EP.1 สำหรับกระทู้ของ The Planners - เที่ยวนอกแพลน

กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่เราทั้งสองคนจะพาเพื่อนๆ สายรักธรรมชาติ

ไปท่องเที่ยวที่อุทยานที่มีผืนป่าอันกว้างใหญ่และอุดมสมบูรณ์

ในประเทศไต้หวัน

นั่นก็คือ



"อาลีซาน"

-

ALISHAN



นั่นเองครับ



สามารถติดตามเราสองคนผ่าน Facebook Fan Page ได้ที่

Link: https://web.facebook.com/theplannersbytsst/



และสามารถรับชมกระทู้ก่อนหน้านี้

"[CR][The Planners] เที่ยวนอกแพลน EP.0 :: Taiwan Trip 5 วัน 4 คืน 7 สถานที่ เที่ยวเอง 2 คน ด้วยงบ 21,000 บาท!!!"

Link: https://pantip.com/topic/36539261






=== ข้อควรรู้ ===

1. เราสองคนเดินทางด้วยตัวเอง อาจจะมีการลอกสถานที่จากทัวร์บ้าง แต่พยายามเสาะหาสถานที่เที่ยวใหม่ๆ ที่เราทั้งคู่ไม่เคยไป

2. อาจมีการใช้ภาษาไม่เป็นทางการบ้าง เพื่ออรรถรสให้เข้ากับประสบการณ์

3. เราสองคนไม่ใช่ช่างภาพมืออาชีพ ภาพอาจจะมีเกือบสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง โปรดอภัย

4. การเขียนรีวิวของเรา อาจจะไม่ได้เป็นมืออาชีพ หรืออาจจะมีบ้างที่ข้อมูลไม่ครบถ้วน อยากให้เพื่อนๆช่วยกันเพิ่มเติมมา หรือหากข้อมูลใดที่เราไม่ได้ใส่ไว้และเพื่อนๆเกิดคำถาม อยากให้ตั้งข้อสงสัยขึ้นมา หากเราตอบได้ เราจะกลับมาตอบให้อย่างแน่นอนครับ






เรามาเริ่มต้นทริป 5 วัน 4 คืน ของเรากันเลย



จริงๆต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า ที่เราไปไต้หวันแล้วเลือกไป Alishan กัน

เพราะเจ้าหมูเป็นคนชอบเที่ยวธรรมชาติด้านป่าด้านเขา ชอบเห็นอะไรเขียวๆ

ผมที่เป็นคนวางแผนการเที่ยวของทั้งทริป ก็เลยจัดให้



การหาข้อมูลนั้นค่อนข้างยากเลยครับ

เพราะช่วงที่ผ่านมาก็งานยุ่งกันทั้งคู่ แต่เราก็พยายามวางแพลน

ให้การเดินทาง 5 วัน 4 คืนนี้คุ้มค่า และไปได้มากที่สุด



เลยเป็นตามแพลนว่างั้นเราไปลุยที่ที่เจ้าหมูชอบที่สุดก่อนแล้วกัน



ทั้งที่จริงๆแล้ว เราทั้งคู่ไม่มีไอเดียเลย ว่า Alishan มีหน้าตาแท้จริงยังไง

ไปแล้วจะคุ้มค่าไหม แต่เราก็เชื่อในเซนส์ว่า "ต้องไป" เท่านั้นครับ



วันแรก เราเดินทางจากสนามบินดอนเมือง

ด้วยเที่ยวบิน XW182 00:20 น.

(ขากลับ IT505 15:35 น.)



โดยเราเสียค่าใช้จ่ายด้านเครื่องบินไปคนละ 7,721.50 บาทครับ



หลังจากเดินทางมาถึงสนามบินเถาหยวน เวลาประมาณ 05:10 น.

กว่าจะเสร็จสรรพจากการตรวจคนเข้าเมือง และรับกระเป๋าสัมภาระ เวลาก็ปาไป 6 โมงกว่าๆแล้ว

ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่รถไฟใต้ดินของไต้หวัน (MRT) เปิดทำการพอดี

โดยหลังจากปรึกษากันว่าเราจะแบกเจ้ากระเป๋าเดินทางของเราไปขึ้นเขาด้วยหรือจะฝากไว้ที่ตู้รับฝากกระเป๋าในสนามบิน

จนได้ผลลัพธ์ในที่สุด คือเราตัดสินใจเอากระเป๋าเดินทางไปฝากที่โรงแรมในไทเป ที่เราจะกลับมาพักในวันถัดๆไป

(เราเลือกเข้าพักที่โรงแรม Smile Inn อยู่ใกล้สถานี MRT: Taipei Main Station)



