นาโกย่าเมืองเงียบๆ เงียบจริงๆ ในวันวุ่นวายของเค้า เรายังรู้สึกสงบ โหวกเหวกที่สุดคือดองกี้ใน Sakae แถวขอ Tax Free ยาวไปจนจะถึง Oasis 21 ถามใครว่าต้องกินอะไรจะได้คำตอบเซ็ทเดียวกันคือ ข้าวหน้าปลาไหล ปีกไก่ และทงคัตสึ อากาศหนาวที่เมืองร้อนอย่างเราไม่เคยเจอ เงินครึ่งนึงของแต่ละวันเสียไปกับค่าฮอทแพค รวมๆแล้วน่ารักตามประสาจี้ปุ่ง ประทับใจ

ถ้าถามว่าทำไมเราถึงเลือกไปเที่ยวนาโกย่า เมืองที่ใครหลายๆคนอาจรู้จักกันในนามของเมืองแวะพัก ก่อนจะข้ามไปเที่ยวที่สถานที่ท่องเที่ยวเด่นต่างๆ ในภูมิภาคชูบู หรือข้ามผ่านไปยังโอซาก้า จริงๆนาโกย่าเป็นเมืองที่ยังไม่เคยโผล่เข้ามาในหัวของเราเลยสักครั้ง แต่ก็จับพลัดจับผลูได้ไปเพราะเราจะไปดูคอนเสิร์ตของโทโฮชินกิ「東方神起 LIVE TOUR 2017 ~Begin Again~」(เราขอยกไปเขียนในรีวิวหน้านะคะ) ซึ่งเราก็เน้นเที่ยวกันแค่เฉพาะในตัวนาโกย่าเต็มๆ 6 วัน 5 คืนเลย งานนี้เลยต้องหารีวิวอ่านกันยกใหญ่ และพบว่านาโกย่า ดูเหมือนจะได้รับความสนใจน้อยกว่าที่อื่นๆในประเทศญี่ปุ่นไปสักหน่อย รีวิวต่างๆก็ดูมีอยู่ไม่มากนัก เราเลยอยากมาแบ่งปันประสบการณ์การเที่ยวแบบงงๆ ตามประสาคนมาเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรกค่ะ


* วันเดินทาง 11-16 Jan 2018 อากาศหนาวค่ะ -2 - 5 องศา

* การเดินทางส่วนใหญ่เราดูจากในเว็บ Hyperdia และ Google map ค่ะ

ออกเดินทาง

เราเดินทางไปนาโกย่าครั้งนี้ด้วยการบินไทยค่ะ Smooth as silk เที่ยวบิน TG 644 BKK 12.05 AM - NGO 7.30 AM ลงที่สนามบิน Nagoya Chubu Centrair International Airport นั่งกันไปยาวๆ

ในระหว่างเดินทางก็มีเสิร์ฟของว่างรองท้องค่ะ เป็นแซนด์วิชและน้ำดื่ม ไม่ต้องกลัวท้องกิ่ว ทางเราก็ทานไปดูหนังไป ไม่ทันไรก็หลับ แต่ยังไม่ทันได้หลับดี ช่วงตีสามคุณพี่ๆ Flight Attendant ก็มาปลุกรับประทานอาหารเช้าค่ะ ทานไปมึนกันไปนะคะ เที่ยวบินนี้บินไม่นานค่ะ ทางกัปตันแจ้งว่ามีลมหนุน (จริงๆน่าจะชื่ออื่น) เลยถึงนาโกย่ากันเร็วกว่ากำหนดนิดหน่อย

หน้าตาอาหารเช้าค่ะ ชุดนี้เป็นปลาซีอิ๊วญี่ปุ่น


ถึงที่สนามบินปุ๊ปเราก็เดินทางเข้านาโกย่ากันค่ะ โดยการนั่งรถไฟด่วน Meitetsu Airport Limited Express “μ-SKY” (มิวสกาย) เพียง 28 นาทีเท่านั้น ลงที่สถานี Meitetsu Nagoya ซึ่งก็คือ Nagoya Station นั่นแหละค่ะ

ตั๋วมิวสกายก็ซื้อได้ที่ลาน Access Plaza ในสนามบินได้เลย จะซื้อกับเจ้าหน้าที่ หรือซื้อที่ตู้ก็ได้ ทางเราก็เลือกเป็นซื้อที่ตู้ค่ะ เน้นพูดน้อย เขินเจ้าหน้าที่ ที่ตู้อัตโนมัติก็จะมีภาษาอังกฤษให้เลือกนะคะ เราก็เลือกเป็น One Way Ticket 870 เยน + First Class Ticket (μ-Ticket) เป็นตั๋วระบุที่นั่งราคา 360 เยน (จะไม่ระบุที่นั่งก็ได้) จากนั้นจะมีให้เลือกเวลาค่ะ อันนี้ทางเราก็เลือกเวลากระชั้นชิดไป ลืมว่ากระเป๋าใบใหญ่ใบโต ไม่ได้เผื่อเวลาเดินไว้ ก็วิ่งหน้าตั้งขึ้นรถกันไป เมื่อได้ตั๋วมาจะเป็นตั๋วสองใบค่ะใบใหญ่ใบเล็ก เราจะต้องเสีบใบเล็กเข้าไปค่ะ และ! อย่าลืมเก็บตั๋วมาด้วยนะคะ เราก็นึกว่าเสียบแล้วตัวปลิวได้เลย ตื่นเต้นไปหน่อย


พอขึ้นมาแล้วก็จะมีที่เก็บกระเป๋าท้ายขบวนค่ะ เราก็เดินสวยๆมานั่งที่ที่เราจองได้เลย ซักพักจะมีเจ้าหน้าที่เดินมาตรวจตั๋ว นั่งชมบ้านชมเมืองกันไปยาวๆค่ะ 28 นาที

อากาศด้านนอก 1 องศาค่ะ ส่วนด้านในตัวรถ ร้อนมาก ไม่เกรงใจผ้าพันคอที่ใส่กันมาเลย


ถึงสถานี Meitetsu Nagoya กันละค่ะ ซึ่งก็คือ สถานี Nagoya Station ส่วนโรงแรมที่เราพักก็คือ Chisun Inn Nagoya ซึ่งอยู่ที่บริเวณใกล้ๆสถานีนี้เลย เดินทางสะดวก ตัวโรงแรมหน้าตาโดดเด่นเป็นวงกลม ราคาก็น่ารักน่าหยิก ตกคืนละประมาณพันบาทนิดๆค่ะ ข้างๆก็มีร้านสะดวกซื้อมากมาย เรียกได้ว่าสะดวกสบาย

