วันนี้ เราเริ่มชินกับการเดินทางท่องเที่ยวด้วยตัวเอง โดยรถไฟและรถบัสของญี่ปุ่นบ้างแล้ว

ตลอดระยะเวลา 3 วันที่ผ่านมา ได้เดินทางด้วยรถไฟ รถบัสและมีการเดินเท้าตลอด

ยกเว้นแท็กซี่ ที่เรารับค่าบริการของแท็กซี่ญี่ปุ่นที่แพงเกินควรไม่ได้จริงๆ ค่ะ อิอิ


เช้าวันที่ 4 ในฟุคุชิมะ (30 ตุลาคม 2560) เช่นเคยค่ะ ยังคงโดนฤทธิ์เดชของพายุไต้ฝุ่นลูกที่ 22 กระหน่ำอย่างต่อเนื่อง

เช้านี้จึงนอนยาวๆ ฟังเสียงฝนตกกันต่อไป และมาวางแผนกันที่ห้องอาหารตอนเช้าว่า วันนี้เราจะสามารถไปไหนกันได้บ้าง

สรุปกันได้ว่า Day 4 ของเราวันนี้ จะใช้บริการ One Day Pass Aizu Wakamatsu

เที่ยวกันในตัวเมืองไอซึนี่แหละ น่าจะมีอะไรน่าเที่ยวบ้าง โดยที่เรายังไม่รู้เช่นกันนะคะ

อืม น่าสนใจเหมือนกัน เมืองที่เราใช้อาศัยนอนพักกลางคืน ในตัวเมืองต้องมีอะไรเที่ยวได้บ้างสิ !



เวลานั้นสายมากแล้ว และแล้วฝนก็หยุด แดดก็มาจ้าาาาา

คือลิงโลดมากจริงๆนะ คิดว่า ฝนคงหยุดตกแล้วล่ะ แต่ก็ชะล่าใจไม่ได้หรอก คว้าร่มใสๆ ที่ซื้อจากเซเว่นติดตัวไปด้วย

ขออวดหน่อยว่า ร่มใสๆ ในทริปที่เราใช้เนี่ย ชอบมาก เป็นพร๊อพถ่ายรูปก็ได้สวย กันฝนก็ดี โดนลมแรงก้านไม่หักด้วยนะคะ

ร่มคันนี้ ตอนนี้น่ะเหรอ เราโหลดขึ้นเครื่องกลับไทยมาใช้ด้วยล่ะ 555

จะว่าไปแล้ว โรงแรม Washington Hotel ที่พัก 4 คืนของเราที่เมืองไอซึเนี่ย ทำเลดีมากนะคะ

ใกล้สถานีรถไฟ 350 เมตร ใกล้เซเว่น ใกล้ร้านอาหาร ใกล้ออนเซ็น และใกล้ท่่ารถบัสนำเที่ยวด้วย

ชนิดเดินทะลุถึงกันเลย เสียอย่างเดียวสำหรับโรงแรมคือ ห้องเล็กไปหน่อย และพนักงานพูด eng ไม่ได้ค่ะ ทริปนี้เราจึงไม่ขอรีวิวโรงแรมนี้

เพราะเอาจริงๆ ก็ไม่ได้ประทับใจที่พักเท่าไหร่นัก

และนี่คือตั๋วรถนำเที่ยวรอบเมือง แบบ One day pass ในราคาผู้ใหญ่คนละ 500 เยน (150 บาท)

โดยจุดที่ขึ้นรถตรงจุดเดิมที่เรามาถึงในวันแรกนะคะ รถบัสสีเขียว เสาหมายเลข 6

ซึ่งรถจะออกเป็นเวลา และวนเวียนมาเรื่อยๆ

แต่บอกเลยว่า ในเวลานั้น ทางเจ้าหน้าที่ที่ศูนย์บริการลูกค้าขายตั๋ว นำแผนที่มากางให้ดูด้วย

ว่าเราอยากไปที่ไหน ต้องลงที่ป้ายไหน แต่เชื่อไหม เราดูไม่รู้เรื่องจริงๆค่ะ เพราะแผนที่มี่ให้มานั้น เป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนๆค่ะ


