ช่วงหลายปีที่ผ่านมาผมไม่ได้ไปเที่ยวภาคอีสานเลยส่วนใหญ่จะป้วนเปี้ยนอยู่จังหวัดฝั่งทะเลอันดามันใกล้ภูเก็ตบ้านตัวเอง หรือไม่ก็หนี(อากาศ)ร้อนไปพึ่งเย็นที่เชียงใหม่โน่นเลย … เวลาเห็นคนอื่นโพสต์รูปเก๋ๆ สวยๆ ของเชียงคานบ้างล่ะ ภูทับเบิกบ้างล่ะ โดยเฉพาะที่เป็นทะหมอกมากองตรงหน้ายังกะหลุดไปอยู่บนสวรรค์ โอ๊ยมันกระตุ้นต่อมเที่ยวของผมซะเหลือเกิน … พอได้รับการเชื้อเชิญจากทาง Thai Smile ให้ทดลองใช้บริการของ Thai Smile Plus ผมนี่รีบตอบรับเลย เพราะจะได้ถือโอกาสไปเปิดประสบการณ์ใหม่ที่อีสานด้วยในตัว อิอิ
ปกติแล้วทุกทริปท่องเที่ยว ผมจะวางแผนล่วงหน้าค่อนข้างนาน แถมกำหนดตารางการเดินทางไว้ชัดเจนเรื่องที่พักนี่จองเรียบร้อยก่อนเดินทางทุกครั้งแต่ครั้งนี้พิเศษกว่าครั้งไหน เพราะเวลา 3 วัน 2 คืนของทริปนี้ผมตัดสินใจไม่ได้ซักทีว่าจะไปไหนดีระหว่างจังหวัดเลย, บึงกาฬ, หนองคาย, หนองบัวลำภู, เพชรบูรณ์หรือจะข้ามไปลาวซะเลย เมื่อเป็นเช่นนี้ผมจึงตัดสินใจจองตั๋วเครื่องบินไปลงอุดรฯ เพราะอยู่ไม่ไกลจากแหล่งท่องเที่ยวที่เล็งไว้นักสามารถขับรถไปใช้เวลาไม่เกิน 3-4 ชม. ซึ่งเป็นระยะเวลาที่ไม่เหนื่อยเกินไปโดยรถยนต์นั้นผมได้ติดต่อขอการสนับสนุนรถจากทาง AVIS ไว้แล้ว … นี่จึงเป็นที่มาของทริปวันต่อวันครั้งแรกของผม … ไปดูกันครับว่าจะรอดไหม อิอิ
ก่อนออกเดินทาง ขอแนะนำช่องทางติดตามผลงานหน่อยนะคร้าบ
FB:
9Mot-Photography
Youtube:
9Mot-Photography
instagram:
@9mot
blog: www.9mot.com
การเดินทางครั้งนี้ผมเดินทางออกจากภูเก็ตแวะพักกับน้องสาวหนึ่งคืนที่กรุงเทพฯวันรุ่งขึ้นจึงต่อเครื่องรอบสาย ๆ ของ Thai Smile ไปยังอุดรธานี …สำหรับการบริการของ Thai Smile Plus นั้นนอกจากได้ความครบครันตามแบบฉบับของ Light premium Airlines ไม่ว่าจะเป็นการ load กระเป๋าและเลือกที่นั่งฟรีพร้อมของว่างบริการบนเครื่องแล้ว ยังมีความพิเศษอื่นๆ ได้แก่
- ช่อง check in พิเศษสะดวกรวดเร็วกว่าเพราะคิวไม่ยาว
- มีการเว้นที่นั่งกลางของแต่ละฝั่งเพื่อให้นั่งสบายขึ้น และพนักแขนสามารถปรับให้กว้างขึ้นได้แต่ถ้าจะนั่งจับมือกับคนรู้ใจหรือซบไหล่อันนี้ชุดวางของตรงกลางอาจจะเกะกะหน่อยนะ อิอิ … สำหรับคนร่างใหญ่ ขายาว ถ้าเป็นไปได้ผมแนะนำที่นั่งแถวหน้าสุดเลยครับเพราะมีพื้นที่วางเท้ามากกว่าที่นั่งอื่น ๆ
- สามารถขึ้นเครื่องและรับกระเป๋าได้ก่อนผู้โดยสารปกติและที่นั่งสำหรับ Thai Smile Plus ก็อยู่บริเวณตอนหน้าของเครื่องด้วย
- สามารถใช้ lounge ของการบินไทยได้ หรือได้รับคูปองสำหรับใช้บริการศูนย์อาหารในสนามบิน กรณีที่สนามบินนั้นไม่มี lounge
- ได้น้ำหนักกระเป๋าสำหรับโหลดใต้ท้องเครื่อง 30 Kg. ซึ่งเรื่องนี้ตอบโจทย์มากสำหรับการต่อ Flight ของทริปต่างประเทศแบบที่เดินทางหลายวันและมีสัมภาระเยอะถ้าบิน low cost อาจต้องเสียค่าสัมภาระเพิ่มบานเลย
- มี Welcome drink ระหว่างช่วงเตรียมเครื่องขึ้น และมีอาหารเมนูพิเศษบนเครื่องให้เลือกอีกด้วย ทั้งนี้เมนูพิเศษจะมีตัวเลือก 2 อย่างครับ
