หรือบางทีมันอาจจะมากกว่า 20 ข้อนะ

มันเปลี่ยนชีวิตเราทั้งหมดไม่ได้หรอก แต่เราอาจจะได้เปลี่ยนตัวเอง มองอะไรใหม่ๆ ในมุมที่เป็นตัวของตัวเองมากขึ้นกว่าการต้องวิ่งตามใคร

จากที่ไม่มั่นใจที่จะเริ่มเที่ยวคนเดียว จนวันนี้เริ่มเที่ยวคนเดียวด้วยการเดินทางแบบลำบากๆ ใช้รถสาธารณะ โดยเฉพาะ 90% ของการเดินทาง เดินทางด้วยรถไฟตลอด ปั่นจักรยาน ขับมอเตอร์ไซค์ ไม่ชอบนั่งเครื่องบินเที่ยว เดินทางไปที่ต่างๆ ทำทุกอย่างคนเดียว จนรู้สึกว่าติดใจการเที่ยวคนเดียว ถึงขนาดเปิดเพจ "จะเที่ยวคนเดียว" ขึ้นมา และได้รู้ว่ายังมีคนเหมือนเราอีกเยอะ และเป็นแรงบันดาลใจให้อีกหลายคนได้ลองเที่ยวคนเดียวได้ ในข้อจำกัดหลายๆ อย่างของการเป็นมนุษย์เงินเดือน แถมยังเป็นผู้หญิงอีก การเที่ยวคนเดียวตั้งแต่ไปมา เลยลองไปแบบลำบากดูบ้าง ไม่ติดสบายดูบ้าง

แค่ทุกวันนี้ทำงานเป็นสาวออฟฟิศมันก็เจอแต่เรื่องเดิมๆอยู่แล้ว แต่ถ้าเราลองออกจาก comfort zone ลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง มันก็ไม่เสียหายเลย ทำงานออฟฟิศที่เราถนัด แต่ก็ทำงานที่รักด้วยการเขียนบล็อกเล่าเรื่องไปด้วย ชอบนะ มันทำให้เราได้อะไรในหลายๆสังคมมากขึ้น ซึ่งทุกอย่างเวลาเดินทางเราเล่าความรู้สึกผ่านเพจตลอดเวลาอยู่แล้ว ทีนี้อยากรวบรวมข้อดีที่เราได้จากการเที่ยวคนเดียวตลอดเวลาที่ผ่านมา มาลองทำกระทู้ดูบ้าง เผื่อจะเป็นแรงบันดาลใจให้คนอื่นที่ยังลังเลว่า ไอ้การเที่ยวคนเดียวมันดียังไงนะ เราเป็นคนมีเพื่อนปกติ แต่เวลางานไม่ตรงกันเลยไปเที่ยวกับเพื่อนน้อยลง เพื่อนขอไปด้วยหลายครั้งแต่ก็นัดไม่ได้ แถมไปแบบลำบากเกรงว่าเพื่อนไม่รอดแน่ เลยไปคนเดียวซะเลย ถ้าอยากไปแล้วรอทุกอย่างพร้อม ชีวิตนี้ก็ไม่ต้องได้ไปไหนกันพอดี

รูปที่ลงถ่ายเองทั้งหมด ทั้งเซลฟี่ ทั้งขาตั้งกล้อง มันก็ต้องลองกันไปเรื่อยๆ ไปเที่ยวคนเดียวก็ใช่ว่าจะไม่มีรูปตัวเอง แถมรูปอาจจะเยอะกว่าตอนไปเที่ยวกับเพื่อนอีกด้วย


หลายๆ คนบอกว่าการเที่ยวคนเดียวมันเป็นเหมือนการออกไปค้นหา

อะไรบางอย่างที่เราขาดหาย

อะไรบางอย่างที่เราต้องการแก้ไข

อะไรบางอย่างที่เราต้องการเติมเต็ม

อะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ซึ่งแต่ละคนคงมีเหตุผลที่แตกต่างกัน

สำหรับเรา เราก็ว่ามันก็พอจะได้อะไร อะไรอยู่บ้างนะ

มาแชร์กัน ว่าเราพอจะได้อะไรกลับมา และเปลี่ยนอะไร อะไร บางอย่างในตัวเองไปได้บ้าง จนอยากบันทึกไว้ในกระทู้นี้