รอบนี้จึงทำการนั่งรถตามเส้นทางเดิมไปก่อนทางเดียวกับในวันแรกที่มาเป๊ะๆ และสถานีที่เราลงก็เป็นที่เดียวกัน คือ

ปราสาทนกกระเรียนค่ะ 555 มาซ้ำจนได้นะเรา สาเหตุมาซ้ำก็เพราะว่า วันแรกที่เรามาถึงเมืองไอซึนั้น กว่าจะมาถึงทีตรงนี้ก็มืดแล้ว

มีเวลาเดินเล่นนิดเดียว วันนี้จึงมาแก้ตัวอีกครั้งในช่วงกลางวัน

ที่หวังว่าฟ้าจะใส เฆฆจะสวยบ้าง ไรแบบนี้

ก็ได้เจอแดดสมใจค่ะ ฟ้าใสๆ ลอยมาให้ถ่ายรูปสวยๆ ได้ด้วย

แต่ มาแค่แป๊ปเดียวนะ 555


Autumn Fukushima

大きないちょうが紅葉して美しい黄色になる ใบไม้เปลี่ยนสีอร่ามตาที่ฟุคุชิมะ

ต้นใบแป๊ะก๊วย สีเหลืองหล่นเต็มพื้น และใบเมเปิ้ลแดงตามรายทาง

เป็นที่ดึงดูดสายตาเราอย่างมากในเวลานี้



ชัดเตอร์ก็ลั่นกันอย่างรัวๆ ค่ะ เหมือนตั้งใจว่าจะเก็บภาพ ณ จุดนี้ไว้ให้มากที่สุด อิอิ





นี่ขนาดยังไม่ได้เดินเข้าปราสาทเลยนะคะ ตามรายทางยังสวยมากขนาดนี้ มาวันแรกเราต้องเดินแข่งกับแสงเย็น

พลาดจุดนี้ไปหมด มองไม่เห็น แต่เวลานี้ เราจะไม่ให้พลาดอีกแล้ว

ความสวยงาม และสงบเรียบง่าย ของใบไม้เปลียนสี ที่สวยได้ใจเราจริงๆ เลย

ว่าแล้วก็เดินเข้าไปกันที่ ปราสาทนกกระเรียน (TSURUGA CASTLE)


นักท่องเที่ยวส่วนมาก เป็น สว.ทั้งนั้นนะคะ บอกเลยว่า นักท่องเที่ยวที่ญี่ปุ่นส่วนมาก

เดินเหินกัน สุขภาพแข็งแรงมาก ชนิดที่ว่า วัยรุ่นอย่างเรายังอายแหน่ะ อิอิ

เมื่อมาถึงปราสาทนกกระเรียน เฆฆก็ลอยมาปิดมิดเลยจ้าาาาา 555


เอากับเค้าซี้ แข่งความขาวกันระหว่างตัวปราสาท กับท้องฟ้า ขาวได้ขาวดี ><

เมื่อรออยุ่สักพัก ฟ้าก็ไม่เปลียนสีเป็นฟ้าจ๋าซักทีเราก็เดินออกมาล่ะค่า ไม่รอ แต่พอหันหลังเดินออกมาได้ไกลๆ ล่ะ

ฟ้าก็เปิดอีกครั้ง อ้าวเฮ้ย ทำเป็นเป็นงั้นล่ะ แต่...เราก็ไม่กลับไปถ่ายภาพแล้วล่ะ 555

เพราะเวลานั้น ลมมาแรงมากกก ชนิดที่ว่าร่มจะปลิวเอาได้

ดีที่ไขมันในตัวเรายังหนาอยู่จึงไม่ปลิวไปกับลม ฮี่ๆ

รอเวลาและนั่งรถบัสนำเที่ยวสีเขียววนผ่านมาในรอบต่อไปกันค่ะ จะมีบอกว่าอีกกี่นาทีจะมาจอดตรงนี้