ระหว่างทางเดินจากสถานีมาที่โรงแรมค่ะ เดินไม่ไกล

หลังจากเก็บกระเป๋าเรียบร้อยเราก็ขอไปตั้งหลักกันที่สถานีอีกครั้ง ขอหาอะไรเข้าท้องกันหน่อย ซึ่งร้านที่เราจะไปหาของทานเล่นก็คือร้านขนมคัสตาร์ดลูกไก่ค่ะ ถือเป็นหนึ่งในของขึ้นชื่อของเมืองนาโกย่า

ร้านนี้เลยค่ะ อยู่ภายในสถานี Nagoya Station ใกล้ๆทางออกฝั่งนาฬิกาสีเงิน ตอนเช้า (เราไปถึงประมาณเกือบ 8 โมงค่ะ) มีเมนูอาหารเช้าเสิร์ฟด้วยค่ะ แต่ทางเราขอทานเป็นขนมคัสตาร์ดลูกไก่ และเบอร์รี่คัสตาร์ด ตัวราคาจำไม่ได้ค่ะ แต่ว่าไม่โหดร้าย รสชาติก็คือคัสตาร์ค อร่อยตามท้องเรื่อง

ทานเสร็จแล้วก็เดินทางค่ะ เราจะไปปราสาทนาโกย่ากัน!

Nagoya Castle

จากสถานี Nagoya Station มาลงที่สถานี Shiyakusho ออกทาง Exit 7 เรานั่ง Higashiyama Line และเปลี่ยนเป็นสาย Meijo Line (Clockwise) ที่สถานี Sakae มาลงที่สถานี Shiyakusho เราใช้บัตร IC Card ในการเดินทางนะคะ ของที่นาโกย่าก็จะเป็น manaca สีเหลือง เราซื้อมาจากตู้ที่สนามบินเลย ลองหาข้อมูลกันดูนะคะ

พอขึ้นมาจากสถานีแล้วเดินเลี้ยวซ้ายไปค่ะ จะเห็นน้ำพุกลมๆอยู่ เดินตามทางข้างปราสาทไปเรื่อยๆจะเป็นทางเข้าประตูหลัก (แต่จริงๆสามารถเข้าทางประตูทิศตะวันออกได้นะคะ จะใกล้กว่า)

มีคนมาวิ่งกันเยอะอยู่ค่ะ อากาศหนาวมาก นับถือใจ

เดินไกลกันซักหน่อยนะคะ ถือว่าชมบ้านชมเมือง

มาถึงหน้าประตูทางเข้าแล้วค่ะ ใครอยากถ่ายไว้เป็นพิธีก็ตามสบายกันเลย

พอเดินเข้ามาก็จะมีซุ้มจำหน่ายบัตร ราคาค่าเข้าชม 500 เยน เราจ่ายโดยใช้บัตร IC Card ค่ะ เคยอ่านมาว่าจะลดไป 100 เยน สรุปไม่ลดค่ะ 500 เยนเหมือนคนอื่น

เดินเข้ามาก็จะเห็นปราสาทอยู่ลิบๆ ไม่ไกลมาก ก่อนถึงตัวปราสาทก็จะมีพระราชวังฮอมมารุ แต่ช่วงที่เราไปก็กำลังปรับปรุงทางด้านนอกอยู่พอดี แต่ยังเข้าชมได้นะคะ แต่เราไม่ได้เข้าค่ะ

เข้ามาอีกนิดหน่อยก็เจอตัวปราสาทแล้วค่ะ แวะถ่ายรูปปปปปปป

บนปราสาทมีทั้งหมด 7 ชั้น แนะนำให้ขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นบนก่อนค่ะ ค่อยๆเดินลงมา ชั้นบนสุดจะเป็นร้านขายของที่ระลึก ราคาก็ตามประสาร้านขายของที่ระลึกเลย มีกล้องส่องชมวิว เสียเงินหยอดเหรียญกันไปค่ะ เราเดินลงมาทีละชั้นเรื่อยๆค่ะ ด้านในก็จะเป็นประวัติการสร้างปราสาทนี้ คำอธิบายก็เป็นภาษาญี่ปุ่น และภาษาเกาหลีค่ะที่เราจำได้ ถ้าใครอ่านไม่ออกก็ถือว่ามาสงบจิตสงบใจค่ะ เดินดูไปในความเงียบ

ทางเข้าตัวปราสาท

เดินชมอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง เราก็ออกจากตัวปราสาท สำหรับใครที่จะเข้าห้องน้ำที่นี่ก็มีให้เข้ากันหลายจุดถี่ๆเลยค่ะ สะดวกสบาย

ขากลับเราเดินออกทางประตูทิศตะวันออกค่ะ แล้วก็เดินเลาะนิดหน่อยไปลงที่ทางออก 7 เหมือนเดิม

เรากลับมาที่ Nagoya Station กันอีกรอบค่ะ กลับมานอนพักสักครู่ ก่อนหน้าที่จะกลับไปพักก็แวะหาอะไรทานให้เป็นมื้อกันหน่อยค่ะ ต้องบอกเลยว่าของกินที่สถานีมีเยอะมากๆ แบ่งออกเป็นโซนของประเภทอาหารค่ะ จะเห็นได้เลยว่าในสถานีจะมีแผนที่ร้านอาหารอยู่ เราก็จะพลัดจับผลูไปเจอซอยราเมงเข้าค่ะ อยู่ชั้นใต้ดิน เป็นตรอกเล็กๆ พร้อมร้านราเมงมากมายค่ะ ทางเราก็เลือกร้านที่แสงดูส้มที่สุดในบรรดาค่ะ ไม่รู้ว่าชื่ออะไร เพราะอ่านไม่ออกจริงๆ

นี่คือสองเมนูที่เราสั่งมาค่ะ รสชาติดีทั้งคู่ค่ะ ติดเค็มอยู่เยอะนิดนึง ถ้าใครชอบเค็มก็คือสะใจค่ะ เข้าใจว่าด้านหนึ่งเป็นซีอิ๊ว อีกด้านจะเป็นมิโซะซุป (คิดเองหมดนะคะ จริงๆไม่รู้ว่าคืออะไร) เราสามารถสั่ง Topping เพิ่มได้ค่ะ ทางเราก็สั่งไข่ต้มมา 1 ฟองด้วยกัน

สองชามนี้ก็ สนนราคาอยู่ที่ 1,640 เยนค่ะ ทานเสร็จเราก็กลับไปนอนพักสักครู่ค่ะ แล้วค่อยออกมาเที่ยวกันต่อ


Nabana No Sato Winter Illumination

มาต่อกันที่งานแสดงไฟช่วงกลางคืนกันค่ะ งานนี้ปกติจะมีช่วงจัดแสดง ซึ่งในปีนี้ก็จัดตั้งแต่ ตุลาคม 2017 ไปจนถึงวันที่ 6พฤษภาคม 2018ค่ะ เป็นธีมคุมะมง