- บัตรโดยสารมีความยืนหยุ่นในการเปลี่ยนแปลงวันและเวลาเดินทางได้ภายใต้เงื่อนไขที่ทางสายการบินกำหนด
น้องแอร์ ฯ ในยูนิฟอร์มใหม่สวยสดใส
ความกว้างด้านหน้าของที่นั่งครับ ... แต่ถ้าให้สบายผมแนะนำจองที่นั่งหน้าสุดเลย ยืดขาได้สบายมาก ๆ
อาหารจาก 2 flight ที่ผมเดินทางครับ ถึงรสทุกอย่างมีเพียงแซนวิชที่ผมรู้สึกว่าธรรมดาไปหน่อย
จากการได้ลองสัมผัสด้วยตัวเองก็ต้องบอกว่าประทับใจครับ …ยอมรับว่าที่นั่งสบายกว่าจริง ๆ ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมค่อนข้างสูง พอได้ที่นั่งที่สามารถเหยียดขาได้เต็มที่ก็จะรู้สึกสบายกว่าที่นั่งปกติ ซึ่งจะเห็นได้ชัดหากเป็นที่นั่งแถวหน้าสุดยิ่งถ้าเป็นคนเจ้าเนื้อหน่อยจะรู้สึกได้เลยว่าสบายกว่าที่นั่งปกติมาก … สำหรับอาหารที่เสิร์ฟรสชาติดีทุกรายการ (ผมลองหลายอย่างจากการบินทั้งหมด 4 เที่ยว โดยแลกกันชิมกับแฟนที่เดินทางด้วยกัน)มีเพียง sandwich tuna ที่ผมรู้สึกว่าธรรมดาไปหน่อย (อร่อยนะ แต่ไม่รู้สึกพิเศษ) นอกนั้นอร่อยถึงรสเลยล่ะทั้งนี้พวกน้ำจิ้มต่างๆ จะทำออกมาแบบไม่เผ็ดนะครับ คงเพราะต้องการให้ลูกค้าต่างชาติสามารถทานได้ง่ายขึ้น
ส่วนการบริการทั่วไปน้อง ๆ แอร์ฯ ก็ดูสดชื่นแจ่มใสเต็มใจให้บริการดี เรื่องนี้อาจจะไม่ได้น่าแปลกใจมาก เพราะสายการบินสัญชาติไทยเกือบทุกบริษัท ฯ ทำในจุดนี้ได้ค่อนข้างดีทีเดียว เพียงแต่น้อง ๆ ในชุด uniform ใหม่ของ Thai Smile ทำให้โลกดูสดใสขึ้นอีกเยอะเลยระหว่างนั่งบนเครื่องไปยังอุดรฯ ซึ่งใช้เวลาราว 1 ชม. ผมตัดสินใจว่าจะไปเชียงคานก่อนวันแรกเนื่องจากใช้เวลาขับรถราว 3 ชม.เศษไม่เหนื่อยจนเกินไปส่วนอีกวันค่อยว่ากัน…
ถึงสนามบินอุดร ฯ เรียบร้อยตรงเวลาจากนั้นจึงเดินออกมาติดต่อรับรถจากทาง AVIS … เคาท์เตอร์หาง่ายครับเพราะอยู่ในตัวอาคารสนามบินเลย มองจากประตูผู้โดยสารขาออกก็เห็นสีแดงเด่นชัดเลยครับ
การรับรถสะดวกมากเพราะรถเช่าของ AVIS จะจอดรอไว้ตรงประตูทางออกจากสนามบินเลย ไม่ต้องขนกระเป๋าไกล ยิ่งถ้ามีเด็กหรือผู้สูงอายุยิ่งช่วยได้เยอะเลยครับ
รถของผมสำหรับทริปนี้เป็น CIVIC ครับหลังจากจัดการเรื่องเอกสารต่าง ๆ และถ่ายภาพรถไว้รอบคันเหมือนที่ปฏิบัติทุกครั้งก็เริ่มออกเดินทางกันเลย …
จากอุดรฯ ผมใช้เส้นทางผ่านจังหวัดหนองบัวลำภูผ่านเขตอำเภอเมืองของเลยจากนั้นมุ่งขึ้นทิศเหนือไปยังอำเภอเชียงคานซึ่งเป็นชายแดนไทย-ลาว … ถนนบางช่วงบนเส้นทางนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงทำให้ทำเวลาไม่ค่อยได้ ระหว่างขับรถก็หาข้อมูลว่าจะพักที่ไหนดีสุดท้ายก็เลือกเชียงคาน Gallery Resort ครับโทรไปถามดูกับที่รีสอร์ทโดยตรงได้ราคาต่ำกว่าใน website agent นิดหน่อยและถ้าไม่เอาอาหารเช้าก็ลดราคาลงไปอีกอีกอย่างรีสอร์ทนี้อยู่บนเส้นทางที่จะขึ้นไปชมทะเลหมอกภูทอกพอดี นับว่าสะดวกเลยครับ
ทุ่งนาสวย ๆ ริมทาง
