จุดมุ่งหมายของทริปนื้อคือกาญจนบุรีค่ะ เห็นรีวิวมากมาย เพื่อนในเฟสก็ไปกันเยอะ คราวนี้ถึงตาเราบ้าง

คอนเซปคืออยากเที่ยวแบบที่แปลกๆ คนไปน้อยๆ


แพลนคือ มีเวลา 2 วัน 1 คืน ออกจากอยุธยา(หอเพื่อน)ไปเรื่อยๆ มีอะไรก็แวะเที่ยว

จุดหมายคือไปนอนที่บ้านอีต่อง ทองผาภูมิ เราดูข้อมูลก่อนไปน้อยมากกกๆๆ

ไม่ค่อยมีเวลา ดูไว้แค่เส้นทาง ค่อนข้างโหดพอสมควร แต่ไหนๆก็ตั้งใจไปแล้ว ก็ออกเดินทางโลดดด


จำนวนผู้ร่วมทริป : 2 คน

การเดินทาง : รถยนต์เพื่อน

ที่พัก : ไม่ได้จอง กะจะนอนเต็นท์ที่เนินช้างศึก (มีความเสร่อมาก รอติดตามค่ะ 5555)

งบ : สรุปตอนท้ายนะคะ



DAY 1

ออกจากอยุธยาหกโมงเช้า ถนนโล่งมาก มุ่งหน้าสู่กาญฯแบบชิลๆ ที่แรกของทริปคือ

ถ้ำกระแซ"

เราตั้งใจไปแต่เช้า เพราะอยากได้วิวแบบไม่มีคนติด ซึ่งก็เป็นนั้นจริงๆ โอ้ย ฟินมาก ถ่ายรูป แอ็คท่ากันกระจุยกระจาย 5555

มีถ้ำและพระพุทธรูปให้เข้าไปสักการะ

วิวแม่น้ำข้างๆนี่เพิ่มความสวยของทางรถไฟไปอีกร้อยเท่าเลย

รูปคู่ 55555

ทริปนี้มีความบังเอิญมากๆอย่างนึง คือเราเจอพี่ผชที่ถ้ำกระแซ

เลยวานเค้าช่วยถ่ายรูปคู่เรากับเพื่อน วันต่อมาดันไปเจอพี่คนเดิมบนทองผาภูมิอีก

ก็ยังไปวานเค้าถ่ายรูปคู่อีกเหมือนเดิม 5555


เดินไปเรื่อยๆ จะเจอรีสอร์ท วิวสวยมากๆๆ ใครมาพักน่าจะไม่ผิดหวัง

อันนี้ถ่ายทางรถไฟแนวใหม่ 5555

ใครคือตุ้ม ทำไมทำแบบนี้

"ครัวออฟโรด"

เที่ยงกว่าๆ เริ่มหิวค่ะ เนื่องจากแพลนเราไม่มี ร้านอาหารดีๆก็ไม่รู้จักเช่นกัน

เลยต้องพึ่งพวกแอพลิเคชั่น wongnai (โฆษณาแอพให้เค้าซะงั้น อิอิ) กับพวกรีวิวพันทิพเอาค่ะ

แต่หลักๆเราชอบ wongnai นะ ตรงที่มันบอกร้านอาหารใกล้เคียงบริเวณที่เราอยู่ มีรีวิว มีดาวให้ดูด้วย

ส่วนเรื่องรสชาดหรือคุณภาพค่อยไปลุ้นอีกที


สุดท้ายไปจบลงที่ร้านนี้ค่ะ ราคาค่อนข้างสูง เราก็นึกว่าจะมาจานธรรมดา พอมาจริงจานใหญ่มากกกกกก คุ้มราคาเค้านั่นแหละค่ะ สั่งยำผักกูด กับ แกงส้มกุ้ง อร่อยมากกกกกกกกๆๆๆ แนะนำเลยร้านนี้ ข้าวก็มาแบบสวยๆ มื้อนี้หมดไป 375 บาท อร่อยฟิน


"ช่องเขาขาด"

หลังเติมพลังเสร็จก็ไปต่อค่ะ อันนี้อยากมาเพราะแค่เห็นจากรีวิว ไม่รู้ประวัติอะไรเลยค่ะ

ฟ้ามันครึ้มๆ ตอนแรกกะจะพกร่มลงไปด้วย เลยถามคนที่โบกรถว่าฝนมันจะตกมั้ย

คำตอบคือ ไม่ตกหรอกครับ มันชอบตกตอนเย็นๆ โอเค เชื่อค่ะ หารู้ไม่ว่าหายนะกำลังจะมาเยือน 5555555

