การเดินทางครั้งนี้ได้แรงบันดาลใจเพื่อพาพ่อแม่ไปเที่ยว การกำหนดวันเที่ยว การเลือกสถานที่ แผนการเดินทาง โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายที่เดินทางไปด้วยกันครั้งนี้เรียกว่าเป็นผู้สูงอายุ รวมทั้งงบประมาณคิดคำนวนให้ดีๆเดี๋ยวจะเที่ยวไม่สนุก จัดโปรแกรม ไป“เขาค้อดูทะเลหมอก” ขับรถไป 4-5 ชมได้ดูทะเลหมอกนอนนับดาวสูดอากาศบริสุทธิ์บนยอดเขาให้ฉ่ำปอด พร้อมเดินทางทำบุญไหว้พระ เก็บภาพประทับใจในสถานที่ท่องเที่ยวสวยๆภายใน 3 วัน 2 คืน น่าจะเพียงพอให้ทุกคนได้มีความสุขกันถ้วนหน้า

สโลแกนจำขึ้นใจ นอนเขาค้อ 1 วัน อายุยืน 1 ปี” เขาค้อ “สวิทเชอร์แลนด์แห่งเมืองไทย” ว้าวจะสวยงามและโรแมนติกขนาดไหนต้องไปให้เห็นกับตา โดยเฉพาะ "วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว" มีพระพุทธเจ้า5พระองค์ที่งดงามมาก เป็นจุดไฮไลท์ที่ช่วยสร้างบรรยากาศให้กลายเป็นทริปท่องเที่ยวแห่งปีที่ทุกคนตั้งตารอเลยทีเดียว555



เริ่มต้นเช้าวันอังคารพวกเรา 4 คนออกเดินทางด้วยรถโตโยต้าวีออส ใช้ทางหลวงหมายเลข1 ถ.พหลโยธิน เส้นทางสระบุรี เลี้ยวซ้ายเข้าทางเลี่ยงเมืองก่อนถึงสระบุรี มุ่งหน้าลพบุรี-เพชรบูรณ์ ทางหลวงหมายเลข 21 ผ่านอ.ต่างๆในจังหวัดลพบุรี จนถึงอ.เมือง เพชรบูรณ์ เลยอำเภอเมืองประมาณ 13 กิโลเมตร ถึงแยกนางั่ว เลี้ยวซ้ายเข้าถนนหมายเลข 2258 เส้นทางนางั่ว-เขาค้อ ผ่านจุดทดสอบเนินมหัศจรรย์ เส้นทางท่องเที่ยว และรีสอร์ทต่างๆ บนเขาค้ออีกประมาณ34กิโลกว่าๆ รวมเดินทางประมาณ 5 ชั่วโมง การเลือกผ่านเส้นทางเนินมหัศจรรย์ 2258 นั้นบอกเลยว่าแอบลุ้นระทึกในใจแต่ห้ามแสดงออกเพราะเป็นคนขับรถ555 แถมมียิ่งมีคำเตือนให้ระวังเป็นพิเศษ แต่เพราะดูแผนที่แล้วมันประหยัดทั้งระยะทางและเวลาไปมากจึงยอมเสี่ยงดู555


ก็ไม่ผิดหวังนะเป็นการเดินทางที่กระตุ้นเรียกน้ำย่อยความตื่นเต้นเป็นระยะๆกับเส้นทางโค้งตัวเอสตลอดทาง ในที่สุดก็ถึงที่พักบนยอดเขา (แอบปรบมือรัวๆให้ตัวเอง555) ทิวทัศน์ 2 ข้างทางส่วนใหญ่เป็นแปลงปลูก สตรอเบอรี่พันธุ์พระราชทาน รีสอร์ทที่พัก โรงพยาบาล สถานีตำรวจ รวมทั้งจุดชมวิวและสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆอยู่ใกล้ๆกันหมดสามารถขับรถแวะเที่ยวตามจุดต่างๆได้อย่างสบายๆ พวกเรามาถึงที่พัก“เขาค้อทะเลหมอกรีสอร์ท” ประมาณ 16.30 น. มาพร้อมสายฝนโปรยเย็นฉ่ำ แต่ถือว่ายังโชคดีที่เลือกพักที่นี่เเพราะเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยที่สุดในอำเภอเขาค้อ แต่จะได้เห็นหมอกไหมถ้าฝนตกหนักขนาดนี้คงต้องรอลุ้นกันต่อไป


ที่แน่ๆคือจุดชมวิวที่นี่มองเห็นวิวทิวทัศน์ในยามเย็นสวยงามมากๆโดยเฉพาะ “อ่างเก็บน้ำรัตนัย” ที่ภูเขาโอบล้อมช่างโรแมนติกเสียจริง และตอนนี้ได้เวลาที่ต้องพักพักผ่อนเพื่อเตรียมเที่ยวในวันพรุ่งนี้สู้ๆ