บ่ายแก่ ๆ google ในมือถือก็นำผมก็มาถึงรีสอร์ทซึ่งต้องขับจากถนนใหญ่เข้าซอยไปราว 5 นาที บนเส้นทางที่ลาดยางแต่มีหลุมบ่อพอสมควร… สำหรับ เชียงคาน แกเลอร์รี่ รีสอร์ทก็มีสีสันสดใส สะอาดตาดูเหมือนช่วงนี้จะมีลูกค้าน้อยจึงไม่แปลกที่ตอนจองไม่ร้องขอให้โอนเงินมัดจำอะไรเลย (ตอนนั้นนอยด์นิดๆ ว่าเฮ้ยนี่ตกลงเขารับจองหรือยังหว่า ชื่อยังไม่ถามเลย 555)
ห้องพักที่นี่ก็มีหลากสีครับมาช่วงคนน้อยแบบนี้ก็เลือกตามใจชอบเลย … ภายในห้องก็ตกแต่งด้วยโทนสีหวาน ๆ คล้ายกัน มีสิ่งอำนวยความสะดวกทั้ง Free WIFI, ทีวี น้ำอุ่น, ตู้เย็น และ amenities ในห้องน้ำ … ตินิดนึงตรงที่นอนซึ่งมีฝุ่นเล็กน้อย คงเป็นเพราะไม่ค่อยได้มีการใช้ห้องในช่วงนี้คนที่ sensitive หน่อยอาจรรู้สึกคัดจมูกได้ครับ
หลังจากเก็บสัมภาระเข้าห้องแล้วก็ได้เวลาหาอาหารเย็นซึ่งก็เปิดหาจากในมือถือนี่แหละครับเช็คดู 2-3 เวปได้ความเห็นตรงกันว่าควรไปทานข้าวเปียกที่ร้านงอยโขง … จากที่พักขับรถออกจากซอยแล้วเลยไปอีกหน่อยก็ถึงโซนถนนคนเดินทำให้ผมรู้สึกว่าคิดถูกแล้วที่เลือกรีสอร์ทห่างออกไปหน่อย จะได้บรรยากาศเงียบ ๆ และไม่ต้องวุ่นวายกับการหาที่จอดรถหลังจากขับรถบนเส้นถนนคนเดินที่ไม่อนุญาตให้จอดรถ สุดท้ายก็เจอจุดสำหรับจอดรถตรงสุดถนนคนเดินครับ (ทั้งสองฝั่งถนนคนเดินจะมีวัดขนาบ สามารถจอดรถด้านในได้ฟรี) … จากที่จอดรถเดินชมบ้านเรือนไม้เก่าๆไม่ไกลนักก็ถึงร้านงอยโขงร้านอาหารชื่อดังแห่งหนึ่งของที่นี่ซึ่งเมนูที่ลองเย็นนี้คือข้าวเปียก กับ ไข่กระทะ (เป็นอาหารเช้าที่เอามาขายตอนเย็น แปลกดี) สำหรับรสชาติก็กลมกล่อมครับ เนื้อหมูในข้าวเปียกอร่อยดีถ้าทานตอนฤดูหนาวจะฟินกว่าทานตอนอากาศร้อน ๆ แบบนี้เยอะ อิอิ
ผมจอดรถที่วัดแห่งนี้ครับ
เดินย้อนไปหน่อยเพื่อหาของทาน บ้านเรือสองข้างทางส่วนใหญ่เป็นเรือไม้
มื้อเย็นของผมครับ น่าทานไหม (จริง ๆ แล้วเมหาะกับการเป็นอาหารเช้ามากกว่า อิอิ)
เพิ่มพลังแล้วก็ได้เวลาเดินชมบ้านเรือนกันอีกครั้งซึ่งช่วงนี้แม้จะยังไม่เข้าฤดูกาลท่องเที่ยวเต็มตัวแต่ก็มีคนมากพอสมควร บ้านพักริมถนนคนเดิมบางแห่งติดป้ายห้องเต็ม ก็นับว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีกับคนท้องถิ่นที่นี่ … สำหรับบรรยากาศโดยรวมของที่นี่ก็ผสมผสานกันไประหว่างของเก่า, ของใหม่และของใหม่ที่ทำให้ดูเก่าถ้ามองแบบใจกว้างหน่อยก็ต้องบอกว่ายังเป็นเมืองที่น่าท่องเที่ยวอยู่ แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงบ้างตามกระแสความต้องการของคนเมือง แต่กลิ่นอายของหมู่บ้านริมน้ำก็ยังไม่จางหายไปจนขาดเสน่ห์ซะทีเดียว
เดินเที่ยวกันต่อ บรรยากาศคึกคักพอสมควร แต่ก็ไม่แน่นจนอึดอัด
ที่ผมชอบมากคือถนนริมน้ำ ซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงให้เดินสะดวกสบายและปลอดภัยมีดอกดาวกระจายปลูกเป็นระยะและกำลังออกดอกสีเหลืองส้มสะพรั่งเลยทีเดียว