เริ่มเดินทางกันง่ายๆค่ะ นั่งรถบัสแบบ Round Trip จาก Meitetsu Bus Center อยู่ใกล้ๆกับสถานี Nagoya ค่ะ มาลงที่ป้าย Nabana No Sato เดินทางประมาณ 30 นาที เจ้า Meitetsu Bus Center ที่ว่าเนี่ย ก็จะอยู่ที่ห้าง Meitetsu ชั้น 3 ค่ะ ทะลุไปทางที่จอดรถบัส ซึ่งเราหลงอยู่ในห้างค่ะ งานนี้ก็ต้องเพิ่งบุญบารมีของคุณพี่พนักงานใจดีท่านหนึ่ง วิ่งหน้าตั้งพาเราหาทางไปค่ะ พอเจอ Bus Center แล้วก็จัดการซื้อตั๋วได้เลยค่ะ จะมีช่องสำหรับ Nabana No Sato เลย เราซื้อเป็น Round Trip ค่ะ ราคา 1,780 เยน จะได้ตั๋วใบเล็กๆ มาคู่กันสองใบค่ะ ให้ใช้ตั๋วด้านขวามือก่อนนะคะในขาไป เก็บอีกใบไว้ใช้ตอนกลับค่ะ

รถบัสจะมีเวลาออกรถอยู่นะคะ เราเองก็ไม่ได้ดูเวลาไป เรียกว่าเสี่ยงดวงกันเลยทีเดียว มาขึ้นรถกันตรงที่ชานชาลาหมายเลข 22 ค่ะ

นั่งรถกันไปยาวๆค่ะ วนถนนด้านล่าง ขึ้นทางด่วน อากาศอุ่นมาก บวกกับเป็นช่วงเย็นแล้ว หลับสิคะคุณ รออะไร

มาถึงงานก็ฟ้ามืดหมดแล้วค่ะ แถมอากาศหนาวและลมพัดแรง ปกติที่นี่ก็จะมีเวลาเปิดไฟแสดงค่ะ แต่เราเองก็ไม่ได้ศึกษามาอีกว่าเปิดตั้งแต่กี่โมง แต่มาถึงฟ้ามืดขนาดนี้ก็น่าจะเปิดแล้วล่ะค่ะ แต่ตัวงานปิดช่วง 3 ทุ่มนะคะ ยังไงศึกษา จัดเวลากันดีๆนะคะ

ด้านหน้างานก็จะเป็นซุ้มขายตั๋วเช่นเคยค่ะ ค่าเข้าชมสนนราคาอยู่ที่ 2,300 เยนค่ะ จะมีคูปอง 500 เยน ให้อีก 2 ใบต่อคนด้วย ใช้แทนเงินสดสำหรับทานอาหารภายในงานได้ค่ะ อย่าลืม! ตรวจสอบเวลาขากลับของรสบัสได้ที่หน้าซุ้มนี้กันเลยนะคะ เดี๋ยวชวดรถ

เดินเขามาปุ๊ปก็เจอแสงสีกันตามประสาค่ะ เป็นสวนสวยงามตามท้องเรื่อง ถัดมาเป็น Island Fuji ค่ะ จุดชมวิว 360 องศา ซื้อตั๋วเพิ่มประมาณ 500 เยนค่ะ แต่ทางเราไม่ได้ขึ้นไปชมนะคะ คิวค่อนข้างยาว บวกอากาศหนาวมาก ไม่มีสติค่ะ

เดินกันไปเรื่อยๆค่ะ ตรงบริเวณนี้ก็จะมีร้านอาหารอยู่นะคะ แวะทานกันได้ตามสบาย ถัดมาอีกนิดก็จะเป็นส่วนแสดงไปอีกตุดค่ะ ตรงนี้สวยมาก แสงเป็นสีรุ้ง เราก็แวะชักภาพกันค่ะ

ต้องบอกว่าที่นี่คู่รักก็จะมีปริมาณที่เยอะนิดนึงนะคะ ทางเราและเพื่อนก็เดินล้วงกระเป๋าตัวเองกันไปค่ะ ไม่เหงาค่ะไม่เหงา

มาถึงดาวเด่นของงานค่ะ นั่นก็คืออุโมงค์ไฟสีเหลืองตระการตา เรียกได้ว่าน่าจะเป็นต้นแบบของไฟอุโมงค์งานปีใหม่ของบ้านเราในหลายๆที่นะคะ ที่นี่เค้าก็ยาวสะใจมากค่ะ สวยจริงๆ คนเยอะนิดนึงนะคะ แต่ช่วงปลายๆอุโมงค์คนก็จะบางตาลงหน่อยค่ะ

พอสุดทางอุโมงค์แล้วก็จะเป็นโซนไปคุมะมงค่ะ เป็นการแสดงเรื่องราวโดยคลิปคุมะมงบนไฟรูปทรงภูเขาไฟค่ะ น่ารักตามประสา ตรงนี้เราถ่ายรูปมาสั่นมากค่ะ มันหนาว บริเวณนี้ก็จะมีของฝากคุมะมงให้ได้เลือกซื้อกันค่ะ

ถัดมาเป็นโซนอุโมงค์ Cherry Blossom ค่ะ ตัวไฟตอนแรกเป็นสีชมพู จากนั้นซักพักก็เปลี่ยนเป็นสีเขียวค่ะ เวอร์วังอลังการ

ออกจากโซนนี้ไปก็เป็นส่วนของของกินของฝากค่ะ ทางเราก็เยี่ยมชมและจับจ่ายใช้สอยกันไปพอหอมปากหอมคอ แล้วท้อง็เรียกร้องให้เราทานข้าวค่ะ เราเดินกลับมาที่ร้านอาหารบริเวณทางเข้างานเลยค่ะ ไม่รู้จะทานอะไรดี เข้ามาในร้านบรรยากาศหรูหราค่ะ ซักพักจะมีพนักงานมารับออเดอร์ ทางเราก็เลือกเป็นเมนูที่มีราคา 1,000 เยน พอดีเป๊ะค่ะ ไม่ได้จ่ายเพิ่มเลย ได้มาเป็นข้าวหน้าเนื้อ และสเต็กเนื้อค่ะ (จริงๆน่าจะมีชื่อเรียกเฉพาะค่ะ)

รสชาติใช้ได้เลยค่ะ สำหรับในช่วงเวลาหิวโซ เค็มสะใจอีกเช่นเคย ทางร้านมีน้ำเปล่าให้บริการนะคะ พนักงานก็บริการน่ารัก อาริกาโตะโกไซมัสค่ะ

กินอิ่มแล้วก็ถึงเวลากลับค่ะ วิ่งหน้าตั้งอีกเช่นเคย ขนาดดูเวลาแล้วนะคะ เพราะถ้าพลาดคันนี้ไป ต้องรอกันอีก 45 นาทีเลย ป้ายรถบัสก็อยู่ใกล้กับบริเวณขามาค่ะ คนต่อคิวกลับเยอะอยู่เหมือนกันนะคะ เราก็เสียบตั๋วใบเล็กที่เก็บเอาไว้ แล้วก็ขึ้นรถกันไปค่ะ