นั่งรถชมเมืองไปเรื่อยๆ ก็เพลินดีเหมือนกันนะ

และก็ม่ถึงจุดหมายที่สอง นั่นคือ เจดีย์ไม้โบราณ Sazaedo

นู้น เห็นทางขึ้นนู้นไหมคะ นั่นแหละๆ


แต่รอบๆ ทางเข้าจะมีบรรดาร้านขายของที่ระลึก และขนมพื้นบ้านญ๊่ปุ่น รวมทั้งของกินของฝากมากมาย

ตามรายทาง เราได้แต่มองด้วยตา ฝากไว้ก่อนนะ เดี๋ยวขากลับเราหมายตาไว้แล้วว่าจะเอาไร ^^

เดี๋ยวต้องเดินขึั้นบันไดกันก่อน

เฮ้ยยย จะดีเรอะ บันไดชันและหลายขั้นเลยนะกว่าจะถึงข้างบน



และผู้คนที่เดินขึ้นบันไดส่วนมากเป็น สว. ทั้งนั้นด้วยนะคะ แบบนี้ก็เชื่อได้เลยว่า คนญี่ปุ่น แข็งแรงกันจริงๆ

ส่วนเรานะเหรอ วัยรุ่น จ่ายเงิน 250 เยน (75 บาท) ขึ้นบันไดเลื่อนไฟฟ้าเอาค่ะ 555


เมืองไอซึ ที่ยังคงมีกลิ่นอายและวัฒนธรรมโบราณหลงเหลืออยู่ทั่วเมือง และข้างบนนี้มีหลุมศพจำนวนมาก

ฝังอยู่รายรอบทั่วไป เห็นว่าเป็นหลุมศพของกองทัพเยาวชน Byakkotai หรือกองทัพเสือขาว 19 คน

ที่พร้อมใจกันคว้านท้องปลิดชีวิตตนเอง เพราะคิดว่านายเหนือหัวและครอบครัวเสียชีวิตหมดแล้ว

เพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ปกป้องบ้านเกิดไว้ไม่ได้ ต่อมาก็ได้มีการสร้างศาล ทำหลุมฝังศพไว้อยู่บนภูเขา Iimori ค่ะ

OMG ! ฆ่าตัวตายพร้อมกัน 19 ศพเลยเหรอเนี่ย !!

แต่มาเดินตรงนี้โคตรวังเวงเลยค่ะ ลมพัดมาพร้อมฝนเบาๆ อีกต่างหาก ><


เราเดินลงมาทางเดิมด้านขวามีมีทางไป เจดีย์ไม้โบราณ Sazaedo มองดูทางลงด้านล่าง

เห็นได้จัดเจน ระหว่างทางบันไดขึ้นมา กับทางรางเลือนที่เราเลือกขึ้นในตอนแรก

ดูสิขนาดป้ายเขียนให้นักท่องเที่ยวอ่าน ยังเป็นภาษาญี่ปุ่นเลยนะ

มาถึงแล้วค่า นี่แหละคือ เจดีย์ไม้โบราณ Sazaedo

หน้าตาแปลกๆ จะดูเอียงๆ หน่อย แต่ขอบอกเลยว่า แปลกปะหลาดมาก หากขึ้นไปสัมผัสด้วยตัวเอง



เจดีย์ไม้ Sazaedo ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1796 มีอายุกว่า 200 ปี ซึ่งเป็นเจดีย์ไม้รูปทรงหมุนวนเป็นเกลียวเหลี่ยมขึ้นไปถึงยอด

แปลกประหลาดไม่เหมือนที่ไหนๆ ในปี 1995 ได้รับการยกย่องให้เป็น มรดกแห่งชาติทางวัฒนธรรม อีกด้วย

หากมาที่นี่แนะนำให้ขึ้นไปชมความแปลกปะหลาดของบันไดวนทางเดินขึ้นเจดีย์ไม้ด้วยนะคะ

เพราะบันไดทางขึ้นทางลง มาบรรจบกันไม่ได้เด็ดขาด

ค่าขึ้นชมเจดีย์ไม้ คนละ 400 เยน (120 บาท)



ทางขึ้นเจดีย์นั้นจะเป็นทางเดินไม้ลาดชันขึ้นไปตามเกลียวของเจดีย์ โดยจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์ของ Sazaedo