เดินช้า ๆ ชมเรือที่แล่นไปมาในแม่น้ำโขงมันทำให้มีความสุขอย่างบอกไม่ถูก … ผมว่าแค่นี้แหละที่คนเมืองแสวงหาและเป็นอาหารจานหลักทางด้านจิตใจส่วนอะไรที่มันเก๋ไก๋ ฟรุ้งฟริ้งก็เหมือนผงชูรส ใส่เพื่ออยากให้ติดใจ แต่มากไปหรือนานไปก็ไม่เป็นผลดีทั้งกับผู้ปรุงและผู้เสพ
เดินจนค่ำก็ได้เวลากลับไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้จะขึ้นไปชมทะเลหมอกบนภูทอก
ท้องฟ้าคืนนี้ค่อนข้างปลอดโปร่งผมเลยเดินขึ้นไปถ่ายภาพดาวบนระเบียงเหนือห้องพัก ที่รีสอร์ททำไว้สำหรับชมวิว แต่คืนนี้ไม่เปิดไฟก็เลยต้องเดินงมๆ หน่อย อิอิ
ผมตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี 5 เพื่อตื่นมาดูสภาพแสงแต่ปรากฏว่าตั้งเวลาผิดรู้สึกตัวอีกทีก็สว่างแล้ว รีบกระโจนไปเปิดม่านหน้าต่าง เห็นสายหมอกจาง ๆ ก็รีบกุลีกุจอล้างหน้าล้างตาเพื่อเตรียมขึ้นไปบนภูทอกดีใจมากที่มาในฤดูนี้แล้วยังมีโอกาสได้เจอหมอก (ถึงไม่เป็นทะเลได้เห็นเป็นสายก็ยังดีฟระ ผมคิดในใจ)ก้าวที่กระโดดออกจากห้องพักนี่ผมยื่นหน้าออกมาสัมผัสลมเย็น ๆ ยามเช้าก่อนเลย แต่แม่เจ้าเหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ อากาศนอกห้องมันร้อนกว่าในห้องแอร์ซะอีก …
จากที่พักผมรีบขับรถตามป้ายไปเรื่อย ๆ … ใช้เวลาราว 10 นาทีก็ถึงลานจอดรถซึ่งต้องเสียค่าฝากรถ 20 บาทจากนั้นซื้อตั๋วขึ้นรถสองแถวเพื่อขึ้นไปชมวิวด้านบนโดยเสียค่าโดยสารสำหรับขึ้นลงคนละ 25 บาท … ผมแอบลุ้นให้รถเต็มเร็วๆ เพราะผมเป็นคนแรกที่ขึ้นรถ กลัวว่าหมอกจะหมดเสียก่อน … คนขับรถเหมือนรู้ใจยอมออกรถทั้ง ๆ ที่ในรถมีเพียงผมกับแฟนแค่ 2 คน … รถค่อยๆ ไต่ระดับความสูงขึ้นไปตามถนนลาดยางที่คดเคี้ยวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ชันมากนัก
บริเวณทางขึ้นภูทอก ต้องฝากรถไว้ที่นี่แล้วซื้อตั๋วขึ้นรถสองแถวไปด้านบน
เส้นทางสู่ภูทอก
ขึ้นไปได้สูงระดับหนึ่งก็เริ่มเห็นหมอกหนาขึ้นและอีกเพียงอึดใจก่อนถึงยอดภาพของทะเลหมอกสุดลูกหูลูกตาก็ปรากฏตรงหน้าผม … โอ้ยโคตรโชคดีเลย ผมคิดในใจเพราะจะว่าไปอากาศปีนี้ยังไม่เย็นเลย ได้เจอทะเลหมอกหนาขนาดนี้ถือว่าสุดยอดมาก
ถึงยอดภูทอกผมก็รีบตรงไปยังจุดชมวิวที่มีนักท่องเที่ยวยืนออชมบรรยากาศกันเกือบเต็มพื้นที่แล้วนี่ถ้าผมมาถึงตั้งแต่ตี 5 คงได้มีโอกาสเก็บแสงสวยๆ แน่ๆแต่นี่มาถึงตอนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วก็เลยพลาดบรรยากาศนั้นไป …
ผมใช้เวลาด้านบนเพื่อเก็บเกี่ยวความทรงจำกับภาพสวย ๆ อยู่พักใหญ่จึงนั่งรถกลับลงมาระหว่างลงจากยอดภูทอกก็คิดทบทวนหลายรอบว่าจะอยู่ต่ออีกคืนเพื่อแก้มือดีหรือไม่แต่คิดอีกทีค่อยหาโอกาสมาใหม่ดีกว่า เพราะบนเส้นทางเลียบน้ำโขงยังมีจุดที่น่าสนใจอีกหลายแห่ง
อลังการหมอกไหลที่ภูทอก
ออกจากภูทอกผมมุ่งหน้าไปยังถนนคนเดินอีกครั้งเพื่อหามื้อเช้าทาน และชมบรรยากาศของเชียงคานอีกแบบในช่วงเช้า … มื้อนี้เราทานกันที่ร้านโจ๊กร้านแรกที่ต้นถนนคนเดินรสชาติใช้ได้แต่เนื้อหมูของร้านงอยโขงอร่อยกว่า … บรรยากาศยามสายค่อนข้างจะเงียบกว่าตอนค่ำ หลายร้านยังปิดอยู่ถ้าอากาศเย็น ๆ การได้เดินรับแสงแดดยามเช้าแบบนี้คงรู้สึกดีมากแต่ช่วงนี้อากาศยังไม่หนาวจึงรู้สึกร้อนอบอ้าวผมจึงเดินได้เพียง 1 ใน 3 ก็สินใจกลับที่พักเพื่อเดินทางต่อไป