คนแน่นเลยทีเดียวจนเราคิดว่าต้องยืนกลับซะแล้ว เพราะที่นั่งเต็มหมดแล้ว แต่คุณพี่คนขับรถก็หยุดรถซะดื้อๆค่ะ และพูดภาษาญี่ปุ่นออกมา วินาทีนั้นคนทั้งรถหันมามองเราค่ะ ซึ่งเรานั้นฟังไม่ออก งงกันไป ไม่รู้เลยว่าพูดอะไรกัน แต่จู่ๆคนข้างหน้าก็ขยับค่ะ และผู้โดยสารที่นั่งอยู่ปลดเก้าอี้เสริมมาให้เรานั่งบริเวณทางเดิน ก็เลยถึงบางอ้อ อ๋ออออ มีที่นั่งเสริมหนิคะคุณพี่ นั่งกันยาวๆเช่นเคยค่ะ ไม่ต้องบอกก็รู้เลย หลับค่ะ


Osu Kannon

วันนี้มาเที่ยวกันที่วัด Osu Kannon ค่ะ นั่งสาย Higayama Line จาก Nagoya Station มาลงที่สถานี Fushimi เพื่อเปลี่ยนเป็น Tsurumai Line และนั่งต่อมาลงที่สถานี Osu Kannon ออกที่ทางออก Exit 2 ค่ะ เดินขึ้นมาซักหน่อยก็จะถึงทางเข้าวัดแล้วค่ะ

เรามากันช่วงกลางคืนค่ะ อากาศหนาวเหมือนเดิน มีหิมะตกนิดหน่อย นิดหน่อยจริงๆค่ะ ตอนแรกนึกว่าฝุ่นธูป


มาช่วงกลางคืนก็สงบดีค่ะ คนน้อยมากๆ นึกว่าวัดปิดไปแล้ว จริงๆคือเปิด 24 ชม.นะคะ เราเองไม่ได้ศึกษาประวัติเกี่ยวกับตัววัดมาซักเท่าไหร่ รู้เพียงแต่ว่าความโดดเด่อยู่ที่อาคารสีแดงของวัด

เข้าไปด้านในก็จะมีจุดต่างๆเหมือนวัดญี่ปุ่นทั่วๆไปค่ะ เราก็หยอดเหรียญ 5 เยนตามเสต็ป แล้วก็ยืนขอพร ด้านหน้าทางเข้าด้านบนจะมีกระถางธูปค่ะ หยอดเหรียญ 10 เยน แล้วเปิดกล่องหยิบธูปขึ้นมา ธูปเป็นกำเล็กๆๆค่ะ จากนั้นนำไปจุดด้านใน ใช้เวลานิดนึงนะคะ กว่าธูปจะติดหมด

ไหว้พระเสร็จเราก็มาต่อกันที่แหล่งช้อปปิ้งข้างๆค่ะ ก็คือ Osu Shopping Street ตรงนี้มีของขายเยอะเลยค่ะ เราเองถูกใจร้านรวงที่นี่เป็นพิเศษ แต่เสียดายมาเรามาก็มืดแล้ว ที่นี่ก็จะเปิดถึงประมาณ 2 - 3 ทุ่มค่ะ เดินกันยาวไปเลย เราเองก็เดินทะลุไปทะลุมา นู่นนนนนน ไปออกซอยไหนไม่รู้

มากันที่ร้านแรกเลยค่ะ Alice on Wednesday เป็นร้านขายสารพัดของกุ๊กกิ๊ก มาจากเรื่องอลิซอินวันเดอร์แลนด์ ด้านในก็มีเครื่องประดับสไตล์โลลิต้า ราคาแอบโหดค่ะ แต่ใครมีกำลังก็ซื้อค่ะ น่ารัก ส่วนอีกด้านเป็นโซนของที่ระลึกค่ะ มีช็อกโกแลตในแพคเกจจิ้งลายอลิซและเพื่อนๆ ส่วนเราสอยได้ลูกกวาดในขวดแก้วมาค่ะ อันละ 500 เยน ราคาโซนนี้พอรับได้ค่ะ ซื้อเป็นของฝากก็น่ารักไม่หยอก

ส่วนไฮไลท์ของร้านก็อยู่ที่ประตูทางเข้าค่ะ สมกับเป็นอลิซ ก้มกันหลังยอกนิดนึง


เดินกันไปเรื่อยๆค่ะ ร้านรวงมากมาย มีร้านขายของมือสอง ร้านกดกาชาปอง (ถูกกว่าโซนอื่นๆประมาณ 100 เยน) ร้าน Seria 100 เยน ABC Mart ร้านขายเสื้อผ้า swag swag แต่ต้องบอกว่าในบางร้านไม่ได้ราคาถูกซักเท่าไหร่นะคะ แต่เจออะไรถูกใจก็ซื้อเลยเถอะค่ะ จะได้ไม่เสียเวลาวนกลับมาอีกรอบ เดี๋ยวจะเสียดาย

ที่เราประทับใจอีกอย่างก็คือร้านขายสติ๊กเกอร์ค่ะ จำพิกัดไม่ค่อยได้ แต่หาไม่ยากค่ะ ร้านนี้ขายสติ๊กเกอร์ลายที่ทางร้านทำขึ้นเอง มีหลายขนาดและดูเก๋มากๆ สำหรับใครที่ชอบติดสติ๊กเกอร์ที่กระเป๋าเดินทาง สเก็ตบอร์ด ตั่งต่างๆ ต้องมาตำค่ะ อย่าปล่อยให้ลอยนวล


เดินกันไปเรื่อยๆค่ะ ข้ามซอยนู้น เข้าซอยนี้ สนุกสนานตามท้องเรื่อง ช่วงท้ายๆก็มีร้านที่เป็น Game Zone ค่ะ กดกาชาปอง หยอดเหรียญคีบตุ๊กตา ถ่ายพูริคูระ สนุกสนานลืมวันลืมคืนค่ะท่านผู้ชม


ศาลเจ้า Atsuta Jingu

วันที่สามกันแล้วค่ะ วันนี้เรามาเที่ยวศาลเจ้า Atsuta ออกกันไม่เช้ามากค่ะประมาณ 10 โมง เดินทางสบายๆ นั่งรถไฟมาลงที่สถานี Tenma Cho ค่ะ สาย Meijo Line ทางออก Exit 4 เดินต่อประมาณอีก 7 นาทีค่ะ

ศาลเจ้านี้ก็ถือเป็นศาลเจ้าดังค่ะ มีคนมาปีละเป็นล้านเลย ส่วนวันที่เราไปก็เป็นวันเสาร์ค่ะ คนเยอะหน่อยแต่ไม่น่ารำคาญค่ะ เดินเที่ยวกันได้สบายๆ