การเดินทาง: นั่ง MRT จากสนามบินไปที่ Taipei Main Station โดยค่าใช้จ่ายอยู่ที่คนละ 160 TWD

โดยใช้เวลาเดินทางไม่นาน เราก็มาถึงสถานี Taipei Main ครับ



หลังจากที่เราเปลี่ยนถ่ายกระเป๋า นำแต่ของจำเป็นใส่เป้ไปคนละใบ

เราก็รีบวิ่งหน้าตั้งกันไปที่สถานีรถไฟ เพื่อจะได้ขึ้นรถรอบที่เร็วที่สุด

จะได้มีเวลาเดินเล่นถ่ายรูปกับป่าเขากัน



แต่!!!

ด้วยการหาข้อมูลมาน้อยและเตรียมตัวมาไม่เพียงพอ

ทำให้เราพลาดที่จะเดินทางโดยรถไฟปกติ หรือ TRA



ซึ่งการเดินทางไป Alishan นั้นสามารถเดินทางได้หลายทาง

1. นั่งรถบัสจากไทเป (ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง)

2. นั่งรถไฟธรรมดา TRA (ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมงครึ่ง)

3. นั่งรถไฟความเร็วสูง HSR (ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง)



เราไปถึงสถานีกันตอน 08:25 น. ซึ่งเราก็นึกว่ายังเช้า คงมีรอบรถไฟให้นั่งกันไปได้

แต่พอไปถามที่เคาเตอร์ เขาบอกว่ารถไฟขึ้น Alishan ตอนนี้หมดแล้ว



เราก็เห้ย!!! ตายหอง!!! ทำไงวะ เลยตัดใจยอมนั่งรถไฟหัวกระสุนไป

เป็นเที่ยวรถจาก ไทเป - เจียอี้ (Taipei - Chiayi)

ซึ่งเป็นเมืองที่เราจะไปต่อรถบัสขึ้น Alishan กัน ค่าตั๋วคนละ 1,045TWD ไปเลยจร้าาาา

(ซึ่งถ้าใครจะเดินทางโดยหัวกระสุนจริงๆ จองล่วงหน้านานหน่อยอาจมีราคา Early Bird ถึง 30% เลยทีเดียว)



ซึ่งการเดินทางโดยรถไฟหัวกระสุนนั้นใช้เวลาสั้นมากจริงๆครับ

เรานั่งกันเพียงไม่ถึง 2 ชั่วโมงก็ถึงสถานี เจียอี้ แล้ว

และพร้อมมากที่จะลุยไปในผืนป่าาาาาาาาาาาาาาาาา






หลังจากมาถึงเมือง Chiayi เราสองคนที่มาแบบไร้แพลนจริงจังก็ต้องมาเดินหากัน ว่าจะขึ้นไป Alishan ได้ยังไง

พอออกจากตัวสถานีมา ก็จะเจอบรรยากาศที่น่ากลัวเล็กน้อยจากพวกแท็กซี่เจ้าถิ่น
(ผมเคยอยู่ประเทศจีนมาเลยค่อนข้างชิน แต่เจ้าหมูนี่สิ เจอเข้าไปคงตกใจน่าดู)
แท็กซี่เจ้าถิ่นหรือพวกป้ายดำ จะเสมือนรถรับจ้าง หรือแท็กซี่ไม่มีมิตเตอร์ เพื่อมารับบริการจากนักท่องเที่ยว

ความน่ากลัวคือเขาชอบเดินตาม มาถามว่าจะไปไหน อยากได้ราคาเท่าไหร่ ซึ่งส่วนตัวแล้วสะดวกมากก็จริง
บางคันก็ต่อราคาได้เยอะ แต่เราทั้งสองคนไม่ค่อยชอบใจในสไตล์การเรียกแขก เลยตัดสินใจมุ่งหน้าไปทางท่าจอดรถบัส
เพื่อไปดูรอบเวลา และนั่งรอรถบัสกันต่อไปจนถึงประมาณ 11:30 ก็มีรถบัสสีเขียวมาจอดตรงท่ารถให้เราจับจองที่นั่ง

การขึ้นรถบัสจากที่ เจียอี้ ไป อาลีซาน ยังไม่ต้องจ่ายเงินตอนขึ้นก็ได้ครับ สามารถจ่ายตอนลงที่คนขับได้เลย



ค่ารถคนละ 273TWD



โดยใครที่โดยสารรถสาธารณะ ต้องเก็บตั๋วไว้ด้วยนะครับ

สามารถนำไปลดราคาค่าเข้าชมอุทยานได้



การเดินทางโดยรถบัส ใช้เวลาประมาณเกือบๆ 3 ชั่วโมง

ทำให้เราเดินทางมาถึงที่ท่ารถ Alishan ตอน 14:00



แต่พุธโทพุธถัง!!! ฝนตกหนัก!!!



