“ดอยอินทนนท์” จังหวัดเชียงใหม่ เชื่อว่ารู้จักและคุ้นหูกันอย่างดี โดยเฉพาะข่าวการรายงานสภาพอากาศ พยากรณ์อากาศ ที่ยอดดอยอินทนนท์ที่คอยเชิญชวนให้เหล่านักท่องเที่ยวได้มาสัมผัสประสบการณ์ความ หนาวทะลุหัวใจ ในกลางเดือนแห่งความรักกุมภาพันธ์ 2561นี้..ที่ยังคงความหนาวต่อเนื่อง ทำให้ “กึ๊ดเติง” ..เจียงใหม่เจ้า กับประสบการณ์การท่องเที่ยวที่ชวนตื่นเต้นและระทึกใจตลอดเวลา เมื่อครั้งที่ได้ไปขึ้น “ดอยอินทนนท์” ซึ่งเป็นยอดดอยสูงสุดแห่งแดนสยามที่มีความสูงถึง 2,565 เมตรกับความระทึกใจในการขับรถขึ้นดอยด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก

ครั้งนี้ไปกัน 3 คน คือตัวเองกับแม่และนุ้ย นุ้ยเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยมปลายร่วมเดินทาง สร้างความสุขความตื่นเต้นไปด้วยกันแบบชิลๆ พวกเราเป็นชาวกรุงเทพฯ ต้องการไปแอ่วเหนือแบบม่วนๆและคลาสสิค หน่อยๆ เลยตัดสินใจไปชื่นชอบธรรมชาติของแท้เก็บความชุ่มฉ่ำความหนาวจากยอดดอยขนานแท้ จึงเลือกเดินทางไปที่ อุทยานแห่งชาติ “ดอยอินทนนท์” เพราะที่นี่จะมีสภาพภูมิประเทศและสภาพป่าที่หลากหลาย

ไม่ว่าจะเป็นป่าดงดิบ ป่าสน ป่าเบญจพรรณ และอากาศที่หนาวเย็นตลอดทั้งปี จำได้ว่ามาเที่ยวเชียงใหม่เมื่อไหร่ นึกไม่ออกทีไรก็มาอยู่ที่นี่แล้ว ครั้งนี้ต่างไปจากที่มีคนพามาเที่ยว กลายเป็นคนนำเที่ยวเสียเอง..หลังลงจากเครื่องบินพวกเราก็เช่ารถขับเที่ยวเองจ้า



การเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่โดยรถยนต์ส่วนตัว(เช่ามา) ระยะทางจากตัวเมืองขึ้นไปจนถึงยอดดอย อินทนนท์ประมาณ 106 กิโลเมตรออกจากตัวเมืองเชียงใหม่ไป ตามทางหลวงหมายเลข 108 เชียงใหม่-จอมทอง ผ่านอำเภอหางดงและอำเภอสันป่าตอง ไปยังอำเภอจอมทอง ก่อนถึงอำเภอจอมทองประมาณ 2 กิโลเมตร เลี้ยวขวาตามถนนสายจอมทอง-อินทนนท์ (ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 1009) เข้าเขตอุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ที่กิโลเมตรที่ 8 (น้ำตกแม่กลาง) และตัดขึ้นสู่ยอดดอยอินทนนท์เป็นระยะทาง 49.8 กม. เป็นถนนลาดยางอย่างดีแต่ทางค่อนข้างสูงชัน รถที่นำขึ้นไปจะต้องมีสภาพดี (ซึ่งเราต้องแจ้งเจ้าของรถก่อนเช่าว่าเรามีแพลนจะไปเที่ยวที่ไหนบ้าง และรถที่ให้เราเช่านั้นสามารถพาเราไปเที่ยวได้แบบไม่มีปัญหานะจ๊ะเตรง)