1.ใจร้อนขึ้น

เปลี่ยนให้ตัวเองเป็นคนใจร้อนขึ้น

ตัดสินใจเร็วขึ้น หาข้อมูลเพียงไม่กี่นาที หรือไม่หาข้อมูลเลย ไปหาเอาข้างหน้า ไปลุ้นเอาเองดีกว่าว่า เดี๋ยววันนี้จะเจออะไรบ้าง เที่ยวแบบโนแพลนบ่อยขึ้น แบกเป้ไปเลยเนาะ เออออห่อหมกเอง คุยกับตัวเองเฉย ฮ่าๆๆ แล้วก็ไปกันเลย กลัวมานั่งเสียใจทีหลังว่าทำไมไม่ไป

ยิ่งถ้านั่งรถไฟบ่อยๆ จะรู้ว่ารถไฟออกตรงเวลามาก จะหงุดหงิด งอแง ถ้าต้องรอใครมาช้า เพราะเป็นสาเหตุที่อาจทำให้ตกรถไฟ หากต้องรอใครหลายๆ คน งั้นไปคนเดียวดีกว่า ไม่อยากตกรถไฟ กลายเป็นคนใจร้อนและตรงต่อเวลาขึ้นเยอะเพราะต้องกำหนดเวลาเที่ยวเอง ศึกษาเวลาเดินรถสาธารณะ



2.ใจเย็นลง

เปลี่ยนให้ตัวเองเป็นคนใจเย็นลง

เอ้า! เมื่อกี้ยังใจร้อนอยู่เลย ความพอดีหามีไม่ ในความใจร้อนก็ยังมีความใจเย็นอยู่บ้าง เวลาออกไปเที่ยวจริงๆ หลายอย่างก็คงต้องรอ รอรถ รอคนผ่านมาให้ถามทาง รอพระอาทิตย์ขึ้น รอพระอาทิตย์ตก รอที่จะได้ภาพและวิวสวยๆ รอฝน รอพายุ หลาย ชม.ก็ต้องรอ อยู่ในสถานการณ์คับขันก็งอแงไม่ได้ ก็ต้องรอ ดีนะที่มีพื้นฐานเป็นคนใจเย็นอยู่แล้ว บางทีต้องรอนานจริงๆ แต่ยอม เพราะทำอะไรไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างเราเลือกเอง ตัดสินใจเอง ช่วยไม่ได้ ก็ฝึกความอดทนกันไป

หงุดหงิดแต่ทำอะไรไม่ได้ก็ต้องทน โดยเฉพาะการใช้ขนส่งสาธารณะบ้านเราด้วยแล้วล่ะก็



3.มีอิสระ

เปลี่ยนให้ชีวิตรู้จักคำว่าอิสระมากขึ้น

มีอิสระทางร่างกาย มีอิสระทางความคิด ตัวคนเดียว จะเลี้ยวซ้าย-ขวา ปีน ไต่ ก็คิดเอง ทำเอง แต่ก็ต้องรู้ลิมิต รับผิดชอบตัวเอง แต่หลังๆ เราคิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในที่ทำงานน้อยลงเพราะเริ่มรู้ตัวว่าเดี๋ยวออกมาข้างนอกคนเดียวจะต้องเจออะไรอีกเยอะที่ให้เราแก้ปัญหาเองมากกว่าในที่ทำงาน มันน่าตื่นเต้นกว่ากันเยอะเลย เอาเวลาคิดเรื่องจุกจิกในที่ทำงานมาคิดเรื่องเที่ยวดีกว่าว่าจะวางแผนการเที่ยวเองยังไงบ้าง ปัญหาจุกจิกจากที่ทำงานจะเบาลงไปเลยเมื่อเธอได้เจอปัญหาในโลกกว้าง เวลาต้องเดินทางคนเดียว

