น่าน และ ดอกไม้ที่หายไป

เมืองน่าน ' อาราม ธรรมชาติ งานศิลปะ และความสบายใจ '


ทริปผ่านไปครบ 1 ปี แต่ความประทับใจดีๆ ยังคงอยู่

นึกถึงทีไรก็ยังเหมือนเพิ่งผ่านมาไม่นานนี้เอง


ทริปนี้เป็นอีก 1 ทริปที่เราไปกับพ่อ :)

เริ่มมาจากการอยากไปเที่ยวเหนือ แต่เป็นจังหวัดอื่นบ้างนอกเหนือจาก เชียงรายหรือเชียงใหม่

ภาพของ 'น่าน' ผ่านตาในโลกออนไลน์อยู่หลายๆครั้ง ภาพจำที่หลายๆคนคงจำได้เหมือนกันคงเป็นนาขั้นบันไดเขียวๆ

แต่ช่วงวันว่างของเรามันคงไม่มีแบบนั้นแน่ๆ

จากการค้นหาข้อมูลตามเวลาที่มี ก็เจออะไรน่าสนใจ คือ "ดอกไม้" ที่มีเฉพาะที่น่าน ที่น่านเท่านั้น

นั่นล่ะ... จึงกลายมาเป็น Mission ของเราในการออกเดินทางในครั้งนี้


DAY 1

เช้าวันเสาร์...เรา 2 คนพ่อลูกออกเดินทางกันจาก กทม. ไปถึงน่านในช่วงสายๆ

สำหรับ Backpacker อย่างเราๆ ไม่ต้องห่วงเรื่องเดินทางนะคะ

จากสนามบินมีรถสองแถวป้านายบริการส่งถึงที่พักในเมืองเลย คนละ 50 บาทเท่านั้น

เดินออกจากสนามบินมองไปทางซ้ายมือเข้าไว้จะเจอรถสองแถว ใครจะลองถามก่อนหรือวันกลับหารถไม่ได้โทรถามป้านายได้เลยค่า

สารภาพเลยว่าทริปนี้ ทำการบ้านตามเวลาที่(ไม่ค่อย)มี

ที่พักเราจองไว้ก่อน 2 คืนแรก คือ ฮัก เฮอ ฮิม สำหรับในเมือง 1 คืน

และอีกคืนจะขอขึ้นดอยเพื่อไปตามหาดอกไม้กัน ^^

ส่วนคืนสุดท้ายนั้นน... ยังไม่ได้ตัดสินใจจ้า ความโนแพลนที่แท้ทรู


ที่ ฮัก เฮอ ฮิม พี่แจ๊คที่เป็นคนต้อนรับเรา กันเองสุดๆ และเนื่องจากเราเป็นแขกแค่ 2 คน เลยเหมือนทั้งบ้านนั้นเป็นของเราจริงๆ

จากที่พักเราเดินมาไม่ไกล มีร้านเช่าพาหนะให้เราเลือกไปตะลอนกิน ตะลอนเที่ยวกันตามสะดวก

จากที่เคยพาพ่อตะลุยปั่นจักรยานที่เชียงคานมาหลายกิโล

ทริปนี้เลยไม่อยากให้ทรหดอีก เพราะแดดเมืองไทยมันร้อนแสนร้อนนนน เลยขอเป็นเด็กแว้นนนแทนก็แล้วกันนะ ^^

ที่ๆ แรกในการเริ่มเที่ยวน่านแบบง่ายๆ แบบไร้ซึ่งแผนการใดๆ

คือ การเริ่มจากไปวัดภูมินทร์ให้ถูก

ถ้าการเข้ากรุงเทพครั้งแรกต้องรู้จักอนุสาวรีย์ชัยฯ ฉันใด

การมาเมืองน่านครั้งแรกก็ต้องรู้จักวัดภูมินทร์ ฉันนั้น

ตรงบริเวณรอบๆ นี้ จะมีแต่วัดวา ซึ่งเป็นที่เที่ยวไฮไลท์ทั้งนั้นค่าาา
และที่สำคัญคือมี "ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว" อยู่ตรงกันข้ามเลย

ทุกอย่างเราสามารถเริ่มได้ที่นี่ค่ะ

เราขอแผนที่และคำแนะนำต่างๆ จากที่นี่ล่ะ

และใครที่อยากได้ฟีลนักท่องเที่ยวมากกว่านี้ ที่นี่เค้ามีบริการรถรางชมเมืองด้วย เรากับพ่อถึงแม้จะเช่ารถกันแล้ว แต่ก็ไปลองนั่งมาเหมือนกัน เพราะอยากได้ฟังเรื่องราวบรรยายมันเป็นอะไรที่เพลิดเพลินดี

สำหรับรถรางหลักๆ จะพาเราไปตามเส้นทางของวัดที่มีประวัติศาสตร์สำคัญๆ และมีแวะ 2 จุดคือ