หลังจาก check out ออกจากที่พักแล้วผมเลือกเดินทางเลียบริมแม่น้ำโขงเพื่อต่อไปยังหนองคายโดยมีเป้าหมายในใจเป็นอำเภอสังคมซึ่งมีแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจหลายแห่ง
ออกจากเชียงคานมาไม่ไกล ก็เห็นป้ายแก่งคุดคู้ จึงขับรถเข้าไปดูหน่อย เคยได้ยินแต่ชื่อแต่ไม่รู้ว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ระหว่างทางเห็นร้านขายมะพร้าวแก้วเยอะเลยราคาถูกกว่าที่ถนนคนเดินพอสมควรแอบเซ็งนิดๆ เพราะซื้อไปแล้วหลายถุง 555
เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูฝน น้ำยังคงเยอะอยู่ทำให้แก่งคุดคู้มีหินโผล่มาไม่เยอะนัก ภาพที่เห็นแทนที่จะเป็นแก่งก็เลยเหลือแค่ยอดหินโผล่พ้นน้ำนิดหน่อย ผมก็เลยชมแค่ผ่าน ๆ เท่านั้น
ผมขับรถมาเรื่อย ๆ บนเส้นทางเลียบแม่น้ำโขง รู้สึกสบายกว่าตอนขับจากอุดรฯ มาเชียงคานผ่านทางเส้นด้านในเยอะเลย เพราะเส้นนี้รถน้อย ถนนส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในสภาพดี แถวทิวทัศน์ก็ดีกว่าด้วย
ผมมาถึงอำเภอสังคมช่วงเที่ยงแวะถามแม่ค้าขายผลไม้ริมทางว่าทานอาหารเที่ยงที่ไหนดี ก็ได้รับคำแนะนำให้ไปทานที่ร้านครัวเจ้นงค์ซึ่งอยู่ติดริมโขง … บรรยากาศที่ร้านดีทีเดียวครับ เสียแต่ว่าวันนี้อากาศร้อนจัดก็เลยทำให้ไม่สบายตัวนักอาหารมื้อเที่ยงวันนี้เป็นเมนูสิ้นคิด กระเพราะไก่ไข่ดาวแต่สั่งปลาน้ำโขงนึ่งเพิ่มมาจานนึง … เนื้อปลานุ่มดีแต่ไม่ค่อยหวาน เทียบกับราคาผมว่าไม่ค่อยคุ้มครับ(แต่กระเพราะไก่อร่อยนะ อิอิ)
ผมตัดสินใจเลือกอำเภอสังคมเป็นจุดพักสำหรับคืนนี้เพราะเจอข้อมูลว่าที่นี่มีจุดชมทะเลหมอกสวยอีกแห่งชื่อ “ภูห้วยอีสัน"ซึ่งผู้ที่ทำให้เนินเขาริมแม่น้ำโขงแห่งนี้เป็นที่รู้จักขึ้นมาก็คือปลัดอบต. บ้านม่วงที่นอกจากพยายามทำให้สถานที่แห่งนี้เป็นที่รู้จักในหมู่นักท่องเที่ยวชาวไทยแล้ว ยังได้รวบรวมข้อมูลของต.บ้านม่วงและสถานที่ท่องเที่ยวในตำบลนี้และอำเภอสังคมลงในเวปไซต์ของอบต.แค่นี้ไม่พอยังให้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวไว้ติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมด้วยผมเองก็โทรหาท่านนายกอบต. เพื่อขอข้อมูลว่าสามารถขึ้นไปชมทะเลหมอกช่วงนี้ได้หรือไม่ เพราะที่หาข้อมูลมายังไม่ใช่ช่วงที่มีหมอกและรถที่จะพาขึ้นไปด้านบนก็ยังไม่มีบริการ… ท่านก็ได้ให้ข้อมูลว่าสามารถขึ้นไปชมได้ โดยติดต่อผ่านทางเจ้าของที่พักได้เลย เขาจะจัดการให้เองทั้งนี้ได้รับคำแนะนำให้พักที่ริมโขงริเวอร์วิวรีสอร์ทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากทางขึ้นภูห้วยอีสันส่วนทะเลหมอกคงไม่มีแต่อาจเจอหมอกเป็นสายถ้ามีฝนตก
ข้อมูลติดต่อ อบต.บ้านม่วงสามารถดูข้อมูลท่องเที่ยวของต.บ้านม่วงได้ที่นี่ครับ