ความโชคดี โชคร้ายที่เจอมากับตัวเองจะสอนให้เราเป็นผู้ใหญ่ขึ้นในข้อนี้ด้วย



4.แต่งตามใจ

เปลี่ยนการแต่งตัวเวลาต้องเดินทางคนเดียว

แต่งหน้า หรือแต่งตัวล่ะ เดี๋ยวนี้เหรอ ไม่ค่อยแต่ง พอตอนออกจากบ้าน ยัดพร๊อบใส่กระเป๋าไปแต่งทีเดียว จัดชุดเก่งหรือชุดที่ซักเปลี่ยนได้ไปไม่กี่ตัวอะไรทำนองนี้ อยากใส่บ้าๆ บอๆ ก็ใส่ไป ไม่มีคนคอยทักว่าวันนี้แต่งหน้าบ้างก็ได้นะ หน้าศพมาก วันนี้แกแต่งตัวอะไรเนี่ย ฉันไม่อยากเดินกับแกเลย บางทีชุดนอนชุดเที่ยวนี่ชุดเดียวกันเลย เก็บกระเป๋าไปไม่กี่ชุด ใส่ซ้ำๆ ไปก็ไม่มีคนมาคอยจับผิด อีกอย่างกลายเป็นคนระมัดระวังในการแต่งตัวมากขึ้นเวลาต้องเดินทางคนเดียว และการแต่งตัวขึ้นรถไฟ ที่เราใช้บริการบ่อยๆ



5.เป็นนักวางแผน

เปลี่ยนจากตามคนอื่น แล้วมาวางแผนเองบ้าง

จะไปเที่ยวทีนึงก็ต้องมีสมุดกับปากกาไว้จดทุกอย่าง ชอบพกสมุดโน้ตไว้จด จดค่าใช้จ่าย ที่พัก อะไรแปลกๆ อะไรน่าสนใจก็จดๆๆ ยิ่งจะเอามาเขียนรีวิวก็จด แปลกนะที่จดในมือถือน้อยมาก ยังรักการใช้ปากกากับสมุดโน้ตอยู่ หายไม่ได้เลย งอแงอีก ทั้งที่จดในมือถือก็ได้

ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาเป็นคนชอบดูแผนที่ , Google Map ศึกษาเส้นทาง วางแผนการเดินทางเองมากขึ้น เดินไปตรงนี้กี่นาที ขับมอเตอร์ไซค์อีกกี่นาทีถึง รถไฟไปถึงเวลานี้แล้วต้องทำยังไงต่อ อะไรอีกมากมายที่ต้องวางแผนและจัดการกับตัวเอง โดยเฉพาะไปเช่าจักรยานกับมอเตอร์ไซค์ ต้องกะระยะความเร็วที่ตัวเองปั่นหรือขับด้วย ว่าต้องใช้เวลาเท่าไหร่ เหลือเวลาเท่าไหร่ถึงจะไปที่หมายทัน เรื่องพวกนี้ทำให้ตัวเองได้นะ แต่กับคนอื่นคงวางแผนให้ไม่ได้เลย ข้อนี้ได้ทำความรู้จักเรื่องถนนหนทางเพิ่มขึ้น เวลาหลงก็ อ๋อ...ถนนใหม่ ความรู้ใหม่ก็ว่ากันไป ไม่ต้องมานั่งโทษใคร เพราะเราทำตัวเอง



6.ค้นหาตัวเอง

เปลี่ยนตัวเองให้ขยับร่างกายออกไปข้างนอกบ้าง

ค้นหาว่าตัวเองที่จริงเวลาออกไปเที่ยวต้องการทำอะไรบ้าง บางทีเวลาไปเที่ยวทะเลเราแค่อยากนั่งเงียบๆ ดื่มด่ำกับบรรยากาศ ฟังเพลง อ่านหนังสือ ทำตามเสียงหัวใจเรียกร้อง อยากอยู่แบบนี้ไปนานๆ มากกว่าไปดื่มเหล้าเอาบรรยากาศกับเพื่อนๆ ดื่มเยอะจนปวดหัวแล้วลืมไปเลยว่าต้องซึมซับกับทะเลให้มากกว่านี้ แค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ พักสมอง คิดอะไรเรื่อยเปื่อย จะได้ทบทวนตัวเอง ว่าจริงๆ แล้ว ในชีวิตนี้เราต้องการอะไรบ้าง ไม่มีข้อจำกัดตายตัวสำหรับตัวเองว่า ไปทะลแล้วต้องเล่นน้ำโครมๆ