ก่อนลงไปชมช่องเขาขาด แนะนำให้เข้าไปฟังประวัติในพิพิธภัณฑ์ก่อนนะคะ แล้วเราจะอินกับบรรยากาศข้างล่างมากขึ้น


สรุปย่อๆก็คือสมัยสงครามโลก ญี่ปุ่นต้องการสร้างทางรถไฟทะลุเขาตรงนี้ เลยเกณฑ์เชลยศึก

ที่ส่วนใหญ่เป็นชาวออสเตรเลียมาเป็นแรงงานขุดเจาะทางผ่านภูเขา ซึ่งมีคนตายเยอะๆมากๆ

จำไม่ได้ว่ากี่คน พอเดินลงไปถึงตรงนั้นจริงๆก็รู้สึกขนลุกอ่ะค่ะ มันเศร้าๆ หดหู่ ยิ้มไม่ออก (แต่ตอนถ่ายรูปต้องฝืนยิ้ม เหรอออออ?)

ขาลงชิลๆ แต่ขาขึ้นนี่หอบจับค่ะ

ระหว่างทางสวยดี แต่วังเวงมาก คนไปไหนหมดไม่รู้

เริ่มเข้าสู่ช่องเขาขาด

อย่างที่บอกว่าเชลยศึกส่วนใหญ่เป็นชาวออสเตรเลีย จะมีสัญลักษณ์และของต่างๆมาวางไว้อาลัยกันบริเวณนี้

และที่พีคสุดคือ ฝนค่ะ!! ฝนเทลงมาระหว่างที่เรากำลังยืนไว้อาลัย และโพสท่าถ่ายรูปกลางช่องเขาขาด

ร่มไม่มี มองซ้ายขวาไม่มีที่กำลังใดๆ กรี้ดค่ะ วิ่งหาที่หลบฝน และแล้ว...

ไปหลบตรงใต้ระเบียงยื่นๆที่เค้าเอาไว้ให้นั่งพัก มองไปทางไหนก็ไม่เจอคน ทั้งหลอน ทั้งเปียก เวทนาตัวเอง 55555

ขากลับขึ้นมาเลยไปแซวน้องคนโบกรถด้วยสภาพเปียกมอมแมม ว่าไหนบอกไม่ตกไง นางตอบว่า

ก็เพราะพวกพี่มาแหละถึงตก จร้าาาา ขำๆฮาๆกันไป



"บ้านอีต่อง"



ตอนแรกมีแพลนจะเที่ยวต่อ แต่สภาพตอนนั้นคือไม่ไหว ตกลงกับเพื่อนว่า ป่ะ เราไปบ้านอีต่องกัน!

ระยะทางไม่ไกลค่ะ ร้อยโลนิดๆ แต่โค้งหนักมากกกกก เค้าบอกว่า 399 โค้ง แล้วฝนตกตลอดทาง

ปีนอยู่บนภูเขา ทางค่อนข้างแคบ บางช่วงเป็นหลุมด้วย ต้องระวังมากๆ ที่สำคัญกว่านั้นคือ

แทบไม่มีรถสวนเราเลย ดูวังเวงไปนิด แต่เป็นส่วนตัวดีค่ะ 55555

ปล.ไม่มี่รูประหว่างทางค่ะ ช่วยเพื่อนดูหลุมดูโค้งอยู่ อิอิ


ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงกว่าๆ ถึงแล้ว ต.ปิล็อก ขับต่ออีกนิดถึง บ้านอีต่อง

มันน่าแปลกใจมากๆที่ระหว่างทางไม่มีอะไรเลย ไม่น่าจะมีผู้คนมาอาศัยเลยด้วยซ้ำ

แต่ปลายทางของเรากลับเจอหมู่บ้านขนาดค่อนข้างใหญ่แฝงตัวอยู่

เดิมที่นี่เคยเจริญรุ่งเรืองมาก เพราะเป็นแหล่งทำเหมืองแร่ดีบุกค่ะ แต่หลังๆมาราคาแค่ดีบุกตกต่ำ

เลยปิดตัวลงกันหมด คนที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นลูกหลานคนงานเหมือง ซึ่งรายได้หลักน่าจะมาจากธุรกิจท่องเที่ยว

และสิ่งที่เราพบคือ 'ฝนตกหนักมาก' ตกตลอดเวลา มองไม่เห็นอะไรเลย

แพลนกางเต็นท์นอนเนินช้างศึกเลยล่มไป เลยกะจะเดินหาที่พักในบ้านอีต่อง แต่ที่ดังๆเต็มหมดจ้าาาาาา