นี่ก็คือการออกแบบตัวอาคารให้มีทางเดินขึ้นเป็นเกลียวสองอันซ้อนกันอยู่ ทำให้ผู้คนที่เดินขึ้นไปสักการะจะไปในทิศทางเดียว

ไม่สวนกับคนที่เดินลงมาเลย



ทางขึ้นใช้เกลียวเวียนขวา ทางลงใช้เกลียวเวียนซ้าย เป็นการออกแบบเมื่อ 200 ปีก่อน

และแผ่นป้ายอักษรญีปุ่นต่างๆ นั้น เป็นการเขียนชื่อของคุณญ๊่ปุ่นมาแปะติดไว้ค่ะ

แต่คงให้ติดกันแค่นี้แหละ ถ้าติดมากกว่านี้จะรกตามากกว่าเดิม

และจุดบนสุดของเจดีย์ไม้จะเป็นแบบนี้ และก็วนลงทางซ้ายลงไปทางเดินแบบเดียวกัน

แต่จะไม่จะจ๊ะเอ๋กับคนที่ขึ้นมา แม้กระทั่งทางออก ก็จะโผล่มาอีกทางหนึ่ง


ลงมาแล้วค่า พร้อมๆ กับสายฝนที่โปรยปรายลงมาทักทายอีกรอบแล้ว

คราวนี้ยังไม่มีชี้ชัดว่าไปไหนดี เราจึงไปเดินเล่นตามร้านขายของที่ระลึกกัน คิดแล้วว่าจะได้ไรติดไม้ติดมือกลับบ้าง



เจอแอปเปิ้ลลูกโตมากกกก แต่...ไม่ซื้อค่ะเพราะเราเพิ่งซื้อไปเมื่อวาน และการันตีว่ากรอบอร่อยจริงๆ

ที่เราหมายตาไว้คืขนมร้านหนึ่งที่เค้าทำสดใหม่ต่างหาก

คล้ายๆ กับขนมโมจิที่มีไส้นะคะ ตอนอบมาให่ม่ๆ หอมมากกก จนเาต้องตามมาที่ร้าน อิอิ


พอผาไส้ดูข้างในเจอแน่นมาก ทั้งไส้ถั่วดำ และมัน จึงสั่งมาสองไส้ ไส้ละ 5 ลูก

เค้าจะจัดเรียงในกล่องสวยงามห่อในแพ็คเก็จอย่างดี กล่องละ 1500+ เยน (450 บาท)

และซื้อขนมอีกหลายกล่องที่คิดว่าเวลานั้นคงไม่ได้ไปไหนแล้ว (มั้ง) จึงหอบเอาถุงขนมและนั่งรถบัสกลับโรงแรม แวะเซเว่น

ซื้อข้าวกล่องเข้าเวฟมาทานกันมื้อเที่ยงนี่แหละ

แต่เปล่าเลยท่านผู้นำทริป (พี่หยี น้ำฟ้า) ระหว่างนั้นเปิดคอมให้ดูว่ามีอีกที่หนึ่งที่น่าสนใจ นั่นคือหมู่บ้านออนเซ็น ที่อยู่่ในสถานที่น่าแวะด้วย นอกจากนั้นจะเป็นพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่เราคิดว่ไม่น่าสนใจ

พากันมารอขึ้นรถบัสอีกรอบจ้าาาาา บัตร One Day Pass ยังใช้ได้อยู่วันนี้ เพื่อไปยัง

หมู่บ้านออนเซน ฮิกาชิยาม่าออนเซน Higashiyama Onsen



หลังจากคิดกันเองว่า การเที่ยวแบบ One Day Pass ในเมืองไอซึวันนี้คงหาไฮไลท์ไม่ได้นั้น

จริงๆ เพราะเราไม่รู้ว่าแต่ละแห่ง แต่ละสถานทีจอดรถบัสควรจอดต่รงไหนมากกว่าด้วยนะคะ กับข้อมูลแผนที่มีแต่ภาษาญี่ปุ่นนั้น

ก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย แต่แล้ว เมื่อได้นั่งรถบัสนำเที่ยวรอบสองมาลงยัง Higashiyama Onsen

