับ สวยงามเกินคำบรรยายจริงๆ


หลังจากชมความสวยงามของวัดกันอย่างจุใจแล้ว เราก็ได้เดินทางกลับมายังเขาค้อ เพื่อทำการเช็คอินเข้าที่พักกันครับ

โดยที่พักสำหรับคืนนี้ คือ "เขาค้อสวิส" ที่แห่งนี้ได้ชมการรีวิวจากเพื่อนๆที่ได้มาสัมผัสไปก่อนหน้าแล้วรู้สึกชอบมากๆ

ถ้าโชคดีเราสามารถเห็นทะเลหมอกได้จากเตียงนอนกันเลยครับ ผมเห็นภาพแล้วรีบโทรจองทันที

ซึ่งราคาต่อคืนของที่นี่จะอยู่ที่ 1,100 บาทต่อคืน ผมได้เข้าพักห้องหมายเลข 21 อยู่ฝั่งริมสุดติดเขา

และนี่คือบรรยากาศของที่พักของเราในคืนนี้ครับ มาชมไปด้วยกันเลยยย

มาลองดูบรรยากาศแถวๆหน้าห้องพักกันบ้างครับ

ณ บริเวณหน้าห้องของเราสามารถนอนดูพระอาทิตย์ตกได้ด้วย ฟินเฟอร์ตัดฉับมาที่เช้าวันที่ 2 กันเลยครับ ด้วยความตื่นเต้น ผมเลยตื่นตั้งแต่ตี 5 เพื่อเตรียมตัวออกไปชมทะเลหมอกที่หวังไว้ นี่เป็นวิวยามเช้าบริเวณหน้าห้องพักครับ

สายหมอกค่อยๆไหลมารวมตัวกันเรื่อยๆ เริ่มเยอะขึ้นๆ จากน้อยๆตอนแรกที่เห็น รวมตัวกันกลายเป็นทะเลหมอก


"จุดชมวิววัดกองเนียม" เป็นจุดแรกที่ผมคิดว่าจะไปให้ได้ในทริปนี้ เนื่องจากเห็นจากในรูปในสื่อต่างๆแล้ว
ถ้าได้ไปยืนอยู่ตรงนั้นและมีสายหมอกบางๆ มองเห็นภาพพื้นที่นั้นสลับภูเขา สายหมอกและบ้านตรงนั้น
มันเหมือนอยู่ในดินแดนแห่งความฝันชัดๆ และแล้วผมก็รีบขับรถไปแต่เช้า เพื่อชมดินแดนแห่งความฝันแห่งนี้ครับ
และนี่คือภาพที่ผมได้เจอ ณ วันนั้นที่ได้ไปสัมผัส

สวยงามเหมือนอย่างที่ผมหวังไว้จริงๆครับ ผมนี่ตกหลุมรักเมืองในสายหมอกเข้าอย่างจัง

ผมใช้เวลาซึมซับกับบรรยากาศความสวยงามของที่นี่อยู่นานพอสมควรครับ จริงๆ อยากอยู่นานกว่านี้ด้วยซ้ำ

แต่ต้องไปชมทะเลหมอก ณ จุดอื่นกันบ้างจุดต่อมาที่พลาดไม่ได้อีกจุดหนึ่งก็คงเป็น "ไปรษณีย์เขาค้อ" ครับ

รอบนี้มาไม่ผิดหวังครับ ทะเลหมอกปกคลุมทั่วพื้นที่ สวยงามมากๆ นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ชมทะเลหมอกสวยๆ หนาๆครั้งแรกเลย

เท่าที่ทราบมา บริเวณไปรษณีย์เขาค้อนี้ ยังมีพื้นที่สำหรับให้นักท่องเที่ยวเช่าสำหรับกางเต็นท์ เพื่อรอชมทะเลหมอกยามเช้ากันด้วยครับก่อนเดินทางกลับที่พักเห็น "โรงเรียนร่มเกล้าเขาค้อ" คิดว่าน่าจะมีจุดให้ชมทะเลหมอกเช่นกัน เลยได้แวะเข้าไปชมซักหน่อย