เช้าวันพุธตื่นมาตี 5 อากาศหนาวมากประมาณ 17 องศา ผสมผสานเสียงสายฝนที่ตกไม่มีทีท่าจะหยุดเลย แต่ก็ยังพอมองเห็นทะเลหมอกจางๆทะลุประตูห้องจึงคว้ากล้องไปเก็บภาพเชลฟี่ที่จุดชมวิวพอเป็นพิธี แล้วออกไปกินอาหารเช้าแอบคิดในใจเอาหล่ะสิจะติดอยู่ที่รีสอร์ตไหรือปล่าวนะวันนี้พวกเรามาไกลตั้งเกือบ 400 กว่ากิโลเมตร ไม่ได้นะจะให้เวลาฝนตกถึง 9โมงเท่านั้น ถ้าไม่หยุดฉันจะไปแล้วฝนก็ไม่หยุดตกจริงๆ พวกเราจึงออกไปเที่ยวทั้งที่ฝนตกตัวเปียกปอนปนหนาวๆกันไป ข้อดีของเสน่ห์วันฝนตกในทริปนี้คือถึงจะเหน็บหนาวแต่ก็อุ่นใจเพราะได้ใช้เวลากับพ่อแม่และเพื่อนสนิทก็จะดีไปอีกแบบ


เริ่มเดินทางออกจากรีสอร์ตเลือกเลี้ยวซ้ายลงเขาแวะเที่ยวที่แรกคือ “จุดชมวิวไปรษณีย์เขาค้อ” บรรยากาศหนาวๆแบบนี้ต้องหาเครื่องดื่มอุ่นๆมีให้เลิอกซื้อหลายร้านทั้งกาแฟร้อน ชาร้อน หรือนมร้อน แก้วละ20-25บาท ส่วนน้ำอัดลมก็มีขายหากใครอยากกินเย็นๆ จุดต่อมาก็คือ “พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก” ตั้งอยู่ทางขวามือติดกับสำนักสงฆ์วิชมัยบุญญาราม เป็นยอดเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ จากประเทศ ศรีลังกา เค้าเล่าว่าหากใครได้มาเที่ยวเขาค้อควรแวะสักการะพระพุทธรูปภายในเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองและครอบครัว และการได้ตีระฆังบริเวณด้านข้างพระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก จะทำให้อายุจะยืนยาวอีกหลายปี (ต้องตีให้ครบทุกใบ) ถูกจริตแบบนี้ไม่พลาดได้ไง

ลงเขาไปต่อแวะชม “ไร่บีเอ็น” ซื้อของฝากพวกพืชผักผลไม้สดต่างๆ และผลิตภัณฑ์แปรรูปเพื่อสุขภาพ ก่อนเข้าจะเห็นวิวอุโมงค์ต้นไผ่สวยงามจับตา

“วัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว” เป็นเป้าหมายหลักสำหรับทริปนี้ แม้ว่าการจะฝนจะตกเปียกปอนจนชุ่มฉ่ำรองเท้าพังจนต้องใส่รองเท้าเพื่อน ก็ยังอิ่มเอมใจที่ได้มาแล้วครั้งหนึ่งในชีวิตในดินแดนธรรมะของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ โชคไม่ดีที่อยู่ในระหว่างการบูรณะซ่อมแซมภาพถ่ายที่ได้เลยสวยแปลกตาต่างจากภาพที่เคยเห็นกัน ยอมรับเลยว่าเป็นวัดที่สวยงามดุจติดอยู่ในดินแดนสวรรค์ เรียกว่าปิติกันถ้วนหน้าที่ได้มาไหว้พระทำบุญปิดทองลูกนิมิตรที่วัดแห่งนี้








หลังจากได้ทำบุญแล้วขาดไม่ได้คือต้องไปเช็คอินที่ร้านกาแฟพีโนลาเต้เอาใจเพื่อนสาวและต้องลองดื่มกาแฟเสียหน่อยจึงได้สั่งคาปูชิโน่เย็นมาเลย 4 แก้ว ก็คิดว่าจะได้เร็วได้รีบกลับที่พักเพราะเวลาก็ 4-5 โมงเย็นแล้ว แต่ผิดคาดต้องนานกว่า 40 นาที ไม่ใช่ไรก็ลูกค้าแน่นร้านเลยยังไงก็ตามคิว ระหว่างรอจึงได้ออกไปเก็บภาพสวยๆมุมต่างๆในร้านค้าที่ขาดไม่ได้ต้องมีภาพวิวมุมสูงของวัดพระธาตุผาซ่อนแก้ว น่าเสียดายท้องฟ้าวันนี้มีทั้งฝนมีทั้งหมอก จึงได้ภาพไม่ค่อยสวยเลยอีกอย่างทุกภาพถ่ายด้วยมือถือจึงไม่ได้สวยคมชัดอะไรมากนัก