http://www.baanmuang.com/ สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจเดินป่าชมหมอกที่นี่ติดต่อคนนำทางท้องถิ่นได้ตามเบอร์ด้านล่างเลยครับ 089-7694856 หรือ 087-2195500
เมื่อได้ข้อมูลแล้ว ผมขับรถย้อนไปหน่อยเพื่อติดต่อห้องพักที่ริมโขงริเวอร์วิวรีสอร์ทซึ่งอยู่ไม่ไกลจากอบต.บ้านม่วง … ห้องพักที่นี่เป็นบังกะโล อยู่ริมแม่น้ำโขง บรรยากาศดีทีเดียว
และดูเหมือนน่าจะเป็นรีสอร์ทเพียงแห่งเดียวของต.บ้านม่วงเลยถ้าผมเข้าใจไม่ผิด(มีอีกแห่งให้บริการเต้นท์) … ที่พักคืนนี้ราคาหลักร้อยครับ ภายในมีสิ่งอำนวยความสะดวกไม่ต่างจากที่พักคืนก่อน แต่ WIFI ในห้องสัญญาณอ่อนหน่อยต้องมาใช้ด้านหน้า
ไม่แน่ใจว่ามีให้จองใน online agent ไหมเลยขอลงข้อมูลติดต่อไว้ตรงนี้ครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้Tel 082-4459700 Facebook : mkriverview
เมื่อได้ห้องและจัดเก็บกระเป๋าเรียบร้อยผมก็โทรติดต่อเจ้าของรีสอร์ท (มีเบอร์ติดไว้ใกล้ประตูห้องพัก)เพื่อจองรถอีแต๊กขึ้นไปบนภูห้วยอีสันเช้าตรู่วันรุ่งขึ้น … ซึ่งทางเจ้าของบอกว่าจะนัดให้รถมารับที่รีสอร์ทตี 5 โดยเป็นราคาเหมาเพราะมีเราแค่ 2 คน
ช่วงบ่ายวันนี้มีเวลาอีกเยอะก่อนพระอาทิตย์จะตกผมจึงขับรถเข้าไปเที่ยวน้ำตกธารทิพย์อีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอสังคมที่น่าสนใจ …
ระหว่างทางเข้าน้ำตกมีทุ่งนาสวยๆ ให้ถ่ายภาพด้วยครับ
น้ำตกธารทิพย์อยู่ไม่ไกลจากถนนใหญ่ขับรถแป๊ปเดียวก็ถึงที่จอดรถแล้วและตัวน้ำตกชั้นแรกก็ใช้เวลาเดินเพลินๆ ไม่ถึง 5 นาที… ชั้นนี้มีแอ่งน้ำไม่ลึกมากกับน้ำตกความสูงพอประมาณแต่ที่เป็นhighlight เห็นจะเป็นสะพานไม้ที่ทางอบต. มาทำไว้คงตั้งใจจะให้เหมือนน้ำตกอีกแห่งในจังหวัดเชียงใหม่ที่เป็นฉากในภาพยนต์เรื่องรักจัง …
จากชั้นนี้เดินขึ้นบันไดแบบชัน ๆ พอเรียกเหงื่อแบบซึม ๆ ก็จะถึงชั้นที่ 2ซึ่งชั้นนี้เป็นน้ำตกที่สูงกว่าชั้นแรกมากสวยไปอีกแบบ
อันที่จริงมีน้ำตกอีกชั้น แต่ต้องให้เจ้าหน้าที่นำขึ้นไป ผมจึงไม่ได้เก็บภาพมาฝากครับ
ออกจากน้ำตกผมขับรถไปทางตัวเภอสังคมอีกครั้งโดยมีจุดหมายที่วัดผาตากเสื้อซึ่งเป็นจุดชมวิวที่สวยมากอีกแห่งหนึ่งของหนองคาย …
ระหว่างทางวิวทุ่งนากับแสงช่วงเย็นสวยจนอดแวะเก็บภาพไม่ได้
ทางเข้าวัดผาตากเสื้ออยู่บริเวณน้ำตกธารทอง (อีกแหล่งท่องเที่ยวของอำเภอสังคม)จุดสังเกตง่าย ๆ คือจะมีร้านค้าเยอะมากจากแยกนี้จะต้องขับรถขึ้นเขาไปอีกอีดใจก็จะถึงจุดชมวิวแรกซึ่งสามารถมองเห็นตัวอำเภอสังคมและแม่น้ำโขงรวมถึงภูเขาทางฝั่งลาว
เลยจากจุดชมวิวแรกไปอีกเล็กน้อยก็จะเป็นบริเวณวัดผาตากเสื้อซึ่งที่นี่มีจุดชมวิวตรงบริเวณหอระฆังและข้างกุฏิแม่ชีทั้งนี้การมาถ่ายภาพบริเวณวัดควรแต่งกายให้เรียบร้อยและงดใช้เสียงดังนะครับ
ผมรอเก็บแสงเย็นที่นี่จนมืดจึงขับรถกลับไปยังที่พัก
แสงสุดท้าย
คืนนี้ฟ้ามีเมฆค่อนข้างเยอะจึงไม่มีโอกาสถ่ายภาพดาวเลยรีบเข้านอนจนได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอนตี 4 กว่า ๆ