และก็ไม่ผิดหวัง ที่นี่มีจุดชมวิวสวยๆให้ชมทะเลหมอกเช่นกันครับ ที่สำคัญไม่มีคนพลุกพล่านด้วย นี่มันสวรรค์บนดินชัดๆ


หลังจากชมความงดงามของทะเลหมอกเขาค้อเป็นที่เรียบร้อย เราก็ได้เดินทางกลับที่พัก
ทำการ check out ออกจากที่พัก เพื่อเดินทางไปยัง ภูทับเบิก รอลุ้นทะเลหมอกเช้าวันถัดไปอีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งสำหรับการได้ชมทะเลหมอกเช้านี้ที่เขาค้อนั้น ถือว่าทริปนี้คุ้มค่ากับการรอคอยมากแล้ว

ถ้าที่ภูทับเบิกได้เจอทะเลหมอกอีก ก็ถือว่าเป็นกำไรของทริปนี้เลยหลังจากเดินทางออกจากเขาค้อ
เพื่อมุ่งหน้าสู่ ภูทับเบิก ก็มีฝนโปรยปรายตลอดทางจนกระทั่งทางขึ้น เราจึงต้องขับรถขึ้นเขาอย่างระมัดระวัง

ใช้เวลาเดินทางจากเขาค้อมายังภูทับเบิกประมาณ 1 ชั่วโมง ทางขึ้นค่อนข้างคดเคี้ยว

สลับกับทางชันขึ้นเขา ต้องใช้ความระวังเป็นอย่างยิ่ง

และแล้วก็ขึ้นมาถึงจุดชมวิวสูงสุดของภูทับเบิก ณ จุดวัดอุณหภูมิ และนี่คือเส้นทางที่เราขับรถผ่านสายฝนขึ้นมากันครับ

เดินทางมาถึง ภูทับเบิก ก็ช่วงบ่าย 3 บ่าย 4 แล้ว ได้เวลาหาที่พักแล้ว คืนนี้เราอาศัยการเช่าเต็นท์

ที่ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวภูทับเบิกโดยค่าเช่าเต็นท์อยู่ที่ราคา 500 บาท สามารถนอนได้ 3-4 คน

และจะมีเจ้าหน้าที่จัดการกางเต็นท์ให้เป็นที่เรียบร้อย

สิ่งที่จะได้รับคือ เครื่องนอนสำหรับ 3-4 ท่าน เราก็เลือกจุดกางเต็นท์ที่ชอบได้เลยครับ
ผมจัดเลยใกล้ๆ จุดชมวิว ริมหน้าผาครับระหว่างนั้นก็มีสายหมอกปกคลุมทั่วพื้นที่
สลับแดดออกกันเป็นระยะๆ อากาศค่อนข้างแปรปรวนครับ และแล้วฝนก็ตกหนักทำเอาต้องหาที่หลบฝนกันแทบไม่ทัน
ทั้งลมทั้งฝนนี่แรงมาก กว่าจะหยุด

ณ จุดสูงสุดบนยอดภูทับเบิก เราสามารถมองเห็นบ้านเรือนของเมืองด้านล่างได้
ซึ่งได้รับเปรียบว่าเป็น ดาวบนดิน ที่สวยงามมากๆครับ ถ้าวันไหนโชคดี ฟ้าเปิด
ที่นี่ก็สามารถมองเห็นดาวเต็มท้องฟ้าเช่นกัน แต่ไม่ใช่สำหรับคืนนี้