ด้านหน้าสุดก็จะมีประตูใหญ่ค่ะ ก่อนจะเข้าไปก็ต้องโค้งคำนับตามสูตร

เดินต่อเข้าไปกันอีกยาวพอตัวนะคะ แต่ก็เดินชมนกชมไม้ ร่มรื่นตามท้องเรื่อง ใครชอบเดินท่ามกลางต้นไม้ ที่นี่ก็ถือว่าตอบโจทย์ค่ะ ทางเราเองก็ปลื้มมาก อากาศดีอีกด้วย

มือสั่นนิดนึงนะคะ


เข้ามาเรื่อยๆก็เจอแหล่งค่ะ ของกินนั่นเอง ศาลเจ้าอะไรเราก็ลืมกันไปชั่วครู่ค่ะ เน้นลิ้มรสอาหาร มีเยอะมากค่ะยาวเป็นตับ มีทั้งร้านเนื้อย่าง เครป มันอบเนย ทาโกะยากิ สารพัดสารเพ



เราก็โดนทาโกะยากิร้านนี้กันไปค่ะ 6 ลูก สนนราคาอยู่ที่ประมาณ 500 เยน มีรสซอสให้เลือกนะคะ กินไปไม่ค่อยรู้รสค่ะ มันร้อน

ทางเราเองรู้สึกว่าแค่ทาโกะมันไม่พอ เลยซื้อเนื้อย่างไปอีก 1 ไม้ค่ะ ราคา 600 เยน เสียงตอนคุณพี่เค้าย่างเนื้อนี่มันสะใจมากๆค่ะ ยังฉู่ฉี่อยู่ในหูอยู่เลย

แต่พอทานเข้าไปแล้วพบว่ามันเหนียวมากค่ะท่านผู้ชม รสชาติก็คือสะใจคนชอบทานเค็มค่ะ เหมือนแช่ไว้ในถังเกลือมาสามเดือน เปิดประสบการณ์ค่ะ

ทานเสร็จก็เดินต่อเข้าศาลเจ้าค่ะ พอถึงทางเข้าก็จะมีบ่อน้ำให้ล้างมือค่ะ ต้องทำกันเป็นธรรมเนียม ซึ่งเราก็ศึกษามาจากในรีวิวเช่นกัน บวกกับมีพี่ๆให้คำแนะนำ ตอนเราล้างเราก็ล้างอย่างมีความสุขค่ะ ล้างเสร็จก็มีชากันไป มันเย็นนะคะ

เดินเข้าไปอีกไม่ไกลก็ถึงบริเวณของศาลเจ้าแล้วค่ะ คนเยอะกันมากในจุดนี้ แต่ไม่เท่าวัดเล่งเน่ยยี่บ้านเรานะคะ หายใจหายคอได้อยู่ เราก็เดินเข้าไปโยนเหรียญ 5 เยน ตบมือ และขอพรค่ะ

จากนั้นความตื่นตาของทางเราก็อยู่ตรงนี้ค่ะ ตรงส่วนของเครื่องราง ผู้คนต่อกันเยอะมากค่ะ อาจะเป็นเพราะอยู่ในช่วงปีใหม่ด้วย ใครหลายๆคนจึงอยากมาหาเครื่องรางเสริมศิริมงคล ที่เห็นถือๆกันเยอะก็จะเป็นเครื่องรางที่มีรูปสุนัขค่ะ เพราะปีนี้เป็นปีจอ ทางเราก็ไม่พลาดค่ะ เช่ามาเหมือนกัน ส่วนเครื่องรางอื่นๆก็อาศัยความรู้จากท่านอื่นมาค่ะว่ามีความหมายอย่างไรบ้าง จากนั้นเราก็เลือกสิ่งที่ต้องการแล้วยื่นให้มิโกะได้เลย

เสร็จจากตรงนี้เราก็เดินชมภายในวัดค่ะ จริงๆทางโซนด้านหลังจุดจำหน่ายเครื่องรางก็มีกิจกรรมอื่นๆนะคะ ยังไงลองศึกษากันดูค่ะ

ตอนเดินกลับออกมา ทางเราก็สะดุดตากับหนูน้อยคนนี้ค่ะ น่ารักมากๆเดินเต๊าะแต๊ะ ขอถ่ายรูปไปนิดหน่อยค่ะ ทางคุณแม่น้องปลื้มใจมาก แต่ตัวน้องเองก็ยังงงๆอยู่นิดนึง

Miya-no-Watashi Park (Shichiri-no-Watashi)

มาแวะสวนริมแม่น้ำใกล้ๆกับศาลเจ้าค่ะ เอาเข้าจริงๆก็ไม่ใกล้ แต่ก็เดินได้อยู่ค่ะ ชมบ้านชมเมือง จริงๆคือเรามาเดินค่าเวลาค่ะ เพราะก่อนหน้านี้จองคิวร้านอาหารเอาไว้

ซึ่งสวนที่เราจะไปกันก็เป็นที่ตั้งของป้อมโบราณ (หรือหอคอยไม่แน่ใจ) เราเองก็จิ้มๆหามาจากในแผนที่ตอนนั้นนะคะเลยไม่ได้ศึกษาข้อมูล พอมาถึงก็หายเหนื่อยค่ะ เป็นสวนไม่ใหญ่มากติดริมน้ำ ไม่มีคนเลยค่ะ อากาศกำลังสบาย แวะถ่ายรูปกันได้


Atsuta Horaiken - Main Restaurant

มาถึงไฮไลท์ของวันค่ะ มานาโกย่าแล้วก็ต้องมากิน ข้าวหน้าปลาไหล! ซึ่งสาขาที่เรามาก็เป็นสาขาดั้งเดิม จะกินทั้งทีต้องเอาให้สุด ตามเสียงลือเสียงเล่าอ้างก็บอกกันมาว่ารอ 3 ชม. ค่ะ เราเลยมาจองคิวไว้ตอนประมาณ 11 โมงเช้า แล้วไปศาลเจ้าก่อนค่ะ คิวที่เราได้คือ 14.20 นาที ทางร้านก็จะให้บัตรคิวมาค่ะ ถึงเวลาก็มายื่นได้เลย

โดยร้านจะตั้งอยู่หน้าทางเข้า ศาลเจ้า Atsuta เลยค่ะ โดยร้านจะมีเวลาสองรอบนะคะ ลองเช็คเวลา และวันหยุดกันก่อนค่ะ http://www.nagoya-info.jp/en/eat/hitsumabushi/post...