ผมล้างหน้าล้างตา เดินออกมาดูบรรยากาศภายนอก … อุณหภูมิยังคงเหมือนเช้าเมื่อวานคืออุ่น ๆแต่ที่แตกต่างคือมองไปทางไหนก็เคลียร์ไม่มีวี่แววของหมอกเลยผมจึงทำใจแล้วว่าวันนี้คงไม่มีโอกาสได้พบทะเลหมอกแน่ ๆ
ผมแต่งตัวออกมารอรถหน้าห้องพัก (เหมือนจะไปเดินห้าง เพราะเป็นเสื้อตัวสุดท้ายที่มีเนื่องจากตอนมาไม่ได้คิดว่าจะไปไหนบ้าง อิอิ) .. เลยเวลาไปราว 10 นาทีผมก็ได้ยินเสียแต๊ก ๆ มาแต่ไกล เลยเข้าใจทันทีว่าทำไมเขาถึงเรียกรถแบบนี้ว่ารถอีแต๊ก
คุณพี่ซึ่งเป็นชาวบ้านของ ต.บ้านม่วงค่อย ๆ นำเราสู่ถนนใหญ่ เลี้ยวขึ้นเขาซึ่งทางทุระกันดารกว่าที่ผมคิดวไว้นี่ยังดีที่ฝนหยุดไปหลายวันถ้ามาหลังวันฝนตกผมอาจต้องลงเดินลุยโคลนในชุดเที่ยวห้างเป็นแน่ (แค่คิดก็สงสารตัวเองแล้ว) … ซ้ายขวาของเส้นทางเป็นสวนยางจนเกือบถึงจุดบนสุดจึงเริ่มเห็นไร่ข้าวโพดและมุมเปิดให้มองเห็นวิวเบื้องล่าง
เป็นไปตามที่คาดคิด เช้าวันนี้ไม่มีหมอก แถวเมฆเยอะอีกต่างหาก…มีแสงแดง ๆ ส้ม ๆ เล็ดลอดมาให้เห็นแว๊ปเดียวพอปลอบใจ จากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นสีเทา … ผมถ่ายภาพสลับกับการตบยุงอยู่พักนึงก็ตัดสินใจบอกให้พี่คนขับพาเรากลับ … ทั้งนี้ผมมาก่อนช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวรถจึงไม่สามารถพาขึ้นไปอีกจุดหนึ่งที่อยู่สูงกว่าได้เนื่องจากสภาพเส้นทางค่อนข้างลื่นอาจเกิดอันตรายได้เพราะทางอบต.ยังไม่ได้ทำการไถปรับปรุงสภาพผิวดินแต่ณ ตอนนี้ผมถึงฤดูกาลท่องเที่ยวแล้วเชื่อว่า ทางอบต.และชาวบ้านคงดำเนินการทุกอย่างเรียบร้อยเพื่อต้อนรับสมาชิกชมรมคนล่าหมอกให้ได้สัมผัสภูห้วยอีสันกันอย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้นยังไงลองตรวจสอบกับทางอบต. ตามรายละเอียดที่ให้ไว้ข้างต้นก่อนเดินทางไปด้วยนะครับ
เส้นทางขาลง สว่างแล้วก็เลยถ่ายภาพมาฝากครับ
ปล. ด้านบนไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนักในช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวมีพื้นที่ให้บริการกางเต้นท์ แต่ห้องน้ำห้องท่าเป็นแบบชั่วคราว และมียุงค่อนข้างเยอะยังไงต้องเตรียมตัวให้พร้อมนะครับ
ผมลงจากภูห้วยอีกสันกลับมายังรีสอร์ทพี่คนขับรถคิดเงินเราสองคนแค่ 300 บาทผมนี่ตกใจเลยเพราะจะว่าไป แค่เวลานั่งรถไปกลับก็ 40 นาทีแล้ว(ถ้าจำไม่ผิดช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวจะคิดเป็นรายหัวประมาณ 60 บาทต่อคน)
ถ้าไม่นับเรื่องเสียงของเจ้ารถอีแต๊กที่ดังมาก ๆ จนเป็นการรบกวนบรรยากาศแล้วผมว่าไอเดียนี้ดีมากทีเดียว เพราะช่วยกระจายรายได้ให้ชาวบ้าน และนักท่องเที่ยวก็ได้สัมผัสกับบรรยากาศพื้นบ้านจริง ๆ ที่สำคัญยังสามารถจัดระเบียบเรื่องการเดินทางได้อีกด้วยโปรแกรมวันสุดท้ายของผมไม่มีอะไรมากแค่กลับไปสำรวจเมืองอุดร ฯซึ่งจากอำเภอสังคมขับรถบนเส้นทางเลียบน้ำโขงไปทางจังหวัดหนองคายก่อนถึงตัวจังหวัดเล็กน้อยก็มีแยกขวาเพื่อไปยังอุดรฯซึ่งถนนสภาพดี สามารถทำเวลาได้ทำให้ผมไปถึงอุดร ฯ ในเวลาอาหารเที่ยงพอดีและแน่นอนว่าผมต้องไปเยือน VT แหนมเนืองร้านชื่อดังอันดับต้น ๆ ของอุดรฯ เค้าล่ะ