ช่วงประมาณสองทุ่ม ฝนเริ่มตกหนัก ลมพัดโหมกระหน่ำอย่างหนักอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาเราต้องนั่งจับเต็นท์
กลัวเต็นท์จะปลิวไปกับสายลม ซึ่งทำเอาไม่ได้นอนแทบทั้งคืน ต้องออกไปซ่อมเต็นท์ก็หลายครั้ง
ท่ามกลางสายฝนและอุณหภูมิที่หนาวเย็นที่ 17 องศา เต็นท์ที่อยู่บริเวณรอบๆข้างพังไปก็หลายเต็นท์
และจำนวนหลายเต็นท์ก็เก็บเต็นท์และไปนอนที่รถกัน ส่วนเราต้องจำใจนอนเฝ้าข้าวของในเต็นท์กัน
ไม่สามารถเก็บของออกไปได้ เนื่องจากลมและฝนที่แรงมาก
คืนนั้นเลยนอนเปียกกันอยู่ในเต็นท์ ผมถึงกับคิดในใจว่า เห้ย!! นี่เราจะมาลำบากที่แห่งนี้ทำไมกันวะ
มันคุ้มค่ากันเหรอที่เราต้องมากางเต็นท์นอนท่ามกลางพายุที่พัดเต็นท์แทบพัง
แต่ไหนๆก็มาแล้ว ตั้งใจจะมาล่าทะเลหมอก ก็เลิกคิดและกลั้นใจนอน สุดท้ายก็หลับไปเมื่อไหร่ไม่รู้


และแล้วก็ได้เวลาตื่นนอน ทั้งเปียก ทั้งหนาว เราตื่นมาประมาณตี 5 กว่าๆเห็นจะได้
เดินไปเข้าห้องน้ำก่อน เพราะกลั้นมาทั้งคืน ได้มองไปยังเขาอีกลูกหนึ่งที่ Heaven hill
ฝั่งตรงข้ามกับจุดชมวิวสูงสุดภูทับเบิก ซึ่งก็ไม่เห็นหมอกแม้แต่นิด
หรือนี่เราจะต้องผิดหวังกับการล่าทะเลหมอกที่ภูทับเบิกกันแล้ว เดินกลับเต็นท์พร้อมบ่นในใจ
แต่ไหนๆก็มาแล้วเลยหยิบกล้องคู่ใจเดินไปยังบริเวณด้านล่างที่จะสามารถมองเห็นวิวทะเลหมอกได้
ระหว่างทางเดินลงไปก็ล้มลุกคลุกคลาน เนื่องจากพื้นที่ค่อนข้างลื่นเนื่องจากฝนตกเมื่อคืนนี้
อะไรมันจะซวยขนาดนี้กันนะ หลังจากเดินมาถึงจุดชมทะเลหมอกด้านล่างแล้ว นี่ก็เป็นภาพที่ผมได้เห็นครับ

เมื่อได้เห็นทะเลหมอกดังในรูป ความรู้สึกต่างๆเมื่อคืนที่ผ่านมาหายไปในพริบตา เหลือแต่เพียงความรู้สึกตื่นเต้น ตื่นตาตื่นใจ
กับบรรยากาศทะเลหมอกที่อยู่ตรงหน้า เป็นทะเลหมอกที่ยิ่งใหญ่และอลังการมาก
ครั้งแรกในชีวิตที่ได้เห็นทะเลหมอกสวยขนาดนี้

ท้องฟ้าวันนี้ สีสันสวยงามมากๆ ราวกับว่ามีใครมาแต่งแต้มสีสันท้องฟ้าไว้ พระอาทิตย์ค่อยๆขึ้นโผล่พ้นขอบฟ้า

ผู้คนเริ่มแห่มาจับจองพื้นที่ของตัวเอง เพื่อเก็บภาพความประทับใจของทะเลหมอกเช้าวันนี้กันอย่างเนืองแน่น

ภาพที่เห็นเหมือนคลื่นทะเลหมอกอันบ้าคลั่งกำลังซัดเข้าถล่มบ้านเรือน

ผมก็ได้แต่รัวชัตเตอร์ไม่ยั้ง

นี่เป็นแปลงปลูกกะหล่ำปีที่สวยที่สุดเท่าที่เคยเห็นมาเลยครับ ฟินมากๆพูดเลยยย
ทะเลหมอก ออกมาโชว์ให้นักท่องเที่ยวเห็นกันเป็นเวลานานพอสมควรครับ และก็ค่อยๆสลายหายไปทีละนิด
เราจึงได้เดินไปหาข้าวกินกันแต่แล้วทะเลหมอกรอบสองก็มาอีกครั้ง แต่คราวนี้มาหนากว่าครั้งที่แล้วอีกครับ