7.กินง่ายขึ้น

เปลี่ยนวิธีการและสถานที่เวลากิน

เลือกกินไม่ได้ บางสถานที่สถานการณ์บังคับ ไม่มีร้านสะดวกซื้อ มีให้กินแค่ไหนก็กินแค่นั้น ยิ่งเวลาไปอยู่โฮมสเตย์ก็ต้องกินข้าวบ้านเขา เราชอบไปอยู่โฮมสเตย์ที่ได้กินอาหารท้องถิ่นจริงๆ กินแบบที่เจ้าบ้านกิน มากกว่าที่เขาตั้งใจทำให้คนต่างถิ่นหรือคนกรุงกินมากกว่า ได้รู้จักอาหารแปลกๆ เยอะขึ้น แต่อร่อยมาก และพวกสตรีทฟู้ด อาหารข้างทางกลายเป็นของโปรดไปเลย ชอบเม้าท์มอยถามสภาพอากาศ ชีวิตความเป็นอยู่ในท้องถิ่นกับคนพื้นที่ควบคู่กันไปด้วย เราว่าเราได้อะไรเยอะจากพวกเขานี่แหละ เวลาไปเที่ยว เราเลยชอบคุยกับคนท้องถิ่นมากกว่านักท่องเที่ยวด้วยกัน



8.นอนง่ายขึ้น

เปลี่ยนที่นอนไปใกล้คนแปลกหน้าบ้าง

โชคดีหน่อยที่เป็นคนหัวไม่ต้องถึงหมอนก็หลับได้ นอนในที่แคบๆ บ่อยๆ เช่น บนรถไฟหรือบนเก้าอี้ที่สถานีรถไฟก็นอนได้ นอนจนชิน ฉันแค่ชาร์จแบต หลับตาสักพัก ไม่ต้องมีที่นอนดีๆ ก็ได้ ฉันนอนได้ เดี๋ยวฉันก็ไปต่อแล้ว ง่วงก็นอน ไม่คิดเยอะว่าที่นอนจะต้องสบายแค่ไหนคนอื่นนอนได้ฉันก็ต้องนอนได้ แต่ต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของความปลอดภัยด้วย

นอนในห้องนอนสบายๆ ที่บ้านก็บ่อยแล้ว อยากรู้ว่าคนอื่นเขานอนหรือใช้ชีวิตกันยังไงบ้างนะ เมื่อเกิดคำถามกับตัวเอง ก็แค่ออกไปหาคำตอบ



9.มีระเบียบ

เปลี่ยนจากคนขี้เกียจให้ขยันเก็บ

ถ้าห้องส่วนตัวปกติก็ทำรกได้ แต่ถ้าเราออกไปอยู่กับคนไม่รู้จักล่ะ โดยเฉพาะเวลาที่ต้องนอนโฮสเทล อยู่ร่วมกับคนอื่น เรายุ่งเหยิง ทำรกได้แค่เตียงของตัวเองนะ แต่พื้นที่ส่วนรวม การรักษามารยาทเป็นสิ่งสำคัญมากในการนอนโฮสเทลกับคนแปลกหน้า บริเวณที่ใช้ร่วมกันโดยรอบ เช่น ห้องน้ำ ราวตากผ้า ปลั๊กไฟ ต้องแบ่งพื้นที่กันใช้ พื้นที่ตรงไหนควรช่วยกันดูแล ก็ช่วยๆ กันดู

10.ห้องเป็นของเรา

เปลี่ยนจากการต้องระวังคนในห้องด้วยการมีห้องส่วนตัวบ้าง

ไปพักบางที่ก็ไม่ได้นอนกับคนอื่นตลอด ไม่ได้เลือกโฮสเทลตลอด และเมื่อได้ห้องพักเป็นของเราเมื่อไหร่แล้ว เราจะซกมกขั้นสุดเท่าไหร่ก็ได้ เช่น การกระจายของบนเดียงใหญ่ๆเพื่อกันผี ฮ่าๆๆ อันนี้เป็นเคล็ดลับกันผีส่วนตัว เคยเขียนเล่าไปในเพจด้วย ไปหาอ่านวิธีกันผีแบบแปลกๆ ของเราในเพจดู ได้ห้องของตัวเองจะนุ่งผ้าเช็ดตัวตัวเดียวหรือเดินแก้ผ้าโทงๆ ก็ได้ โดยเฉพาะห้องน้ำไม่ค่อยล็อกด้วย เพราะกลัวเปิดไม่ได้ กลัวว่ากุญแจจะเสียแล้วขังตัวเองอีก ฮ่าๆๆ ไม่เคยมีประสบการณ์นั้นหรอก แต่กันไว้