ดั่งฟ้ากลั่นแกล้ง เหมือนว่าวันนั้นที่อาลีซานจะมีพพายุเข้าครับ

ทำให้ทั้งเมืองตกอยู่ในม่านหมอก และเม็ดฝน



เราสองคนติดอยู่ในท่ารถประมาณ 20 นาที

รอจนซา จึงตัดสินใจเดินลุยฝนไปเข้าที่พักกันครับ



ทาดาาาาาาาาาา



และแล้วเราสองคนก็เดินผ่านทะลุด่านทางเข้ามาแล้ว

ค่าเข้าอุทยานอาลีซานจริงๆแล้วคนละ 200TWD แต่ถ้าใครนั่งรถบัสมาจากเจียอี้ เขาจะคิดค่าเข้าอุทยานคนละ 150TWD เท่านั้น



แต่ได้ยินมาว่าถ้านั่งแท็กซี่ป้ายดำมา เขาคิดค่าเข้าคนละ 300TWD

(ไม่แน่ใจในข้อมูล หากใครพอทราบรบกวนชี้แจงคร้าบบบบ)

เมื่อเราเข้าเช็คอินที่โรงแรม Wankou เสร็จสิ้น
ก็ได้มีการสอบถามพนักงานว่า อย่างนี้วันนี้ยังสามารถเข้าป่าได้ไหม
และต้องรอถึงเมื่อไหร่ฝนจะหยุด

พนักงานก็ให้กำลังใจได้ดีมาก "อ๋อ วันนี้มันไม่หยุดหรอกค่ะ แต่อาจจะเบาลงบ้าง"

= = จ้าาาาาาาาาาาาาาาาาาาา

ในเมื่อทำอะไรไม่ได้ เราก็เอาของขึ้นมาเก็บห้อง
เตรียมตัวอีกครั้งเพื่อรอฝนซาลงแล้วจะไปลุยป่ากัน

นี่คือบรรยากาศเมือง อาลีซาน ที่มีฝนปนหมอก



15:50 น. (โดยประมาณ)

พายุก็สงบลง ได้เวลาที่เราจะออกเดินเท้าเข้าป่ากันแล้ว

ก่อนที่พระอาทิตย์จะลาลับฟ้าแล้วไม่สามารถชมธรรมชาติได้



ไปกันเล้ยยยยยยย



ในอุทยานก็มีนักท่องเที่ยว หลากหลายชาติ หลายภาษา หลายวัย มาร่วมเดินป่ากัน

แต่วันที่เราสองคนไปคงเป็นเพราะมีพายุเข้า นักท่องเที่ยวเลยดูเบาบางมากๆ

ทำให้เราสามารถเห็นบรรยากาศที่เงียบเหงาของผืนป่าใหญ่ได้อย่างชัดเจน



เมื่อเดินเข้ามา เราก็ตัดสินใจว่าจะเดินไปให้ถึง



"SISTER POND"



เป็นที่แรก ซึ่งนับเป็นหนึ่งในจุดที่ต้องมาถ่ายรูป ว่าเราได้มาถึง อาลีซาน แล้ว



ไปชมภาพระหว่างทางกันครับ



จนในที่สุด เราก็เดินทางมาถึงจุดหมายแรก



(อีกรูปคือรูปที่เราใช้ไปใน EP.0 นั่นเอง)

หลังจากเดินลัดเลาะมาตามทาง
เรา็มาเจอกับวัดที่สวยงามแห่งหนึ่ง

受鎮宮

มาถึงตรงนี้ เวลาก็ประมาณ



17:20 น.



ทำให้เราสองคนเกิดความคิดว่า

ตลอดสองข้างทางที่เราเดินมา ไม่เห็นวี่แววของสิ่งที่เเรียกว่า "โคมไฟ" เลย

เพราะถ้าเกิดเราไม่ได้ออกจากเขตอุทยานก่อนฟ้ามืด................



แต่!!! เรายังเหลืออีกหนึ่งจุดมุ่งหมายที่จะต้องไปดูให้ได้ นั่นก็คือ



Sacred Tree



หรือเส้นทางเดินต้นไม้ยักษ์

ซึ่งเป็นจุดที่อยู่ลึกสุดของป่า

จากการคำนวณแล้วถ้าเราทำเวลาได้ดี

เราจะสามารถออกจากเขตอุทยาน ก่อนฟ้ามืดอย่างฉิวเฉียด



คิดแบบนั้นแล้วก็ลุยกันเลย!!!