เช้าวันพฤหัสต้องเช็คเอ้าท์แล้ว เป็นเช้าอีกวันที่มีความหมายที่ได้ยืนถ่ายรูปกับพ่อแม่บันทึกความทรงจำดีๆร่วมกัน ตั้งใจแวะไปเที่ยวอีกสองสามแห่งก่อนกลับ ตอนแรกที่อ่านข้อมูล “ฐานอิทธิ (พิพิธภัณฑ์อาวุธ)” ก็รู้สึกเฉยๆนะ แต่ก็แอบคิดนะว่าเราควรเรียนรู้ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นเอาไว้บ้างโดยเฉพาะมาเขาค้อแล้วยิ่งพาผู้ใหญ่มาด้วยเค้าน่าจะสนใจจึงตัดสินใจออกจากที่พักเลี้ยวขวาเพื่อไป “ฐานอิทธิ” วันนี้เป็นเช้าที่หมอกลงจัดมากกว่าเมื่อวาน ขุ่นพระเวลาขับรถมองไม่ค่อยเห็นทางต้องระวังเป็นพิเศษโดยเฉพาะทางขึ้นเขาที่ชวนหวาดเสียวโชคดีทางขึ้นทางลงคนละทางกัน มาแล้วไม่เสียดายเวลาเลยมองวิวไหนสวยไปหมดหมอกๆอย่างนี้ยิ่งดีเลย ที่ฐานนี้มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ในอดีตครั้งหนึ่งเคยเป็นฐานปืนใหญ่สู้รบเพื่อชิงพื้นที่เขาค้อกลับคืนจากคอมมิวนิสต์ ปัจจุบันใช้จัดแสดงอาวุธสงครามต่างๆ อาทิ เครื่องบินขับไล่ F-5, ปืนใหญ่, ซากรถถัง, บังเกอร์สำหรับหลบภัย ฯ เปิดให้เข้าชมทุกวัน ค่าเข้าชมคนละ 10 บาท แต่พ่อแม่อายุเกิน 60 ปี งานนี้เลยรับตั๋วฟรี 2 ใบ









ที่ต่อไปคือ “ทุ่งกันหันลม” ต้องขับรถขึ้นเขาอีกแล้วจ้าพอไปถึงจอดรถได้ก็จองตั๋วนั่งรถรางโต้ลมหนาวพาเที่ยวทุ่งกันหันลม ค่าตั๋วคนละ 60 บาท วันที่ไปเค้าประกาศไม่มีสตรอเบอรี่ให้เก็บ(ปกตินักท่องเที่ยวจะเก็บได้ฟรี) ส่วนกังหันลมวันนี้พวกเราก็ได้ยินแต่เสียงมอเตอร์ใบพัดเสียงดังมากคล้ายๆเสียงเครื่องบินแทน การถ่ายรูปต้องรอจังหวะที่แดดมาถึงจะได้เห็นใบพัดขนาดยักษ์ งานนี้เลยได้ไปยืนซื้อข้าวหลามและข้าวโพดปิ้งแทนเป็นการช่วยกระจายรายได้สู่ท้องถิ่น มีพ่อค้าแม่ค้าทั้งคนไทยและชาวเขา ร้านค้าขายมีทั้ง ข้าวโพดย่าง ข้าวหลามร้อนๆ หมูย่างข้าวเหนียว ก๋วยเตี๋ยว สตรอเบอรี่สด และบัวหิมะ ฯ ให้เลือกซื้อกันตามใจชอบ




หรือถ้าไม่ซื้อของก็ไปถ่ายรูป ที่นี่มีโล่ชิงช้าไม้ไผ่ให้นักท่องเที่ยวนั่งเล่นถ่ายรูปสวยๆแต่ต้องเข้าแถวคิวยาวมาก จุดชมวิวสวยตระกานตาสุดโรแมนติกมากๆ



ลงเขาแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับบ้าน ลองเปลี่ยนเส้นทางขับรถชมวิวจ.เพชรบูรณ์ ถึงจะอ้อมนิดหน่อยแต่ก็ได้วิวมุมใหม่ๆ ใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 12 มุ่งตรงหล่มสัก-อ.ชัยบาดาล-ลพบุรี-สระบุรี และกรุงเทพฯ


รวมๆแล้วก็เหนื่อยกันหน่อยๆ แต่ก็มีความสุขที่ได้มาเที่ยวด้วยกัน ในระหว่างการเดินทางก็มีการแบ่งปันเรื่องราวความสุขความทุกข์กัน จึงเป็นการท่องเที่ยวที่มีความหมายและมีความสุขมาก ใครจะรู้ว่าครอบครัวเราจะได้ไปด้วยกันอีกกี่ครั้ง ความสุขนี้เรามีได้ไม่ต้องรอขึ้นสวรรค์ ^^

ป้าเที่ยวละไม

 วันพุธที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2561 เวลา 19.49 น.

ความคิดเห็น