บทความนี้ มีภาพและเนื้อหาที่อาจพาดพิงถึงบุคคลในเรื่อง
ผู้ที่เกี่ยวข้องท่านใดไม่อยากเห็นภาพของตัวเอง หรือน้องๆ ถูกเผยแพร่
ติดต่อผมได้ที่ https://www.facebook.com/bearducktraveler ผมจะแก้ไขให้ทันทีครับ



“ตรี” น้องสาวมาดกวนนั่งเงียบบนหินก้อนใหญ่ ใช้ผ้าพันคอสีบานเย็นเช็ดน้ำตา เธอเดินต่อไปไม่ไหวอีกแล้ว

จากจุดนี้ มองขึ้นไปเป็นทางลาดชัน ลิบๆ นั่นมีบันไดไม้พาดอยู่ เราต้องขึ้นไปอีกไกลแค่ไหน ผมไม่แน่ใจ และคงไม่มีใครในกลุ่มรู้

แต่เรามาไกลเกินกว่าจะถอยกลับ กลุ่มของเราประกอบไปด้วยครูสองคน พี่เลี้ยงสองคน และผมเป็นตากล้องที่บังเอิญร่วมทางไปกับคณะนี้ด้วย ต้องทำงานเป็นทีม ทั้งเล่นตลก ให้กำลังใจ ทั้งจูง ทั้งดัน ทำทุกอย่างเพื่อให้เธอเคลื่อนไปข้างหน้า



และสุดท้าย ถึงจะช้ากว่าใครเค้า เท้าแปๆ ของ ก็พาเธอถึงหลังแป




ผมแยกตัวออกมาจากกลุ่ม เพราะต่อจากนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง นอกจากตัวเอง...

เข่าซ้ายที่ปวด ทำให้ผมเดินกระโผลกกระเผลกไปตามทาง ตั้งแต่ยังมีแสงอาทิตย์ จนกระทั่งพระจันทร์ขึ้น
สองข้างทางกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มและเงาดำ ยังดีที่มีลูกหาบเข็นรถสวนทางไปพอให้อุ่นใจ


ตรงปลายทางของความมืดนั้น มีไฟดวงหนึ่งและเสียงที่คุ้นเคย อาเจ๊!!


“จะถึงค่ายแล้วค่า เดินไปทางนี้นะคะ”
“แก มาถึงตั้งแต่กี่โมง” ผมทัก
“อ่าว” อาเจ๊แปลกใจ ยกไฟฉายขึ้นมาส่องหน้าผมจังๆ
“ถึงนานแล้ว กลุ่มชั้นเดินเร็ว แกเข้าไปก่อนนะเดี๋ยวชั้นตามไป”



ผมเดินเลี้ยวไปตามทาง พบว่าค่ายวังกวาง กว้างใหญ่กว่าที่คิดหลายเท่า
มีเต็นท์หลายร้อยหลังกางทั่วบริเวณ เดินตรงเข้าไปอีก มีของกินละลานตา และหมูกระทะหลายสิบวงส่งกลิ่นหอมฟุ้ง


แล้วเต็นท์ของผมอยู่ตรงไหนหว่า โชคดีที่มีพี่อาสาคนอื่นผ่านมาช่วยชี้ทาง ไม่งั้นผมคงต้องเดินวนไปมาอีกหลายรอบ



เมื่อน้องพิการคนสุดท้ายมาถึง ชาวค่าย “เดินป่าด้วยหัวใจ” ซึ่งประกอบไปด้วยน้องตาบอดจากโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ น้องทุพพลภาพจากบ้านนนทภูมิ พี่อาสา ทีมสนับสนุน และทีมงานหลัก รวมตัวกันอีกครั้งเพื่อเติมพลังด้วยอาหารเย็น ก่อนจะแยกย้ายกันพักผ่อน



คนหลายสิบคนผลุบหายเข้าไปในเต็นท์อย่างรวดเร็ว และไม่นานก็มีเสียงกรนตามมา
ผมเพิ่งนึกได้ ว่าไม่ชอบนอนเต็นท์ติดๆ กันแบบนี้ เพราะเป็นคนหลับยาก มีเสียงนิดๆ หน่อยๆ ก็ตื่น
คราวนี้กว่าจะหลับได้ก็ใช้เวลานานพอดู แต่มันยังไม่จบครับ


ถ้าคุณอยากดูพระอาทิตย์ขึ้นที่ภูกระดึง ต้องเดินทางไปพร้อมเจ้าหน้าที่ตอนตี 5 เท่านั้น
และนี่คือที่มาของการโจมตีระรอกสอง ซึ่งมาในเวลาที่หลับสบายที่สุด