พอเรายื่นบัตรคิวแล้ว พนักงานจะพาเราเข้าไปค่ะ จะต้องนั่งรอในห้องรับรองก่อน จากนั้นพนักงานจะเรียกชื่อค่ะ เราจะต้องบอกจำนวนคนเอาไว้ก่อนด้วย

ร้านค่อนข้างเล็กค่ะ โต๊ะที่เราได้ก็เป็นโต๊ะกลางร้านเลย เราสั่งเซ็ท Hitsumabushi 3,600 เยนค่ะ ขนาดกำลังพอดีทาน ไม่ต้องกลัวว่าเล็กไปนะคะ ถ้วยมันลึก


นี่ข่าาาาท่านผู้ชม เปิดฝาออกมาเหมือนมีเสียงเรีกเราว่า 'กินฉันสิ' เราเองไม่เคยทานข้าวหน้าปลาไหลมาก่อนค่ะ เรียกได้ว่าเจอนี่เข้าไป ประทับใจและอยากให้อาหารทุกมื้อเป็นปลาไหล สมกับรอมาสามชั่วโมงค่ะ

การกินฮิทซึมาบูชิก็มีขั้นตอนอยู่นะคะ โดยเราจะตักแบ่งข้าวออกมาใส่ในถ้ายแยกทาน อย่างแรกก็คือทานแบบเพียวๆเลย ไม่ใส่อะไร อย่างที่สองใส่เครื่องเคียงทั้ง 3 อย่าง คือต้นหอมซอย วาซาบิ สาหร่ายแห้งค่ะ สุดท้ายคือใส่น้ำซุป ทางร้านจะมีซุปเตรียมมาให้ในกาค่ะ

ทางเราต้องบอกเลยว่า ทานแบบไหนก็อร่อย แต่ชอบแบบไม่ใส่อะไรเลยค่ะ เนื้อปลากรอบนอกนุ่มใน ข้าวฉ่ำซอสกำลังดี ไม่ก้างขวางคอ คุ้มราคาค่ะ ถ้าใครไม่อยากรอนานขนาดนี้ก็มีสาขาให้เลือกอีกมากมายนะคะ


Sakae - Oasis 21 - Nagoya TV Tower

ช่วงเย็นของวันเราก็มากันที่ย่าน Sakae ค่ะ ที่นี่ก็ถือเป็นโซนที่คึกครื้นที่สุดในนาโกย่าแล้วค่ะ ในความรู้สึกเรา ทางเราเองมาเดินที่นี่กันประมาณสองวันค่ะ มาทั้งช่วงเช้าช่วงเย็นเลย ที่นี่ก็มี Landmark เด่นๆก็คือ Oasis 21 และ Nagoya TV Tower นอกจากนั้นก็มีคาเฟ่ ห้างร้านกันยาวเหยียดค่ะ ทั้งห้าง Matzusakaya Parco ร้าน GAP ZARA แบรนด์ดังตั่งต่างค่ะ ที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ ดองกิโฮเต้ ที่นี่มี 4 ชั้นนะคะ แหล่งรวมของฝาก มีทุกชาติ ทุกเพศ ทุกวัย ใครไม่ชอบคนเยอะๆ ชวนปวดหัว ก็ซื้อของกันตามร้านขายยา Big Camera อื่นๆได้ค่ะ ราคาไม่ต่างกันมาก

เรามาถึง Sakae ช่วง 4 โมงเย็นค่ะ ฟ้ายังไม่ครึ้มแต่อากาศหนาวมากค่ะ ลมตีหน้าชากันไป เรามาลงที่สถานี Sakae ค่ะ สาย Higashiyama Line สถานีนี้ค่อนข้างใหญ่ ยังไงถ้ากลัวหลงก็มีแผนที่บอกห้างต่างๆให้ดูเป็นจุดๆ ตามทางออกค่ะ ทางเราเองก็คลัมทางมาค่ะ มาโผล่ที่ทางออก 1 ขึ้นมาก็จะเจอ Oasis 21 และ Nagoya TV Tower ค่ะ


ในส่วนของ Oasis 21 ด้านบนก็จะเป็นลานชมวิวกว้างๆ มีน้ำอยูด้านบนด้วยค่ะ แต่เราเองไม่ได้ขึ้นไป ขี้เกียจเดินค่ะ หนาว ส่วนด้านล่างในช่วงที่เราไปก็มีลานไอซ์สเก็ตอยู่ด้วยค่ะ เด็กๆเล่นกันสนุกสนานท้าความหนาว



เราเดินข้ามฝั่งมาทาง Nagoya TV Tower ค่ะ ลองขึ้นไปชมวิวด้านบนกันหน่อย เพื่อนเราที่เป็นชาวญี่ปุ่นเองบอกว่ายังไม่เคยขึ้นไปเหมือนกันค่ะ หน้าตาเค้าดูไม่ได้ตื่นเต้นกับการชมวิวเท่าไหร่นัก ในส่วนของทางเราก็ต้องบอกว่าตื่นเต้นค่ะ ค่าขึ้นชมอยู่ที่ 700 เยนนะคะ ขึ้นไปที่ชั้น 3 จะมีตู้ให้กดบัตรเข้าชมค่ะ จากนั้นจะมีพนักงานนำขึ้นลิฟต์ไป


ชั้นแรกที่เราไปถึงก็จะเป็นวิวที่อยู่ในตัวอาคารค่ะ มีกระจกอยู่ มีที่หยอดเหรียญชมวิวอีกเช่นเคยค่ะ จากนั้นก็จะมีบันไดให้เราขึ้นไปอีกชั้นค่ะ ชั้นนี้เป็นการชมวิวแบบตากอากาศ เราสามารถเดินวนรอบชมวิวได้ 360 องศาค่ะ

หมดแล้วค่ะ วิวราคา 700 เยน สวยงามเปิดประสบการณ์ตามท้องเรื่องหลังจากนี้เราก็ตระเวนเดินชมห้างต่างๆค่ะ เดินกันไปยาวๆเลย ตามทางเดินคนไม่หนาแน่นค่ะ เดินได้สบายๆ

เรามาหยุดกันที่ดองกิโฮเต้ค่ะ สาขานี้มีทั้งหมด 4 ชั้น ส่วนข้างบนอีกประมาณ 2-3 ชั้นเป็นร้านอาหารค่ะ โดยส่วนตัวเราคิดว่าของที่นี่ค่อนข้างตาดีได้ตาร้ายเสียค่ะ ในส่วนของเสื้อผ้าหรือกระเป๋าต่างๆ แต่หยูกยา เครื่องสำอาง ของเล่น รวมถึงขนมต่างๆก็ตามท้องเรื่องค่ะ มีให้เลือกมากมาย อย่างที่เราบอกในตอนแรก ราคาที่นี่ก็จะพอๆกันกับร้านด้านนอกค่ะ ถูกกว่านิดหน่อย แต่จะวุ่นวายที่คนเยอะ มีมันทุกชาติค่ะ วุ่นวายที่สุดก็จะเป็นช่วงที่ทัวร์ลง และรอรับ Tax Refund ถ้าใครอยากเลือกช้อปสบายๆก็ตามร้านทั่วไปค่ะ