ไม่น่าเชื่อพวกเราเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่เกือบ 9 โมงแล้วกว่าจะถึงยอดดอยอินทนนท์ก็สายถึง 11.00 โมงกว่าๆแล้ว แต่วิวสองข้างทางยังมีม่านหมอกยังลงหนักหนาทึบมากเหลือเพียงแสงไฟท้ายรถคันหน้าที่ส่องลอดช่องไฟออกมาให้เห็นลางๆ จึงค่อยๆไต่ระห่ำขับรถเรียงแถวขึ้นเขากันไปรถติดมาก ทำไมใครๆก็มากันนะ? เสน่ห์ต่างๆที่ดึงดูดให้มีผู้มาเยือนที่นี่อย่างไม่ขาดสายโดยเฉพาะในฤดูหนาวก็คือหมอกที่ปกคลุมเห็นน้ำค้างบนยอดใบไม้ บางครั้งน้ำค้างกลายเป็นน้ำแข็ง หรือ แม่คะนิ้ง ให้เห็นอย่างสะดุดตา


ก่อนถึงดอยอินทนนท์ ก็จะผ่าน พระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ตรงหลักกิโลเมตรที่ 41.5 ทางด้านซ้ายมือก่อน เลี้ยวเข้าไปจอดรถวันนี้นอกจากหมอกคลุมหนาจนมองแทบไม่เห็นพระมหาธาตุแล้ว ฝนยังตกหนักอีกด้วย




ที่นี่สร้างโดยกองทัพอากาศร่วมกับพสกนิกรชาวไทย โดย พระมหาธาตุ นภเมทนีดล สร้างถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เนื่องในวโรกาสทรงเจริญ พระชนมพรรษา ครบ 5 รอบเมื่อพ.ศ. 2530 และ พระมหาธาตุนภพลภูมิสิรสร้างถวายสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ใน วโรกาสทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ เมื่อพ.ศ. 2535


พระมหาธาตุทั้ง 2 องค์นี้ มีรูปทรงคล้ายคลึงกัน คือ ฐานเป็นรูป 12 เหลี่ยมมีระเบียงแก้วโดยรอบเป็น 2 ระดับ ยอดปลีขององค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริก ธาตุ และ พระพุทธรูปบูชารอบบริเวณสามารถมองเห็นทิวทัศน์์ของดอยอินทนนท์ได้อย่างสวยงาม จึงตัดสินใจพากันไปกราบเพื่อเป็นศิริมงคลในโอกาสที่ได้มาเที่ยว ซึ่งบริเวณด้านนอกองค์พระมหาธาตุยังมีพืชพันธุ์ไม้ฤดูหนาวออกดอกสวยงามเชิญชวนให้ไปเก็บภาพถ่ายเป็นที่ระลึก ฯ


เมื่อเข้าไปกราบถึงภายในองค์พระมหาธาตุฯ หน้าแม่เราก็แสดงอาการไม่ค่อยดีเลย เพราะเมื่อได้ลงจากรถอากาศจะยิ่งเย็นหนักกว่าเดิมเป็นสิบเท่า ซ้ำฝนก็ตกแม้จะมีเสื้อกันหนาวสวมมาอยู่แล้ว นุ้ยเพื่อนวัยมัธยมจึงนำผ้าพันคอของตัวเองมาให้แม่พันคอไว้เพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้น หลังจากถ่ายรูปสัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆอิ่มเอิบตามพอสมควรแล้ว จึงขับรถเดินทางต่อไปยังจุดหมายที่วางไว้



มาถึงแล้วยอดดอย “ดอยอินทนนท์” วันนี้กับอุณหภูมิ 9 องศามันหนาวขนาด!!! ธรรมชาติป่าเขาเขียวที่สวยงามมาก แต่เดี๋ยวก่อนขอแวะเข้าห้องน้ำ พักนั่งจิ๊บกาแฟร้อนๆกินขนมเบาๆกันก่อน เพื่อรวบรวมสมาธิก่อนเดินทางเข้าป่า..สีหน้าของแม่เริ่มดีขึ้นแล้ว โอ้ยใจหายใจคว่ำหมดเลย ยิ้มได้แล้ว อิอิ (ตอนเขียนอยู่แอบนึกถึงเนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่ฮิตติดหูว่า..เมื่อเราเหนื่อยล้า จงเดินเข้าป่า..555)