11.มีเพื่อนใหม่ที่ไม่ใช่มนุษย์

เปลี่ยนจากมองหมาเลี้ยง หมาพันธุ์น่ารักมามองน้องหมาธรรมดาที่ก็น่ารักเหมือนกัน

เพื่อนใหม่นี่ ผีน่ะเหรอ! หรือแม่ซื้อ! ไม่ใช่ละ อันนั้นคุยด้วยปกติตลอดทาง (ห๊ะ! อะไรนะ เดี๋ยวๆ)

หมายถึงน้องหมาน้องแมวเจ้าบ้านต่างหาก เจอทุกที่ ทุกรีวิวต้องถ่ายหมากับแมวมา เพื่อนร่วมโลกที่เราขาดไม่ได้ ไปคนเดียวไม่กล้าคุยกับใครก็มาเล่นกับน้อง คุยกับน้องนี่แหละ เที่ยวคนเดียวห้ามกลัวเด็ดขาด ต่างจังหวัดมีเยอะมาก เขาคือเจ้าบ้าน ถ้าเราผูกมิตรได้ เขาจะให้เราผ่านทาง โชคดีที่เป็นคนรักสัตว์อยู่แล้ว เวลาเจอน้องก็คุยด้วยเป็นวรรคเป็นเวร

โดยเฉพาะการไปนอนโฮมสเตย์ต่างจังหวัดที่ต้องใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าของบ้าน แล้วถ้าบ้านเขาเลี้ยงสัตว์ ก็จะเข้าตำรา love me love my animal เจ้าบ้านใหญ่สุดนี่ก็น้องหมาน้องแมวนี่แหละ เหนือเจ้าบ้านยังมีเจ้าบ้าน


12.ชินกับความมืด

เปลี่ยนจากความมืดมิดน่ากลัว เป็นเข้าใจ

เดินหลงทางบ่อยๆ เดี๋ยวก็ชิน เพราะหลงไปหลงมามืดซะละ กลับมามืดๆ ก็เจอบ่อย แต่อย่าบ่อยเกินไป เวลาเดินทางคนเดียวเราจะเลี่ยงการออกกลางคืน ถ้าจำเป็น จะพยายามเดินไปตรงที่มีไฟเยอะๆ แต่ที่เจอมืดบ่อยๆ คือเป็นเรื่องของการนั่งรถไฟกลางคืนมากกว่า นั่งรถไฟผ่านป่า ผ่านเขาตอนกลางคืน แถมยังเปิดหน้าต่างอีก อากาศดีนะ แต่ในความดีก็มีความน่ากลัว ยิ่งถ้าได้ยินเสียงรถไฟฉึกฉัก ปู๊นๆ ไปด้วย กลางคืนก็เงียบๆ อาจจะหลอนนิดหน่อยถ้ามองเข้าไปในป่าข้างทาง เดินหลงทางผ่านวัดกลางคืนแล้วหมาหอนงี้ ก็ต้องรีบเดิน นอนโฮมสเตย์ที่จำกัดเวลาเปิด-ปิดไฟก็ต้องทนให้ได้ ถามว่าเอาตัวเองไปลำบากทำไม นี่แหละสิ่งที่ได้มา เวลา ไฟดับ ฟ้าร้อง ฟ้าแลบ เราไม่กลัว ไม่กรี๊ดเลยตอนนี้ ชินกับความมืดไปซะงั้น