“อีกสิบห้านาที!!!!”
เจ้าหน้าที่ตะโกนดังสนั่น เป็นการบอกเวลาว่า อีก 15 นาทีจะออกเดินทาง ตามมาด้วยเสียงฝีเท้า
เสียงหัวเราะ และเสียงคนคุยกันอื้ออึงจนฟังไม่ออก



ผมตื่น แต่อาเจ๊ยังคงส่งเสียง “ฟี่ ฟี่” เบาๆ เป็นจังหวะ น่าหมั่นไส้




งานค่ายครั้งนี้ ผมสมัครมาเป็นตากล้อง ไม่ต้องประกบกับน้องคนไหนเป็นพิเศษ จึงได้เจอตรีบ่อยครั้ง
และตอนนี้เธอดูมีความสุขมาก



“หนูแกล้งร้องไห้เล่นๆ หรอก” เธอโม้กับพี่ๆ ในกลุ่ม
“แหมๆ เดี๋ยวคอยดูตอนเดินลง” ผมดูอยู่เงียบๆ ได้แต่คิดในใจ



กิจกรรมที่ราบรื่นทำให้เวลาบนหลังแปผ่านไปอย่างรวดเร็ว พรุ่งนี้ผมจะได้กลับบ้าน
ลาก่อนเสียงกรน และเสียงกองทัพนักท่องเที่ยวเดินทางไปดูพระอาทิตย์ขึ้น




วันกลับ เราออกเดินแต่เช้า แทบไม่มีเวลาเข้าห้องน้ำ

พี่อาสาส่วนหนึ่งจำเป็นต้องลงจากภูไปก่อน ทำให้พี่เลี้ยงน้อยลง ทางค่ายจึงปรับแผนด้วยการขออาสาจากกลุ่มที่น้องๆ แข็งแรงดี ไปกลุ่มอื่นที่มีความเสี่ยงมากกว่า

ตรีเองก็ได้พี่อาสาคนใหม่ ส่วนผมตัดสินใจเก็บกล้อง และไปพร้อมกับเธออีกครั้ง




โชคดีมากที่พี่เลี้ยงคนใหม่เป็นเทรนเนอร์ แข็งแกร่ง และจิตวิทยาดีเยี่ยม การเดินลงที่ผมคิดว่าน่าจะเหนื่อยหนัก ง่ายขึ้นเยอะ แต่ถึงอย่างนั้น กลุ่มของเราก็เคลื่อนที่ได้ช้า จนไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน

ท่ามกลางความมืด คุณลุงลูกหาบที่เดินตัวปลิวลงมาจากบนภู ผ่านมาเจอพวกเรา แกเปิดไฟฉายสว่างไสว และอาสานำทาง

ความช่วยเหลือของคุณลุงทำให้เราลงถึงพื้นราบได้โดยไม่หัวทิ่มไปซะก่อน



“ตรีจะมาภูกระดึงอีกไหม” พี่อาสาคนหนึ่งถามขึ้น
“ม่ายยยยแล้ววว” เธอยิ้มแก้มปริ

ตรีอาจไม่มีโอกาส (หรือไม่อยาก) กลับมาที่นี่อีก

แต่สิ่งที่สำคัญคือ ขณะนี้เธอทำสิ่งมหัศจรรย์ให้เกิดขึ้น เธอใช้แรงใจข้ามขีดจำกัดของร่างกาย เธอพิชิตภูกระดึงได้สำเร็จ โดยมีผมเป็นพยานอีกคนหนึ่งในเรื่องนี้




ส่งท้าย

อาจมีคำถามว่า น้องพิการแบบนี้ พาไปลำบากถึงภูกระดึงทำไม

คำตอบคือ เป้าหมายหลักของผู้จัด (Nature Camp) คือการให้น้องๆ ได้รู้ว่า เขาสามารถทำสิ่งที่เหมือนเป็นไปไม่ได้ ให้สำเร็จได้ แล้วเอาความรู้สึกนั้นไปใช้ฟันฝ่าปัญหาในชีวิตประจำวัน ซึ่งไม่เป็นมิตรกับคนพิการนัก


“ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะขึ้นภูกระดึงได้” น้องตาบอดคนหนึ่งพูดขึ้น ก่อนที่เราจะแยกย้ายขึ้นรถบัสกลับกรุงเทพ



ข้อมูลเล็กๆ น้อยๆ ของภูกระดึง

  • การจะดูพระอาทิตย์ขึ้น จะต้องไปพร้อมเจ้าหน้าที่ตอนตีห้าเท่านั้น
  • ร้านหมูกระทะจะให้คุณชาร์จแบตเตอรี่ได้ฟรี ถ้าคุณเป็นลูกค้า
  • คุณสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ในราคาถูก และปลอดภัยได้ที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยววังกวาง

หมีเป็ด

 วันพุธที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 21.41 น.

ความคิดเห็น