แต่ก่อนที่จะออกไปชมนกชมไม้ในป่า ก็มีเจ้านกสวยตัวหนึ่งบินมาอวดโฉมโชว์ลีลาจิ๊กอาหารให้ดูต่อหน้าต่อตา น่ารักจริงมาทักทายกันด้วย ที่นี่เค้ามีกิจกรรมดูนกดอยอินทนนท์ด้วยนะจ๊ะ เค้าว่าจากการสำรวจพบว่ามีนกอยู่ 380 ชนิด แสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์และความหลากหลายทางชีวภาพ




พวกเราเดินเข้าป่าแห่งยอดดอยอินทนนท์ ชมป่าดิบดึกดำบรรพ์ ร่วมสัมผัสสภาพอากาศที่หนาวเย็นและชุ่มฉ่ำตลอดทั้งปี สังเกตุจะเห็นต้นมอส เฟิร์นและพืชอิงอาศัยชนิดอื่น ๆ ขึ้นปกคลุมตามลำต้นอย่างหนาแน่น สร้างความประทับใจในสีสันของใบไม้ป่า เค้าเล่าว่ามีน้อยคนนักจะได้สัมผัสธรรมชาติที่แท้จริงของภูเขาที่สูงที่สุดของประเทศ ที่นี่มีทั้งกล้วยไม้และพันธุ์ไม้ป่าที่สวยงามและหายาก อดใจไม่ไหวจนต้องกดชัตเตอร์รัวๆ









นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานกู่พระอัฐิของพระเจ้าอินทวิชานนท์ เจ้าเมืองเชียงใหม่องค์ที่ 7 องค์สุดท้าย ซึ่งเล็งเห็นความสำคัญของป่าไม้และหวงแหน “ดอยหลวง” (ชื่อเดิมของดอยอินทนนท์ หมายถึงภูเขาที่มีขนาดใหญ่) เป็นอย่างมากต้องการที่จะ อนุรักษ์ไว้จนชั่วลูกชั่วหลาน ท่านผูกพันกับที่นี่มากจึงสั่งว่าหากสิ้นพระชนม์ไปแล้วให้แบ่งเอาอัฐิส่วนหนึ่งมาไว้ที่นี่ และเป็นที่ตั้งของ สถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศไทย อีกด้วย










ใครสนใจมาเที่ยว“ดอยอินทนนท์” ลิสต์อันดับต้นไปเที่ยวได้ทุกฤดู อุณหภูมิประมาณราว 5-18 องศาเซลเซียสหนาวเย็นตลอดทั้งปี ระหว่างที่พวกเรา 3 คนออกเดินเที่ยวไปตามเส้นทางเพื่อชื่นชมธรรมชาติถ่ายรูปเล่นกัน ก็ทำให้เรารู้ว่าทุกช่วงเวลาที่เราได้อยู่ใกล้ๆกับคนที่เรารัก ร่วมแบ่งปันความรู้สึกดีๆร่วมกันมันมีคุณค่ามากมายขนาดไหน โดยเฉพาะการพาแม่มาเที่ยวในขณะที่ท่านยังเดินได้แข็งแรงมาด้วยกันมาได้ไกลถึงยอดดอยสูงสุดแห่งแดนสยามถึงวันนี้อุณหภูมิ 9 องศามันจะหนาวขนาดแต่ก็ม่วนแท้ๆเจ้า ^^#ไปเชียงใหม่เจ้า!!ไปม่วนม่อนไปม่วนดอยมันหนาวขนาด!

ป้าเที่ยวละไม

 วันพฤหัสที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561 เวลา 17.51 น.

ความคิดเห็น