13.เอาชนะความกลัว

เปลี่ยนจากความกลัวธรรมดาเป็นการทดลองว่าจะทนกับความกลัวได้มากแค่ไหน

เคยบอกไปว่าเราเป็นคนกลัวปะการัง กลัวหินงอกหินย้อย คนอื่นบอกสวย แต่เรากลัว เออตลกเนาะ กลัวตรงที่มันยึกยือ เหมือนสมองคนมั้ง แต่บางทีความอยากรู้อยากเห็น ความเผือกใหญ่รัชดาลัย มันนำความกลัวไปไกล เลยต้องกล้าที่จะลอง เช่น เดินเข้าป่า ไปเข้าถ้ำคนเดียวตอนไปแพร่ ในภาพนี้คืออึดอัดมากนะ เข้าไปไม่ได้ลึกเพราะรู้ว่าอึดอัดกับอะไรบางอย่าง รีบถ่ายรูปแล้วรีบออกมา มาคุยกับคนท้องที่อีกที เอ้า! มีประวัติหลอน เธอกล้าเดินเข้าป่ามาคนเดียวเนี่ยนะ พระธุดงค์ท่านยังไม่นอนเลย นอนไม่ได้เพราะมีสิ่งรบกวน ว่าแล้วไง ทำไมขนลุก

ในภาพชื่อถ้ำปู่ปันตาหมี บ้านนาตอง จ.แพร่ ไปหาใน google ได้



14.มีรูปตัวเองเยอะขึ้น

เปลี่ยนจากได้รูปเดี่ยวน้อยเวลาไปกับเพื่อน เป็นรูปเดี่ยวเยอะขึ้น

ก็มันมีเวลาอยู่กับตัวเองเยอะ กิจกรรมที่ทำประจำเลยเวลาไปเที่ยวคนเดียวเลยเน้นถ่ายรูป รูปตัวเองก็ตั้งกล้องถ่ายรูปตัวเองเป็นร้อยๆ รูปก็ว่ากันไป ปกติไปกับคนอื่นรูปเดี่ยวมีน้อย เน้นถ่ายเป็นกลุ่มหรือไม่ก็โดนถ่ายทีเผลอ ทีนี้ไปคนเดียวอยากได้กี่รูปก็ถ่ายเองแล้วกัน ไม่สวยก็คัดออก5555 ไม่มีใครเก็บภาพทีเผลอเราได้แน่นอน บางทีขอให้คนอื่นถ่ายรูปให้ แต่ก็ไม่ถูกใจเลย ก็ต้องมาถ่ายเองอีกอยู่ดี


15.มีรูปคนอื่นเยอะขึ้น

เปลี่ยนมาถ่ายรูปคนอื่นเก็บเป็นคอลเลคชั่นก็น่ารักดีนะ

หลังๆ ถ้าขี้เกียจถ่ายรูปตัวเอง เลยเน้นถ่ายแคนดิดคนอื่น สนุกดี ยากด้วย เพราะต้องรอเขาเผลอหลายๆ มุม หัดถ่ายรูปคนอื่นอยู่ มันดูท้องถิ่นที่ไปนี้ มีชีวิตและสีสันมากขึ้น และนี่แหละคือการเก็บภาพคนท้องถิ่นที่แท้จริง เป็นความทรงจำที่อยากเก็บไว้มากกว่าภาพวิวเสียอีก เรื่องการถ่ายภาพคนท้องถิ่นนี่เราชอบมาก ถ้าเขายิ้ม เขาหัวเราะ มันประทับใจมากจริงๆ บางทีเขาไม่ได้ยิ้มให้กล้อง แต่เขายิ้มให้เรา


16.ระหว่างทางมีความหมาย

เปลี่ยนมุมมองใหม่ว่าระหว่างทางอาจจะเหนื่อยหน่อย แต่มีความหมายมากมายจริงๆ

เราให้ความสำคัญกับระหว่างทางมากขึ้น เปลี่ยนมุมมองในการเดินทางใหม่ เดินทางคนเดียวไม่ได้คุยกับใคร เราต้องเริ่มเปิดใจคุยกับคนอื่น เรียนรู้วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของเขา เห็นรอยยิ้มระหว่างทางของคนท้องถิ่นแค่นี้เราก็ว่ามันสวยงามและดูมีเรื่องราวแล้ว หลังๆ ไม่ค่อยคาดหวังกับวิวที่จะเจอข้างหน้าว่าต้องสวยมาก หรือได้รูปที่ดีที่สุด แค่ได้เห็นรอยยิ้มสวยๆ ระหว่างทาง หรือน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ ที่เขาหยิบยื่นให้ เราก็ดีใจแล้ว

