วันเสาร์ฺที่ผ่านมาเราเพิ่งมีโอกาสได้ไปเที่ยวอยุธยาเป็นครั้งแรก นึกสนุกหาที่เที่ยวที่ใกล้กรุงเทพฯ และไปได้ง่าย ราคาประหยัด เปิดหารีวิวอ่านคร่าวๆ อยุธยามันก็น่าโดนนี่นา อยากไปเห็นโบราณสถาน วัด เมืองเก่า ที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นถึงความเจริญรุ่งเรืองกว่า 400 ปีที่ผ่านมาของกรุงศรีอยุธยา แถมที่นี่มีของกินขึ้นชื่อมากมาย เที่ยวก็ง่ายอีก

และช่วงนี้อยุธยาอากาศดีมากด้วย แม้แดดจะร้อน แต่ก็มีลมเย็นๆ พัดตลอดทั้งวัน เอาเป็นว่าเดินถ่ายรูปท้าแดดได้เพลินๆ เลยทีเดียว ท้องฟ้าก็สีฟ้าสวยงามจริงๆ ใครที่กำลังหาที่เที่ยวชิลๆ อยุธยา ก็เป็นตัวเลือกที่ดีที่อยากแนะนำค่ะ



การจะเที่ยวเมืองเก่าอยุธยานั้นมีหลายวิธีเราไม่มีรถยนต์ส่วนตัว ขี้เกียจปั่นจักรยานหรือขับมอเตอร์ไซค์ เลยเลือกเหมาตุ๊กตีกหัวกบเที่ยวแทน ตอนแรกกะจะให้พี่ตุ๊กตุ๊กพาเที่ยวให้ครบ 9 วัดเลย แต่เอาเข้าจริงได้แค่ 6 วัด เพราะเวลาจำกัด แล้วก็มัวแต่ถ่ายรูปตรงนั้นตรงนี้อยู่ ข้าวก็กินมื้อเช้าอย่างเดียว บ่ายมีจิบกาแฟกินเค้กนิดหน่อย กะมานั่งชิลร้านที่สถานีรถไฟตอนเย็นๆ ก็ซื้อตั๋วผิดอีก ต้องกลับ กทม. เลย

จากในแผนที่วงกลมสีแดง คือวัดที่เราไปมา วงกลมสีดำคือสถานีรถไฟค่ะ
โปรแกรมเที่ยวอยุธยาใน 1 วัน
/ ก๋วยเตี๋ยวผักหวาน / วัดมหาธาตุ / วัดราชบูรณะ / BUSABA CAFE’ /
วัดพระศรีสรรเพชญ์ / วัดพระราม / วัดพระนอน / วัดไชยวัฒนาราม / กลับ กทม.

สรุปค่าเสียหาย ไปกัน 3 คนสวยๆ เสียทรัพย์ไปคนละ 600 กว่าบาทเอง

ตั๋วรถไฟไปอยุธยา (ไม่ระบุที่นั่ง) 20฿
ตุ๊กตุ๊ก 900฿ หาร 3 คนละ 300฿
ตั๋วเข้าชมโบราณสถานเหมา 6 วัด 40฿
อาหาร 210฿ หาร 3 คนละ 70฿
เค้ก กาแฟ 345฿ หาร 3 คนละ 115฿
ตั๋วรถไฟขากลับ (ระบุที่นั่ง) 61฿


มาออกเดินทางกันเล้ยยยย

ปกติแล้วเราไม่เคยเดินทางไปเที่ยวด้วยรถไฟซักเท่าไหร่ จะใช้รถไฟเพื่อเดินทางกลับบ้านในวันหยุดตามเทศกาลบ้างบางครั้ง
นับว่าเป็นทริปแรกเลยก็ว่าได้ที่เราเลือกใช้รถไฟเพื่อการท่องเที่ยว

8 โมงเช้า ทันทีที่ก้าวขาเข้าสู่สถานีรถไฟหัวลำโพง เสียงเพลงชาติไทยดังขึ้น ทุกคนที่อยู่ที่นี่ไม่ว่าจะคนไทยหรือต่างชาติ ต่างก็ยืนตัวตรงเคารพเพลงชาติไทย ความทรงจำสุดท้ายที่ได้ทำแบบนี้ มันผ่านมานานแค่ไหน จำไม่ได้เลยจริงๆ