ฝั่งตรงข้ามดองกิโฮเต้ก็จะเป็น ห้าง SUNSHINE ค่ะ มีร้าน Tsutaya ด้วย ที่นี่มีชิงช้าสวรรค์ ลองขึ้นไปนั่งกันได้ะคะ่ ที่จำได้น่าจะประมาณ 500 เยน ทางเราเดินผ่าน ไม่ได้ขึ้นเช่นเคยค่ะ


เดินเล่นในร้าน Tsataya ซักพักก็ท้องร้องค่ะ ต้องหาอะไรเติมเต็มกันหน่อย ทางเราเลือกเป็นร้านทงคัตสึซอสมิโซะค่ะ ร้านชื่อดังของนาโกย่าก็คือร้าน Yabaton มีสาขาอยู่ที่ทองหล่อด้วยนะคะ เผื่อใครอยากลอง พิกัดร้านหาไม่ยากค่ะ ร้านยาบะตง สาขา Sakae ตั้งอยู่ที่ตึก Sakae Centrise ชั้น B1 เดินลงบันไดนอกตัวอาคารได้เลย


ช่วงที่เรามาก็ดึกแล้วค่ะ แต่ร้านก็เปิดตั้งแต่ 11 โมงถึง 5 ทุ่ม คนยังเยอะอยู่เลยช่วงที่เราไป ที่ร้านนี้พนักงานพูดภาษาอังกฤษได้นะคะ ไม่ต้องกลัวไม่รู้เรื่องกัน รวมถึงมีเมนูให้ชาวต่างชาติด้วยค่ะ จะได้สั่งกันง่ายๆ มื้อนี้เรามาทานกันสามคนค่ะ เลยสั่งสามกันสามอย่าง


อย่างแรกที่อยู่ในชามก็คือ Misokatsu Don ข้าวหน้าหมูทอดมิโซะ เป็นเมนูยอดนิยมของร้านค่ะ เมนูนี้ให้เลือกใส่ผักกาดหั่นฝอยเพิ่มด้วยนะคะ เพิ่นเงินอีกนิดหน่อย ส่วนเมนูที่สองคือ Rouse Tonkatsu+Kani Coroke+Ebi Furai เป็นหมูทอด ครอกเก้ครีมปู และกุ้งทอดค่ะ เมนูนี้มีให้เลือกเป็นเซ็ทพร้อมข้าว หรือจะเป็นจานเดี่ยวก็ได้ค่ะ เมนูสุดท้ายที่ทางเราเลือกก็คือเมนูแนะนำของทางร้านค่ะ Waraji Tonkatsu เป็นเนื้อหมูทอดชิ้นใหญ่สองชิ้นราดซอสค่ะ เราสามารถเลือกซอสราดแบบ Half and Half ได้ค่ะ มีสามซอสให้เลือก อันนี้เราเลือก มิโซะซอสกับ Worcester ซอสมาค่ะ เมนูนี้ก็เลือกเป็นเซ็ทพร้อมข้าว หรือจะเป็นจานเดี่ยวก็ได้เหมือนกัน

ต้องบอกว่ารสชาติอร่อยมากค่ะ เนื้อหมูนุ่ม แต่ติดเค็มอีกแล้วค่ะ ที่กินๆกันมาทุกวันก็คือบวมเค็มกันไปหมดแล้ว สำหรับใครที่ชอบความเค็มสะใจก็แนะนำเช่นเคยค่ะ แต่ด้วยความที่มีแต่ของทอด ก็จะเลี่ยนๆกันตามท้องเรื่องนะคะ มื้อนี้สนนราคาอยู่ที่ 5,184 เยนค่ะ

ทานเสร็จเดินออกมาร้านรวงต่างๆก็ทยอยปิดกันบ้างแล้วค่ะ ถนนก็ประดับไฟสวยงาม Nagoya TV Tower ก็เปิดไฟแล้วเช่นกัน



Sakae in the morning

ยังอยู่กันที่ย่านซากาเอะค่ะ คราวนี้เราแวะมาตอนเช้าค่ะ จริงๆทางเราไม่ได้ติดใจอะไรมากค่ะ แต่ด้วยความที่ย่านนี้มีห้างร้านต่างๆมากมาย ที่ทางเราเองยังเดินไม่ครบค่ะ เลยต้องกลับมาตำกันอีก รวมถึงมีร้านขายยาและเครื่องสำอางใกล้ๆกับห้าง Parco ค่ะ ที่เราค้นพบว่าราคาถูก สินค้าเยอะ พนักงานอัธยาศัยดี มีน้ำเปล่าให้ดื่มฟรี เลยต้องกลับมาซื้อกันรอบสองค่ะ

เรามาแวะทานกาแฟที่ร้าน Tully's Coffee ค่ะ อยากลองของ ร้านนี้เป็นร้านกาแฟที่เราเห็นได้ทั่วๆไปพอๆกับสตาบัค บรรยากาศดี คนมานั่งทานกันเยอะอยู่ค่ะ

เมนูที่เราเลือกไปเป็นเมนูเครื่องดื่มพิเศษในช่วงนั้นพอดีค่ะ น่าตาดูน่ารัก ขนมเคกที่นี่ก็ดูน่าทานค่ะ รวมถึงเมนูอาหารอื่นๆก็น่าทานเช่นกัน แต่ไม่ได้สั่งค่ะ ทางเราสั่งมาแค่กาแฟและเค้ก

ตัวสโนว์แมนเป็น marshmallow ค่ะ รสชาติกาแฟก็อร่อยดีค่ะ เป็นลาเต้รสชาติกำลังพอดี ส่วนขนมเค้ก ทางเราเลือกเป็นเค้กชาค่ะ เนื้อเค้กนู่มฟู เหมือนทานขนมสาลี่เอกชัย สุพรรณบุรีค่ะ ประทับใจ

เป้าหมายหลักๆ ของเราในวันนี้คือ ไปร้าน GU ค่ะ ร้านตั้งอยู่ในห้าง Skyle ชั้น 6 ที่ห้างนี้ก็มีร้านเสื้อผ้า รองเท้า จิปาถะ ทั้ง Uniqlo ABC Mart Muji ต่างๆค่ะ

เสื้อผ้าในร้านส่วนใหญ่จะเป็นสไตล์วัยรุ่น และวัยทำงาน ช่วงที่เราไปก็กำลังลดราคาอยู่ค่ะ ได้กันมาคนละตัวสองตัว เราเองได้กางเกงลูกฟูกมาในราคา 990 เยน ประมาณสองร้อยกว่าบาทเองค่ะ เนื้อผ้าดีงาม

ที่ร้านก็จะมีเค้าเตอร์คิดเงินเองค่ะ สนุกสนาน ไม่ต้องกลัวงงนะคะ พนักงานก็ดูแลอย่างดีค่ะ เค้าพูดญี่ปุ่น ส่วนเราพูดอังกฤษ สรุปเข้าใจกันที่ภาษามือค่ะ