ผู้คนระหว่างทางนี่แหละ ที่จะเป็นครูในชีวิตจริงให้เราเมื่อเราได้รู้จักเขามากขึ้น มันคือการออกมาเรียนรู้ชีวิตจริง ที่มหาวิทยาลัยและที่ทำงานไม่มีให้เรียนรู้ นี่แหละที่เขาเรียกว่ามหาวิทยาลัยชีวิต


17.ได้รู้อะไรดีๆที่ google ให้ไม่ได้

เปลี่ยนความคิดว่าทุกอย่างหาได้จาก google

หลังๆ เวลาไปเที่ยวเราหาข้อมูลน้อยลงทุกที รู้สึกว่าหาเยอะแล้วข้อมูลมันตีกัน หาเยอะมันจะทำให้คาดหวังว่ามันต้องเป็นแบบที่เราหาข้อมูลมา การท่องเที่ยวแบบโนแพลนนี่แหละที่จะพาคุณไปเจอกับอะไรๆ ที่สนุกจนคาดไม่ถึง ลงพื้นที่ไปถามจากคนท้องถิ่นเลยว่าเขาไปเที่ยวที่ไหนกัน มีกิจกรรมอะไรสนุกๆ ให้ทำบ้างก็ลองทำดู หลายๆ ครั้งไม่เคยผิดหวังเลยกับการไม่หาข้อมูลแล้วเดินทางมาถามคนท้องถิ่น แล้วไปตามที่เขาบอก กลับกันตื่นเต้นมากกว่า ว่าเราจะได้เจออะไร


18.ได้หลงทาง

เปลี่ยนจากหลงทาง แล้วศึกษาเส้นทางใหม่ด้วยตัวเอง

ดูเหมือนแย่นะ แต่การพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสสำคัญมาก หลงไปในที่ที่ไม่รู้จัก แต่ดันเจอที่เที่ยว ที่ถ่ายรูปใหม่ๆ ก็บ่อยครั้ง ทำให้เราจดจำสถานที่และถนนหนทางนั้นๆ ได้มากขึ้น ได้มุมสวยๆ สถานที่แปลก ในการถ่ายภาพนอกเหนือจากที่คนอื่นเคยไปมา หรือถ้ามาที่นี่แกต้องเช็กอินเลยนะ เก็บภาพไว้เลย ไม่งั้นก็เหมือนมาไม่ถึง หึ ไม่อะ เราไม่ได้รู้สึกแบบนั้น



19.ได้ลองอะไรใหม่ๆ

เปลี่ยนตัวเองให้กล้าที่จะออกไปลองอะไรใหม่ๆ

ทำอะไรหลายๆ อย่างที่ไม่ค่อยได้ทำ หรือถ้ามากับคนอื่นโดนห้ามแน่นอน เช่น ปั่นจักรยานหรือขับมอเตอร์ไซค์ในระยะทางไกลๆ แค่ทำตามใจ อยากเดินทางด้วยวิธีนี้ ไม่อยากเรียกรถ อยากเดินสักสองสามกิโลเมตรก็อยากเดิน ถ้ามากับคนเคมีไม่ตรงกันคือเขาอาจงอแงได้เลย บางทีอาจจะค้นพบว่าความจริงเราชอบแบบนี้ แค่เปิดใจลองทำอะไรใหม่ๆ เผลอๆ ได้มิตรภาพดีๆ ระหว่างทาง กลับมาด้วย



20.ประหยัด

เปลี่ยนจากใช้เงินฟุ้งเฟ้อกับสิ่งของรอบตัว มาเที่ยวแบบประหยัด
ข้อนี้แรกๆ คิดไม่ถึงหรอก แต่ถ้าได้ลองมาแบคแพคเที่ยวสไตล์นี้ อยู่ง่าย กินง่าย นอนง่ายดู แล้วจะค้นพบว่ามันจริง อาจไม่มีคนหารค่ารถ ค่าห้อง แต่เลือกประหยัดเองโดยมีทางเลือกอื่น เช่น การเดินทางแบบแบคแพค ดื่มด่ำกับการเดินทางระหว่างทางและภาพถ่ายมากกว่าใช้เงินหมดไปกับอย่างอื่น จัดการงบประมาณด้วยตัวเอง เอ้า! ประหยัดเฉยเลย หมดไปเท่านี้จริงๆ อะ