ตีตั๋วไปอยุธยากับรถด่วนขบวนที่ 75 กรุงเทพ-อยุธยา ปลายทางอุดรธานี ราคาตั๋ว 20 บาท รถออก 8.20 น. บนตั๋วเขียนไว้ว่าไม่ระบุที่นั่ง คงเป็นการขึ้นรถไฟครั้งแรกที่จะงงๆ หน่อย เราเลือกขึ้นตู้สุดท้ายเพราะเป็นตู้ที่เรายืนใกล้สุด ขึ้นไปด้วยอาการเก้ๆ กังๆ เอ๊ะยังไง จะนั่งตรงไหนดี เจอที่นั่งว่างก็เข้าไปนั่ง รถไฟยังไม่ทันออก 
เจ้าของที่ตัวจริงก็มา เราทั้งสามก็ลุกขึ้นแล้วเดินย้อนขึ้นไปอีกตู้ เจอที่นั่งข้างๆ ป้าว่างเลยเข้าไปถาม ป้าเลยบอกว่า ตั๋วไม่ระบุที่นั่ง นั่งตรงไหนก็ได้ที่ว่างค่ะ แต่ถ้าเจ้าของที่มาก็ต้องลุกค่ะ

รถไฟวิ่งออกจากชานชลา แวะรับผู้โดยตามสถานี สามเสน บางซื่อ บางเขน หลักสี่ รังสิต บนโบกี้รถไฟผู้คนเริ่มหนาแน่นมากขึ้น มีเสียงเจ้าหน้าที่ตะโกนพูดเป็นระยะๆ ว่า “ยืนเบียดๆ กันหน่อยนะ เดี๋ยวถึงอยุธยาก็โล่งแล้ว” ได้ยินก็ดีใจมากกก อยากให้ถึงไวไว เพราะตอนนี้เจ้าของที่นั่งตัวจริงมาแล้วว ตั๋วไม่ระบุที่นั่งแบบเราก็ออกมายืนเบียดๆ กันไป แต่จากรังสิตกว่าจะถึงอยุธยา ทำไมมันนานจังงงง


10 โมงกว่าๆ เราก็มาถึงสถานีอยุธยา

ทันทีที่เหยียบอยุธยา เฮ้ยยยยยย แกร อากาศดีอะ สัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ ที่พัดมา วันที่อยุธยาท้องฟ้าแจ่มใส อากาศดีมาก



เดินออกมาหน้าสถานีมีกลุ่มชายฉกรรจ์พร้อมตุ๊กตุ๊กหัวกบหน้าตาสดใส มือขวาเรียกหานักท่องเที่ยว มือซ้ายถือโปรแกรมทัวร์ พวกเราก็พุ่งตรงไปหาชายกลุ่มนั้นเพื่อสอบถามราคาทันที



ตุ๊กตุ๊ก!!! เราเลือกนายยย!!!

เราจะอยู่ด้วยกันถึง 4 โมงเย็น ในราคา 900 บาท มา 3 คน ก็คนละ 300 บาทเอง

พร้อมแล้วที่จะออกเดินทางไปท่องเมืองเก่าอยุธยา แต่ตอนนี้หิวมากกก ไปตุนอาหารเช้ากันก่อนค่ะ



มื้อแรกที่อยุธยาเราแวะมาทานก๋วยเตี๋ยวผักหวานกันที่ร้านผักหวาน สั่งก๋วยเตี๋ยวผักหวาน 2 ถ้วย ผัดไทย เห็ดทอด

ท้องอิ่มแล้วเราออกเดินทางกันต่อค่ะ เนื่องจากวัดในอยุธยามีเยอะมากกกก ใครที่ไม่ได้หาข้อมูลวัดที่ต้องการจะไปมา ก็ให้พี่ตุ๊กตุ๊กพาเที่ยวได้เลยนะคะ เพราะเราเองก็บอกพี่ตุ๊กตุ๊กไปเหมือนกันค่ะ ว่าไปวัดไหนก็ได้ ให้พี่พาไปเลย 5555


ก่อนจะเที่ยววัดหรือโบราณสถานควรหาข้อมูลให้ดีก่อนนะคะ ว่าสิ่งไหนทำได้หรือไม่ควรทำ


วัดแรกที่ตุ๊กตุ๊กพามาคือ วัดมหาธาตุ

สามารถซื้อตั๋วเข้าชมโบราณสถานได้ที่หน้าทางเข้าเลยค่ะ ราคา 10 บาท สำหรับนักท่องเที่ยวคนไทย

หรือจะซื้อแบบราคาเหมา 6 วัด 40 บาทก็ได้


วัดมหาธาตุ

เป็นพระอารามหลวงในสมัยอยุธยาที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น จุดเด่นของวัดมหาธาตุคือเศียรพระพุทธรูปในรากโพธิ์ เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติให้ความสนใจมากก


เศียรพระพุทธรูปหินทราย ในรากโพธิ์ข้างวิหารทราย เป็นพระพุทธรูปหินทรายเหลือเพียงแต่ส่วนเศียร องค์พระนั้นหายไป