แค่ขับรถเข้าไปก็ต้องทึ่งแล้ว เพราะระบบจัดการเค้าสุดยอดจริง มีบริการ drive throughด้วยส่วนผมทานที่ร้านก็จอดรถแล้วเดินผ่านเครื่องจักรทำแหนมเหนือง ที่เห็นแล้วต้องบอกว่าอึ้งครับตอนนี้เข้าใจเลยว่าตอนมาเปิดสาขาที่ภูเก็ตบ้านผมทำไมเขาทำสถานที่อลังการจัง
มื้อเที่ยงวันนี้สั่งมาหลายรายการเป็นความยากลำบากพอสมควรกับการมาทานแค่สองคนแล้วอยากลองหลายสิ่ง เพราะบางเมนูไม่มีชุดเล็กทำให้มื้อนี้อิ่มแปร้เลย รสชาติแน่นอนว่าไม่ผิดหวัง ส่วนราคาถูกกว่าที่สาขาภูเก็ตครับ
ผมถือโอกาสซื้อของฝากจากที่นี่จากนั้นก็เดินทางไปศูนย์วัฒนธรรมไทยจีนซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก … จุดเด่นของศูนย์แห่งนี้คือสวนจีนสวย ๆ และฝูงปลาคาร์ฟหลากสีที่ว่ายไปมาเป็นฝูงสวยงามตรึงตามาก … ยิ่งเอาอาหารไปให้มันด้วยแล้วมันจะพร้อมใจไปรุมกันเป็นฝูงเลยทีเดียว
มาดูปลาคาร์ฟติดเทอร์โบบ้าง อิอิ
ออกจากศูนย์วัฒนธรรม ผมขับรถไปหากาแฟทานที่ community mall ชื่อดังของอุดร ฯ นั่นคือ UD town จากนั้นจึงเดินทางไปยังสนามบินเพื่อเดินทางกลับ
การคืนรถยังคงสะดวกสบายเช่นเดิมเพราะผู้เช่ารถของ AVIS สามารถจอดตรงที่จอดรถหน้าประตูทางเข้าสนามบินได้เลยจะมีพนักงานมารับรถคืนทำให้สะดวกสบายไม่ต้องลากกระเป๋าไกล
เมื่อคืนรถเรียบร้อยแล้ว ผมจึงนำสัมภาระไปเช็คอินน์ที่เคาท์เตอร์ Thai Smile(ใช้เคาท์เตอร์การบินไทย) … สำหรับที่สนามบินอุดรฯ ซึ่งไม่มี lounge ของการบินไทยทาง Thai Smile จะมีคูปองสำหรับทานอาหารที่ห้องอาหาร ของสนามบินบนชั้น 2 ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับประตูผู้โดยสารขาออก … แมัจะยังอิ่ม แต่ด้วยความงกจึงสั่งน้ำมะพร้าวกับขนมจีบซาลาเปามารองท้องแบบเบา ๆ (รองจนเกือบถึงคอ)
โอ้วแม่เจ้า ลืมไปว่าเรานั่ง Thai Smile Plus บนเครื่องยังมีอาหารแบบจัดเต็มแต่บอกแล้วไงว่างก จากอุดรฯ ไปกรุงเทพฯ และกรุงเทพฯ ต่อไป ภูเก็ต ผมจึงไม่พลาดทุกรายการอาหาร ทริปนี้จึงเป็นทริปที่อิ่มท้อง อิ่มใจเป็นที่สุด 555 …
การเดินทางครั้งนี้นอกจากผมจะได้เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ …. พบกับสิ่งที่ไม่คาดคิดหลายอย่าง สวยเกินคาดบ้าง ผิดหวังบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลคือรสชาติการเดินทางที่สุดแสนจะคุ้มค่า และผมได้ข้อสรุปว่าการท่องเที่ยวแบบวันต่อวันก็สนุกไม่แพ้แบบวางแผนล่วงหน้าไว้อย่างดีเช่นกัน
สุดท้ายขอฝากช่องทางติดตามผลงานหน่อยนะคร้าบ
FB:
9Mot-Photography
Youtube:
9Mot-Photography
instagram:
@9mot
blog: www.9mot.com
แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าครับ
นายมด
วันพฤหัสที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2558 เวลา 16.20 น.