ใจเสียมาก นอนไหนล่ะทีนี้ ชาวบ้านที่นั่นใจดี แนะนำที่พักให้มาได้อันนี้ "Hill house "

ป้ายแอบดูน่ากลัว 5555 แต่ห้องโอเคอยู่นะ

ลุงป้าเจ้าของที่พักใจดีมากๆ มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ห้องสะอาด แต่มีกลิ่นแต่มีกลิ่นอับไม้ไปหน่อย

มีเตียงคู่กับเตียงเดี่ยว นอนได้ 3 คน ที่นอนมันจะชื้นๆตามสภาพอากาศ

คืนละ 900 บาท ไม่มีอาหารเช้า แต่มีน้ำดื่ม มาม่า โจ๊ก กาแฟ โอวัลติน ให้กินฟรี

มีน้ำแร่ด้วย รสชาดเฝื่อนๆ

วิวหน้าห้อง มองไม่เห็นอะไรเลย เพลียใจ TT

เป็นสถานีอนามัยที่ชิลที่สุด อิจฉา จนท.ที่นั่นจัง

ที่จอดรถสะดวกดี ไม่เละนะคะ

เดินตากฝนสำรวจหมู่บ้าน ถ้าฟ้าเปิดคงจะดี แต่คิดในแง่ดีแบบนี้ก็ได้บรรยากาศดีๆเหมือนกัน ยิ้มไปปาดน้ำตาไป 5555

มีลานจอดเฮลิคอปเตอร์กลางหมอก

มีวัดกลางหมอก

มีเหมืองแร่เก่ากลางหมอก

มีนักท่องเที่ยวกลางหมอก

เหมือนเราเห็นป้ายผ่านๆว่าเย็นวันเสาร์จะมีถนนคนเดิน แต่ก็นั่นแหละค่ะ ฝนแบบนี้จะเดินกันยังไง TT

นักท่องเที่ยวส่วนใหญ๋จะเป็นกลุ่มที่ขับบิ๊กไบค์มา คือเยอะมากๆ มากันเป็นกลุ่มใหญ่ คิดว่าน่าจะเป็นเพราะทางมามันขับสนุก ท้าทายดี


"ครัวสุดแดน"

พักได้แปบนึงหิว หิวมากกกกก เหนื่อยแค่ไหนก็ต้องตะเกียกตะกายออกหาอาหาร 55555

เคยเห็นรีวิวว่าร้านนี้อร่อยเด็ด มีทั้งอาหารพื้นเมือง อาหารปักษ์ใต้ มาดูอาหารที่ผู้หญิงตัวเล็กๆสองคนสั่งมากินกันค่ะ



ขาหมู อร่อยดี แต่กินเยอะ เลี่ยนไปหน่อย

กวางตุ้งผัดหมูกรอบ เราเริ่มงงว่าเราแยกกวางตุ้งกับคะน้าไม่ออกหรือยังไง ทำไมมันเหมือนคะน้าจัง แต่อร่อยค่ะ

ใบเหลียงผัดไข่ มากินไกลถึงบนดอย

อร่อยทุกอย่าง ยิ่งบรรยากาศฝนตกหนักๆ หนาวๆ ฟินๆ



ใครไปกาญแนะนำให้ซื้อขนมจำพวกถั่วของพม่านะคะ อร่อยมาก

มีร้านขายของที่ระลึก โปสการ์ด พวกเครื่องประดับที่ทำจากแร่ก็มี

ไปพม่ากัน

พรุ่งนี้เรามีแพลนไปชมวิวเนินช้างศึกกับอุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ ก่อนนอนเลยภาวนาขอให้ฝนหยุดตกซะที

คือตั้งแต่เริ่มปีนเขามาจนถึงตอนนี้ฝนยังไม่หยุดตกซักนาทีเลย TT


DAY 2


ตื่นเช้ามาด้วยอารมณ์ขุ่นมัว ฝนยังไม่หยุดตกจ้าาาาา

เอาวะ ไหนๆก็มาแล้ว ต้องเอาให้สุด ตามแพลนเดิมคือไปจุดชมวิวเนินช้างศึก

อาบน้ำแต่งตัวเก็บกระเป๋า บ๊ายบาย บ้านอีต่อง


"เนินช้างศึก"

ตามคาด ไม่เห็นอะไรเลย 5555555555

ลาไปด้วยภาพนี้เลยแล้วกัน เย้ยยยยยย ไม่ค่ะ เราไม่ยอมแพ้


"อุทยานแห่งชาติทองผาภูมิ" ดินแดนแห่งป่าฝนหนาวและม่านหมอก

ขับย้อนกลับมาจากบ้านอีต่องไม่นาน ก็เจอทางเข้าอุทยาน หมอกไม่ค่อยหนาเหมือนบ้านอีต่องแล้วค่ะ