องค์พระปรางค์ประธานได้สร้างขึ้นในในปี พ.ศ. 1917 พังทลายลงมาและได้รับการบูรณะ ในปี พ.ศ.2176 สมัยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 วัดแห่งนี้ได้ถูกไฟไหม้เสียหาย และปล่อยทิ้งไว้จนถึงสมัยรัชกาล ที่ 6 องค์พระปรางค์ได้พังทลายลงมาอีกครั้ง เหลือเพียงส่วนฐานอย่างที่เห็นในปัจจุบัน


ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดพระมหาธาตุ อีก 1 จุดที่เราแวะมาคือ วัดราชบูรณะ


วัดราชบูรณะ


อยู่ติดกับวัดมหาธาตุ เป็นหนึ่งในวัดที่ใหญ่และมีความเก่าแก่มากที่สุดในพระนครศรีอยุธยา สร้างขึ้นในสมัยของสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2


จุดเด่นของที่นี่คือมีพระปรางค์ที่กรุใหญ่และลึกลงไป เป็นลักษณะ 4 ห้องใหญ่เรียงกันในแนวดิ่ง เราเดินขึ้นบันไดไปแค่จุดบนของพระปรางค์เท่านั้นค่ะ ไม่ได้เดินลงไปยังกรุด้านล่าง เพราะบันไดชันมากกก แค่เดินขึ้นมาขาก็สั่นแล้ว





ขึ้นบันไดมาด้านบนของพระปรางค์จะมองเห็นวิวเมืองเก่าอยุธยาจากมุมสูงด้วย


ก่อนมาที่นี่เราหาข้อมูลร้านกาแฟในอยุธยามา เจอร้านนึงที่เห็นรูปและอยากลองมามาก คือ ร้าน Busaba Cafe' ภาพที่เห็นคือแก้วกาแฟที่มีสายไหมวางอยู่ข้างบน เห้ยย น่าสนใจดีนะ ยังไม่เคยกิน อยากรู้เหมือนกันค่ะว่ารถชาติจะเป็นแบบไหน ซึ่ง ร้าน Busaba Cafe' หาไม่อยากเลย ตั้งอยู่ตรงข้ามกับวัดมหาธาตุนี่เอง เที่ยววัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะเสร็จ ก็ข้ามถนนมาอีกฝั่งก็จะเจอกับร้านนี้เลยค่ะ



ขณะที่ยืนดูเมนูอยู่ พนักงานก็ถามเลยค่ะว่า "ทานกาแฟมั้ยคะ สนใจเมนูที่เป็น Singnatrue ของร้านมั้ยค่ะ" เราก็โอเค จัดมาเลยค่าาา


ความหวานของสายไหม เข้ากับรสชาติของกาแฟมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่า สายไหม..กินกับอะไรก็อร่อย


บ่ายโมงแล้วววว เราออกเดินทางกันต่อมาที่ วัดพระศรีสรรเพชญ์


เป็นวัดหลวงในพระราชวังโบราณ เป็นต้นแบบของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในกรุงเทพฯ และเป็นวัดที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษาเพราะสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นวัดประจำพระราชวัง


จุดเด่นของที่นี่เลยคือ พระเจดีย์ใหญ่ 3 องค์ เดิมเจดีย์ทั้ง 3 เป็นที่บรรจุพระอัฐิ ของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 และ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2


สีเขียวของหญ้า ตัดกับสีท้องฟ้าดีจัง ถือว่าเป็นการมาเที่ยวอยุธยาที่โชคดีมากก


กำแพงหน้าวัดพระศรีสรรเพชญ์ ข้างๆ วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวิหารพระมงคลบพิตร กำลังบูรณะซ่อมแซมเลยไม่ได้แวะเข้าไป เราเลยเดินไปวัดพระรามที่อยู่ใกล้ๆ กันแทน


วัดพระราม

สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1912 ตั้งอยู่บริเวณกึ่งกลางของเกาะเมืองอยุธยา ปัจจุบันเป็นซากปรักหักพังเหลือเพียงแต่ พระปรางค์ กำแพงด้านหนึ่ง และ เสาในพระอุโบสถ วิหาร 7 หลัง เท่านั้น





ตุ๊กตุ๊กจอดรอเราอยู่ด้านข้างวัดพระราม


จุดหมายต่อไป วัดที่ 5 กันเลย คราวนี้เรานึกขึ้นได้ว่ามีวัดนึงที่เราอยากไป คือวัดที่มีพระนอน เลยอยากให้พี่ตุ๊กตุ๊กพามา พอมาถึงก็เป็นวัดก็คิดในใจว่าไม่เหมือนกันรูปที่เราเห็น แต่ที่นี่ก็มีพระนอนเหมือนกัน เอ๊ะ หรือจะเป็นวัดเดียวกัน

วัดแห่งนี้มีชื่อว่า วัดโลกยสุธาราม หรือ วัดพระนอน
จุดเด่นของวัดนี้คือ พระพุทธไสยาสน์ ปางไสยาสน์ ที่ใหญ่ที่สุดในเกาะเมืองอยุธยา