มีโซนให้เราใส่สินค้าเองค่ะ มีถุงให้เลือกกันหลายขนาดเลยด้วย สนุกสนานอีกเช่นเคยค่ะ สำหรับคนที่เคยฝันอยากเป็นพนักงานแคชเชียร์อย่างเราๆ ดรีมคัมทรู

ถึงเวลาหาของกินเช่นเคยค่ะ มื้อนี้ทางเราเลือกเป็นซูชิและซาชิมิค่ะ เนื่องจากหลายๆวันก่อนหน้า ได้ไปเดินซุปเปร์มาร์เก็ตแล้วพบเจอความตระการตาของซูชิค่ะ เลยตัดสินใจว่าจะต้องโดนซักมื้อ มื้อนี้เลยมาเลือกซื้อซูชิกันที่ชั้นใต้ดินห้าง Matsuzakaya


ซาชิมิสามกล่อง 1,080 เยนค่ะ แต่เป็นปลาอะไรบ้างไม่ทราบเลยนะคะ เลือกจากหน้าตาอย่างเดียวเลย นอกจากนี้ก็มีซูชิค่ะ ลดราคาด้วย มีปลาซาบะอย่างต่างๆ ข้าวหน้าปลาไหลเองก็มีค่ะ รวมถึงมีโซนขนมเค้ก และของกินอื่นๆ ทางเราได้เป็นซาชิมิ ซูชิ และปีกไก่ค่ะ

ชำระเงินเสร็จก็หาที่นั่งรับทานค่ะ แต่ดันไม่มีโซนโต๊ะเก้าอี้ในบริเวณห้างค่ะ ทางเราก็ได้อพยพกันไปทานรับลมที่สวนสาธารณะด้านนอก ให้อากาศประมาณ 3 องศาค่ะ สบายๆ


ข้างๆบริเวณที่เราเลือกนั่งก็มีคุณลุงท่านหนึ่งมานั่งทานเช่นกันค่ะ เหงาๆกันไป บรรยากาศดี วิวดีค่ะ แต่มือแข็งไปหน่อย

ทานเสร็จก็เดินเที่ยวกันต่อค่ะ เก็บให้หมดเพราะว่าเดี๋ยวจะเดินทางกลับกันแล้ว

ช่วงสุดท้ายของวันเรากลับมาเดินช้อปปิ้งกันที่ Nagoya Station ค่ะ ที่นี่ก็มีร้านรวงต่างๆ ในชั้นใต้ดิน และบนดิน ย่านนี้ส่วนใหญ่จะมีคนทำงานและนักเรียนค่ะ ส่วนนักท่องเที่ยวนั้นค่อยข้างบางตา

ทางเรามาหาซื้อกล้องฟิล์มใช้แล้วทิ้งค่ะ ซึ่งที่ร้าน Big Camera ตรงข้ามสถานีก็มีขายค่ะ ราคาแพงกว่าที่ดองกิโฮเต้นิดกน่อย แต่มีให้เลือกหลากหลายกว่า ทั้ง Fuji Kodak ilford ค่ะ ฟิล์มก็มีให้เลือกกันหลายแบบ ใครอยากซื้อกล้องก็มาลองดูกันได้ค่ะ ส่วนร้านข้างๆเองก็ขายเครื่องสำอาง และยาต่างๆ รวมถึงมีพูริคูระชั้นใต้ดินด้วยค่ะ


To Chubu Centrair International Airport

ถึงวันเดินทางกลับแล้วค่ะ ทางเราเลือกใช้บริการ Meitetsu Airport Limited Express “μ-SKY” ลากกระเป๋ากันสาหัดอยู่นิดนึงค่ะ จากโรงแรมไปถึงสถานี ทางเข้าที่ใกล้จะอยู่ที่บริเวณใกล้ๆ โรงแรม Nagoya Marriott Associa Hotel นะคะ เราเลือกตั๋วรถไฟเช่นเคยค่ะ อย่าลืมเผื่อเวลา เรากับเพื่อนกดเลือกไม่พร้อมกันค่ะ เพื่อนเลือกไปแล้ว เรายังไม่ได้เลือก ขบวนนั้นเต็มพอดีค่ะ ดีว่ายังไม่ได้จ่ายเงิน

ลงมาถึงก็หาตู้ที่เราจะต้องขึ้นค่ะ ยืนประจำตำแหน่งรอรถไฟได้เลย ทางเราเองในวันเดินทางกลับต้องบอกว่าพังมากค่ะ ทั้งของเยอะ รถไฟเหลือแต่รอบช้า กลัวตกเครื่องกันอีกค่ะ ขึ้นรถๆฟกันด้วยใจตุ้มๆต่อมๆ ดีว่าเราสามารถเช็คอินออนไลน์ได้ค่ะ แต่ก็มีเรื่องให้ลุ้นอีก เพราะเค้าเตอร์เช็คอินจะปิดรับกระเป๋าเวลา 10 โมง ซึ่งรถไฟขบวนนี้จะไปถึงสนามบินในเวลา 9.48 น. พนมมือกันตลอดทางค่ะ


ระหว่างทางพยามชมวิวค่ะ ทำให้ใจชื้น แต่ทางรถไฟญี่ปุ่นก็ตามคาดค่ะ เวลาไหนเวลานั้น เห็นสนามบินอยู่ไกลลิบๆ แต่ไม่ถึงสองนาทีก็มาถึงสนามบินแล้วค่ะ ทางเราก็วิ่งหน้าตั้งกันอย่างเดียวเลย

สุดท้ายก็มาทันเวลาค่ะ ตรวจเช็คร่างกายกันตามระเบียบ ในส่วนของ Duty Free นั้นก็ถือว่าอยู่ใกล้เกทเรามากค่ะ เดินไม่ทันไรก็เจอแล้ว เลือกซื้อของกันซักพักก็มาประจำที่รอขึ้นเครื่องค่ะ

จริงๆที่สนามบินมีจุดชมวิว ดูเครื่องบินนะคะ รวมถึงห้างสรรพสินค้าด้วย ใครอยากมาเดินสบายๆก็เผื่อเวลากันค่ะ ระวังคำนวนเวลาผิดแบบเรา พนมมือเลยนะคะ

จริงๆในรีวิวนี้เราได้ตัดบางส่วนออกไปนะคะ เป็นส่วนของวันที่เราไปดูคอนเสิร์ตค่ะ กลัวจะยาวเกินไป แต่เนื้อหา และสถานที่หลักๆ เราได้เล่าไปหมดแล้วนะคะ ยังไงหากใครอยากมาเที่ยวนาโกย่าก็ลองไปตามสถานที่เหล่านี้ดูค่ะ ขอให้มีทริปที่สนุกสนานค่ะ

ขอบคุณมากนะคะที่อ่านจนมาถึงบรรทัดนี้กัน ^^


yellowmellow

 วันจันทร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 15.57 น.

ความคิดเห็น