หลังจากดินชมธรรมชาติมาสักพัก จนแสงพระอาทิตย์สามารถส่องทะลุเมฆลงมาได้

เราก็ได้เห็นอีกมุมนึงของป่าอาลีซาน เป็นมุมที่ดูอบอุ่น เหมือนเราถูกธรรมชาติห้อมล้อมไว้



เราสองคนเดินมาจนกระทั่งถึงจุดที่ต้องหยุดกึก.......

ซึ่งต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ มีอายุถึง 2,000 กว่าปีเลยทีเดียว

โดยการรักษาธรรมชาติของเขตอุทยานนั้นทำได้ดีมากครับ

พร้อมกับมีป้ายกำกับสำหรับต้นไม้ยักษ์เหล่านี้ ว่าแต่ละต้น

มีอายุเท่าไร เส้นรอบวง รวมถึงประวัติ



แต่สำหรับคุณปู่ 2,000 ปีนี้ ถือเป็นต้นที่ใหญ่ยักษ์อลังการมากที่สุด

และระหว่างทางเดิน ยังมีต้นไม้อายุหลายร้อยปีอีกมากมายให้เราได้ตื่นตาตื่นใจกัน



หลังจากเราเดินชมป่ากันมา ก้เร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆครับ
เพราะท้องฟ้ามืดขึ้นเรื่อยๆจนเรา............ หลง!!!

หลงนี่คือหลงจริงๆนะ หลงแบบแม้แต่ GPS มันยังบอกไม่ได้ว่าเราอยู่ไหน
เดินวกไปวนมา ตอนแรกเราก็เริ่มกลัวกันครับ ว่าฟ้ามืดแล้วจะกลับไม่ถูก
แล้วก็เริ่มมีความกังวลจากความอุดมสมบูรณ์ของป่า ว่ามันจะมีสิงสาราสัตว์ออกมาไหม

ยิ่งกลัวยิ่งเดินเร็ว จนเราทั้งสอง ต้องมาหยุดกึ๊กอีกหนึ่งสถานที่
ซึ่งบอกเลย ว่าสำหรับวันแรก สถานที่นี้ เป็นที่ที่.............

คือยังไงดีอ่ะ มันพูดไม่ออก
ตอนเห็นแว้บแรก ผมบอกได้คำเดียว

"ตรูโคดโชคดีที่หลงป่าเลย"

เรามาเจอสถานที่น่าทึ่ง พร้อมบรรยากาศที่ไม่มีวันลืม
คือจุดชมวิวที่ไม่มีคนเลยแม้แต่คนเดียว
พร้อมภาพพระอาทิตย์ตกดินที่อยู่เหนือเมฆ!!!

มันสวยม๊ากกกกกกกกกกกกก



ก่อนตะวันจะลับฟ้าไป จนในที่สุดเราก็หาทางเดินกลับเข้าสู่ทางหลักได้

และเดินออกมาจนพ้นป่าเขาตอนเวลาประมาณ 19:00 น. เศษๆ

เราสองคนแวะหาอะไรกินที่ 7-11 ก้อนกลับไปพักผ่อนด้วยภาพความประทับใจครั้งสำคัญ

เพื่อตื่นเช้าตรู่เตรียมตัวไปชมพระอาทิตย์ขึ้น อีก 1 ไฮไลท์ของ อาลีซาน ครับ

วันที่ 2
เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ 03:00 น.
เพราะเราจะต้องเดินทางไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่จุดชมวิวกัน
จาก Alishan Station - Zhushan Station ด้วยรถไฟรอบ 04:00 น.

ค่าตั๋วรถไฟ ไป-กลับ: 300TWD ต่อคน



รถไฟที่พาเราขึ้นไปจุดชมวิว

เป็นรถไฟสีแดงคันเก่า ที่ให้อารมณ์คลาสสิคได้ดีมาก

โดยเรามีเพื่อนร่วมเดินทางเยอะมากๆครับ สำหรับการไปชมพระอาทิตย์ขึ้นในครั้งนี้



การนั่งรถไฟรอบนี้ใช้เวลาประมาณ 30 นาที

ก็จะถึงสถานี Zhushan



เมื่อมาถึงสถานี แค่เราเดินออกมา เราก็จะเจอจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นในทันที

แต่จำนวนคนไปรอชมไม่ต่างจากผู้คนที่แห่ไปดูทะเลหมอกที่ดอยอินทนนท์เลยครับ



แต่!!!! ด้วยการศึกษามาบ้าง ทำให้เรารู้ว่า จริงๆแล้วมีจุดชมวิวที่สวยกว่า และคนน้อยกว่านั้น