เรามาหาข้อมูลตอนหลัง วัดที่มีพระนอนที่เราอยากให้พี่ตุ๊กตุ๊กพาไปคือวัดใหญ่ชัยมงคลค่ะ มาบอกกับเพื่อนที่ไปด้วยกันตอนหลังว่าเสียดายเหมือนกันไม่ได้ไปวัดใหญ่ชัยมงคล

มาถึงวัดสุดท้ายแล้วค่ะ เหลือเวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง ก็จะหมดเวลาที่รถตุ๊กตุ๊กต้องไปส่งเราที่สถานีรถไฟ
ที่นี่คือ วัดไชยวัฒนาราม หรือ วัดชัยวัฒนาราม


วัดเก่าแก่สมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นวัดที่อยู่ในเขตเกาะนอกเมืองโบราณของอยุธยา ซึ่งในบรรดาวัดทั้ง 5 ที่ได้ไปมานั้นเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในโซนด้านในเขตเมืองโบราณอยุธยา


เพราะมีพื้นที่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา บรรยากาศในตอนเย็นๆ แบบนี้ อากาศจึงดีมากจริงๆ


จุดเด่นของที่นี่คือพระปรางค์ประธานที่รายล้อมไปด้วยพระปรางค์มุมและเจดีย์


ถึงเวลาต้องบอกลาที่นี่แล้ว ถ่ายรูปเป็นที่ระทึกกับกางเกงตัวใหม่ที่ซื้อมาจากหน้าวัดพระนอน ซื้อแล้วเปลี่ยนกันตรงนั้นเลย ถึงว่าทำไมต่างชาติ จีน ฝรั่ง ญี่ปุ่น ถึงชอบใส่กางเกงแบบนี้กัน เพิ่งรู้ว่ามันใส่สบายมากนี่เอง


ได้เวลา 4 โมงเย็น พี่ตุ๊กตุ๊กก็ไปส่งเราที่สถานีรถไฟ ยังไม่อยากกลับเลย เลยกะว่าค่อยกลับรถไฟเที่ยว 6 โมงเย็น แวะนั่งเล่นที่ร้านอาหารที่สถานีรถไฟก่อน ปรากฏว่าตอนที่ซื้อตั๋วมา ไม่ได้ระบุเวลาไป ทางเจ้าหน้าที่เลยออกตั๋วของเวลา 16.37 น. ให้ คือมีเวลาอีกไม่กี่นาทีต้องกลับแล้ว 5555

จะไปเปลี่ยนตั๋วเป็นรอบ 6 โมง แต่ตั๋วราคา 300 กว่าบาท ก็เลยกลับเที่ยวนี้ก็ได้ ซื้อน้ำ ซื้อสายไหมไปกินบนรถไฟกัน 5555



บ๊ายบายอยุธยา โอกาสหน้าจะกลับมาอีก

รอบนี้ขบวนที่เรานั่งกลับ กทม. ไม่ต้องยืนแล้วค่ะ ที่นั่งสบาย กว้างด้วย เพราะเป็นรถเร็ว ขบวน 136 อยุธยา - ชท. บางซื่อ ราคาตั๋ว 61 บาท เป็นตู้สุดท้ายของขบวนรถไฟเลย ถามกับเจ้าหน้าที่มาว่าถ้าอยากนั่งแบบนี้มาอยุธยา มีมั้ยคะ เจ้าหน้าที่บอกว่ามีรอบ 6.40 น. ฮื้อหืออ เช้ามากกก


เราจะไปถึงกรุงเทพฯ เกือบๆ 1 ทุ่ม แน่นอนว่าเราจะได้ชมพระอาทิตย์ตกดินจากบนรถไฟแน่นอน




"ตู้โบกี้สุดท้าย แต่ไม่ใช่ท้ายที่สุดของการเดินทาง บางทีการซื้อตั๋วผิดในเย็นวันนั้น ทำให้ได้นั่งมองความสวยงามผ่านหน้าต่างของตู้ขบวนรถไฟในตอนนี้ บางทีเรื่องราวต่างๆ ที่ถูกถ่ายทอดผ่านขบวนรถไฟจากอยุธยาในเย็นวันนั้น อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทางโดยรถไฟ ในครั้งต่อไปก็เป็นไปได้.."


ขอบคุณสำหรับการติดตามนะคะ
แล้วพบกันใหม่ในการเดินทางครั้งต่อไป ค่ะ
ไปตามกันต่อได้ที่ วันศุกร์ขึ้นเขาวันเสาร์ลงห้วย

วันศุกร์ขึ้นเขา วันเสาร์ลงห้วย

 วันเสาร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2560 เวลา 18.21 น.

ความคิดเห็น