ชุมชนบ้านพระเกิด ที่มีการทำตุงด้วยมือมาแต่อดีต และวัดตาลคู่ ที่มีบ่อน้ำโบราณ

มีผ่านไปโฮมเจ้าฟองคำ ที่เป็นเรือนไม้โบราณด้วย แต่เสียดายที่ในช่วงนั้นปิดปรับปรุง ><

ชุมชนบ้านพระเกิด ที่ยังมีการตีลายตุงด้วยมือ

เรือนไม้โบราณ

ในส่วนของสถานที่อื่นๆ นอกจากที่รถรางพาเราไป เรา 2 พ่อลูกก็แว้นสำรวจกันต่อไปค่ะ

ที่น่านมีวัดเยอะแยะจริงๆ และในแต่ละที่ก็มีเอกลักษณ์ มีศิลปะที่ไม่เหมือนกันเลย

วัดหัวเวียงใต้ สีสันสดใสเด่นตัดสีท้องฟ้า และมีรูปปั้นปู่ม่าน ย่าม่าน ด้วย

วัดพระธาตุแช่แห้ง พระธาตุมงคลของคนปีเถาะ

แต่เดินเวียนกลางแดดก็จะมีความกระโดดๆเหมือนกระต่ายนิดนึง

วันศรีพันต้น สีทองอร่าม



วัดพระธาตุช้างค้ำวรวิหาร

และอีกสิ่งนึงที่ต้องห้ามพลาดสำหรับการมาน่านก็คือ ไปดูภาพกระซิบรักในตำนานที่วัดภูมินทร์

“คำฮักน้องกูปี้จักเอาไว้ในน้ำก็กลัวหนาว

จักเอาไว้พื้นอากาศกลางหาว ก็กลัวหมอกเหมยซอนดาวลงมาขะลุ้ม

จักเอาไปใส่ในวังข่วงคุ้ม ก็กลัวเจ้าปะใส่แล้วลู่เอาไป

ก็เลยเอาไว้ในอกในใจ๋ตัวชายปี้นี้ จักหื้อมันไห้อะฮิอะฮี้ ยามปี้นอนสะดุ้งตื่นเววา...”

เที่ยวๆ มาเหนื่อยแล้ว เรื่องปากท้อง เติมพลังนี่ก็สำคัญไม่แพ้กัน

นอกจากวัดวาอารามงามตาแล้ว อาหารเมืองน่านก็เจริญปากท้องด้วยเช่นกัน

ใครมาที่นี่ต้องมาทำความรู้จักกับ "มะแขว่น" พืชพื้นเมืองของที่นี่นะจ๊ะ

มันจะหอมๆ ซ่าๆ เบาๆ คล้ายๆ เม็ดผักชีอยู่หน่อยๆ :)

ไก่ทอดมะแขว่น ที่ เฮือนเจ้านางริมแม่น้ำน่าน


อิ่มแล้วแวะไปเดินเล่น กำแพงเมืองเก่า ถ่ายภาพเก๋ๆ ก็ดูเข้าที

หรือจะมา Jogging อย่างคนเมืองเค้าก็สบายอารมณ์ดีเหมือนกันนะ


กำแพงเมืองเก่า


Mission สำหรับเมืองน่านยังไม่หมดง่ายๆ หรอกนะ ^^
ใครที่ผ่านตากับการเที่ยวน่าน ภาพนึงที่ต้องได้เห็นก็ต้องเป็น พระใหญ่ยืนคู่กับวิวมุมสูง แน่นอน

เราเป็นคนชอบถ่ายภาพท้องฟ้าแสง Twilight มากกกก

การไปดูแสงอาทิตย์ยามเย็นก็คือนิพพานอย่างหนึ่ง จึงตรงไปที่วัดพระธาตุเขาน้อยนี่เลย

บรรยากาศยามเย็น ที่พระธาตุเขาน้อย

แดดร่ม ลมตก พระอาทิตย์ลับฟ้าแล้ว

แต่ Mission เรายังไม่จบตามไปง่ายๆ จ้า

เย็นๆ แบบนี้จะมีอะไรดีไปกว่าการหาอาหารอร่อยๆ และสัมผัสบรรยากาศ Night Life ของคนเมืองอีกล่ะ

ร้านป้านิ่มอันเลื่องลือ ว่าด้วยชื่อของบัวลอย

ร้านของหวานป้านิ่มพาฟินมากกก

ร้านอยู่ตรงข้ามวันศรีพันต้นเลยนะจ๊ะ เค้าดังในเรื่องของบัวลอย

เห็นว่าเมื่อก่อนมีศิลปินเอามาแต่งใส่ในเพลงซะด้วย

นอกจากนี้เราก็จัดอะไรเย็นๆ ไอติมกะทิคู่กับของหวาน ของเราเป็นข้าวเหนียวดำกับมะม่วง