เราถือว่า ที่นี่จะเป็นไฮไลท์ที่งดงามที่สุดของก่ารท่องเที่ยว Day 4 ของเราที่ฟุคุชิมะได้ล่ะ ^^


ฮิกาชิยาม่าออนเซน(Higashiyama Onsen) เป็นรีสอร์ทน้ำพุร้อนในหุบเขาทางทิศตะวันออกของย่านใจกลางเมือง

ประกอบด้วยโรงแรม 2-3 แห่ง และร้านค้าจำนวนหนึ่งเปิดบริการให้แก่นักท่องเที่ยว

และมีบริการให้แช่ออนเซน ซึ่งอยู่ในทำเลล้อมรอบด้วยหุบเขา

และมีเรียวกังที่โดดเด่นที่สุดในพื้นที่ คือ มูไคทากิเรียวกัง (Mukaitaki Ryokan)

ซึ่งก่อสร้างอาคารด้วยไม้สไตล์ดั้งเดิม แตกต่างจากโรงแรมอื่นๆที่เป็นคอนกรีต

ด้านหน้าอาคารจะมีป้ายเรียวกังที่เขียนด้วยสีทองสะดุดตาผู้เดินผ่าน



ช่วงฤดูกาลใบไม้เปลี่ยนสีที่นี่จะงามมากในสายตาเรา ต้องรีบเก็บภาพแข่งกับแสงเย็นที่ก้าวเข้ามาในไม่ช้าอีกแล้ว 555

ตล้อด ตลอด


แต่บอกได้เลยค่ะว่า ยิ่งเดินเข้าไปด้านใน ยิ่งสวย หมู่บ้านออนเซนแห่งนี้ สวยงามจริงๆ


ความงดงาม จนกลายเป็นศิลปะ เอกลักษณ์ที่โดดเด่นของหมู่บ้านออนเซนแห่งนี้ พร้อมด้วยสายน้ำที่ไหลผ่าน ด้านหลังจะมีน้ำตกด้วย เราถ่ายมาเบลอๆ จึงไม่เอามาลงนะ แต่ของจริงงามมาก เราชอบ

เดินถ่ายรูปที่นี่เพลินดีเหมือนกันค่ะ อากาศช่วงเย็นยิ่งหนาวมากกกกกกเวลานั้น

มือแข็งไปด้วยเลยเรา 555

และแล้วแสงสุดท้ายหมดวันเราขอมาโฟกัสที่ มูไคทากิเรียวกัง (Mukaitaki Ryokan) แห่งนี้

ที่โดดเด่นงามที่สุดในหมู่บ้าน Higashiyama Onsen แล้วล่ะค่ะ

ด้วยการย้อมสีท้องฟ้านะเพราะของจริงฟ้าขาวฟ้าเน่ามาก อยากได้ร้อนแรงแบบเว่อร์ๆ

จึงเปลียนฟ้ากันหน่อย 555


ของจริงฟ้าเป็นแบบนี้ค่ะ และแล้ว Day 4 ของเราก็หมดวันลงจริงๆ อย่างน้อยก็มีไฮไลท์เด็ดๆ มาบ้าง

บอกเลยยิ่งมาหมู่บ้านออนเซนช่วงหิมะตกนะคะ จะยิ่งหนาว ยิ่งสวยมากไปอีก ญี่ปุ่นสวยทุกฤดูกาลอย่างที่เขาวา่จริงๆ ด้วย

หากวันไหนเราไม่โพสภาพอาหารเย็นนั่นแสดงว่า เราเข้าร้านเซเว่นคว้ามาม่ามากินค่ะ 555

ขอบอกๆ มาม่าญ๊่ปุ่น อร่อยมากกกกก

แล้วพบกับเรื่องราวท่องเที่ยว > Autumn Fukushima < Day 5 นะคะ

บอกได้เลยว่า ยิ่งเที่ยวฟุคุชิมะมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งเจอที่สวยๆ ทั้งนั้น !

กรีดร้องกับหิมะแรก ที่ฟุคุชิมะ เร็วๆ นี้

ขอบคุณที่ติดตามชมค่ะ

ความคิดเห็น