ซึ่งตรงสถานีรถไฟ มีป้ายบอกทางเขียนว่ามีจุดชมวิวอีกที คือ



Ogasawara Mountain Viewing Lot



ที่ต้องเดินต่อไปอีก 500 เมตร จากตรงนี้ ก็ออกเดินทางกันเลยครับ



พอไปถึงจะรู้ว่าคุ้มมาก ที่เสียแรงเดินขึ้นเขามาอีก คือสวยมากจริงๆ

ที่คือสุดยอดความพีคของ Alishan ในการดูพระอาทิตย์ขึ้น

ไม่เคยรู้สึกคุ้มค่าเท่านี้กับการเห็นพระอาทิตย์ขึ้นมาก่อนเลย



บรรยากาศก่อนพระอาทิตย์จะโผล่ขึ้นมาเหนือเส้นขอบฟ้า



มาแล้วๆ ค่อยๆมาแล้วววว



(เจ้าหมูดูง่วงๆ เลยปัดขี้ตากันซะหน่อย)



ฮ่าาาาาาาาาาา

รู้สึกหายเหนื่อยเลยครับ กับบรรยากาศที่ได้รับ



หลังจากชมพระอาทิตย์ขึ้นเรียบร้อย ก็ได้เวลาเดินกลับไปขึ้นรถไฟขากลับ

ซึ่งขบวนสุดท้ายจะมีตอน 07:30 น.



ซึ่งเวลาที่เราถ่ายรูป กับดื่มด่ำบรรยากาศเสร็จก็ปาไป 7 โมงกว่าๆแล้ว

ทำให้เราสองคนต้องเดินไวอีกครั้ง!!



เราสองคนไปทันพอดี ก็เลยไม่ต้องเดินกลับ แฮ่

แต่ถ้าใครอยากเดินชมธรรมชาติ สูดอากาศไปเรื่อยๆ

สามารถทำได้นะครับ ใช้เวลาเดินเท้ากลับประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

(และบอกเลย ว่ามากับแฟนนี่มัน โรแมนติกสวดๆ)



เมื่อกลับมาถึงที่พักเราก็ออกไปกินข้าวเช้ากัน

โดยโรงแรมที่เราจองชื่อว่า Wankou Hotel

ราคา 3,400TWD มีแถมอาหารเช้าด้วย



เมื่อกินข้าวเช้าเสร็จ เราสองคนก็กลับมาสลลบที่ห้องอีกนิดนึง

เพื่อจะออกเดินทางต่อไปจุดหมายที่ 2 ของทริปนั่นก็คือ



ทะเลสาบสุริยันจันทรา

-

SUN MOON LAKE



ช่วงสายๆก่อนออกเดินทาง

อากาศเริ่มขมุกขมัวอีกครั้ง

คราวนี้เมืองอาลีซานกลายเป็นเมืองแห่งหมอกแท้จริง

ด้วยแสงยามเช้าทำให้เราเห็นภาพบรรยากาศเมืองที่แตกต่างไปจากเมื่อวานโดยสิ้นเชิง



สำหรับอาลีซาน



ระดับความประทับใจคงไม่พ้นคำว่า "เต็ม!!!"

ถ้าถามว่าเสียดายไหม ที่มาแล้วบรรยากาศไม่สดใส

ตอบเลยว่าไม่ครับ เพราะการที่ได้ภาพบรรยากาศเมืองแห่งหมอก

ทำให้เราเห็นอาลีซานในอีกรูปแบบหนึ่ง ที่แตกต่างจากภาพป่าสดใสที่คนอื่นมี



แต่เราก็คุยกันไว้นะครับ ว่าถ้ามีโอกาสเดินทางมาไต้หวันอีกในฤดูอื่น

อาลีซาน จะยังเป็นช๊อยส์ต้นๆที่เราเดินทางมาเพื่อเยี่ยมเยียนอีกครั้งอย่างแน่นอน^^






ปล.1 จากนี้เราจะเดินทางต่อไปยัง Sun Moon Lake กัน รอติดตามชมรีวิวของพวกเราได้นะครับ

ปล.2 เดี๋ยวเราจะทำการอัพโหลด VDO ตอนเดินป่า และตอนขึ้นไปจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นให้ได้รับชมกันเร็วๆนี้ครับ



ขอบคุณที่ติดตามครับ

#theplanners

#เที่ยวนอกแพลน

TurkTS

 วันจันทร์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 11.56 น.

ความคิดเห็น