เราได้เจอหลายความเห็นของคนที่ไม่เคยเที่ยวคนเดียว แตกต่างกันไป คนแซะนั่นนี่บ้างจนชินชา เป็นคนแปลก

ไม่มีเพื่อนบ้างอะไรบ้าง หึ ไม่เลย เป็นคนมีเพื่อนปกตินี่แหละ บางทีเขาก็ไม่เข้าใจอะไรหลายๆ อย่างในตัวของคนที่ชอบเที่ยวคนเดียว ส่วนใหญ่มองว่าแปลกมากกว่า และต่อให้เราอธิบายไปยังไงเขาก็ไม่เข้าใจ และเราคงเปลี่ยนแปลงความคิดของใครไม่ได้ นอกจากเปลี่ยนความคิดของตัวเราเองนี่แหละ ถ้าเขาว่าเราก็ช่างเขา ปล่อยเขา เราแค่ใช้ชีวิตของเรา ในแบบที่เราอยากเป็น และอยากทำอะไรหลายอย่างที่อยากทำและไม่เดือดร้อนใครก็พอ เราแค่ไม่อยากรอและมานั่งเสียใจทีหลังว่า ถ้าวันนี้อยากไป ทำไมฉันไม่ได้ไป อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ และเราไม่รู้ว่าชีวิตเราจะอยู่ได้นานถึงเมื่อไหร่กันนะ

อีกอย่าง ที่ชอบไปเที่ยวคนเดียว คงเป็นเพราะ life style การท่องเที่ยวของเพื่อนวัยเดียวกัน ไปกันคนละทิศทางเลย

เราสายแบคแพค เพื่อนหลายคนสายสบายๆ เยอะทั้งเรื่องกินเรื่องนอน นานน๊านทีถึงจะมีเวลานัดกันไปเที่ยวแบบปกติ อีกอย่างเวลาไม่ตรงกัน แถมวัยนี้ก็ยังเป็นวัยที่มีครอบครัวหมดแล้ว แล้วจะให้ไปเที่ยวกับใครได้ล่ะ นอกจากต้องเที่ยวคนเดียว ลุยๆ ไม่รอแล้ว ไปเองก็ได้วะ หลังจากนั้นก็ติดใจการเที่ยวคนเดียว และได้ไปในที่ที่อยากไปเยอะแยะเลย รู้สึกโคตรดีอะ ปัจจุบันสังคมเปลี่ยนไป ทุกคนมีอิสระทางความคิดมากขึ้น การที่ไปกินข้าวคนเดียว ดูหนังคนเดียว เที่ยวคนเดียว เดี๋ยวนี้มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยจริงๆ นะ แต่ในสังคมเราบางกลุ่มก็อย่างที่รู้ๆ กัน เขาไม่เห็นด้วยหรือยังมองเป็นเรื่องแปลกแค่นั้นเอง

การเริ่มต้นไปเที่ยวคนเดียวของเราตอนแรกก็แค่อยากไปเที่ยว มีรูปสวยๆ มาลงเฟซบุ๊กบ้าง ได้มีความสุขที่ได้เที่ยวเหมือนคนทั่วไป ที่ได้เห็นอะไรสวยๆ งามๆ

แต่พอได้เดินทางแบบไม่รีบร้อน ลำบากบ้างอะไรบ้าง แล้วได้เห็นชีวิตคนอื่นระหว่างทางมากขึ้น เราว่าสิ่งนี้แหละ มันโคตรมีค่าสำหรับเรามากกว่าการออกไปเที่ยวเฉยๆ มากๆ เลย

แก้ไขข้อความเมื่อ 7 มีนาคม เวลา 03:12 น.

Boe_Stories

 วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2561 เวลา 02.33 น.

ความคิดเห็น