อื้อหืออออ ข้าวเหนียวละลายในปากกับไอติมเย็นๆ มันฟินมากกกจริงๆ

ปกติไม่ชอบกินอะไรซ้ำๆ แต่ถ้าเป็นร้านนี้ไปอีกก็จะกินอีกกก ><


จบจากของหวานๆ เราก็ไปต่อที่ "ถนนคนเดินข่วงเมืองน่าน" กันหน่อย

งานเดินตลาดกับผู้หญิงมันย่อมมาคู่กัน จงจัดไปอย่าได้เสียเวลา

ข่วงเมืองก็คือหน้าวัดภูมินทร์นั่นเอง ที่นี่เน้นอาหารเมือง มีงานผ้าแซมบ้างเล็กน้อย

และถ้าใครอยากนั่งทานก็จะขันโตกไว้ให้นั่งตรงลานหน้าวัดค่ะ


กาดข่วงเมืองน่าน มีทุกศุกร์ เสาร์ อาทิตย์

DAY 2

เริ่มออกเดินทางตามหา "ดอกไม้" กันเถอะ

รับวันใหม่ด้วยอาหารเช้าจากพี่แจ๊ค ฮัก เฮอ ฮิม ระบบบริการตัวเองทานเสร็จล้างจานด้วยนะเจ้า ^^


วันนี้เราเปลี่ยนพาหนะใหม่เพราะต้องขึ้นเขา ขึ้นดอยกันค่ะ

พี่ที่ฮักเฮอฮิมนี่ล่ะ แนะนำรถเช่าจากพี่ลินดา พี่สาวคนสวยผู้ใจดี

เพราะความว่างเปล่าไร้แพลนใดๆ ทางพี่ลินดาเลยเป็นผู้ช่วยส่งข้อมูลแนะนำที่เที่ยวในช่วงวันกลับให้เราด้วย


แต่ก่อนออกนอกเมือง ขอแวะเก็บ เช็คอินในเมืองเพิ่มเติมสักนิด

คือที่แรกที่พบ 'ดอกไม้' ที่ทำให้เราเพลิดเพลินกับการถ่ายรูปเป็นที่สุด

นั่นคืออุโมงค์ลีลาวดี ที่ "พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ" นั่นเอง

อุโมงค์ลีลาวดี ถ่ายรูปไม่มีเบื่อ ได้ทุกฤดูจริงๆนะจ๊ะ

พิพิฒภัณฑสถานแห่งชาติยังอยู่ในระหว่างปรับปรุง มีเปิดให้ดูเฉพาะในส่วนของงาช้างดำค่ะ


ถ่ายรูปหนำใจแล้วถึงเวลาออกเดินทาง

ที่ๆเราจะไปในวันนี้คือ ดอยภูคา บ่อเกลือ และไปค้างคืนที่ ดอยภูฟ้าพัฒนา ค่ะ

ระหว่างทางก็ยังมี 'ดอกไม้' สมกับทริปตามหาดอกไม้จริงๆ ^^


ที่ดอยภูคา เราได้เจอดอกไม้ที่ตามหาแล้วล่ะ แต่เหมือนเรามาช้าไป ดอกเริ่มเหี่ยวโรยไปแล้ว

แต่ความตั้งใจ ฟ้าไม่ทำร้ายเราเกินไปในที่สุดเราก็ได้พบกัน

"ชมพูภูคา" ดอกไม้ที่มีที่นี่เท่านั้น และยังเป็นพืชใกล้สูญพันธุ์อีกด้วย

เจ้าชมพูภูคาออกดอกแค่ในช่วง มกราถึงต้นมีนา เท่านั้นนะคะ

นี่ล่ะ เหตุผลที่อยากมาเจอ

พอรู้อย่างงี้แล้วเชื่อว่าต้องมีคนสังสัยว่าใกล้สูญพันธุ์แล้วทำไม่ปลูกให้เยอะๆ ล่ะ

เพราะนั่นก็คือคำถามที่เราสังสัยเช่นกัน ฮ่าๆ


จากที่เราและคุณพ่อ(นักสำรวจ) ได้ลองดูรอบๆ ต้นนี้

ที่มีต้นอื่นๆ ที่พระอาจารย์ได้เพาะพันธุ์เอาไว้ ก็ได้้คำตอบกับตัวเองว่า

น่าจะมาจากว่ากว่าเจ้าชมพูภูคาจะโตและออกดอกแบบที่เห็นน่าจะใช้เวลานานมากๆ เหมือนกัน

เพราะที่เห็นวันเดินปีกำกับกับต้นรอบๆ 10 ปีผ่านมาแล้วยังได้แค่ต้นเล็กๆ เอง

กว่าจะได้เท่าต้นนี้ที่ออกดอกให้เราดูน่าจะนานหลายสอบปีเลยล่ะ


และในที่สุดมิชชั่นประจำทริปของเราก็สำเร็จไปแล้วววววววว ^^

แต่ความประทับใจยังไม่จบเท่านี้นะคะ ยังมีช่วงหลังจากนี้ไปอีก จะมาอัพเดทให้ฟังต่อ รอติดตามกันด้วยน๊าาา


#Journeywithpetite

ความคิดเห็น