และแล้วก็มาถึงช่วงสุดท้ายของรีวิวนี้แล้วครับ การเดินทางไปปฏิบัติการล่าทะเลหมอกครั้งนี้ถือว่าคุ้มค่าสมราคาที่รอคอยมาก

อาจจะมีผิดหวังไปบ้าง ลำบากไปบ้าง มีล้มลุกคลุกคลาน แต่สุดท้ายแล้วเราก็ได้พบเจอกับสิ่งที่ใฝ่ฝันมาตลอด

ทะเลหมอก ณ เขาค้อ - ภูทับเบิก เป็นอะไรที่จะคงอยู่ในใจเราไปอีกนานแสนนาน ด้วยความสวยงามและอลังการแบบนี้


จึงอยากให้ทุกท่านที่เข้ามาติดตามชมรีวิวนี้ ได้ลองมาสัมผัสด้วยตาของตัวเองจะงดงามกว่ามาก

ซึ่งหากมีโอกาส ผมคงได้กลับไปเยือน จ.เพชรบูรณ์ เมืองในฝัน สวรรค์บนดิน อีกครั้งแน่นอน

รูปที่ถ่ายมาและรีวิวที่ทุกท่านได้ชมนั้น ไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความสวยงามของธรรมชาติเลยแม้แต่น้อย

ครั้งหนึ่งในชีวิตแนะนำว่าต้องมาให้ได้ครับ แล้วคุณจะรู้ว่า ธรรมชาติงดงามเสมอ


ข้อมูลที่พักสำหรับลานกลางเต็นท์ วิสาหกิจชุมชนท่องเที่ยวภูทับเบิก มีทั้งบ้านพักและลานกลางเต็นท์

เผื่อท่านใดสนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 085-733-9737 เปิดบริการทุกวัน 06.00 - 21.00 น.


สรุปค่าใช้จ่ายคร่าวๆของทริปนี้ สำหรับ 3 วัน 2 คืน เผื่อท่านใดสนใจสำหรับการเดินทางทริป เขาค้อ - ภูทับเบิก แบบนี้ครับ

- ค่าที่พักคืนแรก ที่ เขาค้อสวิส ราคา 1,100 บาท เตียงเสริม 400 บาท รวม 1,500 บาท

- ค่ากางเต็นท์ที่ ภูทับเบิก คืนที่ 2 ราคา 500 บาท

- ค่าน้ำมันสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวไปกลับ กรุงเทพฯ - เพชรบูรณ์ 2,300 บาท

- ค่ากินทั้งหมดรวม 5 มื้อ ตกเฉลี่ยราวๆมื้อละ 300 บาท รวม 1,500 บาท

รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดของทริปนี้ 5,800 บาท ทริปนี้เดินทางกัน 3 คน

ทริป 3 วัน 2 คืน เขาค้อ - ภูทับเบิก เฉลี่ยตกคนละ 1,9xx บาท


สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมรีวิวมาถึงตรงนี้ ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทางทุกท่าน

และขออนุญาติท่านที่อยู่ในภาพและรถที่อยู่ในภาพนำมาเผยแพร่ในรีวิวนี้ด้วยนะครับ

ขอบคุณกลุ่ม ชมรมคนรักเขาค้อ ภูทับเบิก https://www.facebook.com/groups/486496408154333/

ที่คอยแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ และคอยอัพเดทสถานการณ์ เขาค้อ - ภูทับเบิก ในทุกๆวัน ทำให้ทราบสถานการณ์ตลอด

และก่อนจากกันไป เรายังมีคลิปสั้นๆของทะเลหมอกให้ชมกันเล็กน้อย


ทะเลหมอก ณ ไปรษณีย์ เขาค้อ


ทะเลหมอก ณ จุดชมวิวสูงสุด ภูทับเบิก


และหากท่านใดสนใจอยากสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือ อยากชมภาพเพิ่มเติมติดตามได้ที่

http://www.facebook.com/9aooddy.travel

เป็นอีก 1 ช่องทางที่สามารถพูดคุย สอบถาม และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เรื่องท่องเที่ยวกันได้ครับ

หากผิดพลาดประการใด ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ

ขอบคุณและสวัสดี

ความคิดเห็น