วิวอลังการดาวล้านดวงเลย

ที่พีคกว่าหมอกคือเราเจอพี่คนที่เจออยู่ถ้ำกระแซอีกรอบโดยบังเอิญ เลยได้โม้เรื่องเที่ยวกาญและผลัดกันถ่ายรูป

เป็นมิตรภาพจากการเที่ยวทีดีอีกครั้งนึงเลยค่ะ : ) แอบถ่ายพี่แกจากด้านหลัง มุมมันได้

ตั้งชื่อภาพนี้ว่า "ผู้ชายในม่านหมอก" 555555

ถ้าหมอกไม่บัง วิวนี้จะเป็นเขาช้างเผือก ที่หลายๆคนใฝ่ฝันอยากไปพิชิต เราก็หนึ่งในนั้นแหละค่ะ

สูดอากาศดีๆจนเต็มปอดแล้วก็ไปต่อค่ะ กลับทางเดิม 399 โค้ง ขากลับนี่เมารถ และหิวด้วย ยังไม่ได้กินข้าวเช้า



"เขื่อนวชิราลงกรณ์"



ตอนแรกจะตามรีวิวไปป้อมปี่ แต่หิวมาก หาไม่เจอเลยมาจบลงที่ร้านอาหารในเขื่อน เป็นเหมือนร้านสวัสดิการอ่ะค่ะ

แต่รสชาดอร่อยดี ราคาย่อมเยาว์ด้วย กินสองคนเหมือนเคย 5555

ดูวิวเขื่อนพอเป็นพิธี สวยดีนะคะ


"น้ำตกไทรโยคใหญ่"


อยู่ระหว่างทางกลับ แวะชมกันหน่อย

งื้อออ สวยยยยยย เป็นบริเวณที่มีแพเยอะๆ สวยดี ครั้งหน้าไม่พลาดแน่ น้ำน่ากระโดดมาก

เรือแพ

วิวสะพานชิคๆ

แอบมองไทรโยคใหญ่จากไกลๆ

"โรงนากาแฟ"

อิ่มข้าวก็อยากกาแฟ ออกจากเขื่อน ขับมาเรื่อยๆจะเจอป้ายใหญ่ๆ เป็นร้านอาหารและที่พัก ชื่อโรงนากาแฟ

แน่นอน เราอยากกินกาแฟก็เลี้ยวเข้าทันที

ที่ชิคกว่าที่คิดคือเค้ามีมุมให้ถ่ายรูปเยอะแยะเลย เสร็จเรา อิอิ

รักเราแล้วห้ามกลับใจนะ

เราสั่งหวานน้อยแล้วจืดไปเลย เค้าน่าจะทำไม่ค่อยหวานอยู่แล้ว เพื่อนสั่งชานมเย็นค่ะ อร่อยดี

ไปต่อค่ะพี่สุชาติ!!


"ทางรถไฟสายมรณะ"


อยู่ในเมืองกาญจนบุรีค่ะ เป็นที่แรกที่เราเจอนักท่องเที่ยวเยอะๆ ทั้งไทยและต่างชาติ ดูเยอะวุ่นวายไปหมดเลย

แต่ก็โชคดีได้เจอรถไฟมาพอดี

ปู๊น ปู๊น

แวะอีกที่สุดท้าย เป็นสุสานของเชลยศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 ดูวังเวงอีกแล้ว ยืนไว้อาลัยหนึ่งนาทีค่ะ

จบแล้วค่ะรีวิวนี้ รูปเยอะไปหน่อย แต่ก็อยากแชร์ประสบการณ์ค่ะ

กาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีที่ท่องเที่ยวเยอะมากและสวยทุกที่จริงๆ

ขอให้ทุกคนเที่ยวอย่างมีความสุขนะคะ



สรุปค่าใช้จ่าย

- ค่าน้ำมัน 1000 บาท

- ที่พัก 800 บาท

- ค่าเข้าอุทยาน (2 คน + รถ 1)

ทองผาภูมิ 110 บาท

ไทรโยกใหญ่ 230 บาท

- ค่ากิน ประมาณ 1500 บาท

รวม 3640 บาท ตกคนละ 1820 บาท

ฝากเพจท่องเที่ยวเล็กๆไว้ในอ้อมอกอ้อมใจด้วยนะคะ https://www.facebook.com/eatfortravel/


กลิ้งไปเที่ยว

 วันศุกร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560 เวลา 20.27 น.

ความคิดเห็น